|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เขมร,เศรษฐกิจชุมชน,อุบลราชธานี |
Author |
ชูเกียรติ เจริญผลดี |
Title |
การวิเคราะห์เศรษฐกิจของหมู่บ้านไทยลาว - เขมรเขตชายแดน กรณีของหมู่บ้านโซง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ขแมร์ลือ คะแมร คนไทยเชื้อสายเขมร เขมรถิ่นไทย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
174 |
Year |
2513 |
Source |
วิทยานิพนธ์ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพัฒนาเศรษฐกิจ ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
Abstract |
หมุ่บ้านโซงเป็นหมู่บ้านที่มีคนเขมรเข้ามาบุกเบิกอาศัยอยู่ก่อน จากนั้นจึงมีคนไทยลาวอพยพเข้ามาเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ ทางด้านวัฒนธรรมภาษาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของเชื้อสาย และจะเห็นว่าชาวบ้านเชื้อสายเขมรมีความพยายามที่จะเรียนรู้ภาษาไทยลาวและภาษาไทยภาคกลางมาก ในขณะที่ชาวบ้านเชื้อสายไทยลาวแทบทั้งหมดพูดภาษาเขมรไม่ได้เลย ประเพณีการแต่งงานนั้นถ้าเกิดมีการแต่งงานระหว่างคนไทยลาวและคนเขมรจะนิยมจัดพิธีตามแบบเขมร ชาวบ้านนับถือศาสนาพุทธ และอาจจะมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เข้าผสมบ้าง ส่วนใหญ่จะมีในชาวบ้านเชื้อสายเขมร หน้าที่ในการหาเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเป็นของสามีและเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจในครอบครัวด้วย ในหมู่บ้านมีโรงเรียนอยู่ 1 แห่งซึ่งสอนเป็นภาษาไทยภาคกลาง เปิดสอนในระดับ ชั้นประถม 1- 4 ซึ่งถ้าระดับสูงกว่านั้นจะต้องเข้าไปเรียนในเมือง แต่ชาวบ้านยังไม่เห็นความจำเป็น เนื่องจากมีชาวบ้าน ที่เคยไปเรียนและก็หางานทำไม่ได้ จึงต้องกลับมาอยู่บ้านตามเดิม จะเห็นว่าชาวบ้านเชื้อสายไทยลาว จะมีระดับการศึกษาและมีปริมาณที่สูงกว่าชาวบ้านเชื้อสายเขมร ในด้านสุขภาพยังมีความเชื่อเรื่องผีเข้ามาปะปนโดยเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดมาจากอิทธพลของผี ได้แก่ ผีบ้านและผีเรือน แต่ในขณะเดียวกันก็มีการรักษาโดยใช้ยา ทางด้านเศรษฐกิจชาวบ้านอาศัยการเกษตรเพื่อยังชีพเป็นหลัก ที่ดินยังคงเป็นปัจจัยอันสำคัญในการผลิต เจ้าของที่ดินนิยมครอบครองที่ดินเพื่อเตรียมไว้เป็นมรดกแก่บุตรหลาน และเตรียมสำหรับขยายการผลิต นอกเหนือจากฤดูทำนา ยังมีงานฝีมือที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เช่น การทอผ้าไหม การจักสานเสื่อ ตระกร้า ทำเกวียน ทำเสื่อ ทอผ้าฝ้าย และสามารถสร้างรายได้เพิ่มอีกด้วย สำหรับความแตกต่างระหว่างคนไทยลาวและคนเขมรซึ่งประกอบอาชีพที่คล้ายคลึงกัน แต่ฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้านเชื้อสายไทยลาวส่วนใหญ่เมื่อเทียบตามอัตราส่วนแล้วอยู่ในระดับดีกว่าคนเชื้อสายเขมร เนื่องมาจาก 1. ระดับการศึกษา ประสบการณ์จากโลกภายนอก และความกระตือรือร้นในการทำมาหากินของชาวบ้านเชื้อสายไทยลาวส่วนใหญ่มีมากกว่าชาวบ้านเชื้อสายเขมร ยังผลให้หลังคาเรือนไทยลาวถือครองที่ดิน ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ด้วยจำนวนเนื้อที่กว้างขวางกว่าหลังคาเรือนเขมร 2. แรงงานจริงที่มีเชื้อสายไทยลาวมีแนวโน้มที่จะได้รับการศึกษาสูงกว่าคนเชื้อสายเขมร 3. ชาวบ้านในหลังคาเรือนไทยลาวมีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินเพื่อลงทุนในด้านการผลิต ทั้งด้านเครื่องมือและปัจจัยการผลิตอื่นมากกว่าหลังคาเรือนเขมร