|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อัตลักษณ์, ชนกลุ่มน้อย, เชียงราย, การท่องเที่ยว |
Author |
วรเมธ ยอดบุ่น |
Title |
อัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ในบริบทการท่องเที่ยว ศึกษากรณี หมู่บ้านรวมมิตร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า, ลีซู, ม้ง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานวิทยทรพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ไทย
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
179 |
Year |
2548 |
Source |
วิทยานิพนธ์ปริญญามานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การศึกษาวิจัยเรื่องอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ในบริบทการท่องเที่ยวนั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่หมู่บ้านท่องเที่ยว ผลการวิจัยพบว่า บ้านรวมมิตรประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อาข่า ม้ง ลีซู แต่ละกลุ่มมีอัตลักษณ์ดั้งเดิมที่ได้รับการสืบทอดเรื่อยมา เมื่อการท่องเที่ยวเข้ามามีบทบาทในชุมชนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอัตลักษณ์ของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ที่ใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือในการพูดรวมถึงการสื่อสารกับคนพื้นราบ ด้านการแต่งกาย ก็มีแนวโน้มว่าจะแต่งกายเหมือนกับคนพื้นราบมากขึ้นในชีวิตประจำวัน สำหรับชุดแต่งกายชาติพันธุ์จะสวมใส่เฉพาะวันสำคัญของชุมชน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเป็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้เข้ากับบริบทการท่องเที่ยวและบริบทอื่น ๆ ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อชุมชน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ สำนึกของความเป็นชาติพันธุ์ที่ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก และเมื่อได้มีการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับคนหลากหลายกลุ่ม ด้านหนึ่งมีผลทำให้อัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชัดเจนมากขึ้น อีกด้านหนึ่งก็มีผลให้เกิดการผสมกลมกลืนระหว่างผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ด้วย |
|
Focus |
เพื่ออธิบายปรากฏการณ์การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในบริบทการท่องเที่ยว กรณีศึกษาบ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย (หน้า 4) |
|
Theoretical Issues |
ใช้วิธีเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิควิธีที่สำคัญคือ หนึ่ง การค้นคว้าเอกสาร (Document Research) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปรากฏการณ์อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กับบริบทการท่องเที่ยวในประเทศไทยตามห้องสมุดต่างๆ , เอกสารที่เกี่ยวกับชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยทั่วไป และชาวเขาที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่มีรัฐมีต่อชาวเขา และนโยบายด้านอื่นๆ ที่มีต่อชาวเขา รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับหมู่บ้านรวมมิตรที่หน่วยงานต่างๆ เก็บรวบรวมไว้ สอง การศึกษาภาคสนาม (Field Research) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นวิธีการหลักและวิธีสำคัญในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้าน การสัมภาษณ์ ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธ์กะเหรี่ยง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลัก เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมในบ้านรวมมิตร มีทั้งที่เป็นกะเหรี่ยงสะกอ และกะเหรี่ยงโป สิ่งที่แยกทั้งสองกลุ่มสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยใช้ภาษาของกลุ่มย่อยตัวเอง เดิมทีกะเหรี่ยงมีถิ่นฐานอยู่ในประเทศจีน แล้วอพยพมาอยู่ในประเทศพม่า กลุ่มคนกะเหรี่ยงมักจะตั้งถิ่นฐานอยู่ตามหุบเขาที่มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน บ้านของชาวกะเหรี่ยงมักสร้างด้วยวัสดุที่หาได้จากท้องถิ่น สำหรับอาชีพหลักของชาวกะเหรี่ยง ปลูกข้าวในนาดำแบบนบันได และปลูกข้าวไร่แบบหมุนเวียน
กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า มีสมาชิกเป็นอันดับสองของบ้านรวมมิตร ที่เข้ามาเพื่อประกอบอาชีพค้าขายของที่ระลึก โดยเชื่อว่าชาวอาข่าสืบเชื้อสายมาจากชนชาติ โล-โล ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน หมู่บ้านชาวอาข่าบางแห่งจะมีลักษณะผสมผสานระหว่างชาวอาข่ากับชาวจีน ชาวอาข่าในประเทศไทย ส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นเชียงตุงประเทศพม่า (หน้า 130) ด้านการแต่งกายของอาข่ามีลักษณะเด่นที่หมวกที่ผู้หญิงสวมใส่ ซึ่งมีรูปแบบสวย แปลกและสีสันสะดุดตา ประดับด้วยเหรียญเงิน ลูกเดือย ลูกปัด แซมด้วยขนนก ขนไก่ ขนกระรอก และอื่นๆ ที่ดูสวยงามย้อมด้วยสีเหลือง แดง เป็นปุยย้อยลงมาข้างหู สำหรับผู้ชายวัยกลางคนนิยมโกนผมไว้จุกตรงกลาง ปล่อยยาวห้อยลงมาแล้วผูกปลาย สวมเสื้อทรงกระบอกสีดำ และกางเกงขายาวสีดำ ประดับตกแต่งด้วยเครื่องเงินเล็กน้อย (หน้า 131)
กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เป็นอีกกลุ่มชาติพันธ์ที่เข้ามาค้าขายในบ้านรวมมิตร มาจากประเทศจีน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความกระตือรือร้นในการทำธุรกิจ แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือม้งน้ำเงินและม้งขาว จำแนกตามลักษณะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ชาย หญิงม้งขาวจะสวมกางเกงขาก๊วยสีดำ ฟ้า หรือน้ำเงิน เป้าไม่ยานเหมือนม้งน้ำเงิน และสวมเสื้อแบบชาวจีน กางเกงของผู้หญิงจะมีผ้าสีฟ้าหรือน้ำเงิน ความยาวตั้งแต่เอวถึงประมาณครึ่งน่องปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีผ้าพันรอบเอวอีกทีหนึ่ง เมื่อมีพิธีกรรมสำคัญของหมู่บ้านหรือเครือญาติ หญิงจะใส่กระโปรงจีบสีขาวที่ทำจากผ้าใยกัญชงไม่มีลายปัก จึงได้ชื่อว่า ม้งขาว ชาวม้งนิยมนิยมใช้เครื่องประดับเงินทำเป็นกำไล ข้อมือ ห่วงประดับคอ ตุ้มหู และเหรียญเงินใช้ประดับเสื้อ (หน้า 132-133) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ชาวบ้านรวมมิตรไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด สามารถพูดภาษาไทยและภาษาคำเมืองได้ นอกเหนือจากภาษาเผ่าของตัวเอง ภาษาอาข่าอยู่ในตระกูลภาษาจีน ธิเบต |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาที่จะใช้การศึกษาวิจัยในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลสนาม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 – เดือนเมษายน พ.ศ. 2549 |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 75 ปีที่ผ่านมา โดยมีนายอูเป็นคนตั้งชื่อและเป็นคนแรกของหมู่บ้าน อพยพมาจากบ้านแม่โตร จังหวัดเชียงใหม่ ใกล้กับดอยอินทนนท์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านรวมมิตร ซึ่งหมายถึงการผสมผสาน ที่มีคนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาอาศัยอยู่รวมกันในชุมชน (หน้า 66)
มีการอพยพลงมาเนื่องจากคนที่มากขึ้นและข้อบังคับจากรัฐ ทำให้ต้องมาอยู่ในเขตพื้นที่ราบมากขึ้น |
|
Settlement Pattern |
ประชากรบ้านรวมมิตรส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ส่วนที่เหลือเป็นชาวเขาเผ่าอื่นที่อพยพ
เข้ามาอยู่อาศัยภายหลัง ได้แก่ ชาวเขาเผ่าม้ง อาข่า ลีซู รวมถึงคนไทยพื้นราบ ที่เข้ามาประกอบธุรกิจค้าขาย บางครอบครัวก็ยังเป็นเพียงแค่การอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี (หน้า 71) |
|
Demography |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง 1099 คน กลุ่มอาข่า 168 คน กลุ่มม้ง 59 คน กลุ่มอื่นๆ 19 คน รวมทั้งหมด 1345 คน (ข้อมูลปี 2548) (หน้า 72) |
|
Economy |
เกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักที่ชาวบ้านทำมาตั้งแต่อดีต โดยปลูกข้าวนาดำและข้าวไร่ สำหรับการบริโภคในครัวเรือน ทำไร่ข้าวโพดและไร่ขิงไว้จำหน่าย ปี 2518 การท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้คนส่วนหนึ่งก็เริ่มหารายได้เพิ่ม หันไปทำงานบริการให้กับนักท่องเที่ยว ทำโฮมสเตย์ แต่ปัจจุบันหมู่บ้านรวมมิตรทันสมัยมากขึ้น ไม่มีบรรยากาศแบบดั้งเดิม นักท่องเที่ยวจึงนิยมไปพักค้างในหมู่บ้านบริวารหรือหมู่บ้านที่อยู่ลึกในหุบเขา ซึ่งยังคงความเป็นชนเผ่าดั้งเดิมอยู่สูง การทำบ้านพักแบบโฮมสเตย์จึงไม่มีอีกแล้ว ทำให้มีการขายของที่ระลึก ค้าขายในที่ชุมชน บางส่วนไปทำงานพื้นที่อื่น ทั้งในและนอกประเทศ แล้วส่งเงินกลับมาให้ทางบ้าน นานๆ จึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้ง (หน้า 74-75) |
|
Political Organization |
ผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่ดูแลกิจกรรมต่างๆ ในชุมชน เป็นตัวแทนของชุมชนติดต่อประสานงานกับราชการ เมื่อมีเรื่องราวที่มีประโยชน์หรือข่าวสารบ้านเมืองจะแจ้งให้ชาวบ้านทราบหรือมีเรื่องที่จะประชุมปรึกษาหารือ ก็จะประกาศผ่านทางเสียงตามสาย ซึ่งหอกระจายข่าวจะอยู่ใกล้โบสถ์กะเหรี่ยง ตอนกลางของหมู่บ้าน นอกจากนี้ผู้ใหญ่บ้านยังเป็นคนหาวิธีการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างชาติพันธุ์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขภายใต้อาณาเขตของหมู่บ้านเดียวกัน ผู้ใหญ่บ้านจะมีคนช่วยเหลือหน้าที่การงานที่เรียกว่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 4 คน ทั้ง 4 คนเป็นชาวกะเหรี่ยง ทำให้มองเห็นว่าคนกะเหรี่ยงเป็นผู้กุมอำนาจในทางปกครอง เพราะจำนวนประชากรกะเหรี่ยงมีมากกว่าเผ่าอื่น นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ชุมชน เพื่อแบ่งเบาภาระงานผู้ใหญ่บ้านและทีมงาน เช่นคณะธรรมกิจที่ทำหน้าที่ศาสนา มีหัวหน้าผู้ประกอบพิธีกรรมเรียกว่า “ศิษยาภิบาล” แต่ชาวบ้านเรียกว่า “อาจารย์” มีหน้าที่คอยดูแลเรื่องกิจกรรมทางศาสนา
(หน้า 75 -76) |
|
Belief System |
ชาวบ้านบ้านรวมมิตร ทั้งกะเหรี่ยง อาข่า และม้งบางส่วน จะนับถือศาสนาคริสต์ ส่วนศาสนาพุทธนั้นนับถือกันในหมู่คนม้งที่อพยพมาอยู่ใหม่และคนไทยพื้นราบไม่กี่หลังคาเรือน แต่ก่อนบ้านรวมมิตรมีโบสถ์เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแค่แห่งเดียว ที่ดำเนินการโดยคนกะเหรี่ยง ต่อมาเมื่อมีคนอาข่ามาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอาข่าที่สูงอายุก็ฟังบทสวดที่เป็นภาษากะเหรี่ยงและภาษาไทยไม่เข้าใจ ชาวอาข่าจึงแยกตัวออกไปตั้งโบสถ์อยู่อีกแห่งหนึ่ง โดยเป็นที่ดินของชาวบ้านที่ให้ใช้ประกอบพิธีกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ จนถึงกลางปี 2548 พี่น้องอาข่าก็ได้รวบรวมเงินซื้อที่ดิน เพื่อสร้างโบสถ์เอง ส่วนวัดหรือสำนักสงฆ์นั้นไม่มีในหมู่บ้าน ทิ่ใกล้ที่สุดก็คือสำนักสงฆ์ของหมู่บ้านโป่งผำพัฒนา ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านรวมมิตร ไปทางทิศตะวันตกราว 5 กิโลเมตร (หน้า 76) ชาวกะเหรี่ยงจะมีวัฒนธรรมด้านความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง ความเชื่อดั้งเดิมเป็นความเชื่อเรื่องผี ซึ่งผีที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงได้แก่ ผีบ้าน ผีเรือน ยังมีผีไร่ ผีนา ผีน้ำ ผีเจ้าเขา ผีฟ้า เป็นต้น ผีบ้านจะเป็นผีเจ้าบ้านที่คอยปกป้องดูแลหมู่บ้าน ผีเรือนเป็นดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งคอยปกป้องลูกหลานผู้สืบทอดตระกูลของตน (หน้า 129-130) ชาวม้งมีข้อห้ามจะไม่แต่งงานกับคนแซ่หรือตระกูลเดียวกัน เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงจะต้องย้ายมาอยู่บ้านฝ่ายชาย เมื่อมีคนตาย จะมีการประกอบพิธีกรรม อาบน้ำแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ วางศพขนาดกับผนัง ใต้หิ้งบูชาบรรพบุรุษ มีการสวดนำทางศพ เพื่อให้ไปพบกับบรรพบุรุษของตัวเอง และต้องฝังศพในตอนเย็น ด้วยความเชื่อว่าผู้ตายจะได้เดินทางไปตามทางของตนเหมือนดวงตะวันที่กำลังจะตกดิน (หน้า 134) ชาวอาข่า ดั้งเดิมนับถือผี (animism) หรือบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่าทุกหนทุกแห่งจะมีผีสิงสถิตอยู่ เช่น ผีป่า ผีเรือน ผีน้ำ ดังนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามเกี่ยวกับสถานที่นั้น ต้องมีพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีต่างๆ เช่น ผีบรรพบุรุษ หรือผีเรือน เชื่อว่าคอยคุ้มครองสมาชิกในครอบครัวและหมู่บ้าน จะต้องมีหิ้งบูชาในทุกหลังคาเรือน และจะมีการไหว้ผีบรรพบุรุษหรือผีเรือนที่สำคัญ ปีละ 9 ครั้ง ชาวอาข่าจะมีการประกอบพิธีกรรมสำคัญ ทั้งหมด 12 พิธีกรรม เช่น พิธีโล้ชิงช้า เป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงเทพเจ้าผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ แก่ผลผลิตในไร่นา โดยจัดงานทั้งหมดสี่วัน (หน้า 131-132) |
|
Education and Socialization |
โรงเรียนแห่งแรกเกิดขึ้นที่หมู่บ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2518 (หน้า 68) การศึกษาที่เป็นทางการในปัจจุบัน ที่บ้านรวมมิตรมีโรงเรียนที่เปิดสอนถึงระดับศึกษาปีที่ 6 อยู่ 1 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนทั้งจากหมู่บ้านรวมมิตรและหมู่บ้านบริวาร รวมทั้งหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไป โดยที่บ้านรวมมิตรมีหอพักสำหรับรองรับเด็กที่บ้านอยู่ไกลจำนวน 2 แห่ง คือ หอพักเกาหลี และหอพักซากุระ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ศิลปหัตถกรรมของหญิงชาวกะเหรี่ยง คืองานทอผ้า ขณะที่หัตถกรรมของผู้ชายคือ การจักสาน และการทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในครัวเรือน |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
งานชิ้นนี้นำเสนออัตลัษณ์ทางชาติพันธุ์ในสถานะของบริบทการท่องเที่ยว ผ่านแนวความคิดความเป็นชาติพันธุ์ และแนวคิดการท่องเที่ยว นิยามถึงชาวเขาเผ่าต่างๆ ในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์ ได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเมื่อเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา อาศัยอยู่ตามภูเขาในเขตภาคเหนือของประเทศ รัฐบาลไทยได้พยายามสร้างความเป็นรัฐชาติที่มั่นคง ให้มีความคิด พฤติกรรม ศีลธรรม และวัฒนธรรมที่คล้ายๆ กัน จากเหตุผลของความมั่นคง ทำให้ชาวเขาเป็นบุคคลอื่น กลุ่มบุคคลที่แปลกแยก ต้องกำจัด หรือต้องถูกทำให้เหมือน ผสมกลมกลืน เช่น เรียนโรงเรียนที่สอนภาษาไทย ยังมีการสร้างวาทกรรมในแง่ลบต่อชาวเขาจากกลุ่มผู้มีอำนาจหรือคนส่วนใหญ่ เช่น ล้าหลัง ด้อยพัฒนา ไม่เจริญ สกปรก การสร้างว่าพวกเขาเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยว โดยการนำเอาวัฒนธรรม ประเพณี ให้กลายมาเป็นสินค้า มีการปรับอัตลักษณ์ต่างๆ ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ให้ชัดเจนขึ้น (หน้า 47-48) |
|
Social Cultural and Identity Change |
เรื่องของวัฒนธรรมนั้น ชีวิตของชาวบ้านจะผูกพันอยู่กับศาสนาคริสต์ วัฒนธรรมความเป็นอยู่จึงเกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ที่เห็นได้ง่ายที่สุดก็คือวันอาทิตย์ที่ผู้คนส่วนมากจะเข้าโบสถ์ในช่วงเวลา 10 โมงเสร็จพิธีเกือบบ่ายโมงแล้ว ผู้คนที่ไปมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงอายุ ผู้ชาย แต่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงและเด็ก บางคนก็จะถือพระคัมภีร์ที่เนื้อหาเขียนด้วยภาษากะเหรี่ยงไปด้วย เพื่อใช้อ่านและสรรเสริญพระเจ้าที่พวกเขาศรัทธา ในวันอาทิตย์ที่ชาวบ้านเข้าโบสถ์ หมู่บ้านจะเงียบกว่าวันอื่นๆ ห้ามขายอาหาร ห้ามเปิดร้านขายของ วันนี้ต้องเอาใจเข้าหาพระเจ้าเท่านั้น (หน้า 76-77) บ้านรวมมิตรยังมีวัฒนธรรมอีกอย่างที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ คือ ทัวร์ช้าง กิจกรรมนี้เป็นการปฏิบัติทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งจะทำให้รู้สึกตื่นเต้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่เคยนั่งบนหลังช้างมาก่อน มีการจัดงานวันช้าง ในทุกวันที่ 13 มีนาคม ของทุกปี การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก่อนมีการรื่นเริง งานวันนี้เป็นเทศกาลหรืองานพิธีของชุมชน แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมบ้าง เพิ่งมีการจัดมา ช่วงปี 2549 เป็นการจัดงานครั้งที่ 5 แต่ก่อนควาญช้างที่ประกอบกิจการท่องเที่ยวต้องนมัสการ พระเจ้าร่วมกัน 1 ครั้ง ชาวบ้านจะแต่งตัวด้วยชุดประจำเผ่าของตนเองเข้าไปร่วมขบวนพาเหรด ขบวนจะเริ่มเคลื่อนตัวสู่สนามโรงเรียนบ้านรวมมิตร ส่วนในปีก่อนๆ จะมีกลุ่มลาหู่และไทลื้อเข้าร่วมด้วย เป็นวันช้างไทย มีการแสดงวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า จะมีการให้ช้างกินบุฟเฟ่ห์ ขันโตกช้าง จำพวกอ้อย กล้วย มะละกอ ข้าวโพด เป็นต้น (หน้า 79) การแต่งกายได้รับอิทธิพลจากภายนอก หาซื้อได้ตามท้องตลาด แต่ขณะเดียวกันยังคงแต่งชุดประจำเผ่า เพื่อแสดงความเป็นชนเผ่าให้ดึงดูดความสนใจยังในแง่มุมของหมู่บ้านท่องเที่ยว ตามความคาดหมายของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชม (หน้า 122) |
|
Critic Issues |
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด มาพร้อมกับการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวทางชาติพันธุ์ต่างๆ ผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้ถูกท่องเที่ยวเชิงรับกลายเป็นผู้กระทำเชิงรุก เป็นการเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งในตอนแรกการบริหารจัดการอยู่ในการดูแลจากคนภายนอก ต่อมาเกิดการผลักดันของผู้คนและคนในชุมชน จึงกลับมาอยู่ในมือของคนท้องถิ่น ทั้งผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ เจ้าของช้างและควาญช้าง |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- ตาราง 1 แสดงจำนวนนักท่องเที่ยว วันพักเฉลี่ย และรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย ในปี 2547 หน้า 62
- ตาราง 2 จำนวนผู้มาเยือนจังหวัดเชียงรายที่เป็นชาวต่างประเทศ จำแนกตามถิ่นที่อยู่ในปี 2547 หน้า 63
- ตาราง 3 แสดงจำนวนหลังคาเรือนในหมู่บ้านรวมมิตรแยกตามกลุ่มบ้าน ประจำปี 2548 หน้า 70
- ตาราง 4 แสดงจำนวนหลังคาเรือนระหว่างปี 2538 – 2548 หน้า 71
- ตาราง 5 แสดงจำนวนประชากรบ้านรวมมิตร ปี 2548 หน้า 71
- ตาราง 6 แสดงจำนวนประชากรบ้านรวมมิตรแยกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ปี 2548 หน้า 72
- ตาราง 7 แสดงจำนวนนักเรียนโรงเรียนบ้านรวมมิตร ประจำปี 2548 หน้า 73
- ตาราง 8 แสดงการนั่งช้างในหมู่บ้านรวมมิตร หน้า 84
- ตาราง 9 แสดงความเป็นเจ้าของร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกในบ้านรวมมิตร หน้า 93
แผนที่
- แผนที่ 1 แผนที่จังหวัดเชียงราย หน้า 56
- แผนที่ 2 แผนที่บ้านรวมมิตร หน้า 69
- แผนที่ 3 แผนที่อำเภอเมืองเชียงรายและเส้นทางสู่บ้านรวมมิตร หน้า 81
- แผนที่ 4 แสดงเส้นทางการล่องแพตามแม่น้ำกก หน้า 87
- แผนที่ 5 เส้นทางนั่งช้างท่องเที่ยวของรอบๆ บ้านรวมมิตร หน้า 90
ภาพประกอบ
- รูปที่ 1 โรงเรียนบ้านรวมมิตร หน้า 74
- รูปที่ 2 โบสถ์กะเหรี่ยงบ้านรวมมิตร หน้า 78
- รูปที่ 3 งานวันช้างไทย หน้า 79
- รูปที่ 4 บรรยากาศงานช้างของหมู่บ้าน หน้า 80
- รูปที่ 5 เส้นทางการนั่งช้างท่องเที่ยวของบ้านรวมมิตร หน้า 85
- รูปที่ 6 ปางช้างรวมมิตร หน้า 85
- รูปที่ 7 แผนที่แนะนำการท่องเที่ยวบ้านรวมมิตรและหมู่บ้านใกล้เคียง หน้า 91
- รูปที่ 8 แผนที่แนะนำการท่องเที่ยวบ้านรวมมิตรและหมู่บ้านใกล้เคียง (2) หน้า 91
- รูปที่ 9 ร้านขายของที่ระลึกเผ่ากะเหรี่ยง หน้า 94
- รูปที่ 10 นักท่องเที่ยวต่างชาติถ่ายรูปกับงูหลามยักษ์ หน้า 98
- รูปที่ 11 ผ้าปักของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง หน้า 100
- รูปที่ 12“พี่ก๊ะ” กำลังตัดเย็บเสื้อผ้าม้ง หน้า 102
- รูปที่ 13 อาแหยะ เยเบีบวกู่ หน้า 105
- รูปที่ 14 หญิงลีซูกับงานขายของที่ระลึก หน้า 106
- รูปที่ 15 เจ้าของร้านกาแฟดอยช้าง บ้านรวมมิตร หน้า 108
- รูปที่ 16 บรรยากาศการขายของที่ระลึก ไนท์บาร์ซาร์ เชียงราย หน้า 112
- รูปที่ 17 การตั้งร้านสำหรับขายของที่ระลึก ไนท์บาซาร์ หน้า 112
- รูปที่ 18 ชาวเขาเผ่าอาข่าขายของที่ระลึกอยู่ข้างเวทีแสดงวัฒนธรรม หน้า 113
- รูปที่ 19 นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศกำลังดูภาพถ่ายของตัวเอง หน้า 118
- รูปที่ 20 รถบัสที่ใช้ขนส่งนักท่องเที่ยว หน้า 119
- รูปที่ 21 นักท่องเที่ยวกำลังเดินชมหมู่บ้าน หน้า 125
- รูปที่ 22 เด็กที่เดินเร่ขายของที่ระลึก หน้า 143 |
|
|