|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาวมลายูมุสลิม, เศรษฐกิจและการพัฒนา, สถานการณ์ความไม่สงบ, จังหวัดชายแดนภาคใต้, ประเทศไทย |
Author |
ชาลิตา บัณฑุวงษ์ |
Title |
เศรษฐกิจและการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้: การสำรวจเชิงวิพากษ์ |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ Call no. H62.5ท9 ห 36 2560.
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
145 |
Year |
2560 |
Source |
ศูนย์ศึกษาสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัย คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ประเด็นทางเศรษฐกิจและการพัฒนามีนัยยะสำคัญต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในหลายแง่มุม งานศึกษานี้จึงสำรวจองค์ความรู้จากงานเขียนกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักและกระแสรอง จากงานเขียนทางวิชาการ เอกสารประกอบการสัมมนา ตลอดจนรายงานการดำเนินงานหรือการสรุปบทเรียนจากหน่วยงาน / องค์กรที่เกี่ยวข้อง โดยงานเขียนกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักมองว่า ความยากจนและความด้อยพัฒนาเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดความไม่สงบ งานเขียนในช่วงก่อน พ.ศ. 2547 มักเน้นอธิบายถึงสาเหตุที่เกิดจากฝ่ายชาวมลายูมุสลิมเองที่ไม่ยอมปรับตัวเข้ากับสังคมไทย และเป็นผู้ที่ไร้ศักยภาพในการพัฒนา ชาวมลายูมุสลิมส่วนใหญ่จึงมีฐานะยากจน โครงสร้างทางเศรษฐกิจจึงฐานแคบจำกัดแค่อาชีพในภาคการเกษตร ผู้คนจึงถูกชักจูงเข้าร่วมขบวนการก่อความไม่สงบได้ง่าย ข้อสรุปดังกล่าวได้สร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการพัฒนาของรัฐในพื้นที่ เพื่อลดความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อรัฐและป้องกันไม่ให้ชาวมลายูมุสลิมเข้าร่วมในขบวนการก่อความไม่สงบ โดยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2547 รัฐได้ทุ่มเทงบประมาณทางด้านความมั่นคงและการพัฒนาในพื้นที่เป็นจำนวนมหาศาล ทว่ากลับสวนทางกับสถิติความรุนแรงและจำนวนผู้เสียชีวิตที่ไม่ลดลง แต่กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การพัฒนาของรัฐและการขยายตัวของทุนในพื้นที่ ในแง่หนึ่งได้ส่งผลทำให้วิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นสัมพันธ์กับเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรมากขึ้น ผู้คนสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์ความรุนแรง มีการขยายตัวของธุรกิจท้องถิ่นและคุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น อย่างไรก็ตาม งานเขียนกลุ่มแนวคิดวัฒนธรรมชุมชนและเศรษฐกิจชุมชนกลับมองว่า การพัฒนาที่ชี้นำโดยรัฐและทุนต่างหากที่ส่งผลเสียต่อฐานทรัพยากร ระบบนิเวศ /สภาพแวดล้อมของชุมชน และทำลายวิถีการดำรงชีพแบบดั้งเดิมของคนในท้องถิ่นที่เน้นการพึ่งตนเองและยึดถือหลักพอเพียงบนฐานของเกษตรกรรม อันก่อให้เกิดสภาวะความยากจนและความด้อยพัฒนา และนำไปสู่สถานการณ์ความไม่สงบในที่สุด งานเขียนกลุ่มนี้จึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนบนฐานของวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอจากงานกลุ่มนี้ยังมีข้อจำกัดในแง่ที่ยังคงอธิบายในกรอบและวาทกรรมความมั่นคงของรัฐไทย มากกว่าจะชี้ให้เห็นถึงรากเหง้าที่แท้จริงของความรุนแรงอันเกิดจากปัญหาในเชิงโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียม อีกทั้งยังไม่เท่าทันต่อพลวัตรทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรมากขึ้น และผู้คนต้องการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดอย่างมีอำนาจต่อรองและเข้มแข็ง (น.31; 62 - 63) |