ทั้งนี้เนื่องมาจากชาวบ้านในหลังคาเรือนไทยลาวมีนิสัยกล้าเสี่ยงลงทุนมากกว่า 4. ผลผลิตข้าวต่อไร่ของชาวบ้านหลังคาเรือนไทยลาวมีปริมาณสูงกว่าหลังคาเรือนเขมร เนื่องจากประสิทธิภาพในการทำงาน และประสบการณ์ของหลังคาเรือนไทยลาวที่มีมากกว่าหลังคาเรือนเขมร การที่กลุ่มชนไทยลาวได้อพยพเข้ามาอยู่ปะปนกับกลุ่มชนเชื้อสายเขมร ช่วยก่อให้เกิดการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการปรับแปลี่ยนทางวัฒนธรรม คือ 1. ชาวบ้านเชื้อสายเขมรที่เคยเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ได้ขายที่ดินให้แก่พวกไทยลาว จนเหลือที่ดินในการครอบครองเฉลี่ยต่อหลังคาเรือนแล้ว เป็นจำนวนเนื้อที่น้อยกว่าหลังคาเรือนไทยลาว 2. ชาวบ้านเชื้อสายเขมรได้มีความกระตือรือร้นและขยันขันแข็ง เพื่อพยายามยกระดับสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการจะเอาอย่างในการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ จากพวกไทยลาวที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว เกิดปัญหาการว่างงานหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว และจำนวนงานรับจ้างภายในหมู่บ้านมีน้อยเกินกว่าแรงงานที่ต้องการทำ ชาวบ้านไม่กล้าไปทำงานชั่วคราวตามในเมืองหรือถิ่นไกลๆ นอกจากนี้แรงงานจริงในหมู่บ้านยังขาดแคลนเงินทุน อาชีพและเทคนิคในการผลิตอันทันสมัยในการเกษตรทางด้านการตลาด ได้แก่ปัญหาเรื่องความยากลำบากในการคมนาคมขนส่งเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูงผู้ผลิตเสียเปรียบในการต่อรองราคาพืชผล จนผลตอบแทนไม่คุ้มกับที่ลงทุนลงไปซึ่งทำให้ชาวบ้านหมดกำลังใจที่จะทำการผลิตต่อไป |
|
Focus |
วิเคราะห์เศรษฐกิจในหมู่บ้านโซง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีประชากรเชื้อสายไทยลาวและเชื้อสายเขมรอยู่ร่วมกัน และมีอาชีพการทำไร่ทำนาเป็นหลัก การวิเคราะห์เห็นประเด็นเรื่อง ที่ดิน แรงงาน ทุน เทคนิคการผลิตและการตลาด |
|
Theoretical Issues |
เป็นการวิจัยด้านเศรษฐกิจในระดับหมู่บ้านไทยลาว-เขมร เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญติดชายแดนไทย-เขมรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (หน้า 1) เป็นการวิจัยโดยอาศัยการสัมภาษณ์เป็นหลัก การสังเกตเป็นส่วนประกอบรองลงมา (หน้า 3) สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ได้นำข้อมูลที่เกี่ยวกับ ที่ดิน แรงงาน ทุน เทคนิคการผลิต และการตลาด มาทำการวิเคราะห์ โดยวิธีเปรียบเทียบ ตรวจสอบความสัมพันธ์ (Cross Tabulation) กับข้อมูลอันเป็นปัจจัยแปรผัน (Variable Factors ) ซึ่งได้แก่ ระดับการศึกษา อายุ ประสบการณ์ในเมืองหรือสังคมที่เจริญ ระดับฐานะทางเศรษฐกิจ และเชื้อสายดั้งเดิมหรือลักษณะเชื้อสายของประชากรที่เป็นอยู่ในหลังคาเรือน นอกจากนี้ ยังใช้วิธีตรวจสอบทางสถิติ เช่น Correlation หรือ Analysis of Varianceหรือ Regression Analysis ตามความเหมาะสม (หน้า 5) และจากผลการศึกษาหมู่บ้านโซงในครั้งนี้มีสมมติฐานที่สามารถนำไปใช้กับกรณีหมู่บ้านอื่นได้กล่าวคือ ในหมู่บ้านที่กลุ่มวัฒนธรรมสำคัญ ๆ ตั้งแต่สองกลุ่มขึ้นไป กลุ่มวัฒนธรรมที่มีความเข้มแข็งกระตือรือร้นในการทำมาหากินต่ำ มีแนวโน้มที่จะเอาอย่างหรือปรับปรุงตัว เพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในทางเศรษฐกิจของตนให้ทัดเทียมเพื่อนบ้านที่มีความสามารถสูงกว่า (หน้า 103) |
|
Ethnic Group in the Focus |
