สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชาวมลายูมุสลิม, เศรษฐกิจและการพัฒนา, สถานการณ์ความไม่สงบ, จังหวัดชายแดนภาคใต้, ประเทศไทย
Author ชาลิตา บัณฑุวงษ์
Title เศรษฐกิจและการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้: การสำรวจเชิงวิพากษ์
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ Call no. H62.5ท9 ห 36 2560. 
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 145 Year 2560
Source ศูนย์ศึกษาสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

ประเด็นทางเศรษฐกิจและการพัฒนามีนัยยะสำคัญต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายแง่มุม งานศึกษานี้จึงสำรวจองค์ความรู้จากงานเขียนกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักและกระแสรอง จากงานเขียนทางวิชาการ เอกสารประกอบการสัมมนา ตลอดจนรายงานการดำเนินงานหรือการสรุปบทเรียนจากหน่วยงาน / องค์กรที่เกี่ยวข้อง โดยงานเขียนกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักมองว่า ความยากจนและความด้อยพัฒนาเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดความไม่สงบ งานเขียนในช่วงก่อน พ.ศ. 2547 มักเน้นอธิบายถึงสาเหตุที่เกิดจากฝ่ายชาวมลายูมุสลิมเองที่ไม่ยอมปรับตัวเข้ากับสังคมไทย และเป็นผู้ที่ไร้ศักยภาพในการพัฒนา ชาวมลายูมุสลิมส่วนใหญ่จึงมีฐานะยากจน โครงสร้างทางเศรษฐกิจจึงฐานแคบจำกัดแค่อาชีพในภาคการเกษตร ผู้คนจึงถูกชักจูงเข้าร่วมขบวนการก่อความไม่สงบได้ง่าย ข้อสรุปดังกล่าวได้สร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการพัฒนาของรัฐในพื้นที่ เพื่อลดความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อรัฐและป้องกันไม่ให้ชาวมลายูมุสลิมเข้าร่วมในขบวนการก่อความไม่สงบ  โดยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2547 รัฐได้ทุ่มเทงบประมาณทางด้านความมั่นคงและการพัฒนาในพื้นที่เป็นจำนวนมหาศาล ทว่ากลับสวนทางกับสถิติความรุนแรงและจำนวนผู้เสียชีวิตที่ไม่ลดลง แต่กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การพัฒนาของรัฐและการขยายตัวของทุนในพื้นที่ ในแง่หนึ่งได้ส่งผลทำให้วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นสัมพันธ์กับเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรมากขึ้น ผู้คนสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์ความรุนแรง มีการขยายตัวของธุรกิจท้องถิ่นและคุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น อย่างไรก็ตาม งานเขียนกลุ่มแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนและเศรษฐกิจชุมชนกลับมองว่า การพัฒนาที่ชี้นำโดยรัฐและทุนต่างหากที่ส่งผลเสียต่อฐานทรัพยากร ระบบนิเวศ /สภาพแวดล้อมของชุมชน และทำลายวิถีการดำรงชีพแบบดั้งเดิมของคนในท้องถิ่นที่เน้นการพึ่งตนเองและยึดถือหลักพอเพียงบนฐานของเกษตรกรรม อันก่อให้เกิดสภาวะความยากจนและความด้อยพัฒนา และนำไปสู่สถานการณ์ความไม่สงบในที่สุด งานเขียนกลุ่มนี้จึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนบนฐานของวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอจากงานกลุ่มนี้ยังมีข้อจำกัดในแง่ที่ยังคงอธิบายในกรอบและวาทกรรมความมั่นคงของรัฐไทย มากกว่าจะชี้ให้เห็นถึงรากเหง้าที่แท้จริงของความรุนแรงอันเกิดจากปัญหาในเชิงโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียม อีกทั้งยังไม่เท่าทันต่อพลวัตรทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรมากขึ้น และผู้คนต้องการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดอย่างมีอำนาจต่อรองและเข้มแข็ง (น.31; 62 - 63)

Focus

เป็นการสำรวจองค์ความรู้และความเข้าใจต่อประเด็นทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่มีนัยยะสำคัญต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ทั้งจากงานเขียนกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักและกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสรอง (น.31)

