|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พหุวัฒนธรรม, ความหลากหลาย, ประเทศไทย, นโยบายรัฐ |
Author |
ศิริจิต สุนันต๊ะ |
Title |
พหุวัฒนธรรมในประเทศไทยจากมุมมองสตรีนิยม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
34 |
Year |
2553 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
พหุวัฒนธรรมนิยมเป็นวาทกรรมระดับโลกที่องค์กรระหว่างประเทศเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ให้การสนับสนุนความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมภายในรัฐ จุดกำเนิดของแนวคิดนี้เริ่มต้นในทศวรรษที่ 1970 ในฐานะที่เป็นทั้งจุดยืนทางศีลธรรมและการเมือง และในฐานะนโยบายของรัฐที่พัฒนาขึ้นในบริบทของประเทศตะวันตกเป็นหลักในการปฏิบัติต่อความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมในประเทศ ทั้งนี้ พหุวัฒนธรรมนิยมตามแบบประเทศตะวันตกให้ความสำคัญกับแนวคิดเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมเป็นหลัก เมื่อแนวคิดนี้ถูกเผยแพร่ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ละประเทศก็รับแนวคิดนี้ไปปรับใช้ตามบริบททางสังคม การเมือง และวัฒนธรรมภายในของตน ความหมายของพหุวัฒนธรรมนิยมจึงขึ้นอยู่กับบริบทของท้องถิ่นนั้น ๆ บทความนี้จึงเป็นการสำรวจสถานะข้อโต้แย้งเรื่องพหุวัฒนธรรมนิยมในประเทศไทย โดยพหุวัฒนธรรมนิยม (multiculturalism) และความหลากหลายทางวัฒนธรรม (cultural diversity) เป็นแนวคิดที่ถูกใช้และผลักดันโดยนักวิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อท้าทายวาทกรรมหลักเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวทางวัฒนธรรม การครอบงำทางวัฒนธรรม ตลอดจนการรวมศูนย์อำนาจการบริหารของกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและผู้กำหนดนโยบายของไทยเริ่มให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความหลากหลายและให้การยอมรับแนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยม แต่แนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมที่รัฐไทยให้การยอมรับมีความแตกต่างจากแนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมแบบสากล เพราะแนวคิดนี้จึงถูกนำไปใช้เพื่อตอกย้ำวาทกรรมชาตินิยมและผลิตซ้ำความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมหรือความสัมพันธ์แบบลำดับขั้นที่ดำรงสืบเนื่องมาจากระบอบอุปถัมภ์นิยมและเสริมความชอบธรรมของศูนย์อำนาจหลักของชาติในส่วนกลาง แนวคิด/นโยบายพหุวัฒนธรรมแบบสากลนิยมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแบบเสรีนิยมจึงเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในสังคมไทย หากแต่เป็นกระแสสังคมที่ก่อตัวขึ้นเพื่อท้าทายต่อจินตนาการของรัฐไทยต่อความเอกภาพทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมของสังคมไทย |
|
Focus |
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการทำความเข้าใจกับแนวโน้มของการเมืองเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมในบริบทของสังคมไทย และทำความเข้าใจกับความหมายเฉพาะของพหุวัฒนธรรมนิยม (multiculturalism) ที่ถูกนำมาปรับใช้ในบริบทของประเทศไทย (the localized meaning of multiculturalism) |
|
Theoretical Issues |
