|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เอกสารราชการ, บัตรประจำตัว, ความเป็นพลเมือง, แรงงานอพยพ, การเคลื่อนย้าย |
Author |
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี |
Title |
การปกครองโดยเอกสาร: บัตรประจำตัวกับการเมืองว่าด้วยการควบคุมชนผู้มิใช่พลเมืองและแรงงานข้ามชาติ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
132 |
Year |
2559 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาการประกอบสร้างความเป็นพลเมืองและชนผู้มิใช่พลเมืองในไทย อันเป็นกระบวนการที่เปลี่ยนไปมาและขัดกัน ผ่านกลไกระบบบัตรประจำตัวของรัฐ โครงการวิจัยสืบสาววงศาวิทยาของการจารึกอัตลักษณ์ของประชาชนโดยรัฐในยุคต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ และผลที่เกิดขึ้นต่อการสร้างความเป็นพลเมืองที่แตกต่างกัน งานวิจัยเสนอว่า ตรรกะในการปกครองประชากรผ่านเอกสารผันแปรไปมาระหว่างความต้องการแรงงานกับความปรารถนาในการสร้างความมั่นคงแห่งชาติในยุคสงครามเย็น การใช้เอกสารราชการในการบันทึกอัตลักษณ์ประชากร รับใช้การสร้างพรมแดนทางการเมืองเพื่อแยกผู้ที่เป็นไทยออกจากชนอื่นที่มิใช่ไทย ในทางตรงกันข้าม ในยุคเสรีนิยมใหม่ บัตรประจำตัวกลับทำหน้าที่ในการควบคุมกำกับผู้อพยพข้ามพรมแดนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมชายแดนที่เติบโตขึ้นตลอดเวลา แทนที่จะสร้างความเป็นระเบียบให้กับชายแดน ระบอบเอกสารอันยุ่งเหยิงที่ถูกผลิตขึ้น ถูกจ่ายแจก ถูกนำมาใช้และฉวยใช้ กลับก่อให้เกิดพรมแดนเชิงตัวบทที่สับสน ความไร้ระเบียบของระบบ บัตรประจำตัวยังได้เปิดช่องให้เศรษฐกิจไม่เป็นทางการของการรีดไถ ส่วย สินบน และระบบนายหน้าได้เฟื่องฟูขึ้นอีก ด้วยการพยายามทำความเข้าใจต่อระบบบัตรประจำตัวอันอลหม่านและการต่อรองเพื่อการเลื่อนไหลของช่องทางไหลเวียนของเอกสารจึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับความอยู่รอดและการเลื่อนชั้นสถานะของแรงงานข้ามชาติในชายแดนของไทย |
|
Focus |
งานวิจัยนี้มุ่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจของรัฐราชการและวัฒนธรรมเอกสารในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมประชากร และกลุ่มชน ผู้มิใช่พลเมือง ผ่านการวิเคราะห์การใช้บัตรประจำตัว และเอกสารระบุตัวตนประเภทต่าง ๆ ที่มีนับตั้งแต่รัฐในยุคจารีต จวบจนปัจจุบัน |
|
Theoretical Issues |
“เอกสาร” เป็นองค์ประกอบสำคัญในการประกอบสร้างความเป็นราชการ และวัฒนธรรมราชการมาเป็นเวลานาน ความสำคัญของการเขียน (Writing) ในฐานะเครื่องมือแสดงอำนาจขององค์กรราชการเป็นที่ตระหนักกันดีในโลก ตะวันตกมาอย่างน้อยนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เอกสารเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสื่อสารและควบคุมภายในองค์กรราชการ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบุคคล และประเภทบุคคล (Subjects) อัตลักษณ์ และการจัดจำแนกผู้คน ความสามารถในสร้าง (Generative capacity) ของเอกสารมักเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการควบคุมประชากรโดยรัฐและสถาบันของรัฐ ซึ่งถูกใช้ในทุกองค์กรของรัฐที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะในด้านการปกครอง สาธารณสุข หรือแม้แต่การ จัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ที่ดิน