Theoretical Issues

งานศึกษานี้พยายามเชื่อมโยงงานเขียนทั้งกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักและกระแสรองเข้ากับบริบททางประวัติศาสตร์ รวมถึงพลวัตรทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อทำความเข้าใจถึงสถานะของงานเขียน ตลอดจนจุดยืนและความเป็นการเมืองของ ผู้เขียน และองค์กร / หน่วยงานที่สนับสนุนการผลิตงานเขียนเกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  (น.31) 

Study Period (Data Collection)

เน้นศึกษางานเขียนตั้งแต่ พ.ศ.2547 เป็นต้นมา แต่ผู้เขียนหยิบยกงานเขียนบางส่วนในช่วงก่อนหน้านั้นมาอธิบายด้วย เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสืบเนื่องของแนวคิดด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีมาตั้งแต่อดีต (น. 31)

Economy

เศรษฐกิจชุมชนดั้งเดิมของชาวมลายูมุสลิมเป็นระบบพึ่งตนเองและพอเพียงบนฐานของเกษตรกรรม โดยมีหลักคำสอนทางศาสนาอิสลามที่กำกับระเบียบกฎเกณฑ์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและอยู่บนฐานของระบบกรรมสิทธิ์ส่วนรวม อันก่อให้เกิดจารีตในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเท่าที่จำเป็นด้วยเครื่องมือประมงที่เหมาะสม รวมทั้งระบบ “สวนดูซง” หรือระบบสวนแบบผสมผสานดั้งเดิม ซึ่งเป็นระบบการใช้ทรัพยากรร่วมกันในหมู่เครือญาติหรือกลุ่มตระกูลในสภาพนิเวศแบบพื้นที่ป่าในจังหวัดชายแดนใต้  ตลอดจนการจัดระบบแลกเปลี่ยนแรงงาน (ระบบซอลล์) ที่คล้ายกับระบบการลงแขกในสังคมชาวไทยพุทธ ( 46 - 47)    
สถานการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในระลอกใหม่ตั้งแต่ พ.ศ.2547 ก่อให้เกิดสภาวะความซบเซาทางเศรษฐกิจและทำให้ผู้คนไม่สามารถดำรงวิถีการดำรงชีพแบบดั้งเดิมได้ รวมทั้งประสบกับความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน จนบางรายต้องอพยพโยกย้ายออกไปนอกพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกชาวไทยและชาวจีน  แต่ในแง่หนึ่งก็มีมิติของการปรับตัวของผู้คนต่อสถานการณ์ความไม่สงบ อาทิเช่น คนในท้องถิ่นหันมาเป็นพ่อค้าคนกลางรับซื้อผลผลิตการเกษตรเอง โดยไม่ต้องพึ่งพิงพ่อค้าคนกลางจากภายนอก หรือชาวสวนยางปรับเวลาในการกรีดยางใหม่ เป็นต้น  อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความรุนแรงในช่วงสิบปีที่ผ่านมากลับส่งผลทำให้เศรษฐกิจชายแดนใต้ขยายตัวหรือยังคงทรงตัว อันเป็นผลมาจากการอัดฉีดงบประมาณทางด้านความมั่นคงและการพัฒนาของรัฐในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การไหลเวียนของเงินจำนวนมากไปสู่ผู้คนในระดับต่าง ๆ รวมทั้งเกิดการจ้างงานภาครัฐสูงขึ้น จนกลายเป็นอีกแหล่งรายได้ที่สำคัญของครัวเรือนชาวมลายูมุสลิม  วิถีการดำรงชีพของคนในท้องถิ่นจึงมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรมากขึ้น  นอกจากนี้ ในแง่ของพลวัตรทางโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมของชายแดนใต้ พบว่ามีการขยายตัวของภาคการค้ารายย่อยและธุรกิจท้องถิ่นที่ลงทุนโดยนักธุรกิจชาวมลายูมุสลิมที่ดำเนินธุรกิจตามหลักศาสนาอิสลาม และมีการระดมทุนจากประชาชนในพื้นที่เพื่อลงทุนในกิจการต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่เคยเป็นของนักธุรกิจชาวจีนเป็นส่วนใหญ่   (Bundhuwong, 2013, อ้างถึงใน น.43 - 44)

Social Organization

ครอบครัวชาวมุสลิมเป็นครอบครัวขยายขนาดใหญ่ (น.33)

