|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ความมั่นคงของชาติ, ความมั่นคงของมนุษย์, การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์, พื้นที่ชายแดนฝั่งตะวันออกของภาคเหนือตอนบน, บ้านฮวก, บ้านน้ำตวง |
Author |
ประสิทธิ์ ลีปรีชา |
Title |
ชาติพันธุ์สัมพันธ์กับความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนทางภาคเหนือของไทยและลาว |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, ไทยวน ยวน ยวนสีคิ้ว คนเมือง, อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, ม้ง, กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
225 |
Year |
2560 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับบริบททางประวัติศาสตร์ว่าด้วยความมั่นคงของชาติกับชาติพันธุ์สัมพันธ์บนพื้นที่ชายแดนภาคเหนือของไทยและลาวผ่านช่วงเวลาสำคัญ 4 ยุค คือ ยุคอาณานิคม ยุคสงครามเย็น ยุคเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า และยุคอิทธิพลของทุนจีนในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเน้นศึกษาผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติต่อความมั่นคงในชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ วิธีวิจัยที่ใช้ในการศึกษา การวิจัยเชิงเอกสารและการวิจัยภาคสนาม ผลการศึกษาพบว่า ประการแรก นับตั้งแต่ยุคสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน รัฐไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติที่เน้นเรื่องการรักษาอำนาจอธิปไตยของรัฐชาติเหนือความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของมนุษย์มากกว่า ประการที่สอง ภายใต้บริบทการรักษาความมั่นคงของชาติ ยิ่งรัฐแผ่ขยายอำนาจจากส่วนกลางมายังพื้นที่ชายแดนมากเท่าไหร่ ยิ่งสร้างความไม่มั่นคงในชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนมากเท่านั้น โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็นและยุคเปิดพรมแดนเพื่อการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านในปัจจุบันที่หน่วยงานทางด้านความมั่นคงมีอำนาจเหนือหน่วยงานด้านเศรษฐกิจและการปกครองในพื้นที่ชายแดน ประการที่สาม กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนพยายามปรับตัวต่อสภาพบริบทที่ยากลำบากด้วยการแสวงหาความมั่นคงในชีวิตด้วยตนเอง ด้วยวิธีการที่หลากหลายและเครือข่ายความสัมพันธ์ที่มีอยู่ ประการสุดท้าย การเปิดพื้นที่ชายแดนเพื่อการค้าข้ามชาติและภูมิภาคไม่ได้สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนหรือนายทุนท้องถิ่นรายย่อย แต่กลับให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่รัฐและนายทุนจากนอกพื้นที่ที่ซึ่งมีทุนและความสามารถในการเข้าถึงโอกาสมากกว่า |
|
Focus |
งานวิจัยนี้เน้นศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความมั่นคงของชาติกับความมั่นคงของมนุษย์ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์บริเวณพื้นที่ชายแดนภาคเหนือของไทยและลาว โดยเน้นศึกษาว่าความมั่นคงของชาติในพื้นที่ชายแดนที่ก่อตัวขึ้นตามบริบทในแต่ละยุคสมัยส่งผลต่อความมั่นคงในชีวิตและความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างไร รวมทั้งการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นต่อผลกระทบดังกล่าว |
|
Theoretical Issues |
งานศึกษาเรื่องพื้นที่ชายแดนและการข้ามแดนที่ผ่านมาเน้นศึกษาเกี่ยวกับประเด็นการค้า การท่องเที่ยว และอื่น ๆ มากกว่าประเด็นความมั่นคงของชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นคนชายขอบในพื้นที่ชายแดน (น.12) งานวิจัยนี้จึงต้องการศึกษาถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ของรัฐชาติและกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนทางภาคเหนือของไทยและลาวในนัยยะทางวิชาการที่มีมิติของความเป็นพื้นที่ชายแดน ( border area) ความมั่นคงของชาติ (national security) และความมั่นคงของมนุษย์ (human security) กล่าวคือ พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ที่ทับซ้อนบนความสัมพันธ์ในมิติทางชาติพันธุ์ ซึ่งมีปฏิบัติการทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมที่ทับซ้อนลงไปอย่างหลากหลาย ทว่าพื้นที่ชายแดนมักจะถูกกระทำจากการแผ่ขยายอำนาจส่วนกลางจากรัฐด้วยเหตุผลทางด้านการรักษาความมั่นคงของชาติ โดยรัฐต้องการพื้นที่ชายแดนที่มีสถานะเป็นรั้วของชาติจากภัยคุกคามทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ อันส่งผลกระทบต่อความไม่มั่นคงทางชีวิตของชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ชายแดนที่ด้อยอำนาจกว่าทั้งในทางการเมืองและวัฒนธรรมโดยเสมอมา แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันที่กระแสการขับเคลื่อนในทางสังคมทั้งในระดับท้องถิ่นและองค์กรระหว่างประเทศที่ต้องการให้รัฐหันมาให้ความสำคัญกับความมั่นคงในชีวิตของมนุษย์มากขึ้น และมีบทบาทในการเป็นผู้ประกันหลักทางความมั่นคงให้กับประชาชน (น.186) แต่ในกรณีของชายแดนทางภาคเหนือของไทยและลาวพบว่า แม้ในยุคปัจจุบันมีการเปิดชายแดน เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนมากขึ้น แต่บรรดาเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานของรัฐที่ประจำอยู่ในพื้นที่นั้น เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงยังมีอำนาจเหนือกว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและสังคม (น.43) ดังนั้น ยิ่งรัฐไทยยังคงให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติมากเท่าใด ยิ่งกระทบต่อความไม่มั่นคงในชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนชายขอบในพื้นที่ชายแดนมากเท่านั้น และแม้ว่ารัฐไทยจะให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากนโยบายการส่งเสริมการค้าชายแดน ทว่ารัฐไทยและนายทุนใหญ่นอกพื้นที่เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากความมั่นคงทางเศรษฐกิจนี้มากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นคนชายขอบ (น.12) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกระบุในพื้นที่ศึกษา ได้แก่ ชาวไทลื้อ ไทยวน ขมุ ม้ง เมี่ยน |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่าง เดือนกรกฎาคม 2560 ถึงสิงหาคม 2561 |
|
History of the Group and Community |
อ้างถึง Tambiah (1973) Stuart-Fox ( 1994 ) และแสวง มาละแซม ( 2544: 58 ) ว่า ก่อนการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 การเมืองการปกครองของพื้นที่ชายแดนไทย - ลาว ทางภาคเหนือ มีลักษณะที่เรียกว่า “ รัฐแสงเทียน ” ที่ขอบเขตของอาณาจักรต่าง ๆ เปรียบเป็นขอบเขตความสว่างของแสงเทียนที่แทนพระราชอำนาจของกษัตริย์แต่ละยุคสมัย ในยุครัฐแสงเทียน พื้นที่ภาคเหนือตอนบนของไทย คือ อาณาจักรล้านนา ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรล้านช้าง ( หลวงพระบาง ) โดยทั้งสองอาณาจักรต่างเป็นส่วนหนึ่งของเขตวัฒนธรรมชุมชนไทลื้อ - ยวน อีกทั้งมีสถานะเป็นประเทศราชของสยาม โดยสยามมองว่า ทั้งสองอาณาจักรมีความสำคัญในฐานะที่เป็นรัฐกันชน โดยล้านนาเป็นรัฐกันชนระหว่างสยามกับพม่า ส่วนล้านช้างเป็นรัฐกันชนระหว่างสยามกับลาว ( จิราภรณ์ สถาปนะวรรธนะ, 2523 ; มหาสิลา วีระวงส์, 2535 ; แกรนท์ อีแวนส์, 2549 และสรัสวดี อ๋องสกุล, 251 ) ในยุคดังกล่าว สยามไม่เคยแผ่ขยายอำนาจมาปกครองชนชายแดนในอาณาจักรเหล่านี้ที่ปกครองด้วยผู้นำที่เป็นชนพื้นเมือง และไม่เคยสถาปนาอำนาจรัฐเหนือเขตแดน กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จึงมีอิสระที่จะเดินทางโยกย้ายถิ่นฐานข้ามไปยังอาณาจักรใกล้เคียง ด้วยเหตุผลของความสัมพันธ์ทางเครือญาติ การแต่งงาน การถูกกวาดต้อนเป็นเชลยสงคราม การหนีภัยจากโรคระบาด และการแสวงหาโอกาสทำกินที่ดีกว่า (น.107)