|
Focus |
เป็นการสำรวจองค์ความรู้และความเข้าใจต่อประเด็นทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่มีนัยยะสำคัญต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ทั้งจากงานเขียนกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักและกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสรอง (น.31) |
|
Theoretical Issues |
งานศึกษานี้พยายามเชื่อมโยงงานเขียนทั้งกลุ่มที่เป็นความคิดกระแสหลักและกระแสรองเข้ากับบริบททางประวัติศาสตร์ รวมถึงพลวัตรทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อทำความเข้าใจถึงสถานะของงานเขียน ตลอดจนจุดยืนและความเป็นการเมืองของ ผู้เขียน และองค์กร / หน่วยงานที่สนับสนุนการผลิตงานเขียนเกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (น.31) |
|
Study Period (Data Collection) |
เน้นศึกษางานเขียนตั้งแต่ พ.ศ.2547 เป็นต้นมา แต่ผู้เขียนหยิบยกงานเขียนบางส่วนในช่วงก่อนหน้านั้นมาอธิบายด้วย เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสืบเนื่องของแนวคิดด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีมาตั้งแต่อดีต (น. 31) |
|
Economy |
เศรษฐกิจชุมชนดั้งเดิมของชาวมลายูมุสลิมเป็นระบบพึ่งตนเองและพอเพียงบนฐานของเกษตรกรรม โดยมีหลักคำสอนทางศาสนาอิสลามที่กำกับระเบียบกฎเกณฑ์ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและอยู่บนฐานของระบบกรรมสิทธิ์ส่วนรวม อันก่อให้เกิดจารีตในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเท่าที่จำเป็นด้วยเครื่องมือประมงที่เหมาะสม รวมทั้งระบบ “สวนดูซง” หรือระบบสวนแบบผสมผสานดั้งเดิม ซึ่งเป็นระบบการใช้ทรัพยากรร่วมกันในหมู่เครือญาติหรือกลุ่มตระกูลในสภาพนิเวศแบบพื้นที่ป่าในจังหวัดชายแดนใต้ ตลอดจนการจัดระบบแลกเปลี่ยนแรงงาน (ระบบซอลล์) ที่คล้ายกับระบบการลงแขกในสังคมชาวไทยพุทธ ( 46 - 47)
สถานการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในระลอกใหม่ตั้งแต่ พ.ศ.2547 ก่อให้เกิดสภาวะความซบเซาทางเศรษฐกิจและทำให้ผู้คนไม่สามารถดำรงวิถีการดำรงชีพแบบดั้งเดิมได้ รวมทั้งประสบกับความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน จนบางรายต้องอพยพโยกย้ายออกไปนอกพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกชาวไทยและชาวจีน แต่ในแง่หนึ่งก็มีมิติของการปรับตัวของผู้คนต่อสถานการณ์ความไม่สงบ อาทิเช่น คนในท้องถิ่นหันมาเป็นพ่อค้าคนกลางรับซื้อผลผลิตการเกษตรเอง โดยไม่ต้องพึ่งพิงพ่อค้าคนกลางจากภายนอก หรือชาวสวนยางปรับเวลาในการกรีดยางใหม่ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความรุนแรงในช่วงสิบปีที่ผ่านมากลับส่งผลทำให้เศรษฐกิจชายแดนใต้ขยายตัวหรือยังคงทรงตัว อันเป็นผลมาจากการอัดฉีดงบประมาณทางด้านความมั่นคงและการพัฒนาของรัฐในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่การไหลเวียนของเงินจำนวนมากไปสู่ผู้คนในระดับต่าง ๆ รวมทั้งเกิดการจ้างงานภาครัฐสูงขึ้น จนกลายเป็นอีกแหล่งรายได้ที่สำคัญของครัวเรือนชาวมลายูมุสลิม วิถีการดำรงชีพของคนในท้องถิ่นจึงมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรมากขึ้น นอกจากนี้ ในแง่ของพลวัตรทางโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมของชายแดนใต้ พบว่ามีการขยายตัวของภาคการค้ารายย่อยและธุรกิจท้องถิ่นที่ลงทุนโดยนักธุรกิจชาวมลายูมุสลิมที่ดำเนินธุรกิจตามหลักศาสนาอิสลาม และมีการระดมทุนจากประชาชนในพื้นที่เพื่อลงทุนในกิจการต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่เคยเป็นของนักธุรกิจชาวจีนเป็นส่วนใหญ่ (Bundhuwong, 2013, อ้างถึงใน น.43 - 44) |