Political Organization

ในช่วงก่อนทศวรรษ 2490  รัฐไทยใช้นโยบายการกลืนกลายทางวัฒนธรรมแบบบังคับต่อชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้  อย่างไรก็ตาม  ในสมัยจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ นโยบายดังกล่าวค่อย ๆ ลดบทบาทลง  โดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐมองว่า ความยากจนและความด้อยพัฒนาในพื้นที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนมลายูมุสลิมถูกชักจูงให้เข้าร่วมกับขบวนการก่อความไม่สงบได้ง่าย  ดังนั้น รัฐไทยจึงต้องการใช้การพัฒนาเป็นเครื่องมือยับยั้งการต่อต้านรัฐ และเพื่อเอาชนะหัวใจของชาวมลายูมุสลิม (น.32) อันนำไปสู่โครงการพัฒนาของรัฐในพื้นที่จำนวนมาก  ควบคู่ไปกับแนวทางการประนีประนอม ยอมรับและสนับสนุนลักษณะเฉพาะในด้านศาสนา สังคม และวัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิม แต่กระนั้นรัฐก็ยังคงดำเนินนโยบายปราบปราบและป้องปรามควบคู่กันมาโดยตลอด อันปรากฏอย่างชัดเจนถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อย่างต่อเนื่อง  (น.38)  นอกจากรัฐบาลแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ก็มีบทบาทสำคัญในการดำเนินโครงการพัฒนาตามพระราชดำริที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และสร้างแนวทางการพัฒนาที่กลายเป็นต้นแบบการพัฒนาของหน่วยงานรัฐในพื้นที่ (น.36)
แม้ว่าการพัฒนาของรัฐในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีส่วนทำให้ภาวะความยากจนลดลง และผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่กระนั้น สถานการณ์ความไม่สงบกลับขยายตัวและหยั่งรากลึกยิ่งกว่ายุคก่อนหน้านี้  งานศึกษาในปัจจุบันบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงที่น้อยมากระหว่างความยากจนกับสถานการณ์ความไม่สงบในปัจจุบัน เพราะความยากจนไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่ยากจนเข้าร่วมขบวนการความไม่สงบ  ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ยากจนกลับมองว่า การเข้าร่วมจะยิ่งทำให้สถานะทางเศรษฐกิจของตนและครอบครัวเลวร้ายยิ่งขึ้น  อีกทั้งไม่ปรากฎว่าปัญหาความยากจนหรือด้อยพัฒนาเคยถูกใช้สื่อสารเป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองของขบวนการก่อความไม่สงบแต่อย่างใด (Bundhuwong, 2013 อ้างถึงใน น. 37 - 38)

Belief System

ชาวมลายูมุสลิมมีพื้นฐานความคิดทางศาสนาว่า ชีวิตปัจจุบันคือช่วงเวลาชั่วขณะที่พระเจ้าทดสอบดีชั่วก่อนคืนกลับสู่อ้อมกอดของพระองค์ในโลกหน้าที่นิรันดร เพื่อรับผลจากการกระทำในโลกนี้  โลกทัศน์ดังกล่าวจึงหล่อหลอมให้ชาวมุสลิมชายแดนใต้มีวิถีปฏิบัติที่เน้นความพอประมาณ พอเพียง และมีเวลาปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งคำสอนทางศาสนาเหล่านี้เป็นพื้นฐานความคิดหลักของระบบเศรษฐกิจชุมชนที่เน้นการพึ่งตนเองและพอเพียง เช่น พื้นฐานความคิดเรื่องความร่วมมือช่วยเหลือกัน การยึดถือชีวิตที่เรียบง่าย ข้อกำหนดเรื่องการถือครองทรัพย์สิน การแบ่งและรับมรดก และการบริจาค  สิ่งเหล่านี้ช่วยชะลอไม่ให้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป ( วิโชติ จงรุ่งเรือง, 2548 ; ศรีพงศ์ อุดมครบ, 2539, อ้างถึงใน น.46)
ความเป็นชุมชนมุสลิมที่มีวัตรปฏิบัติทางศาสนาที่เข้มแข็งของชาวมลายูมุสลิมชายแดนใต้เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้แก่ การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบตลาด การพัฒนาแบบทันสมัย โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมทั้งอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ที่มาพร้อมกับการหลั่งไหลของข้อมูลข่าวสาร และโอกาสการเดินทางในโลกไร้พรมแดน  ส่งผลทำให้ผู้คนมีทุนทรัพย์เพิ่มขึ้นจึงสามารถใช้จ่ายทางศาสนาได้มากขึ้น หรือสามารถเข้าถึงการศึกษาทางศาสนา ทั้งในชุมชนและประเทศแถบตะวันออกกลาง อันนำไปสู่การเผยแพร่แนวคิดทางศาสนาจากประเทศเหล่านั้นสู่ชุมชน  ดังนั้น ยิ่งทุนนิยมเติบโต ความเป็นอิสลามก็ยิ่งเฟื่องฟูยิ่งขึ้น (Bandhuwong, 2013, น. 49 - 50) 