ในยุคอาณานิคมที่รัฐไทยมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศอาณานิคมฝรั่งเศส ในช่วงทศวรรษที่ 430 จนถึงกลางทศวรรษ 2490 อันนำไปสู่การขีดเส้นพรมแดนรัฐชาติสมัยใหม่ระหว่างไทยกับลาว อันเป็นการตัดแบ่งพลเมืองทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ให้เป็นพลเมืองของรัฐ ด้วยแนวคิดเรื่องการเป็นคนในบังคับหรือคนสัญชาติไทยและลาว ( ฝรั่งเศส ) (น.96) ส่งผลทำให้สยามตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงของชาติและชายแดน รวมถึงความจำเป็นในการแผ่ขยายอำนาจรัฐจากส่วนกลางไปยังพื้นที่ชายแดน ทว่าสยามก็ยังไม่ได้สถาปนาอำนาจรัฐเหนือพรมแดนและชนชายแดนอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะประเด็นเรื่องความมั่นคงชายแดนเป็นปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับประเทศอาณานิคมฝรั่งเศสเท่านั้น ซึ่งสยามจะแผ่ขยายอำนาจเข้ามาในพื้นที่เฉพาะเมื่อมีข้อพิพาททางดินแดนกับฝรั่งเศสในแต่ละช่วงเท่านั้น หรือกรณีพิพาทที่มีการเคลื่อนย้ายแรงงานชาวขมุที่เป็นคนในบังคับของฝรั่งเศสเข้ามาเป็นแรงงานในสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือ สภาพบริบทดังกล่าวทำให้ปฏิสัมพันธ์ข้ามพรมแดนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ยังคงดำรงต่อไปได้ดังเช่นในยุครัฐแสงเทียน (น.58)
ในยุคสงครามเย็นที่รัฐไทยต้องเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งของมหาอำนาจต่างอุดมการณ์ การดำเนินนโยบายของรัฐไทยในพื้นที่ชายแดนจึงมุ่งเน้นการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้รอดพ้นจากภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ พื้นที่ชายแดนจึงกลายเป็นประเด็นความมั่นคงทั้งในแง่ของยุทธศาสตร์การทหาร ยุทธศาสตร์ทางการเมือง โดยรัฐไทยพยายามสถาปนาอำนาจเหนือพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มข้น เพื่อเฝ้าระวังป้องกันภัยคุกคามจากต่างประเทศ เครือข่ายความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ข้ามชาติจึงถูกเฝ้าระวังเป็นพิเศษและพยายามตัดขาดโดยรัฐบาล (น.107) ด้วยเหตุนี้ รัฐไทยจึงมีมุมมองต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐชาติและยังขาดคุณสมบัติความคนเป็นไทยที่จงรักภักดีต่อชาติ จึงยังไม่สมควรได้รับสัญชาติไทย ( ขจัดภัย บุรุษพัฒน์, 2517; 2518ก; 2518ข; 2521; 2526; 2540) จากมุมมองดังกล่าวของรัฐจึงนำไปสู่การจัดตั้งหน่วยงานความมั่นคงของรัฐและกลไกรัฐในพื้นที่เพื่อควบคุมทั้งพื้นที่และการเคลื่อนย้ายของผู้คนในพื้นที่ชายแดน ทั้งกลุ่มที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนและกลุ่มที่ข้ามแดน ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายความมั่นคงควบคู่ไปกับนโยบายพัฒนาพื้นที่ชนบท เพื่อสร้างมวลชนในพื้นที่ชายแดนที่มีความจงรักภักดีต่อรัฐชาติและต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยมีแนวคิดราชาชาตินิยมเป็นแกนกลางของนโยบายนี้ ( ผาสุก พงษ์ไพจิตร และคริส เบเคอร์, 2557 : น.243 - 351 )
เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงจนกระทั่งเข้าสู่ยุคการดำเนินนโยบายเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้าและยุคการส่งเสริมการค้าและความร่วมมือในการพัฒนาในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ตอนบน แม้ว่ารัฐไทยจะให้ความสำคัญกับความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเปิดชายแดนเพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสองฝั่ง แต่ในทางปฏิบัติรัฐไทยก็ยังคงมุ่งเน้นการสถาปนาอำนาจรัฐส่วนกลางในพื้นที่ชายแดนอย่างเข้มข้น ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานด้านเศรษฐกิจผสมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อควบคุมผู้คนและสินค้าข้ามแดน (น.207) สำหรับชาติพันธุ์สัมพันธ์ข้ามชาติและมิติต่าง ๆ ของความสัมพันธ์ในพื้นที่ชายแดนได้รับการเปิดกว้างมากขึ้น แม้ว่าในบางพื้นที่และบางกลุ่มชาติพันธุ์จะยังคงอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ (น.107) |
|
Settlement Pattern |