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยภาคสนาม โดยเลือกหมู่บ้านตัวอย่างมาทำการศึกษาวิจัย ผลของการสุ่มเลือกปรากฎว่าหมู่บ้านโซงได้รับเลือกซึ่งเป็นตัวอย่างหมู่บ้านที่มีชนกลุ่มน้อยอื่นปะปนกับคนไทยลาว คือ พวกเชื้อสายเขมรปะปนกับไทยลาว (หน้า 2) และเลือดผสมไทยลาวเขมรปะปนกันอยู่ โดยต้องอยู่ที่เขตชายแดนไทย-กัมพูชาทางทิศใต้ของจังหวัดอุบลราชธานี (หน้า 20) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาเป็นลักษณะสำคัญที่ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเชื้อสายไทยลาวและเขมร ภาษาที่ใช้หมู่บ้าน มี 2 ภาษาคือ ภาษาไทยลาวและภาษาเขมร (หน้า 20) ปกติภาษาพูดไทยลาวและเขมรในหมู่บ้านนี้ แตกต่างกันชนิดฟังกันไม่รู้เรื่องเลย แต่ดั้งเดิมมาชาวบ้านพูดได้เฉพาะภาษาเขมรเท่านั้น ต่อมาติดต่อกับคนในเมืองและฟังวิทยุมากขึ้น และมีพวกไทยลาวอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในภายหลัง ทำให้เขมรพูดภาษาไทยลาวได้มากขึ้น การพูดโต้ตอบกันระหว่างคนเชื้อสายไทยลาวและเขมรมักใช้ภาษาไทยลาวเป็นสื่อ แต่สำหรับพวกไทยลาวแล้วพูดภาษาเขมรแทบไม่ได้เลย ส่วนพวกลูกผสมระหว่างไทยลาวและ เขมรถูกอบรมให้พูดภาษาลาวมาตั้งแต่เด็ก นอกจากนพวกเชื้อสายเขมรยังพยายามฝึกพูดภาษาไทยภาคกลางได้สำเนียงชัดเจนยิ่งกว่าพวกไทยลาว เนื่องจากเห็นว่าพวกตนจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทต่อไป จึงพยายามสร้างปมเด่นให้เห็นว่าตนเองก็เป็นคนไทยคนหนึ่งเช่นกัน (หน้า 16) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างวันที่ 22 กันยายน ถึง วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2510 |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านโซงตั้งมาประมาณ 200 ปีแล้ว โดยย้ายมาจากบ้านหนองโซง (ปัจจุบันเป็นบ้านร้าง) เพราะเกิดการเจ็บป่วยเป็นไข้ล้มตายกันมากจึงย้ายมาอยู่แหล่งใหม่ ซึ่งเป็นคนเชื้อสายเขมรทั้งสิ้น ต่อมาภายหลังเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว มีคนไทยลาวเข้ามาตั้งรกรากประมาณ 3-4 ครอบครัวและย้ายตามเข้ามาอีกสิบกว่าครอบครัวในระยะเวลา 7-10 ปีที่ผ่านมา โดยมาจากเขตอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานีทั้งหมด เนื่องจากได้ข่าวว่าที่ดินแถบนี้มีความอุดมสมบูรณ์ดีกว่าแหล่งเดิมที่ทำนาไม่ค่อยได้ผล จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา มีไทยลาวย้ายเข้ามาอีก 19 ครอบครัว ส่วนใหญ่มาจากอำเภอวารินชำราบนอกนั้นมาจากอำเภอกันทรลักษณ์ และอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีษะเกษ ดังนั้นปัจจัยการอพยพทำให้คนเชื้อสายไทยลาวมีจำนวนมากกว่าคนเชื้อสายเขมร (หน้า 7) |
|
Settlement Pattern |
ภายในที่ตั้งหมู่บ้านมีบ้านเรือน ตั้งอยู่เป็นกลุ่มก้อนเรียงอยู่ริมถนน และอยู่อย่างระเกะระกะ ลึกเข้าไปจากถนน เส้นทางการติดต่อระหว่างหมู่บ้านกับอำเภอมีอยู่ทั้งหมด 3 เส้นทาง ซึ่งไปมายากลำบากมาก (หน้า 6) |
|
Demography |
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ 2510 หมู่บ้านโซงมีประชากรรวมทั้งสิ้น 940 คน เป็นชายร้อยละ 49.4 และหญิงร้อยละ 50.6 เมื่อจำแนกตามเชื้อสายเดิมแล้วมีคนเชื้อสายไทยลาวอยู่ร้อยละ 58 ของจำนวนประชากรทั้งหมด (หน้า 7) เชื้อสายเขมร ร้อยละ 40.5 และเลือดผสมไทยลาวเขมรร้อยละ 1.1 โดยมี ประชากรทั้งหมดคิดเป็น 175 ครอบครัว หลังคาเรือนและครอบครัวที่ชาวบ้านเชื้อสายต่างๆ อาศัยอยู่มี 3 ประเภทคือ 1. เป็นหลังคาเรือนและครอบครัวที่มีเฉพาะคนไทยลาวอาศัยอยู่ด้วยกัน 2. เป็นหลังคาเรือนที่มีเฉพาะคนเขมรอาศัยอยู่ด้วยกัน 3. เป็นหลังคาเรือนและคอรอบครัวที่มีทั้งคนไทยลาว คนเขมร กับเลือดผสมไทยลาวเขมรอยู่ร่วมกันโดยทั่วไปแล้ว จำนวนคนเฉลี่ยต่อหลังคาเรือน ในหลังคาเรือนไทยลาวสูงกว่าหลังคาเรือนเขมร และในหลังคาเรือนเขมรสูงกว่าหลังคาเรือนที่มีทั้งคนไทยลาวและเขมรอยู่ร่วมกัน ในระยะระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ 2510 ถึง 24 เมษายน พ.ศ 2511 รวมเวลาเกือบ 9 เดือนพบว่ามีชาวบ้านโยกย้ายเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมากกว่าที่ย้ายออกไปจากหมู่บ้าน จำนวนคนเกิดมีมากกว่าจำนวนคนตาย จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่อยู่ในหมู่บ้าน (หน้า 8) มีจำนวนประชากรทั้งหมด 973 คน (หน้า9) |
|
Economy |
ชาวบ้านโซงส่วนใหญ่ยึดอาชีพทำนาเป็นหลักร้อยละ 84.l ส่วนอีกร้อยละ 15.1 นั้นยึดอาชีพอื่นเป็นหลักเช่น ค้าขาย รับราชการ (หน้า 9) ระดับฐานะทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน 199 หลังคาเรือน แบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ 1. ระดับเหลือกินเหลือใช้ มักฐานะความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน เพราะสามารถทำนาหรือหารายได้จากการผลิตมากเกินกว่าการใช้จ่าย หรือมีผลผลิตเหลือจากการบริโภคไว้ขาย หรือให้เพื่อนบ้านกู้ยืมได้ 2. ระดับมีพอกิน คือไม่ค่อยเดือดร้อนในด้านความเป็นอยู่ กล่าวคือ ไม่ค่อยขาดแคลนแต่ก็ไม่ค่อยเหลือ 3. ระดับยากจน เป็นชาวบ้านที่ทำนาหรือหารายได้ (หน้า 10) ไม่ค่อยเพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือนเป็นบางครั้งและบางครั้งต้องกู้หนี้ยืมสินจากคนอื่น 4. ระดับจนมาก ชาวบ้านพวกนี้ไม่ค่อยมีกิน อดๆ อยากๆ ตลอดปี ต้องขออาหารเพื่อนบ้านหรือญาติพี่น้องมาบริโภคเพื่อประทังชีวิตไปวันหนึ่งๆ โดยเฉลี่ยแล้ว หลังคาเรือนที่มีระดับฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า มีมูลค่าทรัพย์สินและฐานะทางการเงินที่เทียบจากรายได้และรายจ่ายสูงและมั่นคงกว่าหลังคาเรือนที่มีระดับฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่า (หน้า 11) เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคนเชื้อสายไทยลาวและเขมรแล้ว พบว่าฐานะทางเศรษฐกิจของเชื้อสายไทยลาวส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีกว่าคนเชื้อสายเขมร (หน้า 13) ชาวบ้านส่วนใหญ่พยายามสร้างฐานะทางเศรษฐกิจด้วยการแสวงหาที่ดินเอาไว้ถือครองทำมาหากินเป็นสำคัญ (หน้า 24) การเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรในหมู่บ้านประมาณร้อยละ 90 ของจำนวนผู้เช่าทั้งหมด ต้องจ่ายค่าเช่าในลักษณะแบ่งผลผลิตกันคนละครึ่ง โดยผู้ให้เช่าจะออกพืชพันธุ์และให้ยืมเครื่องมือในการผลิตด้วย ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 10 นั้นแล้วแต่ผู้เช่าจะจ่ายค่าเช่าเท่าไรหรือลักษณะใดก็ได้ การเช่าที่ดินนี้ไม่เคยทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร (หน้า 26) หลังคาเรือนที่มีระดับฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า ใช้ที่ดินทำประโยชน์ และปล่อยทิ้งว่างเป็นจำนวนเนื้อที่มากกว่าหลังคาเรือนที่มีระดับฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่า (หน้า 34) ในรอบปีหนึ่งๆ ชาวบ้านหมู่บ้านโซงใช้ที่ดินทำนาประมาณ 7 เดือน หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วชาวบ้านจะใช้ที่ดินบางส่วนทำการปลูกพืชต่างๆ เช่น ถั่วฝักยาว ผักกาด หอม กระเทียม คะน้า ผักชี เป็นต้น และปลูกยาสูบเพื่อเอาไว้บริโภคในครัวเรือน บางหลังคาเรือนก็เอาไว้ขายด้วย (หน้า 35) ชาวบ้านที่มีฐานะทางเศรษฐกิจยากจนมากนั้น ทุกหลังคาเรือนไม่ได้เลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานเลย และหลังคาเรือนไทยลาวมักจะเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานเป็นจำนวนมากกว่าหลังคาเรือนเขมร (หน้า 55) หลังคาเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีแนวโน้วที่จะเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากกว่าหลังคาเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่า และหลังคาเรือนที่มีเฉพาะคนเชื้อสายไทยลาวโดยเฉลี่ยแล้วจ่ายค่าเครื่องมือทำการผลิตมากกว่าหลังคาเรือนเขมร (หน้า 59) ระบบเศรษฐกิจของหมู่บ้านโซง เป็นระบบเศรษฐกิจเพื่อเลี้ยงตัวเอง ชาวบ้านยังนิยมแลกเปลี่ยนสิ่งของกันอยู่ สินค้าออกของหมู่บ้านก็มีปริมาณน้อย ทำให้การหมุนเวียนทางเงินตราเป็นไปในอัตราต่ำ ชาวบ้านที่มีเงินเหลือก็มักจะมีแนวโน้มที่จะลงทุนซื้อที่ดิน โค กระบือ ไว้เพื่อเป็นมรดกแก่ลูกหลาน ไว้ใช้ในการผลิตมากกว่าเก็บสะสมหรือใช้ในลักษณะอื่น(หน้า 62) พบว่าหลังคาเรือนไทยลาว ใช้จ่ายเงินเพื่อทำการผลิตในที่ดิน 1 ไร่ สูงกว่าหลังคาเรือนเขมรมาก เพราะกล้าเสี่ยงลงทุนมากกว่า และ หลังคาเรือนที่มีคนไทยลาวกับเขมรอยู่ร่วมกันนั้น กล้าเสี่ยงลงทุนมากที่สุด (หน้า 69) หลังคาเรือนไทยลาวได้รับผลผลิตข้าวเฉลี่ยต่อหลังคาเรือนในปริมาณสูงกว่าหลังคาเรือนเขมร (หน้า 76) การผลิตทางการเกษตรนับว่าเป็นการผลิตอันสำคัญที่สุดของชาวบ้านโซง โดยเฉพาะการทำนาซึ่งมีสำคัญ สำหรับการผลิตที่เป็นสิ่งใหม่ต่อหมู่บ้าน ในปี พ.ศ 2510 ก็คือการขุดบ่อปลา (หน้า 89) ชาวบ้านในหลังคาเรือนไทยลาวได้รับผลผลิตข้าวเฉลี่ยต่อหลังคาเรือนและเฉลี่ยต่อไร่ด้วยปริมาณสูงกว่าหลังคาเรือนเขมร (หน้า 90) วิธีจำแนกแจกจ่ายผลิตผลไปยังผู้บริโภคมีอยู่ 3 ลักษณะสำคัญ คือ ขายให้ผู้บริโภคด้วยกันเองในหมู่บ้าน ขายให้พ่อค้าที่รับซื้อในหมู่บ้าน และนำไปขายให้แก่พ่อค้ารับซื้อตามหมู่บ้านอื่น หรือที่อำเภอเดชอุดม แต่ส่วนใหญ่มักต้องผ่านพ่อค้าคนกลางเสียก่อน จึงจะไปถึงผู้บริโภค นับว่าเป็นการอำนวยความสะดวกต่อการนำผลิตผลไปสู่ผู้บริโภคอย่างมาก และยังมีส่วนช่วยให้ชาวบ้านสามารถขายผลิตผลของตนได้ราคาที่ยุติธรรมอีกด้วย (หน้า 98) เกี่ยวกับราคาพืชผล เช่น ข้าว และ ปอนั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ทราบราคากันดีโดยรับฟังมาจากทางวิทยุเป็นสำคัญ แต่ราคาสุกรนั้นนับว่าเป็นปัญหาที่ชาวบ้านไม่อาจทราบราคาแน่นอนได้ เพราะสุกรที่ชาวบ้านเลี้ยงมีคุณภาพที่แตกต่างกันไป ดังนั้นพ่อค้าจึงมักเป็นฝ่ายได้เปรียบในการตั้งราคาเองอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ ราคาปอตกต่ำก็เป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผู้ผลิตขาดกำลังใจในการทำการผลิตต่อไป (หน้า 99) |
|
Social Organization |
ความผูกพันในวงศ์ญาติมีสูงมาก โดยนิยมแบ่งที่ดินเป็นมรดกแก่บุตรหลานไว้ทำมาหากินสืบต่อไป การเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรในหมู่บ้าน ปรากฎว่าไม่เคยทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร (หน้า 26) แต่อย่างใดเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจกัน คงใช้แต่การตกลงกันด้วยวาจาเท่านั้น ชนเชื้อสายไทยลาว มักความกระตือรือร้นและขยันขันแข็งในการทำมาหากินมากกว่าพวกเขมร พยายามแสวงหาที่ดินมาไว้ทำการผลิต (หน้า 27) โดยทั่วไปชาวบ้านยอมรับกันว่า ผู้ชายมีบทบาทในการทำงานนอกบ้านมากกว่าผู้หญิงเพราะตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวบ้านแล้ว หญิงจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบการบ้านการเรือน นอกจากนี้ชาวบ้านถือกันว่า ผู้ชายเป็นฝ่ายที่มีกำลังกายแข็งแรงบึกบึนกว่าผู้หญิง โดยเฉพาะการรับจ้างทำงานภายในหมู่บ้านหรือนอกหมู่บ้านผู้ชายจะมีบทบาทอันสำคัญยิ่ง ส่วนหญิงที่มีครรภ์หรือหลังการคลอดบุตรแล้วประมาณ 2 เดือนต้องช่วยครอบครัวทำงานตามปรกติ (หน้า 42) โดยทั่วไปชาวบ้านมักจะแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ชาวบ้านเชื้อสายไทยลาวเริ่มแต่งงานเมื่ออายุประมาณ 17 ปีเป็นต้นไป ส่วนชาวบ้านเชื้อสายเขมรจะแต่งงานตั้งแต่อายุ 14 ปีขึ้นไป ชายที่แต่งงานแล้วจะมีความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจมากขึ้น ตามประเพณีของไทยลาวและเขมรแล้วผู้ชายที่เพิ่งจะแต่งงานต้องย้ายไปอยู่ในหลังคาเรือนของภรรยา ยกเว้นบางกรณีที่พิเศษเท่านั้นที่ฝ่ายหญิงต้องย้ายไปอยู่ในหลังคาเรือนของสามี ผู้ชายที่เพิ่งแต่งงาน ต้องทำงานในไร่นาของพ่อตาแม่ยาย ตามปรกติเมื่อคู่สมรสได้บุตร 2 หรือ 3 คน จะแยกครัวเรือนออกมาอยู่ต่างหากและจะมีอิสระทางด้านรายรับและรายจ่ายมากกว่าเมื่อครั้งอยู่กับพ่อตาแม่ยาย ซึ่งโดยทั่วไปพ่อตาแม่ยายก็จะมอบที่ดินให้แก่บุตรเขยและบุตรสาวไว้ทำมาหากินผืนหนึ่งแต่ที่ดินยังเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อตาแม่ยายอย่างเดิม ตามกรณีที่เกิดขึ้นส่วนมาก ที่ดินจะเปลี่ยนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของครัวเรือนใหม่ก็ต่อเมื่อพ่อตาแม่ยายเสียชีวิตไปหมดแล้ว ซึ่งหมายความว่าตลอดชีวิตสมรสผู้ชายต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูภรรยา บุตร รวมทั้งมีภาระสำคัญที่จะต้องช่วยเหลือสนับสนุนครอบครัวของภรรยาและของตน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เกิดความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นภายในวงศ์ญาติเดียวกัน หากเกิดความเดือดร้อนขึ้นภายในวงศ์ญาติก็มักจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอ (หน้า 45) เกี่ยวกับการทำงานบางอย่างในหมู่บ้นชาวบ้านก็จะใช้วิธีลงแขกช่วยกันทำ เช่น ลงแขกเกี่ยวข้าว ฟาดข้าว หาบข้าวใส่ลาน ดำนา และลงแขกสร้างบ้าน เป็นต้น และตนเองเป็นผู้จัดหาเลี้ยงอาหาร ชาวบ้านจะหยุดทำงานกันจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเป็นวันงานพิธีสำคัญของหมู่บ้าน เช่น พิธีสู่ขวัญข้าวประจำหมู่บ้าน งานรื่นเริงประจำปีของหมู่บ้าน วันเนา วันแต่งงาน หรืองานทำบุญบ้านของญาติ หรือมิตรสหายที่สนิทกัน นอกจากนี้ พอค่ำลง ชาวบ้านทั่วไปยังนิยมพักผ่อนด้วนการจับกลุ่มคุยกันตามบ้านเรือนของมิตรสหาย พวกเด็กหนุ่มก็จะไปเล่น (เกี้ยว) สาวในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า 50) |
|
Belief System |
ชาวบ้านทุกคนนับถือศาสนาพุทธที่สืบต่อกันมาตามประเพณี โดยมีวัดบ้านโซงเป็นแหล่งที่ปฏิบัติกิจทางศาสนาร่วมกันระหว่างคนไทยลาวและเขมร (หน้า 20) แต่ก็มีหลายคนที่นับถือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจในการทำความดี (หน้า 15) ส่วนพิธีกรรมทางศาสนามีพิธีในวันสงกรานต์ การทำบุญเข้าพรรษา ออกพรรษา การทำบุญในวันพระ และการทำวัตรสวดมนต์ที่วัดทุกวันโกน ชาวบ้านทั้งไทยลาวและเขมรมีอิสระที่จะนับถือสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นประเพณีเดิมที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมา (หน้า 16) ส่วนใหญ่จะเป็นประเพณีที่คล้ายคลึงกัน เช่น การสู่ขวัญ การเสี่ยงน้ำฝน การนับถือนางธรณี การนับถือผีปู่ตา การนับถือผีตาแฮก เป็นต้น ส่วนประเพณีชนิดเดียวกันที่ทำพิธีแตกต่างกัน คือ พิธีแต่งงาน ในกรณีที่คนไทยลาวและคนเขมรแต่งงานกัน จะต้องใช้พิธีของฝ่ายเขมร สำหรับการนับถือผีแม่มดนั้น เชื่อถือปฏิบัติกันมาเฉพาะในฝ่ายเขมรเท่านั้น ส่วนการนับถือผีแถน เชื่อถือปฏิบัติกันในกลุ่มคนไทยลาวกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่ง และการนับถือธรรมไว้ไล่ผีเริ่มมีมากในกลุ่มคนไทยลาว พวกที่นับถือธรรมดังกล่าวนี้ เลิกนับถือผีกันหมด ชาวบ้านที่มีความเชื่อผีส่วนใหญ่เชื่อว่าผีมีอิทธิพลชีวิตความเป็นอยู่ คือ ทางด้านอนามัย (หน้า 17) และทางด้านการผลิต ผีชนิดที่สำคัญที่ชาวบ้านต้องทำพิธีเลี้ยงทุกปี คือ ผีปู่ตา ผีแม่มด ผีแถน ในด้านอนามัย ส่วนในด้านการผลิตชาวบ้านบางกลุ่มยังทำพิธีเลี้ยงผีตาแฮกในฤดูดำนา เพื่อช่วยให้ข้าวเจริญงอกงาม (หน้า 18) |
|
Education and Socialization |
บ้านโซงมีโรงเรียนอยู่ 1 แห่งเริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ 2469 สอนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-4 โดยสอนเป็นภาษาไทยกลาง เมื่อเด็กจบ ป.4 แล้วชาวบ้านไม่นิยมส่งลูกเรียนต่อที่อื่นเพราะ 1. เด็กที่จบ ป.4 แล้วโดยมากอ่านและเขียนหนังสือไม่ค่อยได้จึงเป็นอุปสรรคในการเรียนอยู่มาก 2. หากเป็นบุตรหญิงเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยในการไปเรียนต่อ 3. เกรงว่าเมื่อไปเรียนแล้วจะผิดหวังเรียนไม่จบและไม่มีงานทำเนื่องจากมีตัวอย่างจากรุ่นก่อน ๆ มาแล้ว 4. ฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีพอ ดังนั้นชาวบ้านจึงต้องการให้โรงเรียนในหมู่บ้านขยายระดับการศึกษาให้สูงขึ้นกว่าเดิม (หน้า 14) ในปี พ.ศ 2510 มีชาวบ้านที่จบการศึกษาระดับ ป.4 ขึ้นไปประมาณร้อยละ 47.5 ของชาวบ้านที่มีอายุ 15 ขึ้นไป โดยคนไทยลาวที่ได้รับการศึกษาสูงกว่าระดับป.4 ขึ้นไปมีอัตราสูงกว่าฝ่ายเขมรมาก (หน้า 15) ปกติชาวบ้านจะได้รับการฝึกอบรมในการประกอบอาชืพมาตั้งแต่เด็กจากครอบครัวของตน (หน้า 52) |
|
Health and Medicine |
ชาวบ้านเชื่อถือผีอยู่มากเนื่องจากความเชื่อว่าผีมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ทางด้านอนามัย คือ ผีปู่ตา ผีแม่มด ผีแถน ชาวบ้านจึงต้องทำพิธีเลี้ยงทุกปี ถ้าหากไม่ทำพิธีดังกล่าวหรือประพฤติในสิ่งที่ไม่ควรต่อผีแล้วอาจจะทำให้เกิดความเจ็บป่วยแก่ชาวบ้านได้ ดังนั้น เมื่อเกิดการเจ็บป่วยจึงมีการรักษากัน 2 ประเภท คือ 1. ใช้ยารักษาโรคจากสถานีอนามัยชั้นสองประจำตำบล หมอเถื่อน หมอกลางบ้าน หรือซื้อยาจากร้านขายยาเอง (หน้า 17) 2.ใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วยรักษา โดยให้หมอธรรมหรือตัวแทนของผีปู่ตา ผีแม่มดหรือผีแถน ทำการตรวจดูก่อนว่ามีผีอะไรมากระทำ แล้วจึงขับไล่ออก ปกติชาวบ้านส่วนใหญ่มักใช้ทั้งยารักษาโรคและทางไสยศาสตร์พร้อมกันเพื่อให้ได้ผลเร็ว แต่บางคนก็เลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเมื่อไม่หายจึงเปลี่ยนมาใช้อีกวิธีที่เหลือ (หน้า 18) สำหรับที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือนมีแต่ความสกปรกรุงรังนิยมทำความสะอาดพื้นบ้านด้วยวิธีเพียงกวาดเศษขยะเท่านั้น ซึ่งก็ไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในครัวหุงอาหารนั้น มีทั้งฝุ่นละออง เถ้าถ่านเศษไม้และอื่น ๆ ระเกะระกะซึ่งทำให้เกิดพาหะของเชื้อโรค ทางด้านเครื่องนุ่งห่ม พบว่าชาวบ้านที่มีฐานะยากจนและยากจนมากขาดแคลนกันมาก โดยเฉพาะหลังคาเรือนในเชื้อสายเขมร (หน้า 43) ถ้าในฤดูหนาวจัดจะเห็นบ่อยๆ ว่า ผู้ชายวัยตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงวัยชราหลายคนปราศจากเสื้อ ทนหนาวสั่น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านเกิดอาการไข้บ่อยเกือบตลอดปี เกี่ยวกับอาหารการกินพบว่า ชาวบ้านโดยทั่วไปรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจากข้าวเหนียวเป็นสำคัญ ไม่นิยมรับประทานอาหารประเภทไขมันเลย การปรุงอาหารแทบจะไม่พบว่าชาวบ้านใช้น้ำมันหมูหรือน้ำมันพืช หรือไขมันจากสัตว์ สำหรับน้ำดื่ม ชาวบ้านนิยมดื่มน้ำจากในบ่อมาก ส่วนน้ำฝนไม่ปรากฎว่าชาวบ้านรองรับไว้ดื่มเลย (หน้า 44 ) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
นอกจากอาชีพหลักคือการทำไร่ทำนาแล้วบางครัวเรือนที่มีความชำนาญหรือมีฝีมือในการสร้างเกวียน จักสาน ทอเสื่อ ทอผ้าฝ้าย ทอผ้าไหม ถักแห ก็มักจะเริ่มถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุตรหลานที่มีความรู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป โดยเน้นฝึกผู้หญิงให้มีความรู้ในการทอผ้าฝ้ายทอผ้าไหม เพื่อเตรียมไว้ในชีวิตการครองเรือน และเน้นผู้ชายให้มีความรู้ในทางช่างไม้ ทำเกวียน จักสาน การอบรมดังกล่าวเป็นการอบรมภายในครัวเรือนที่ถ่ายทอดกันต่อ ๆ มาจากบรรพบุรุษไปยังบุตรหลานตามลำดับ (หน้า 43) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ภาษาเป็นลักษณะสำคัญที่ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างเชื้อสายไทยลาว-เขมร พวกเขมรกว่าร้อยละ 70 สามารถพูดภาษาไทยลาวได้ แต่สำหรับพวกเชื้อสายไทยลาวแล้วแทบทั้งสิ้นพูดภาษาเขมรไม่ได้เลย เหตุที่พวกเชื้อสายเขมรมีแนวโน้มพูดภาษาไทยลาวมากขึ้นเป็นเพราะคนเขมรคิดว่า คนไทยลาวมีทั้งภาษาที่คล้ายคลึงและการติดต่อสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนไทยภาคกลางมาก นอกจากนี้พวกเชื้อสายเขมรยังพยายามฝึกพูดภาษาไทยไทยภาคกลางได้สำเนียงชัดเจนยิ่งกว่าพวกไทยลาวพูดภาษาไทยภาคกลางเสียอีก สำหรับกรณีนี้เป็นเพระเห็นว่า พวกตนเองจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยตลอดไป และเห็นแล้วว่าคนไทยเหนือกว่าประเทศกัมพูชาในแง่ที่สามารถป้องกันตนเองให้เป็นเอกราชได้เข้มแข็งกว่า จึงพยายามสร้างปมเด่นให้เห็นว่าตนเองก็เป็นคนไทยคนหนึ่งเหมือนกัน (หน้า 16) ปกติคนเชื้อสายไทยลาวมักมีความขันขันแข็งในการทำมาหากินมากกว่าเขมร และเมื่อคนเขมรแต่งงานกับคนไทยลาวแล้วก็เกิดมานะที่จะใช้แรงงานขยันขันแข็งมากขึ้น ดังนั้น จึงทำให้ เนื้อที่ถือครองทางการเกษตรและใช้ที่ดินทำประโยชน์จริงๆ ในหลังคาเรือนที่มีคนไทยลาวและคนเขมรอยู่รวมกันมีมากที่สุด (หน้า 48) ภายหลังที่พวกไทยลาวอพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านโซง ก็เป็นผลทำให้คนเชื้อสายเขมรเริ่มมีความขยันขันแข็งในการทำงานมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะต้องการจะสร้างฐานะทางเศรษฐกิจให้ทัดเทียมกับพวกไทยลาวบางคนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานะทางเศรษฐกิจด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว (หน้า 53) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
- ภาพที่ 1 แผนภูมิแสดงประชากรหมู้บ่านโซง จำแนกตามอายุและเพศ (พ.ศ 2510) (หน้า 110) - ภาพที่ 2 แผนภูมิแสดงจำนวนประชากรหมู่บ้านโซง จำแนกตามอายุและเชื้อสายของประชากร(พ.ศ2510) (หน้า 111) |
|
|