บทความนี้มุ่งศึกษาแนวโน้มเรื่องของการเมืองเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมในบริบทของสังคมไทย โดยสำรวจจากชุดคำอธิบายเป็นตัวกำหนดความหมายและรูปแบบของพหุวัฒนธรรมในบริบทของสังคมไทย อันได้แก่ คำอธิบายในระดับทฤษฎีในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกลุ่มใหญ่และคนกลุ่มน้อย มโนทัศน์เกี่ยวกับชาติพันธุ์ เผ่าพันธุ์ ความเป็นชาติและความเป็นพลเมืองในระบบความสัมพันธ์ทางสังคมของไทย รวมทั้งศึกษาเปรียบเทียบพัฒนาการในประเทศไทยกับบริบทการนำแนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมมาใช้ในประเทศอื่น ๆ และข้อโต้แย้งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพหุวัฒนธรรม เพื่อต่อยอดองค์ความรู้เกี่ยวกับพหุวัฒนธรรมในระดับสากลรวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้สำหรับประเทศไทย (น.7 - 8) |
|
Critic Issues |
การก่อเกิดของแนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมในสังคมตะวันตกเกิดขึ้นในบริบทสังคมที่เชื้อชาติ (race) และชาติพันธุ์ (ethnicity) เป็นรากฐานสำคัญในการจัดความสัมพันธ์ทางสังคม อันสะท้อนให้เห็นในประวัติศาสตร์ของสังคมตะวันตกที่มีการล่าอาณานิคม การอพยพของคนพลัดถิ่นผิวขาวที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนใหม่ และการตั้งตนเป็นเจ้าอาณานิคมที่เบียดขับ กดทับ ลิดรอนสิทธิทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองในท้องถิ่น ประเทศตะวันตกจึงมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และมีความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมหลักและกลุ่มวัฒนธรรมรอง ดังจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในกรณีของการเหยียดผิว (น.8) กระแสแนวคิดพหุวัฒนธรรมนิยมจึงก่อตัวขึ้นภายใต้การยอมรับอย่างแพร่หลายในสังคมว่า กลุ่มวัฒนธรรมรองได้ถูกเบียดขับทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมจากกลุ่มวัฒนธรรมที่เป็นคนผิวขาวมาอย่างยาวนาน ดังนั้น รัฐจึงควรแก้ไขความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ด้วยการคุ้มครองสิทธิและปกป้องกลุ่มเหล่านี้
(น.9) กรณีของสังคมไทย ก่อนการเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ รัฐก่อนสมัยใหม่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแบ่งคนตามเชื้อชาติและชาติพันธุ์ที่ถูกกำหนดโดยชีววิทยาหรือสายเลือด แต่ให้ความสำคัญกับถิ่นที่อยู่ ระดับของความมีอารยธรรม และความสัมพันธ์กับศูนย์กลางอารยธรรม อาณาจักรสยามสมัยก่อนปกครองในลักษณะราชาธิราช (empire) ที่ผู้ปกครองมีอำนาจเหนือกลุ่มคนที่มีชาติพันธุ์ต่างจากตน กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ มีความสัมพันธ์ต่อกันและต่อรัฐแบบลำดับขั้น โดยตำแหน่งแห่งที่ของแต่ละกลุ่มถูกกำหนดด้วยระดับของอารยธรรมหรือความเจริญของกลุ่ม ผู้ปกครองถือตัวว่ามีอารยธรรมสูงกว่า และเป็นศูนย์กลางอำนาจรัฐและอารยรรม กลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่มีอารยธรรมด้อยกว่าและแสดงความจงรักภักดีต่อผู้ปกครองก็จะถูกนับรวมเป็นสมาชิกของรัฐ ชาติพันธุ์กับสถานะทางสังคมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน รัฐก่อนสมัยใหม่ของไทยจึงยอมรับความแตกต่างทางเชื้อชาติวัฒนธรรม แต่เป็นความแตกต่างที่ไม่เท่าเทียม แนวคิดนี้ยังคงมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มและความหมายของพลเมืองในปัจจุบันที่แม้ว่า ไทยเป็นรัฐสมัยใหม่ที่มีพลเมืองมีสถานะที่เท่าเทียมกันทางกฎหมาย แต่ก็ยังปรากฎอิทธิพลของความสัมพันธ์ทางสังคมแบบลำดับขั้นสูงมาก ทำให้สังคมไทยยังมีความเหลื่อมล้ำ และมีความไม่เท่าเทียมทางสังคมในระดับที่สูง (น.19 -20) อีกทั้งไม่เคยมีการยอมรับถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมในสังคมไทย ตั้งแต่มีสถานะเป็นรัฐสมัยใหม่ รัฐไทยสร้างจินตการเกี่ยวกับความเป็นรัฐไทยและคนไทยที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม จึงมุ่งเน้นการหล่อหลอมให้ทุกคนเป็นคนไทยผ่านนโยบายทางด้านภาษาและการศึกษา (น.14)
หัวใจสำคัญของพหุวัฒนธรรมนิยม คือ การเรียกร้องให้มีการยอมรับอัตลักษณ์ที่ถูกเบียดขับ โดยเฉพาะอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม ภายใต้การยอมรับร่วมกันบนฐานแนวคิดแบบเสรีนิยมว่าด้วยสิทธิมนุษยชนว่า อัตลักษณ์เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับปัจเจกบุคคล ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะดำรงความเป็นตนเอง แต่ในเมื่ออัตลักษณ์เป็นสิ่งที่บุคคลยึดถือร่วมกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม การปกป้องอัตลักษณ์ของบุคคลจึงเท่ากับเป็นการคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมที่เป็นสิทธิของกลุ่มเสมอ (น.9) แต่สำหรับบริบทของสังคมไทยมีวิธีคิดเรื่องสิทธิคนละแบบกับแนวคิดเสรีนิยม โดยวิธิคิดเรื่องสิทธิของสังคมไทยอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์แบบลำดับขั้นที่มีสิทธิหลายชุดสำหรับคนที่มีสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน อีกทั้งไม่เคยมีการยอมรับในสังคมวงกว้างถึงการปกครองในลักษณะเจ้าอาณานิคมภายในของรัฐไทยที่ครอบงำกลุ่มอื่น ๆ หรือท้องถิ่นอื่น ๆ ทำให้มีการเบียดขับคนกลุ่มน้อยและสร้างความไม่เท่าเทียมระหว่างกลุ่ม อีกทั้งสังคมไทยยังมองว่าเป็นหน้าที่ของกลุ่มวัฒนธรรมรองที่จะต้องปรับตนเองให้กลมกลืนไปกับกลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ มากกว่าที่จะต้องให้สิทธิทางวัฒนธรรมต่อกลุ่มเหล่านี้ (น.22-23)
ข้อวิพากษ์หลักของพหุวัฒนธรรมนิยม คือ การดำเนินนโยบายแบบทางการของรัฐที่ให้สิทธิพิเศษแก่คนกลุ่มน้อยในการแสดงออกเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มตน อาจนำไปซึ่งการละเมิดสิทธิของกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะสมาชิกของกลุ่มวัฒนธรรมรองที่มีสถานะทางอำนาจด้อยกว่า ภายใต้ความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียมภายในกลุ่มวัฒนธรรมรองเอง โดยนักคิดฝ่ายสตรีนิยมมักวิพากษ์ว่า แนวคิดดังกล่าวส่งผลทำให้ผู้หญิงที่เป็นสมาชิกของกลุ่มวัฒนธรรมรองต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจากการถูกควบคุมหรือลิดรอนสิทธิ์ในนามของการรักษาขนบธรรมเนียมของกลุ่ม โดยที่วัฒนธรรมของกลุ่มมักได้รับการนิยมจากผู้มีอำนาจที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย (น.12 - 13) แต่สำหรับสังคมไทยไม่ได้ส่งเสริมแนวคิดเสรีนิยม และสิทธิ ทั้งระดับปัจเจกและระดับกลุ่มให้เป็นค่านิยมพื้นฐานของสังคม (น.25) แต่สังคมไทยให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเชื้อชาติ แม้ว่าในระยะหลังจะมีการยอมรับถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากขึ้น แต่ก็เป็นไปในทิศทางที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติที่มีความหลากหลายแต่ไม่เท่าเทียม โดยกลุ่มวัฒนธรรมรองต้องยอมรับในความเหนือกว่าของวัฒนธรรมไทยตามพื้นฐานความคิดแบบระบอบอุปถัมภ์ (น.19) |
|
|