Education and Socialization

งานเขียนในช่วงปี พ.ศ. 2521 – 2546 มักเน้นอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้มีระดับการศึกษาต่ำกว่าคนไทยในภาคอื่น ๆ ว่า เป็นผลมาจากการที่ชาวมลายูมุสลิมมีความรู้สึกแปลกแยกจากรัฐชาติไทยและชาวไทยส่วนใหญ่ จนไม่ยอมเรียนภาษาไทยหรือเข้าเรียนในระบบการศึกษาแบบไทย เนื่องจากมองว่าเป็นเครื่องมือในการบังคับถ่ายทอดอุดมการณ์รัฐไทยจากส่วนกลาง  ปัจจัยดังกล่าวมีส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวมลายูมุสลิมมีอัตราการว่างงานที่สูง และรายได้ต่ำกว่าคนภาคอื่น ๆ  (น.32 - 33)
ภายใต้ปฏิบัติการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวมลายูมุสลิมของรัฐไทยนั้น ชาวมลายูมุสลิมมีอัตราการรู้ภาษาไทยเพิ่มขึ้นและมีโอกาสเข้าศึกษาในระดับสูงและในสถาบันวิชาชีพมากขึ้น ส่งผลทำให้ชาวมลายูมุสลิมมีโอกาสรับราชการและทำงานงานตามหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มขึ้น  พลวัตรดังกล่าวทำให้ชาวมลายูมุสลิมเริ่มตระหนักมากขึ้นถึงความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่จะต้องมีความรู้ภาษาไทยเพื่อประกอบอาชีพสมัยใหม่ (น.36 - 37)  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราการเรียนหนังสือที่เพิ่มขึ้นของชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้จะมีส่วนช่วยลดความไม่เท่าเทียมกับคนไทยในภาคอื่น ๆ ในแง่ของรายได้ ค่าจ้าง สภาวการณ์ทำงาน และการศึกษา แต่กระนั้นก็ยังพบปัญหาว่า นักเรียนที่จบหลักสูตรสามัญทั้งของโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามไม่สามารถแข่งขันในระดับอุดมศึกษาหรือประกอบอาชีพแข่งขันกับคนไทยพุทธในพื้นที่อื่น ๆ ได้ (น.59)
สำหรับการเรียนการสอนตามหลักศาสนานั้น การพัฒนาแบบเสรีนิยมใหม่และกระแสโลกาภิวัตน์เอื้อให้ชาวมุสลิมเข้าถึงโอกาสในการศึกษาทางศาสนามากยิ่งขึ้น โดยหลายครอบครัวเริ่มมีกำลังทรัพย์ที่จะส่งบุตรหลานเข้าเรียนที่ปอเนาะกับโต๊ะครูที่มีชื่อข้างนอกชุมชนได้  นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาทางด้านศาสนาจากประเทศแถบตะวันออกกลางได้กลับมาเป็นกำลังสำคัญในการสอนศาสนาในพื้นที่ และผลิตลูกศิษย์ที่จะเป็นผู้นำหรือครูสอนศาสนาในหมู่บ้านตนเอง ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเผยแพร่คำสอนให้กับชาวบ้านธรรมดาหรือกลุ่มคนชายขอบต่อไป (น.50)

Health and Medicine

ลักษณะเฉพาะทางศาสนาและวัฒนธรรมส่งผลทำให้ชาวมลายูมุสลิมไม่คุมกำเนิด และนิยมคลอดบุตรที่บ้านในอัตราที่สูง  อีกทั้งยังมีอัตราการสูบบุหรี่ในระดับสูง ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีการศึกษาต่ำ  ปัจจัยเหล่านี้ล้วนได้รับการบ่งชี้ว่าส่งผลสำคัญอย่างยิ่งต่อปัญหาคุณภาพชาวมลายูมุสลิม (น.3)