|
Social Organization |
ครอบครัวชาวมุสลิมเป็นครอบครัวขยายขนาดใหญ่ (น.33) |
|
Political Organization |
ในช่วงก่อนทศวรรษ 2490 รัฐไทยใช้นโยบายการกลืนกลายทางวัฒนธรรมแบบบังคับต่อชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ในสมัยจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ นโยบายดังกล่าวค่อย ๆ ลดบทบาทลง โดยฝ่ายความมั่นคงของรัฐมองว่า ความยากจนและความด้อยพัฒนาในพื้นที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนมลายูมุสลิมถูกชักจูงให้เข้าร่วมกับขบวนการก่อความไม่สงบได้ง่าย ดังนั้น รัฐไทยจึงต้องการใช้การพัฒนาเป็นเครื่องมือยับยั้งการต่อต้านรัฐ และเพื่อเอาชนะหัวใจของชาวมลายูมุสลิม (น.32) อันนำไปสู่โครงการพัฒนาของรัฐในพื้นที่จำนวนมาก ควบคู่ไปกับแนวทางการประนีประนอม ยอมรับและสนับสนุนลักษณะเฉพาะในด้านศาสนา สังคม และวัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิม แต่กระนั้นรัฐก็ยังคงดำเนินนโยบายปราบปราบและป้องปรามควบคู่กันมาโดยตลอด อันปรากฏอย่างชัดเจนถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อย่างต่อเนื่อง (น.38) นอกจากรัฐบาลแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ก็มีบทบาทสำคัญในการดำเนินโครงการพัฒนาตามพระราชดำริที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และสร้างแนวทางการพัฒนาที่กลายเป็นต้นแบบการพัฒนาของหน่วยงานรัฐในพื้นที่ (น.36)
แม้ว่าการพัฒนาของรัฐในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีส่วนทำให้ภาวะความยากจนลดลง และผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่กระนั้น สถานการณ์ความไม่สงบกลับขยายตัวและหยั่งรากลึกยิ่งกว่ายุคก่อนหน้านี้ งานศึกษาในปัจจุบันบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงที่น้อยมากระหว่างความยากจนกับสถานการณ์ความไม่สงบในปัจจุบัน เพราะความยากจนไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่ยากจนเข้าร่วมขบวนการความไม่สงบ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ยากจนกลับมองว่า การเข้าร่วมจะยิ่งทำให้สถานะทางเศรษฐกิจของตนและครอบครัวเลวร้ายยิ่งขึ้น อีกทั้งไม่ปรากฎว่าปัญหาความยากจนหรือด้อยพัฒนาเคยถูกใช้สื่อสารเป็นข้อเรียกร้องทางการเมืองของขบวนการก่อความไม่สงบแต่อย่างใด (Bundhuwong, 2013 อ้างถึงใน น. 37 - 38) |
|
Belief System |
ชาวมลายูมุสลิมมีพื้นฐานความคิดทางศาสนาว่า ชีวิตปัจจุบันคือช่วงเวลาชั่วขณะที่พระเจ้าทดสอบดีชั่วก่อนคืนกลับสู่อ้อมกอดของพระองค์ในโลกหน้าที่นิรันดร เพื่อรับผลจากการกระทำในโลกนี้ โลกทัศน์ดังกล่าวจึงหล่อหลอมให้ชาวมุสลิมชายแดนใต้มีวิถีปฏิบัติที่เน้นความพอประมาณ พอเพียง และมีเวลาปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งคำสอนทางศาสนาเหล่านี้เป็นพื้นฐานความคิดหลักของระบบเศรษฐกิจชุมชนที่เน้นการพึ่งตนเองและพอเพียง เช่น พื้นฐานความคิดเรื่องความร่วมมือช่วยเหลือกัน การยึดถือชีวิตที่เรียบง่าย ข้อกำหนดเรื่องการถือครองทรัพย์สิน การแบ่งและรับมรดก และการบริจาค สิ่งเหล่านี้ช่วยชะลอไม่ให้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินไป ( วิโชติ จงรุ่งเรือง, 2548 ; ศรีพงศ์ อุดมครบ, 2539, อ้างถึงใน น.46)
ความเป็นชุมชนมุสลิมที่มีวัตรปฏิบัติทางศาสนาที่เข้มแข็งของชาวมลายูมุสลิมชายแดนใต้เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้แก่ การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบตลาด การพัฒนาแบบทันสมัย โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รวมทั้งอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ที่มาพร้อมกับการหลั่งไหลของข้อมูลข่าวสาร และโอกาสการเดินทางในโลกไร้พรมแดน ส่งผลทำให้ผู้คนมีทุนทรัพย์เพิ่มขึ้นจึงสามารถใช้จ่ายทางศาสนาได้มากขึ้น หรือสามารถเข้าถึงการศึกษาทางศาสนา ทั้งในชุมชนและประเทศแถบตะวันออกกลาง อันนำไปสู่การเผยแพร่แนวคิดทางศาสนาจากประเทศเหล่านั้นสู่ชุมชน ดังนั้น ยิ่งทุนนิยมเติบโต ความเป็นอิสลามก็ยิ่งเฟื่องฟูยิ่งขึ้น (Bandhuwong, 2013, น. 49 - 50) |
|
Education and Socialization |
งานเขียนในช่วงปี พ.ศ. 2521 – 2546 มักเน้นอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้มีระดับการศึกษาต่ำกว่าคนไทยในภาคอื่น ๆ ว่า เป็นผลมาจากการที่ชาวมลายูมุสลิมมีความรู้สึกแปลกแยกจากรัฐชาติไทยและชาวไทยส่วนใหญ่ จนไม่ยอมเรียนภาษาไทยหรือเข้าเรียนในระบบการศึกษาแบบไทย เนื่องจากมองว่าเป็นเครื่องมือในการบังคับถ่ายทอดอุดมการณ์รัฐไทยจากส่วนกลาง ปัจจัยดังกล่าวมีส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวมลายูมุสลิมมีอัตราการว่างงานที่สูง และรายได้ต่ำกว่าคนภาคอื่น ๆ (น.32 - 33)
ภายใต้ปฏิบัติการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวมลายูมุสลิมของรัฐไทยนั้น ชาวมลายูมุสลิมมีอัตราการรู้ภาษาไทยเพิ่มขึ้นและมีโอกาสเข้าศึกษาในระดับสูงและในสถาบันวิชาชีพมากขึ้น ส่งผลทำให้ชาวมลายูมุสลิมมีโอกาสรับราชการและทำงานงานตามหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มขึ้น พลวัตรดังกล่าวทำให้ชาวมลายูมุสลิมเริ่มตระหนักมากขึ้นถึงความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่จะต้องมีความรู้ภาษาไทยเพื่อประกอบอาชีพสมัยใหม่ (น.36 - 37) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราการเรียนหนังสือที่เพิ่มขึ้นของชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้จะมีส่วนช่วยลดความไม่เท่าเทียมกับคนไทยในภาคอื่น ๆ ในแง่ของรายได้ ค่าจ้าง สภาวการณ์ทำงาน และการศึกษา แต่กระนั้นก็ยังพบปัญหาว่า นักเรียนที่จบหลักสูตรสามัญทั้งของโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามไม่สามารถแข่งขันในระดับอุดมศึกษาหรือประกอบอาชีพแข่งขันกับคนไทยพุทธในพื้นที่อื่น ๆ ได้ (น.59)
สำหรับการเรียนการสอนตามหลักศาสนานั้น การพัฒนาแบบเสรีนิยมใหม่และกระแสโลกาภิวัตน์เอื้อให้ชาวมุสลิมเข้าถึงโอกาสในการศึกษาทางศาสนามากยิ่งขึ้น โดยหลายครอบครัวเริ่มมีกำลังทรัพย์ที่จะส่งบุตรหลานเข้าเรียนที่ปอเนาะกับโต๊ะครูที่มีชื่อข้างนอกชุมชนได้ นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาทางด้านศาสนาจากประเทศแถบตะวันออกกลางได้กลับมาเป็นกำลังสำคัญในการสอนศาสนาในพื้นที่ และผลิตลูกศิษย์ที่จะเป็นผู้นำหรือครูสอนศาสนาในหมู่บ้านตนเอง ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเผยแพร่คำสอนให้กับชาวบ้านธรรมดาหรือกลุ่มคนชายขอบต่อไป (น.50) |
|
Health and Medicine |