และป่าไม้ ทั้งนี้ เอกสารทำหน้าที่ในการปกครองไม่ได้เพียงเพราะว่าทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ถูกปกครองกับการแปลงสิ่งนั้นให้กลายเป็นวัตถุทางเอกสารเท่านั้น หากแต่เอกสารยังทำหน้าที่ในการเชื่อมประสานระหว่างทัศนะ ความคิด และปฏิบัติการ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เอกสารเป็นเครื่องมือที่ทำให้ ความหมายที่ถูกประกอบสร้างขึ้นมีความหมายที่คงที่ และตอกย้ำความเข้าใจร่วมกันต่อความหมายดังกล่าว ในแง่นี้ การศึกษาชาติพันธุ์นิพนธ์ว่าด้วยเอกสารในหมู่นักมานุษยวิทยา จึงเป็นความพยายามทำความเข้าใจเอกสารราชการ ไม่ใช่ฐานะของเครื่องมือปกครองของรัฐเท่านั้น หากแต่ยังสนใจเอกสาร ในฐานะการประกอบสร้างความเป็นหรือไม่เป็นพลเมือง วัตถุแห่งการถูกปกครอง และความเป็นสังคมที่มีเอกสารเป็นสื่อกลางอีกด้วย (น.1 - 2)
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาประวัติศาสตร์และปฏิบัติการของการใช้เอกสารราชการเพื่อควบคุมพลเมืองและกลุ่มชนที่ มิใช่พลเมืองไทย โดยสืบสาววงศาวิทยาของวิธีคิดในการควบคุมคนของรัฐไทย โดยวิเคราะห์ประวัติศาสตร์การ ควบคุมพลเมือง นับตั้งแต่การใช้ “ร่างกาย" เป็นเครื่องมือในการบันทึกและควบคุมแรงงานโดยรัฐในยุคก่อนสมัยใหม่ ผ่านการ “สักเลก” จนถึงการแทนที่การสักเลก ด้วยเอกสารประเภทต่าง ๆ อาทิ ใบต่างด้าว และบัตรประจำตัวพลเมือง และบัตรประจำตัวกลุ่มชนผู้มิใช่พลเมืองชนิดต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้ในการจัดจำแนกพลเมือง และผู้มิใช่พลเมือง ในสาม ช่วงสมัยที่สำคัญคือ ในยุคสร้างความทันสมัย ในยุคสงครามเย็น และในยุคเข้าสู่เสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจ (น.2) งานศึกษาชิ้นนี้ได้รับอิทธิพลจากกรอบคิดและทฤษฎีในโลกตะวันตกของงานสามกลุ่มด้วยกัน อันได้แก่ 1) มานุษยวิทยาว่าด้วยความเป็นพลเมือง 2) การสร้างชายแดนเสรีนิยมใหม่ และ 3) มานุษยวิทยาว่าด้วยเอกสารและ ระบบราชการ โดยปรับใช้แนวคิดจากงานทั้งสามลักษณะในการศึกษาวงศาวิทยาของการปกครองโดยเอกสาร และปฎิสัมพันธ์ระหว่างรัฐเอกสารกับประชากรในยุคสมัยต่าง ๆ (น.3) |
|
Critic Issues |
การปกครองประชากรด้วยเอกสาร ภายใต้รัฐจารีต ซึ่งกระทำผ่านการใช้ร่างกายในการสักเลก ได้ดำเนินต่อเนื่องกว่า 5 ศตวรรษ นับตั้งแต่ต้นยุคกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ในยุครัตนโกสินทร์ ทั้งนี้ ด้วยเป้าประสงค์ในการจัดระเบียบประชากรออกเป็นหน่วย เพื่อง่ายต่อการเกณฑ์แรงงาน การเกณฑ์คนเพื่อไปศึก สงคราม และการเก็บภาษี ตลอดจนเพื่อสร้างเสถียรภาพในการจัดแบ่งสถานะมิให้มีการข้ามเส้นแบ่งได้โดยง่าย การเปลี่ยนประชากรให้เป็นวัตถุที่สามารถอ่านได้ในรัฐก่อนสมัยใหม่ เป็นไปดังที่ Caplan ได้เสนอไว้ กล่าวคือ ไม่ได้มีความสม่ำเสมอ หรือคงเส้นคงวา หรือไม่มีระบบในการปรับปรุงข้อมูลให้สะท้อนความจริงของประชากรอย่างเสมอต้น เสมอปลาย และไม่ทั่วถึง แต่เป็นไปตามความต้องการในการใช้แรงงานเป็นสำคัญ และดังนั้น แรงงานชายจึงเป็นกลุ่ม เป้าหมายที่สำคัญของการถูก “บันทึก” ช่วงสมัยที่มีการสักเลกอย่างกว้างขวาง ตลอดจนกำหนดเงื่อนไขของการทำงาน ให้กับรัฐ หรือการเข้าเดือนที่ยาวนานถึง 6 เดือน ได้แก่สมัยกรุงธนบุรี ซึ่งรัฐต้องการใช้แรงงานจำนวนมากในการป้องกันศึกสงคราม และฟื้นฟูบูรณะบ้านเมืองที่ถูกทำลายจากการทำสงคราม