|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การเมืองเชิงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ, การเปิดพื้นที่ทางสังคม, กลุ่มชาติพันธุ์, เขตภาคเหนือตอนบน |
Author |
ยศ สันตสมบัติ |
Title |
อำนาจ พื้นที่ และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ : การเมืองเชิงวัฒนธรรมของรัฐชาติในสังคมไทยภาคเหนือ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า, ม้ง, ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
141 |
Year |
2545 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
การศึกษาเกี่ยวกับการเมืองวัฒนธรรมว่าด้วยอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ การเปิดพื้นที่ทางสังคม การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายขอบของสังคม รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างรัฐชาติกับกลุ่มชนท้องถิ่น วิธีวิจัยมีลักษณะการศึกษาชาติพันธุ์วรรณนาแบบพหุสนาม โดยพื้นที่วิจัยเป็นพื้นที่ซึ่งปฏิบัติการและปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจมีการปรับเปลี่ยนและเลื่อนไหลอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ เป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของผู้คน สินค้า และวัฒนธรรมข้ามพรมแดนของรัฐชาติมาโดยตลอด ซึ่งแต่ละพื้นที่ศึกษาก็มีบริบทและเงื่อนไขแตกต่างกัน ทั้งพื้นที่ชายแดน เช่น เชียงของ เชียงแสน ท่าสองยาง แม่อาย-ฝางและปางมะผ้า และพื้นที่ที่มิใช่พื้นที่ชายแดน เช่น ไนท์บาร์ซาร์ และบ้านม้งดอยปุย เป็นต้น ผลการศึกษาพบว่า ชายแดนเป็นพื้นที่ของความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและอำนาจ อันเป็นผลมาจากการกระบวนการสร้างรัฐชาติเชิงเดี่ยวตามลัทธิชาตินิยมแบบเก่าของรัฐไทยที่แผ่ขยายอำนาจส่วนกลางมายังพื้นที่ชายแดนต้องประสบกับความท้าทายจากบริบทของพื้นที่ชายแดนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ดังนั้น อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์จึงมิได้มีรูปแบบแน่นอนตายตัว หากแต่เป็น “ยุทธวิธี” ในการนำเสนอตนเองที่เลื่อนไหลและปรับเปลี่ยนไปตามเงื่อนไข สถานการณ์และผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงไป อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ยังเป็นเรื่องของการเจรจาต่อรองและการต่อสู้ ด้วยการรื้อรั้วหรือขอบเขตทางชาติพันธุ์ ซึ่งตนเองสร้างไว้เพื่อแบ่งแยกหรือชนกลุ่มอื่น ๆ และรัฐล้อมไว้เพื่อกีดกันและการปรับเปลี่ยนจุดเผชิญหน้าระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ กระบวนการรื้อรั้วและสร้างใหม่อย่างต่อเนื่องดังกล่าวส่งผลทำให้โครงสร้างอำนาจในพื้นที่ชายแดนมีการก่อรูป ผลิตใหม่และนิยามความหมายในลักษณะที่เลื่อนไหลไปมาตามบริบทและเงื่อนไขของการเจรจาต่อรองที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา |
|
Focus |
เป็นการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการและปฏิสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ พื้นที่ และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเขตภาคเหนือตอนบน ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างพยายามสร้าง ขยาย และแย่งชิงพื้นที่ทางวัฒนธรรม และสร้างภาพเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงอัตลักษณ์และตัวตนในความสัมพันธ์กับชนกลุ่มอื่น ๆ และรัฐอย่างต่อเนื่อง |
|
Theoretical Issues |
งานวิจัยทางมานุษยวิทยาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในสังคมไทยแบ่งออกได้เป็น 3 แนว ได้แก่ แนวแรก เป็นการศึกษาวัฒนธรรมแบบเก่าในลักษณะที่หยุดนิ่งตายตัว โดยพยายามค้นหาลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนหนึ่ง ๆ แนวที่สอง เป็นแนวการศึกษาที่ได้รับอิทธิพลทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองและให้ความสนใจต่อกระบวนการโลกาภิวัฒน์และการปรับเปลี่ยนของชุมชน และแนวทางที่สามเป็นการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในบริบทของทุนนิยมยุคหลัง ซึ่งมีการอพยพหลั่งไหลของผู้คน สินค้า แรงงาน และวัฒนธรรมข้ามพรมแดนของรัฐชาติอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรมจึงมิได้มีลักษณะผูกติดกับพื้นที่อย่างแน่นอนตายตัว แต่มีลักษณะเลื่อนไหลอย่างต่อเนื่อง งานวิจัยแนวนี้จึงให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เลื่อนไหล และรูปแบบต่าง ๆ ของการต่อสู้ของคนชายขอบและผู้อ่อนแอในสังคม (น.5)
งานวิจัยนี้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับมิติทางสัญลักษณ์ในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐชาติกับชนกลุ่มต่าง ๆ ตามแนวชายแดน เพื่อช่วยให้สามารถมองเห็นลักษณะและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ใช้ในการนิยมความหมายของการเป็นสมาชิกของชุมชนทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับรัฐ และระดับนานาชาติ เพื่อให้เข้าใจการก่อร่างสร้างตัวตน อัตลักษณ์ การเปิดพื้นที่ทางสังคม การปรับตัว การขยาย ผนวกและการหดตัวของพรมแดนทางวัฒนธรรม โดยธรรมชาติแล้ว พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ซึ่งพรมแดนทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่มีลักษณะกำกวม และปรับเปลี่ยนไปตามการเลื่อนไหลไปมาและปฏิสัมพันธ์ของผู้คน การปรับเปลี่ยนและการใช้อัตลักษณ์ตามสถานการณ์และผลประโยชน์ที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วยให้เราเข้าใจผลกระทบของอำนาจรัฐที่มีต่อชีวิตประจำวันของผู้คน การมุ่งความสนใจไปที่ “ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ” ระหว่างรัฐกับผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ทำให้เรามองเห็นการช่วงชิงการนิยามความหมายและการตีความที่แตกต่างกันออกไปในสถานการณ์ต่าง ๆ อำนาจรัฐและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จัดวางตัวเองอย่างไรในบริบทของเวลาและพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป การศึกษาวัฒนธรรมตามแนวชายแดนในงานวิจัยนี้ จึงให้ความสำคัญกับพลวัตรของความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างพหุลักษณะของชุมชนท้องถิ่นกับเอกลักษณะของรัฐชาติ (น.29) |
|
Economy |
การขยายตัวอย่างรวดเร็วและเข้มข้นของการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน โดยเฉพาะในช่วงหลังปี พ.ศ.2530 ส่งผลทำให้การผลิตในภาคการเกษตรของเมืองเชียงแสนลดความสำคัญลง เพราะเมืองเชียงแสน
มีการเปิดตลาดทางการค้าและการท่องเที่ยวมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตามมา โดยกลุ่มชนที่อยู่บนสุดของความสัมพันธ์เชิงอำนาจและเคยเป็นผู้ผลิตในภาคเกษตร หันมาทำการค้าขายและเข้ายึดครองพื้นที่การค้า โดยผ่องถ่ายกิจกรรมทางภาคเกษตรให้กับกลุ่มชนบนที่สูงและผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ แต่ในกรณีของเมืองเชียงของ การผลิตในภาคเกษตรยังคงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่ดินยังคงอยู่ในมือของกลุ่มชนที่มีอำนาจสูง เช่น ชาวไทลื้อ ที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตข้าวโพด ส้ม และพืชพาณิชย์อื่น ๆ เพื่อป้อนสู่ตลาด (น.64)
การท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแหล่งรายได้ของชนชายขอบเพิ่มมากขึ้น แทนการประกอบอาชีพดั้งเดิม เช่น การเกษตร หรือการทำไร่แบบย้ายที่ที่ไม่อาจทำได้อีกต่อไป ภายใต้บริบทของการท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นทำให้เกิดการแข่งขันกันผลิตสินค้าทางวัฒนธรรมหรือสินค้าชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ต่างนำอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนมาเสนอผ่านตัวสินค้า รวมทั้งผลิตสินค้าในลักษณะผสมผสานหรือเป็นลูกผสมมากขึ้น จนยากที่จะจำแนกได้ว่าเป็นสินค้าของกลุ่มชาติพันธุ์ใด เพราะมีการผสมผสานสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนหลายกลุ่มอยู่ในสินค้าชิ้นเดียวกัน หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการลุกล้ำเข้าไปพรมแดนทางวัฒนธรรมของกลุ่มอื่น เพื่อฉกฉวยเอาสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมมาเป็นของตน เพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าชาติพันธุ์ นอกจากนี้ ในแง่หนึ่ง การแข่งขันกันผลิตสินค้าชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งผลทำให้ผู้หญิงที่มีความสามารถในการผลิตและขายสินค้าประเภทนี้มากกว่าผู้ชาย สามารถปรับเปลี่ยนบทบาทและสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของตนเอง โดยมีอำนาจต่อรองในครัวเรือนมากขึ้น (น.45 - 46) |
|
Social Organization |
แม้ว่าในช่วงสงครามเย็น ความเป็นชุมชนบนพื้นฐานของชาติพันธุ์อาจถูกลดทอนลงไปจากการสถาปนาพรมแดนของรัฐชาติที่ซ้อนทับลงบนความเป็นชาติพันธุ์ แต่ในช่วงหลังสงครามเย็นที่เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์และการขยายตัวทางการค้าข้ามแดน ทำให้ความเป็นชาติพันธุ์กลายมาเป็นพื้นฐานของการสร้างชุมชนข้ามถิ่น เช่น การติดต่อทางการค้าระหว่างพ่อค้าไทลื้อที่เชียงแสนกับญาติพี่น้องที่สิบสองปันนา หรือการเป็นชุมชนข้ามถิ่นที่เชื่อมโยงชาวไทลื้อในจีน กับลื้อลาวและลื้อไทย การขยายตัวทางการค้าทำให้ความเป็นชุมชนมิได้ยึดโยงอยู่แต่เฉพาะที่เชียงแสนหรือเชียงของ หากแต่ความเป็นชุมชนบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ กลายมาเป็นชุมชนข้ามถิ่นที่ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่และอาจมีพลังคัดง้างกับอำนาจรัฐชาติที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ ในยุคปัจจุบันที่มีการขยายตัวของการค้าตามแนวชายแดนเพิ่มขึ้น การต่อรองทางการค้าผ่านเครือข่ายทางชาติพันธุ์ยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนในท้องถิ่น เช่น การค้าวัวควายของชาวไทลื้อแถบบ้านวังลาวกับชาวไทลื้อที่สิบสองปันนา หรือเครือข่ายการค้าของชาวไทลื้อในเชียงของและฝั่งลาว (น.65)
กลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย - พม่า อ.ท่าสองยาง จ.ตาก มีการรวมกลุ่มทางสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการแต่งงานระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่ดำเนินมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงานระหว่างคนเมืองกับคนกะเหรี่ยงหรือการแต่งงานระหว่างคนกะเหรี่ยงด้วยกันข้ามชายแดน หรือการรวมกลุ่มกันผ่านเครือข่ายทางศาสนา ซึ่งชาวบ้านมักจะเดินทางข้ามพรมแดนรัฐชาติไปร่วมงานบุญอีกฝั่งเสมอ รวมทั้งการรวมกลุ่ม / สร้างเครือข่ายที่อยู่บนฐานของความสัมพันธ์แบบระบบอุปถัมถ์ ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากกรณีของเครือข่ายการค้าข้ามแดนของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสองฝั่งที่จะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังเช่นกรณีของการค้าไม้ วัวควาย และน้ำผึ้ง การรวมกลุ่มทางสังคมหลากหลายรูปแบบเหล่านี้ยิ่งส่งผลทำให้เกิดความแน่นแฟ้นของความสัมพันธ์ภายในและข้ามกลุ่มชาติพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
(น.90) |
|
Political Organization |
บริบทพื้นที่ชายแดนภาคเหนือเป็นสังคมแบบพหุลักษณ์ทางวัฒนธรรม ทว่ารัฐไทยกลับพยายามสร้างความเป็นรัฐชาติพันธุ์เชิงเดี่ยว โดยมุ่งหล่อหลอมความแตกต่างหลากหลายของชนชายแดนให้กลายเป็นความเป็นไทยเพียงหนึ่งเดียว ผ่านระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นการสร้างความจงรักภักดีต่อชาติในมุมมองที่คับแคบ ไปจนถึงยุทธวิธีของอำนาจและความรุนแรงเชิงโครงสร้างในรูปแบบต่าง ๆ ในวิถีปฏิบัติต่อพลเมือง ชนกลุ่มน้อย และกลุ่มชนต่าง ๆ ตามพื้นที่ชายแดน กระบวนการสร้างรัฐชาติพันธุ์เชิงเดี่ยวตามลัทธิชาตินิยมเก่าของรัฐไทย
ได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐ ( คนไทย ) กับคนอื่น ที่ถูกรัฐตีความว่าไม่ใช่คนไทย อันเป็นความขัดแย้งที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องไม่จบสิ้น นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (น.46)
อ้างถึง ขวัญชีวัน ( 2548, อ้างถึงใน น.46 ) ในงานศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ บริเวณชายแดนไทย - พม่า แถบอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก พบว่า รัฐชาติมีปฏิบัติการที่แตกต่างออกไปในแต่ละยุคสมัยในการควบคุมพื้นที่ชายแดน พหุชาติพันธุ์ที่ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมตามแนวชายแดนที่ดำเนินมานับร้อยปี ก่อนที่รัฐชาติไทยและพม่าจะได้รับการสถาปนาขึ้น กลับต้องกลายเป็นเหยื่อของการใช้อำนาจและความรุนแรงโดยรัฐ ทำให้กลุ่มชนชายแดนต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้เพราะไม่สามารถทนใช้ชีวิตภายใต้ความโหดร้ายทารุณของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า และกลายเป็นผู้พลัดถิ่น หรือเหยื่อของนโยบายรัฐที่เปลี่ยนแปลงตามผลประโยชน์ทางการค้าและการเมือง นอกจากนั้น พื้นที่ชายแดนยังเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจในระดับข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของสหประชาชาติ หรือการทำงานของสำนักข่าวต่าง ๆ ที่เข้าไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ รวมทั้งการไปเยี่ยมเยือนค่ายอพยพของผู้นำต่างประเทศ ในบริบทและเงื่อนไขเช่นนี้ รัฐจึงไม่สามารถสถาปนาอำนาจในพื้นที่ชายแดนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจในหลายระดับและมีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ในหลายลักษณะด้วยกัน (น.46) |
|
Belief System |
ชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่เชียงแสนที่มีการเฟื่องฟูอย่างรวดเร็วของการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ในแง่หนึ่งได้ส่งผลทำให้ความเป็นชุมชนท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยเฉพาะในด้านของความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมของคนในท้องถิ่น ซึ่งเริ่มแสดงออกอย่างชัดเจนในลัทธิพิธีและการนับถือครูบาสำคัญหลายรูปในพื้นที่ เช่น ครูบาบุญชุ่มและครูบาแสงหล้า เป็นต้น ความสัมพันธ์ในมิติทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่นในเมืองเชียงแสน ยังปรากฏผ่านพิธีกรรมและความเชื่อทางศาสนาอย่างชัดเจนมากขึ้น เช่น ชุมชนไทใหญ่บ้านสบรวกเริ่มฟื้นฟูประเพณีปอยส่างลอง และยังมีการจัดพิธีไหว้ผีเจ้าเมืองของหมู่บ้านเป็นประจำทุกปี โดยคนที่จะเข้าร่วมพิธีได้จะต้องเป็นคนในหมู่บ้านเท่านั้น การนิยามความหมายของ “ คนใน ” หมู่บ้าน หมายถึง คนที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ภายในหมู่บ้าน มิใช่คนที่อพยพเข้ามารับจ้างหรือมาทำงานและพำนักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน การจัดพิธีไหว้ผีเจ้าเมืองของชาวบ้านสบรวก ยังเป็นการหลอมรวมชาวบ้านในอีกหมู่บ้าน คือ บ้านวังลาว ซึ่งแยกตัวออกไปจากบ้านสบรวกแต่ยังคงนับถือผีเจ้าเมืองเดียวกัน หรือชาวอาข่าในละแวกใกล้เคียงก็ยังมาร่วมพิธีร่วมไหว้ผีเจ้าเมืองเช่นเดียวกัน โดยนัยเช่นนี้ พิธีไหว้ผีเจ้าเมือง จึงกลายมาเป็น “ สัญลักษณ์ ” ของความเป็นชุมชนท้องถิ่น หรือพรมแดนทางวัฒนธรรมที่แบ่งแยกระหว่างคนในกับคนนอกอย่างชัดเจน (น.43 - 44) |
|
Health and Medicine |
อ้างถึง ทวิช ( 2541 อ้างถึง น.18 - 19 ) ว่า ชาวลีซอตีความหมายเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยว่าเกิดจากภาวะต้องมลทินและการสูญเสียสถานภาพ เนื่องจากผีบรรพบุรุษอยู่ในภาวะเสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่สามารถให้ความคุ้มครองลูกหลานได้ ชาวลีซอจึงต้องใช้พิธีสาลาหลู่ หรือการสร้างศาลาในหมู่บ้านเป็นเครื่องหมายของการลบล้างมลทินที่เกิดจากการแปลกแยกจากชุมชน พิธีกรรมดังกล่าวยังเป็นเวทีสำหรับการขอขมาต่อผีบรรพบุรุษเพื่อให้กลับมาปกป้องลูกหลาน |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
บริบทของสงครามเย็น ความแตกต่างระหว่างรัฐไทยและลาวในเรื่องอุดมการณ์ชาตินิยม ระบอบเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งวาทกรรมการพัฒนา โดยที่รัฐทั้งสองต่างสถาปนาพรมแดนความเป็นรัฐชาติซ้อนทับบนพรมแดนทางชาติพันธุ์อย่างเข้มข้น หรือสถาปนาความเป็นไทยและความเป็นลาวซ้อนลงไปบนความเป็นชาติพันธุ์ตลอดระยะเวลาสิบห้าปี ทำให้ความเป็นไทลื้อและความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่อาศัยในพื้นที่ชายแดนมีความหลากหลายและแตกต่างกันระหว่างฝั่งไทยและฝั่งลาว โดยกลุ่มชาติพันธุ์ฝั่งลาวถูกปลูกฝังด้วยอุดมการณ์สังคมนิยมในลักษณะที่พยายามหลอมรวมผู้คนในสังคมเอาไว้ภายใต้แนวคิดชุดหนึ่ง ในขณะที่ผู้คนฝั่งไทยถูกหล่อหลอมด้วยอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อุดมการณ์ทุนนิยม และความทันสมัย (น.63)
ความเป็นชาติพันธุ์ที่พลัดถิ่นทำให้ชาวไทใหญ่ในภาคเหนือของไทยมิได้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากแต่มีการแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ทำให้เกิดการนิยามความเป็นชาติพันธุ์ที่แตกต่างหลากหลาย รวมทั้งมีความขัดแย้งกันจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่กระนั้น ชาวไทใหญ่ยังพยายามสร้างและผลิตซ้ำความเป็น “ ไทใหญ่ ” ผ่านสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประเพณี และพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อหลอมรวมความแตกต่างหลากหลายของประสบการณ์ในชีวิตประจำวันของคนไทใหญ่พลัดถิ่น รวมทั้งพยายามเชื่อมโยงตนเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยที่เป็น “ บ้านใหม่ ” ผ่านการสร้างอัตลักษณ์ร่วมระหว่างคนไทยและคนไทใหญ่ที่ต่างนับถือพระนเรศวรหรือที่ชาวไทใหญ่เรียกว่า “เจ้าขุนหอคำ” ในฐานะเป็นพระเจ้าแผ่นดินเช่นเดียวกัน (น.104) ความทรงจำเกี่ยวกับพระนเรศวรจึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่กองกำลังกู้ชาติไทใหญ่และแรงงานพลัดถิ่นชาวไทใหญ่ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย สร้างขึ้นเพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างไทใหญ่กับคนไทยว่าเป็นพี่น้องร่วมบรรพบุรุษที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมทั้งเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่ชาวไทใหญ่พลัดถิ่นด้วย (น.103 - 104)
“ ความเป็นชาติพันธุ์ ” ได้กลายเป็นจุดขายที่ชาวอาข่านำมาใช้สร้างอำนาจต่อรองที่เพิ่มขึ้นในตลาดการค้าและการท่องเที่ยวกลางเมืองเชียงใหม่ กล่าวคือ ความเป็นชาวอาข่าเป็นสิ่งที่ถูกชาวอาข่าสร้างขึ้นและเลือกใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกันตามแต่ละบริบทและเงื่อนไขที่เกิดขึ้น กรณีที่เห็นได้ชัด คือ เรื่องของภาษาและการแต่งกาย ซึ่งชาวอาข่าไนท์บาซาร์เริ่มมีการนิยามความหมายของตัวตน และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในลักษณะที่แตกต่างหลากหลายตามบริบท เงื่อนไข สถานการณ์ และคู่เจรจาที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การใช้ภาษาอาข่านินทากันภายในกลุ่ม ความเป็นอาข่าจึงถูกผลิตซ้ำผ่านภาษา หรือใช้ภาษาคำเมืองหรือภาษาเหนือทักทายนักท่องเที่ยวชายไทยเป็นประโยคแรก และเปลี่ยนไปพูดภาษาไทยกลางเพื่อเสนอขายสินค้า นอกจากนั้นยังฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อเจรจาต่อรองกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อแสดงตนในฐานะเป็นสมาชิกของชุมชนการท่องเที่ยวแบบข้ามชาติ เป็นต้น (น.41) |
|
Social Cultural and Identity Change |
วัฒนธรรมของชนกลุ่มต่าง ๆ ในเมืองใหญ่ของภาคเหนือมีลักษณะ deterritorialized หรือไม่ถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง หมายความว่า ความเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมกับพื้นที่ได้อ่อนกำลังลงไป กล่าวคือ วัฒนธรรมของชาวม้ง ลีซอ อาข่า มิได้ปรากฎเพียงแค่ในหมู่บ้านสูงอีกต่อไป แต่วัฒนธรรมถูกรื้อสร้าง เคลื่อนย้าย และแสดงในรูปของสินค้าและตัวตนของกลุ่มชนเหล่านี้ในบริบทเมือง กระบวนการหลุดออกไปจากพื้นที่อย่างตายตัวของวัฒนธรรมท้องถิ่นในบริบทของโลกาภิวัตน์ หมายความว่า วัฒนธรรมถูกพรากจากรากเหง้าเดิมและพื้นที่เดิม แต่ในกระบวนการที่วัฒนธรรมพลัดพรากจากพื้นที่เดิมนั้น ไม่ได้หมายความว่า วัฒนธรรมเหล่านั้นจะเลื่อนไหลไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ในทางตรงกันข้าม วัฒนธรรมที่ถูกขุดรากถอนโคนอาจหวนกลับมาสร้างพื้นที่ใหม่ (reterritorialized) และสร้างชุมชนใหม่ในเมือง (น.69) |
|
|