ลักษณะเฉพาะทางศาสนาและวัฒนธรรมส่งผลทำให้ชาวมลายูมุสลิมไม่คุมกำเนิด และนิยมคลอดบุตรที่บ้านในอัตราที่สูง อีกทั้งยังมีอัตราการสูบบุหรี่ในระดับสูง ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีการศึกษาต่ำ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนได้รับการบ่งชี้ว่าส่งผลสำคัญอย่างยิ่งต่อปัญหาคุณภาพชาวมลายูมุสลิม (น.3) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สถานการณ์ความไม่สงบส่งผลทำให้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนต่างศาสนาในชุมชนส่วนใหญ่ลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม กรณีของหมู่บ้านไทยพุทธแห่งหนึ่งในจังหวัดยะลา ตามที่ปรากฏในงานศึกษาของวิทวัส ช้างศร ( 2553, อ้างถึงใน น.41 ) พบว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างคนไทยพุทธกับคนมลายูมุสลิมยังมีส่วนช่วยรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างกลุ่มคนเหล่านี้ให้ยังคงดำรงอยู่ อีกทั้งชุมชนยังคงมีความเข้มแข็งบนฐานของระบบเครือญาติและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมถึงมีผู้นำฝ่ายปกครองและพระสงฆ์ที่เข้มแข็ง และการเข้ามาช่วยเหลือหน่วยงานของภาครัฐ
โครงการพัฒนาของภาครัฐที่มีลักษณะการวางแผนจากบนลงล่าง ( top – down) ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจที่จำกัดอยู่ในมือของกลุ่มชนชั้นนำอย่างผู้นำทางการหรือผู้มีอิทธิพลของท้องถิ่นเท่านั้น การไม่นำหลักศาสนามาใช้กำกับกระบวนการพัฒนาจึงก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างสี่เสาหลักของหมู่บ้าน (ประกอบด้วยผู้ใหญ่บ้าน โต๊ะอีหม่าม สมาชิกสภาองค์กรบริหารส่วนตำบล หรือ ส.อบต. และตัวแทนผู้นำองค์กรชุมชน) ที่มีการแย่งชิงผลประโยชน์และการคอร์รัปชั่น หรือไม่ก็ต่างคนต่างทำงาน (น.56) |
|
Critic Issues |
งานเขียนแนววัฒนธรรม / เศรษฐกิจชุมชน และปฏิบัติการขององค์กรภาคประชาสังคมที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐ แม้ว่าจะพยายามเสนอแนวทางการพัฒนาทางเลือก ซึ่งมิใช่การพัฒนาที่ผิดพลาดของรัฐและทุน แต่งานเขียนกลุ่มนี้กลับมองปัญหาทางด้านการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ด้วยกรอบความมั่นคงของชาติเช่นเดียวกับรัฐ โดยละเลยที่จะอธิบายถึงรากเหง้าที่แท้จริงของความขัดแย้งอันเกิดจากอุดมการณ์รัฐชาติไทย แนวคิดความเป็นรัฐเดี่ยวที่แบ่งแยกมิได้ และโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่มีสถาบันจารีต (รวมทั้งทหาร) เป็นศูนย์กลาง ข้อเสนอของงานกลุ่มนี้ยังมักจะอ้างอิงวาทกรรม / แนวทาง “ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ” และ “เศรษฐกิจพอเพียง” สอดคล้องกับแนวทางของหน่วยงานรัฐ/หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ งานเขียนกลุ่มนี้จึงกลายมาเป็นส่วนขยายในการผลิตซ้ำอุดมการณ์ของรัฐ และมีส่วนสร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพในการดำรงบทบาททางด้านความมั่นคงและการพัฒนาในพื้นที่ ซึ่งสวนทางกับข้อเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการให้กองทัพลดบทบาทหรือถอนกำลังออกจากพื้นที่ เพื่อให้กระบวนการสร้างสันติภาพเกิดขึ้นได้จริง นอกจากนี้ ข้อเสนอของงานเขียนกลุ่มนี้ยังห่างไกลจากสภาพชีวิตจริงของชาวบ้านที่มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับการผลิตเชิงพาณิชย์และระบบตลาด อีกทั้งชาวบ้านก็ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดอย่างมีอำนาจต่อรองและเข้มแข็งมากกว่าการพัฒนาตามแบบเศรษฐกิจพอเพียง (น.58 – 59, 63) |
|
|