การที่ตรรกะของการควบคุมแรงงาน เป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐใช้ในกระบวนการระบุตัวตนประชากร และการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับประชากรในยุคก่อนสมัยใหม่ ทำให้รัฐจารีตต่างไปจากรัฐสมัยใหม่ในการสร้างความรู้เกี่ยวกับประชากรในหลายประการ ทั้งนี้ ในขณะที่รัฐจารีตไม่ได้สนใจรายละเอียดในตัวประชากรมากไปกว่า “กำลังแรงงาน” และความต้องการควบคุมให้กำลังแรงงานสามารถถูก เรียกใช้ได้ตลอดเวลา ข้อมูลที่สำคัญ จึงมักได้แก่วัย ที่อยู่ มูลนาย และสังกัดของเลก ทั้งนี้ ความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ไม่ได้เป็นประเด็นที่มีนัยยะสำคัญในสายตาของรัฐจารีต กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ภายใต้รัฐสยามต่างก็ต้องมีสังกัดและอยู่ ภายใต้การกำกับด้านแรงงานเดียวกันทั้งสิ้น ทั้งนี้ระบบการเกณฑ์แรงงานดังกล่าวแยกระหว่างชนชาวสยามและชนต่างชาติที่ชัดเจน (น.96)
ในรัฐสมัยใหม่ นับตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ตรรกะในการควบคุมประชากรได้เปลี่ยนจากการควบคุมแรงงานไปสู่การสร้างแนวคิดเรื่อง “พลเมือง” และการพยายามแยก “พลเมือง” ออกจากผู้ที่มิใช่พลเมือง เอกสารระบุตัวตนหลายประเภท อาทิ บัตรประจำตัว ทะเบียนราษฎร์ และหนังสือเดินทาง ได้ถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายใหม่ของรัฐ นอกจากนี้ รัฐไทยสร้างความรู้เกี่ยวกับประชากรที่แตกต่างออกไปจากรัฐในยุคจารีต ปริมณฑลของข้อมูลเกี่ยวกับประชากรได้ขยายออกไปครอบคลุมรายละเอียดต่าง ๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ สีผิว ตำหนิ ส่วนสูง น้ำหนัก ถิ่นที่อยู่อาศัย การเกิด การตาย อาชีพ เชื้อชาติ ฯลฯ ในแง่นี้ ไม่เพียงการใช้เอกสารในฐานะตัวกลางในการควบคุมประชากรจะทำหน้าที่มากไปกว่าเพียงการควบคุมแรงงานดังในยุคจารีต หากแต่เอกสารยังรับใช้การปกครองชนิดใหม่ที่ผนวกเอาร่างกายและความเป็นพลเมืองเข้าอยู่ภายใต้ระบอบการควบคุมกำกับของรัฐ และที่ซึ่งอำนาจถูกถ่ายโอนจากศูนย์กลางไปสู่บัตรประจำตัวที่มีบทบาทในการกำกับชีวิตประจำวัน และแทรกซึมอยู่ในปฏิสัมพันธ์หลากหลายลักษณะของประชากร อันเป็นอำนาจที่ Foucaulty เรียกว่า Governmentality (1991) หรือการปกครองชีวญาณนั่นเอง ภายใต้การปกครองที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตพลเมืองชนิดนี้ รัฐสมัยใหม่เรียกร้องความจริงเชิงประจักษ์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ประชากรที่สามารถตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องได้ตลอดเวลา เทคโนโลยีภาพถ่าย ได้ช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพการตรวจตราและตรวจสอบให้รัฐ อันเป็นเครื่องมือที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุครัฐจารีต แต่ขณะเดียวกันอัต ลักษณ์และตัวตนนั้นกลับเป็นสิ่งที่วิวัฒน์และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีร่างกายใดที่คงสภาพเดิมหรือหยุดอยู่กับที่ การ สร้างมาตรฐานเพื่อควบคุมพลเมืองจึงต้องเผชิญกับความย้อนแย้งของอัตลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทางปฏิบัติ การกำหนดให้บัตรประจำตัวมีช่วงอายุ และการตรวจตราร่างกายกับบัตรประจำตัวอยู่เสมอ จึงเป็นวิถีทางที่รัฐใช้เพื่อให้เอกสารคงความมีประสิทธิภาพในการควบคุมกำกับพลเมือง (น.97) |
|
|