นับตั้งแต่ในยุคก่อนรัฐชาติสมัยใหม่ พื้นที่ชายแดนไทย - ลาว ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดพะเยาและน่านเป็นพื้นที่ที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่มายาวนาน ดังกรณีของกลุ่มไทลื้อที่ตั้งชุมชนอยู่ในแอ่งพื้นที่ราบตามลุ่มน้ำสายสำคัญกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่ตั้งชุมชนอยู่บนพื้นที่สูงหรือบนภูเขาและอาศัยอยู่ปะปนกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ (น.107) |
|
Economy |
การค้าข้ามแดนเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ศึกษามาตั้งแต่ยุคอาณาจักรหรือรัฐแสงเทียนที่มีการค้าขายแบบ “ คาราวานม้าต่าง ” กับ “ พ่อค้าวัวต่าง” ( หรือนายฮ้อย ) ต่อมาในยุคสงครามเย็นที่พรมแดนถูกปิดตาย แต่ชนชายแดนบางส่วนในบางพื้นที่ก็พยายามดำเนินชีวิตเฉกเช่นในยุคก่อนที่มีการค้าข้ามแดนผ่านเครือข่ายเครือญาติ / กลุ่มชาติพันธุ์ หรือพยายามปรับตัวให้สามารถดำรงชีพได้ท่ามกลางสภาวะสงครามด้วยการลักลอบติดต่อค้าขายข้ามแดน ในลักษณะที่เรียกว่า “ กองทัพมด ” โดยอาศัยความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมเป็นฐานในการติดต่อค้าขายข้ามรัฐ จนกระทั่งเมื่อสิ้นสุดสงครามเย็น พื้นที่ชายแดนภาคเหนือระหว่างไทยกับลาวกลายเป็นพื้นที่ทางการค้าและการลงทุน การค้าชายแดนจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยรัฐเข้ามาจัดการตั้งแต่สร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน จัดตั้งหน่วยงาน และส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางมากำกับดูแล อำนวยความสะดวก รวมทั้งตรวจตราเก็บภาษี สินค้า และผู้คนข้ามแดน (น.140)
การที่พื้นที่ชายแดนในภาคเหนือบางส่วนถูกแปรสภาพเป็นจุดผ่อนปรนทางการค้าและด่านชายแดนถาวร เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยกับลาว ตามนโยบายส่งเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาตินั้น ในแง่หนึ่งได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงที่น่าสนใจว่า การเปิดพื้นที่ทางการค้าและการลงทุนดังกล่าวเปิดโอกาสให้กลุ่มชนชายแดนในพื้นที่ซึ่งเป็นกลุ่มที่ด้อยกว่าในเชิงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาในพื้นที่หรือได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาดังกล่าวหรือไม่ โดยกรณีของจุดผ่อนปรนชายแดนไทย - ลาว ที่บ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวนและไทยลื้อ ตลาดชายแดน ณ จุดผ่อนปรนดังกล่าวเริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2530 โดยจัดขึ้นเดือนละสองครั้ง ประชาชนทั้งฝั่งไทยและลาวต่างเดินทางมาเยี่ยมเยือนเครือญาติ ค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า และท่องเที่ยวเมืองชายแดนพ่อค้าแม่ค้าฝั่งไทยมักนำเครื่องอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันไปขาย ขณะที่คนจากฝั่งลาวมักขายผ้าทอและผลผลิตจากป่า หรือสินค้าการเกษตรที่ฝั่งไทยหายาก พื้นที่ของตลาดยังมีพื้นที่ที่ขายสินค้าของชาวม้งอีกด้วย โดยกิจกรรมการค้าที่คึกคักในตลาดชายแดนแห่งนี้ ทำให้ชาวบ้านฮวกบางส่วนหันไปประกอบอาชีพพ่อค้า แม่ค้า หรือประกอบอาชีพรับจ้างขนส่งคนจากด่านบ้านฮวกไปยังตลาดเชียงคำหรือเมืองพะเยา อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 2540 เป็นต้นมา การจัดตั้งกลไกของหน่วยงานรัฐในพื้นที่เพื่อควบคุมกฎระเบียบพิธีการเกี่ยวกับการเดินทางและการค้าข้ามแดน พร้อมกับการเข้ามาของนายทุนรายใหญ่นอกพื้นที่ที่เข้ามาค้าชายแดน รวมถึงการที่ฝั่งลาวมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลทำให้เศรษฐกิจของชุมชนบ้านฮวกซบเซาลง และยิ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความไร้เสถียรภาพทางการเมืองของไทยที่เปลี่ยนรัฐบาลและนโยบายบ่อยครั้ง จนกระทั่งการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลทหารตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชาติมากขึ้น อันส่งผลทำให้การค้าและการเดินทางข้ามแดนในพื้นที่บ้านฮวกลดลงมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน (น.205) สำหรับกรณีของบ้านน้ำตวงและพื้นที่ใกล้เคียงใน อ. แม่ริม จ.น่าน พื้นที่ชายแดนในบริเวณนี้ยังคงถูกปิดตายจนถึงปัจจุบัน โดยเจ้าหน้าที่รัฐฝั่งลาวไม่ตอบรับกับข้อเสนอของฝั่งไทยในการเปิดจุดผ่อนปรนชายแดนในพื้นที่ อันเป็นผลมาจากผลพวงจากความขัดแย้งในยุคสงครามเย็นที่รัฐไทยใช้กลุ่ม “ ชาวม้งช่วยรบ ”เข้าไปทำงานเคลื่อนไหวตามบริเวณชายแดนเพื่อต่อต้านรัฐบาลลาวคอมมิวนิสต์ ( น.206 ) |
|
Social Organization |
ตั้งแต่ในยุครัฐแสงเทียนหรือรัฐบรรณาการ กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในเมืองต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ กันมาช้านาน มีการสร้างเครือข่ายทางสังคมและการเมืองจากระบบเครือญาติในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน อันก่อให้เกิดความสัมพันธ์แบบบ้านพี่เมืองน้อง และเกิดศูนย์กลางของกลุ่มเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ ได้แก่ กลุ่มเมืองสิบสองปันนา กลุ่มเมืองล้านช้าง กลุ่มเมืองล้านนา รวมถึงกลุ่มเมืองเชียงตุง จนกลายเป็นอาณาบริเวณที่เรียกว่า “เขตวัฒนธรรมไทลื้อ - ไทยวน ขึ้น” (แสวง มาละแซม, 2544, น. 1 – 2 และณกานต์ อนกุลวรรธกะ, 2556, อ้างถึงใน น.89)
สำหรับประเด็นการสร้างเครือข่ายทางชาติพันธุ์เพื่อสนับสนุนการค้าข้ามชายแดนนั้น อ้างถึง วาสนา ละอองปลิว ( 2551 ) และโสภิดา วีรกุลเทวัญ ( 2551 ) ว่า ในช่วงต้นของการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ของสยามจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นที่บริเวณชายแดนอย่างเมืองเชียงแสนกับเมืองเชียงของเกิดการหลั่งไหลของผู้คนในเขตวัฒนธรรมไทลื้อ - ไทยวน ดังเช่น ไทลื้อ ไทยวน ไทใหญ่ รวมทั้งกลุ่มจีนฮ่อ จีนกวางตุ้ง จีนไหหลำ จีนแต้จิ๋ว และขมุ ที่อพยพเข้ามาเมืองชายแดนทั้งสองเป็นจำนวนมาก แม้ว่าในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่รัฐชาติเริ่มจะสถาปนาอาณาเขตพรมแดนที่ชัดเจนและขยายอำนาจจากส่วนกลางโดยจัดตั้งกลไกรัฐและกฎระเบียบต่าง ๆ มาควบคุมผู้คนในพื้นที่ชายแดนมากขึ้น แต่ชนชายแดนเหล่านี้ก็ยังคงพึ่งพิงเครือข่ายทางชาติพันธุ์ในการดำเนินกิจกรรมการค้าข้ามแดนต่อไป ดังเช่น เส้นทางจากหลวงน้ำทาไปเมืองน่าน มีพ่อค้าและวัวต่างชาวจีนฮ่อและไทลื้อจากสิบสองปันนา เดินทางผ่านเมืองลาในประเทศจีน บ่อเต็น หลวงน้ำทา ข้ามห้วยทรายในลาว มาเมืองเชียงของ โดยนำสินค้าจำพวกผ้าไหม ฝิ่น หนังสัตว์ ของใช้อื่น ๆ มาขาย ขากลับได้ซื้อฝ้ายจากชาวขมุและเมี่ยนกลับไปขายตามรายทางกลับชุมชน
ปฏิสัมพันธ์การค้าข้ามชายแดนผ่านเครือข่ายทางชาติพันธุ์ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในช่วงสงครามเย็น ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่พรมแดนไทย – ลาว ถูกปิดลง แต่พื้นที่ชายแดนบริเวณเมืองเชียงของได้เกิดการค้าในลักษณะ “ กองทัพมด ” โดยกลุ่มชาติพันธุ์ฝั่งไทยอาศัยเครือข่ายการค้าที่มีอยู่เดิมลักลอบนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นที่ต้องการของชาวลาวนำไปขายยังฝั่งลาว ทำให้เมื่อเข้าสู่ยุคเปิดการค้าชายแดนในช่วงหลังสงครามเย็น บริเวณเมืองเชียงของ โดยเฉพาะจุดข้ามแดน “ ท่าเรือบั๊ค ” จึงเนืองแน่นไปด้วยกิจกรรมการค้าข้ามแดนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในไทย ลาว จีน พม่า ที่ยังคงรักษาปฏิสัมพันธ์ทางการค้าต่อกันผ่านเครือข่ายทางชาติพันธุ์ (น.141)
อ้างถึงพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ( 2554 ) และ ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ ( 2558 ) ว่า การสร้างเครือข่ายที่รวมตัวกันในลักษณะเป็นชุมชนของกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นในภาคเหนือที่ถูกกระทำโดยรัฐไทยในบริบทสงครามเย็น โดยชนกลุ่มน้อยและผู้ลี้ภัยสงครามจากประเทศลาวที่เข้ามาอาศัยอยู่ตามบริเวณชายแดนภาคเหนือถูกรัฐไทยกำกับให้ทำงานให้กับฝ่ายความมั่นคง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ แต่รัฐไทยกลับไม่ให้ความมั่นคงในชีวิตต่อกลุ่มชนเหล่านี้เป็นการตอบแทน ส่งผลทำให้ชนกลุ่มนี้กลายเป็น “พลเมืองครึ่งเสี้ยว” ที่ไม่ใช่ทั้งคนไทยและคนลาว จึงขาดทั้งสิทธิและสวัสดิการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อันนำไปสู่การรวมตัวกันเป็นเครือข่ายเพื่อเรียกร้องความมั่นคงให้กับชีวิตตนเองและปรารถนาที่จะเป็นพลเมืองไทยเต็มตัว ดังเช่นกรณีของกลุ่มคนไทลื้อและไทยวนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองเชียงคำ – ภูซาง ตั้งแต่สมัยสงครามเย็น และปัจจุบันยังประสบปัญหาสิทธิพลเมืองจึงรวมกลุ่มในนาม “ไทยพลัดถิ่นภาคเหนือ” ในปี 2555 ด้วยการสนับสนุนจากองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรสิทธิชุมชน จ.พะเยา ด้วยกลุ่มไทยพลัดถิ่นใช้กระบวนการที่เรียกว่า “ความเป็นพลเมืองทางสังคมและวัฒนธรรม ” เป็นแนวทางการขับเคลื่อน เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติสัญชาติ ฉบับที่ 5 พ.ศ.2555 บทที่ว่าด้วย “ คนไทยพลัดถิ่น ” ซึ่งมีใจความสำคัญในการพิจารณาให้สัญชาติกลุ่มคนเชื้อสายไทยที่ต้องกลายเป็นคนในบังคับของประเทศอื่น โดยเหตุอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยในอดีต แนวทางหลักในการขับเคลื่อนของกลุ่มจึงประกอบด้วยการเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่อสังคมในระดับต่าง ๆ เพื่อแสดงให้รัฐไทยและสังคมไทยยอมรับในวงกว้างว่า กลุ่มของตนสามารถเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมไทยได้ รวมทั้งแสดงความเกาะเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยด้วยการอธิบายว่า พวกตนเป็นคนไทยเพราะถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่ที่เมืองคอบ - เชียงฮ่อน อันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ซึ่งเคยเป็นดินแดนของไทยถึง 2 ครั้ง ก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส นอกจากนี้ กลุ่มคนไทยพลัดถิ่นยังอ้างอิง “ ประวัติศาสตร์ชาตินิพนธ์ ” ของกลุ่มคนไทลื้อ - ไทยวน เมืองคอบ - เชียงฮ่อน ที่สามารถเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของกลุ่มคนไทลื้อ - ไทยวน เมืองเชียงคำและเมืองน่านได้ โดยใช้ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานและวัฒนธรรมการนับถือผีของผู้คนในเขตวัฒนธรรมไทลื้อ - ไทยวน เป็นจุดเชื่อมโยง |
|
Political Organization |
บ้านฮวกกับบ้านน้ำตวง เป็น “พื้นที่สีแดง” ในยุคสงครามเย็น เป็นส่วนหนึ่งของเขตปลดปล่อยของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐไทยพยายามแผ่ขยายกลไกของรัฐต่าง ๆ เข้าไปในพื้นที่ โดยเฉพาะ ก.อ.ร.ม.น. หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงของรัฐไทยที่เข้าไปทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์บริเวณชายแดนที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยสงครามจากประเทศลาวและเป็นฝ่ายขบวนการต่อต้านประเทศลาว โดยรัฐไทยใช้ให้ทหารเหล่านี้ทำงานเคลื่อนไหวตามบริเวณชายแดนเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้ กรณีของบ้านฮวกไม่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบโดยตรง แต่สำหรับกรณีของบ้านน้ำตวงที่เป็นหมู่บ้านชาวม้งนั้น ชาวม้งในชุมชนนี้มีสถานะเป็นทั้งเครื่องมือในการทำสงครามต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ของรัฐไทยและเป็นทั้งภัยคุกคามความมั่นคงของรัฐไทย เนื่องด้วยหมู่บ้านนี้เป็นทั้งที่ตั้งของกลุ่มทหารม้งช่วยรบหรือกลุ่มม้งกู้ชาติที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงของไทย แต่ในขณะเดียวกัน ชาวม้งที่เป็นคนในท้องถิ่นดั้งเดิมบางส่วนเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( พคท. ) หมู่บ้านนี้จึงมักจะถูกโจมตีอย่างหนักจากฝ่ายลาวที่ระดมทหารเข้ามายังพื้นที่เพื่อทำลายล้างกองกำลังของกลุ่มม้งกู้ชาติ อันส่งผลทำให้ทหารม้งกู้ชาติฝั่งไทยและคนในครอบครัวเป็นจำนวนมากต้องเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากการได้รับสารเคมีที่ฝ่ายตรงข้ามโปรยลงในพื้นที่ ประกอบกับนโยบายความมั่นคงของรัฐไทยที่เปลี่ยนไปในช่วงหลังสงครามเย็น ซึ่งหันไปกระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลลาว จึงยุติการสนับสนุนกลุ่มม้งกู้ชาติและหน่วยงานทหารไทยได้ดำเนินการปลดอาวุธให้ทหารม้งกู้ชาติออกจากพื้นที่ดังกล่าวในปี 2535 ในส่วนของชาวม้งของบ้านน้ำตวงที่เคยเข้าร่วม พ.ค.ท. ได้มอบตัวเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยตั้งแต่ปี 2526 และได้รับความเห็นชอบจากทางทหารและฝ่ายความมั่นคงของไทยให้กลับไปตั้งหมู่บ้านในพื้นที่เดิมของตนได้ (น. 132)
แม้หลังยุคสงครามเย็น รัฐไทยจะหันมาดำเนินนโยบายการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ด้วยการเปิดพื้นที่ชายแดนเพื่อทำสงครามกับฝ่ายตรงข้าม แต่สำหรับชาวม้งบ้านน้ำตวง ซึ่งรวมถึงนักรบม้งกู้ชาติที่เคยรับใช้รัฐไทย นอกจากจะไม่ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการค้าชายแดนแล้ว พวกเขายังคงอยู่กับความทรงจำและบาดแผลของความขัดแย้งในยุคสงครามเย็น อีกทั้งยังคงประสบกับความไม่มั่นคงทางชีวิต เพราะอาจถูกอุ้มหายหรือเสียชีวิตจากการเข้าไปใกล้เขตแดนฝั่งลาว ทั้งจากการถูกจับกุมหรือสังหารจากทหารฝั่งลาวที่ยังคงรู้สึกเป็นปรปักษ์กับชาวม้งในหมู่บ้าน หรือจากการหยียบกับระเบิดตามบริเวณเขตแดน (น.132 - 133) |
|
Belief System |
กลุ่มชาวไทลื้อที่อพยพข้ามแดนมาจากเมืองคอบและเชียงฮ่อน (แขวงไซยะบูลีในประเทศลาว) ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านสบแวน ใน อ.เชียงคำ จ.พะเยา ยังคงสืบสานการนับถือ “ ผีเจ้าหลวงเมืองล้า ” ที่เป็นอารักษ์ประจำชุมชน และมีผู้นำทางพิธีกรรมไหว้อารักษ์ประจำหมู่บ้านเช่นเดียวกับเครือญาติในฝั่งเมืองคอบ อีกทั้งยังคงข้ามพรมแดนรัฐชาติเพื่อเข้าร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวในฝั่งเมืองคอบ ทั้งนี้ พิธีกรรมเลี้ยงผีที่เมืองคอบมีความคล้ายกับพิธีของไทลื้อที่เมืองน่าน กล่าวคือ มีการฟ้อนรำ 3 รอบ จากนั้นจึงลงมือฆ่าควายในพิธีเลย เพื่อเซ่นไหว้ผี และหลังจากนั้นมักจะไม่ค่อยจัดการละเล่นใด ๆ ในงาน อย่างไรก็ตาม เมื่อประเทศลาวเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ ทางการลาวได้ทุบ “ตูบผี ” จนหมด เหลือแต่วัด ชาวไทลื้อเมืองคอบจึงไม่สามารถจัดพิธีเลี้ยงผีเจ้าหลวงเมืองล้าได้อีก และต้องเดินทางข้ามพรมแดนมาเข้าร่วมพิธีธรรมดังกล่าวที่จัดขึ้นในฝั่งบ้านแวนแทน แต่กระนั้น พิธีเลี้ยงผีที่จัดขึ้นที่บ้านแวนก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากพิธีที่บ้านคอบในแง่ของการจัดการละเล่นสังสรรค์เป็นเวลาถึง 3 วัน 3 คืน ภายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีเลี้ยงผี (น. 95 - 96)
อ้างถึง ประสิทธิ์ ลีปรีชา และคณะ ( 2558 , อ้างถึงใน น.136 – 137 ) ว่า ผู้คนในเขตวัฒนธรรมไทลื้อ - ไทยวนเดิม ซึ่งอาศัยอยู่ใน 3 เมืองสำคัญ ได้แก่ เมืองคอบ เมืองเชียงคำ และเมืองน่าน ล้วนมีอัตลักษณ์ทางความเชื่อร่วมกันในเรื่องการนับถือผีที่สำคัญทั้ง 3 องค์ คือ ผีเจ้าหลวงเมืองล้า ผีท้าวขาก่าน และผีพญาคำแดง (พิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในตารางแสดงการเลี้ยงผีของเมืองและกลุ่มคนในเขตเมืองน่าน (ล้านนาตะวันออก), น.136) ทั้งนี้ การนับถือผีอาจเกิดจากปัจจัยของช่วงเวลาการอพยพ ความทรงจำของกลุ่ม และการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ในบริบทที่แตกต่างกันไป ส่งผลทำให้แม้ว่าในระดับระหว่างเมืองทั้งสาม คนไทลื้อและไทยวนอาจนับถือผีเหมือนกัน แต่ในระดับตามบ้านต่าง ๆ ในพื้นที่เดียวกันเองก็อาจจะนับถือผีต่างกัน |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในยุคสงครามเย็นที่รัฐเน้นนโยบายชาตินิยมด้วยการผสมกลมกลืนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้กลายเป็น “ไทย” กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐมองว่า “ไม่ใช่ไทย” และอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐไทย จึงต้องพยายามปรับตัวด้วยการปกปิดอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนเองแล้วปรับให้มีความเป็นไทยให้มากที่สุด (น.105) |
|
Critic Issues |
เมื่อพิจารณาถึงการดำเนินนโยบายของรัฐไทยในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ นับตั้งแต่ยุคอาณานิคมจนกระทั่งถึงยุคหลังสงครามเย็นที่รัฐไทยเปลี่ยนแนวทางจากการเน้นความมั่นคงทางทหารเพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยเหนือเขตแดนและผู้คน มาเป็นการเน้นความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติมากยิ่งขึ้นนั้น พบว่า ภารกิจหลักของรัฐยังคงเป็นการกำกับ ควบคุม และเบียดขับชนชายแดน เพื่อมุ่งเน้นสถาปนาอำนาจรัฐชาติบริเวณชายแดนอย่างเข้มข้น ผ่านการจัดตั้งหน่วยงานด้านเศรษฐกิจผสมกับหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อควบคุมผู้คนและสินค้าข้ามแดน อันส่งผลทำให้พรมแดนรัฐชาติยิ่งคมชัดขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าในมุมของชนชายแดนในพื้นที่ที่แม้ว่าจะประสบกับความไม่มั่นคงในชีวิต อันเนื่องมาจากนโยบายรักษาความมั่นคงของรัฐชาติ กระนั้น อำนาจรัฐก็ยังไม่สามารถควบคุมการดำรงชีวิตของกลุ่มคนเหล่านี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ อันเนื่องมาจากข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น ปัจจัยทางการเมืองระดับโลก ปัจจัยเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ปัจจัยทุนข้ามชาติ รวมทั้งปัจจัยภายในหน่วยงานรัฐเอง ดังนั้น กลุ่มชนชายแดนจึงพอมีช่องทางในการรักษาหรือปรับเปลี่ยนพรมแดนทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยยุครัฐแสงเทียน ให้สามารถเอื้อประโยชน์ต่อการดำรงชีพอย่างมั่นคงในพื้นที่ชายแดนของตนได้ ด้วยเหตุนี้ ความไม่ลงรอยกันระหว่างพรมแดนรัฐชาติกับพรมแดนทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม จึงนำไปสู่ข้อสังเกตว่า ความมั่นคงของรัฐชาติ อาจเกิดขึ้นบนความไม่มั่นคงของชนชายแดน (น.78 – 79) |
|
Map/Illustration |
แผนที่
- เขตแขวงไซยะบูลี ( ฝั่งขวาของหลวงพระบาง ) ที่สยามเสียให้กับฝรั่งเศส เมื่อปี 2447 (น.49)
- อำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดล้านช้าง (น.52)
- ฐานที่มั่นของ พคท. ในจังหวัดน่าน ระหว่างปี 2511 – 2525 (น.62)
- พื้นที่ชายแดนบ้านฮวกและพื้นที่เชื่อมโยงบนแผนที่จังหวัดพะเยา (น.80)
- เขตวัฒนธรรมไทลื้อ - ไทยวน (น.90)
- เส้นทางการอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ลื้อโดยสังเขป (น.93)
ภาพประกอบ
- ปกหนังสือหมาป่าฝรั่งเศสกับแกะสยาม โดย Patrick Truck (น.48)
- หมายตั้งนายยง วงจร เป็นผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ตำบลหนองอ้น อำเภอสะมาบุรี จังหวัดล้านช้าง ปี 2487 (น.51)
- การชักลากซุงไม้สักในจังหวัดลำปาง (น.55)
- แรงงานชาวขมุ ( ชุดดำ ) และกะเหรี่ยงที่เป็นแรงงานทำไม้ในเมืองเชียงใหม่ (น.57)
- บ้านน้ำตวง ตำบลน้ำพาง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน (น.85)
- กลุ่มผู้นำทางวัฒนธรรมลื้อเชียงคำไปเยี่ยมเยือนเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนา (น.104)
- ชาวไทลื้อและไทยวน ( ผู้อพยพเข้ามายังรัฐไทย ) ที่เข้าร่วมกับขบวนการต่อต้านลาว (น.112)
- ชายฉกรรจ์ชาวม้งเข้ารับการฝึกที่กองพันทหารม้าที่ 15 จังหวัดน่าน (น.122)
- กองกำลังม้งช่วยรบเดินเท้าเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน (น.124)
- แกนนำกลุ่มทหารม้งช่วยรบชักชวนให้แกนนำกองกำลังคอมมิวนิสต์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในจังหวัดน่านเข้ามอบตัวเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (น.130)
- ตลาดบ้านฮวก สองข้างทางของถนนใหญ่ (น.143)
- ตลาดบ้านฮวก ในซอยเล็ก (น.144)
- ด่านบ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา (น.144)
- อินโฟกราฟฟิกแสดงข้อดีของด่านชายแดนภาวร (น.156)
- อินโฟกราฟฟิดแสดงข้อเสียของด่านชายแดนภาวร (น.157) |
|
|