Social Cultural and Identity Change

สถานการณ์ความไม่สงบส่งผลทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนต่างศาสนาในชุมชนส่วนใหญ่ลดน้อยลง  อย่างไรก็ตาม กรณีของหมู่บ้านไทยพุทธแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา ตามที่ปรากฏในงานศึกษาของวิทวัส ช้างศร ( 2553, อ้างถึงใน น.41 ) พบว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างคนไทยพุทธกับคนมลายูมุสลิมยังมีส่วนช่วยรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกลุ่มคนเหล่านี้ให้ยังคงดำรงอยู่  อีกทั้งชุมชนยังคงมีความเข้มแข็งบนฐานของระบบเครือญาติและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมถึงมีผู้นำฝ่ายปกครองและพระสงฆ์ที่เข้มแข็ง และการเข้ามาช่วยเหลือหน่วยงานของภาครัฐ 
โครงการพัฒนาของภาครัฐที่มีลักษณะการวางแผนจากบนลงล่าง ( top – down) ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจที่จำกัดอยู่ในมือของกลุ่มชนชั้นนำอย่างผู้นำทางการหรือผู้มีอิทธิพลของท้องถิ่นเท่านั้น การไม่นำหลักศาสนามาใช้กำกับกระบวนการพัฒนาจึงก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างสี่เสาหลักของหมู่บ้าน (ประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้าน โต๊ะอีหม่าม สมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนตำบล หรือ ส.อบต. และตัวแทนผู้นำองค์กรชุมชน) ที่มีการแย่งชิงผลประโยชน์และการคอร์รัปชั่น หรือไม่ก็ต่างคนต่างทำงาน (น.56)

Critic Issues

งานเขียนแนววัฒนธรรม / เศรษฐกิจชุมชน และปฏิบัติการขององค์กรภาคประชาสังคมที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐ แม้ว่าจะพยายามเสนอแนวทางการพัฒนาทางเลือก ซึ่งมิใช่การพัฒนาที่ผิดพลาดของรัฐและทุน  แต่งานเขียนกลุ่มนี้กลับมองปัญหาทางด้านการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ด้วยกรอบความมั่นคงของชาติเช่นเดียวกับรัฐ  โดยละเลยที่จะอธิบายถึงรากเหง้าที่แท้จริงของความขัดแย้งอันเกิดจากอุดมการณ์รัฐชาติไทย แนวคิดความเป็นรัฐเดี่ยวที่แบ่งแยกมิได้ และโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่มีสถาบันจารีต (รวมทั้งทหาร) เป็นศูนย์กลาง  ข้อเสนอของงานกลุ่มนี้ยังมักจะอ้างอิงวาทกรรม / แนวทาง “ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ” และ “เศรษฐกิจพอเพียง” สอดคล้องกับแนวทางของหน่วยงานรัฐ/หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่  งานเขียนกลุ่มนี้จึงกลายมาเป็นส่วนขยายในการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของรัฐ และมีส่วนสร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพในการดำรงบทบาททางด้านความมั่นคงและการพัฒนาในพื้นที่ ซึ่งสวนทางกับข้อเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการให้กองทัพลดบทบาทหรือถอนกำลังออกจากพื้นที่ เพื่อให้กระบวนการสร้างสันติภาพเกิดขึ้นได้จริง  นอกจากนี้ ข้อเสนอของงานเขียนกลุ่มนี้ยังห่างไกลจากสภาพชีวิตจริงของชาวบ้านที่มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการผลิตเชิงพาณิชย์และระบบตลาด อีกทั้งชาวบ้านก็ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดอย่างมีอำนาจต่อรองและเข้มแข็งมากกว่าการพัฒนาตามแบบเศรษฐกิจพอเพียง  (น.58 – 59, 63)

Text Analyst สกุลกร ยาไทย Date of Report 01 ต.ค. 2564
TAG ชาวมลายูมุสลิม, เศรษฐกิจและการพัฒนา, สถานการณ์ความไม่สงบ, จังหวัดชายแดนภาคใต้, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง