สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อัตลักษณ์, ชนกลุ่มน้อย, เชียงราย, การท่องเที่ยว
Author วรเมธ ยอดบุ่น
Title อัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ในบริบทการท่องเที่ยว ศึกษากรณี หมู่บ้านรวมมิตร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, ลีซู, ม้ง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
สำนักงานวิทยทรพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ไทย
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 179 Year 2548
Source วิทยานิพนธ์ปริญญามานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขามานุษยวิทยา ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

การศึกษาวิจัยเรื่องอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ในบริบทการท่องเที่ยวนั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่หมู่บ้านท่องเที่ยว ผลการวิจัยพบว่า บ้านรวมมิตรประกอบไปด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง อาข่า ม้ง ลีซู แต่ละกลุ่มมีอัตลักษณ์ดั้งเดิมที่ได้รับการสืบทอดเรื่อยมา เมื่อการท่องเที่ยวเข้ามามีบทบาทในชุมชนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอัตลักษณ์ของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นภาษา ที่ใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือในการพูดรวมถึงการสื่อสารกับคนพื้นราบ ด้านการแต่งกาย ก็มีแนวโน้มว่าจะแต่งกายเหมือนกับคนพื้นราบมากขึ้นในชีวิตประจำวัน สำหรับชุดแต่งกายชาติพันธุ์จะสวมใส่เฉพาะวันสำคัญของชุมชน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเป็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้เข้ากับบริบทการท่องเที่ยวและบริบทอื่น ๆ ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อชุมชน แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ สำนึกของความเป็นชาติพันธุ์ที่ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก และเมื่อได้มีการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับคนหลากหลายกลุ่ม ด้านหนึ่งมีผลทำให้อัตลักษณ์ของแต่ละกลุ่มชัดเจนมากขึ้น อีกด้านหนึ่งก็มีผลให้เกิดการผสมกลมกลืนระหว่างผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ด้วย

Focus

เพื่ออธิบายปรากฏการณ์การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในบริบทการท่องเที่ยว กรณีศึกษาบ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย  (หน้า 4)

Theoretical Issues

ใช้วิธีเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิควิธีที่สำคัญคือ หนึ่ง การค้นคว้าเอกสาร (Document Research) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปรากฏการณ์อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กับบริบทการท่องเที่ยวในประเทศไทยตามห้องสมุดต่างๆ , เอกสารที่เกี่ยวกับชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยทั่วไป และชาวเขาที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านการท่องเที่ยวที่มีรัฐมีต่อชาวเขา และนโยบายด้านอื่นๆ ที่มีต่อชาวเขา รวมทั้งเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับหมู่บ้านรวมมิตรที่หน่วยงานต่างๆ เก็บรวบรวมไว้ สอง การศึกษาภาคสนาม (Field Research) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นวิธีการหลักและวิธีสำคัญในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการเข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้าน การสัมภาษณ์ ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธ์กะเหรี่ยง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลัก เป็นเจ้าของพื้นที่เดิมในบ้านรวมมิตร มีทั้งที่เป็นกะเหรี่ยงสะกอ และกะเหรี่ยงโป สิ่งที่แยกทั้งสองกลุ่มสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยใช้ภาษาของกลุ่มย่อยตัวเอง เดิมทีกะเหรี่ยงมีถิ่นฐานอยู่ในประเทศจีน แล้วอพยพมาอยู่ในประเทศพม่า กลุ่มคนกะเหรี่ยงมักจะตั้งถิ่นฐานอยู่ตามหุบเขาที่มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน บ้านของชาวกะเหรี่ยงมักสร้างด้วยวัสดุที่หาได้จากท้องถิ่น สำหรับอาชีพหลักของชาวกะเหรี่ยง ปลูกข้าวในนาดำแบบนบันได และปลูกข้าวไร่แบบหมุนเวียน
กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า มีสมาชิกเป็นอันดับสองของบ้านรวมมิตร ที่เข้ามาเพื่อประกอบอาชีพค้าขายของที่ระลึก โดยเชื่อว่าชาวอาข่าสืบเชื้อสายมาจากชนชาติ โล-โล ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน หมู่บ้านชาวอาข่าบางแห่งจะมีลักษณะผสมผสานระหว่างชาวอาข่ากับชาวจีน ชาวอาข่าในประเทศไทย ส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นเชียงตุงประเทศพม่า (หน้า 130) ด้านการแต่งกายของอาข่ามีลักษณะเด่นที่หมวกที่ผู้หญิงสวมใส่ ซึ่งมีรูปแบบสวย แปลกและสีสันสะดุดตา ประดับด้วยเหรียญเงิน ลูกเดือย ลูกปัด แซมด้วยขนนก ขนไก่ ขนกระรอก และอื่นๆ ที่ดูสวยงามย้อมด้วยสีเหลือง แดง เป็นปุยย้อยลงมาข้างหู สำหรับผู้ชายวัยกลางคนนิยมโกนผมไว้จุกตรงกลาง ปล่อยยาวห้อยลงมาแล้วผูกปลาย สวมเสื้อทรงกระบอกสีดำ และกางเกงขายาวสีดำ ประดับตกแต่งด้วยเครื่องเงินเล็กน้อย (หน้า 131)
กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เป็นอีกกลุ่มชาติพันธ์ที่เข้ามาค้าขายในบ้านรวมมิตร มาจากประเทศจีน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความกระตือรือร้นในการทำธุรกิจ แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือม้งน้ำเงินและม้งขาว จำแนกตามลักษณะเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ชาย หญิงม้งขาวจะสวมกางเกงขาก๊วยสีดำ ฟ้า หรือน้ำเงิน เป้าไม่ยานเหมือนม้งน้ำเงิน และสวมเสื้อแบบชาวจีน กางเกงของผู้หญิงจะมีผ้าสีฟ้าหรือน้ำเงิน ความยาวตั้งแต่เอวถึงประมาณครึ่งน่องปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีผ้าพันรอบเอวอีกทีหนึ่ง เมื่อมีพิธีกรรมสำคัญของหมู่บ้านหรือเครือญาติ หญิงจะใส่กระโปรงจีบสีขาวที่ทำจากผ้าใยกัญชงไม่มีลายปัก จึงได้ชื่อว่า ม้งขาว ชาวม้งนิยมนิยมใช้เครื่องประดับเงินทำเป็นกำไล ข้อมือ ห่วงประดับคอ ตุ้มหู และเหรียญเงินใช้ประดับเสื้อ (หน้า 132-133)

Language and Linguistic Affiliations

ชาวบ้านรวมมิตรไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด สามารถพูดภาษาไทยและภาษาคำเมืองได้ นอกเหนือจากภาษาเผ่าของตัวเอง ภาษาอาข่าอยู่ในตระกูลภาษาจีน ธิเบต

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลาที่จะใช้การศึกษาวิจัยในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลสนาม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2548 – เดือนเมษายน พ.ศ. 2549 

History of the Group and Community

หมู่บ้านถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 75 ปีที่ผ่านมา โดยมีนายอูเป็นคนตั้งชื่อและเป็นคนแรกของหมู่บ้าน อพยพมาจากบ้านแม่โตร จังหวัดเชียงใหม่ ใกล้กับดอยอินทนนท์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านรวมมิตร ซึ่งหมายถึงการผสมผสาน ที่มีคนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์เข้ามาอาศัยอยู่รวมกันในชุมชน (หน้า 66)
มีการอพยพลงมาเนื่องจากคนที่มากขึ้นและข้อบังคับจากรัฐ ทำให้ต้องมาอยู่ในเขตพื้นที่ราบมากขึ้น 

Settlement Pattern

ประชากรบ้านรวมมิตรส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ส่วนที่เหลือเป็นชาวเขาเผ่าอื่นที่อพยพ 
เข้ามาอยู่อาศัยภายหลัง ได้แก่ ชาวเขาเผ่าม้ง อาข่า ลีซู รวมถึงคนไทยพื้นราบ ที่เข้ามาประกอบธุรกิจค้าขาย บางครอบครัวก็ยังเป็นเพียงแค่การอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี (หน้า 71)  

Demography

กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง 1099 คน กลุ่มอาข่า 168 คน กลุ่มม้ง 59 คน กลุ่มอื่นๆ 19 คน รวมทั้งหมด 1345 คน (ข้อมูลปี 2548) (หน้า 72)

Economy

เกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักที่ชาวบ้านทำมาตั้งแต่อดีต โดยปลูกข้าวนาดำและข้าวไร่ สำหรับการบริโภคในครัวเรือน ทำไร่ข้าวโพดและไร่ขิงไว้จำหน่าย ปี 2518 การท่องเที่ยวเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้คนส่วนหนึ่งก็เริ่มหารายได้เพิ่ม หันไปทำงานบริการให้กับนักท่องเที่ยว ทำโฮมสเตย์ แต่ปัจจุบันหมู่บ้านรวมมิตรทันสมัยมากขึ้น ไม่มีบรรยากาศแบบดั้งเดิม  นักท่องเที่ยวจึงนิยมไปพักค้างในหมู่บ้านบริวารหรือหมู่บ้านที่อยู่ลึกในหุบเขา ซึ่งยังคงความเป็นชนเผ่าดั้งเดิมอยู่สูง การทำบ้านพักแบบโฮมสเตย์จึงไม่มีอีกแล้ว ทำให้มีการขายของที่ระลึก ค้าขายในที่ชุมชน บางส่วนไปทำงานพื้นที่อื่น ทั้งในและนอกประเทศ แล้วส่งเงินกลับมาให้ทางบ้าน นานๆ จึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดสักครั้ง (หน้า 74-75)

Political Organization

ผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่ดูแลกิจกรรมต่างๆ ในชุมชน เป็นตัวแทนของชุมชนติดต่อประสานงานกับราชการ  เมื่อมีเรื่องราวที่มีประโยชน์หรือข่าวสารบ้านเมืองจะแจ้งให้ชาวบ้านทราบหรือมีเรื่องที่จะประชุมปรึกษาหารือ ก็จะประกาศผ่านทางเสียงตามสาย ซึ่งหอกระจายข่าวจะอยู่ใกล้โบสถ์กะเหรี่ยง ตอนกลางของหมู่บ้าน นอกจากนี้ผู้ใหญ่บ้านยังเป็นคนหาวิธีการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างชาติพันธุ์ให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขภายใต้อาณาเขตของหมู่บ้านเดียวกัน ผู้ใหญ่บ้านจะมีคนช่วยเหลือหน้าที่การงานที่เรียกว่าผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 4 คน ทั้ง 4 คนเป็นชาวกะเหรี่ยง ทำให้มองเห็นว่าคนกะเหรี่ยงเป็นผู้กุมอำนาจในทางปกครอง เพราะจำนวนประชากรกะเหรี่ยงมีมากกว่าเผ่าอื่น  นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ชุมชน เพื่อแบ่งเบาภาระงานผู้ใหญ่บ้านและทีมงาน เช่นคณะธรรมกิจที่ทำหน้าที่ศาสนา มีหัวหน้าผู้ประกอบพิธีกรรมเรียกว่า “ศิษยาภิบาล” แต่ชาวบ้านเรียกว่า “อาจารย์” มีหน้าที่คอยดูแลเรื่องกิจกรรมทางศาสนา
(หน้า 75 -76)

Belief System

ชาวบ้านบ้านรวมมิตร ทั้งกะเหรี่ยง อาข่า และม้งบางส่วน จะนับถือศาสนาคริสต์  ส่วนศาสนาพุทธนั้นนับถือกันในหมู่คนม้งที่อพยพมาอยู่ใหม่และคนไทยพื้นราบไม่กี่หลังคาเรือน แต่ก่อนบ้านรวมมิตรมีโบสถ์เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแค่แห่งเดียว ที่ดำเนินการโดยคนกะเหรี่ยง ต่อมาเมื่อมีคนอาข่ามาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอาข่าที่สูงอายุก็ฟังบทสวดที่เป็นภาษากะเหรี่ยงและภาษาไทยไม่เข้าใจ ชาวอาข่าจึงแยกตัวออกไปตั้งโบสถ์อยู่อีกแห่งหนึ่ง โดยเป็นที่ดินของชาวบ้านที่ให้ใช้ประกอบพิธีกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ จนถึงกลางปี 2548 พี่น้องอาข่าก็ได้รวบรวมเงินซื้อที่ดิน เพื่อสร้างโบสถ์เอง ส่วนวัดหรือสำนักสงฆ์นั้นไม่มีในหมู่บ้าน ทิ่ใกล้ที่สุดก็คือสำนักสงฆ์ของหมู่บ้านโป่งผำพัฒนา ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านรวมมิตร ไปทางทิศตะวันตกราว 5 กิโลเมตร (หน้า 76) ชาวกะเหรี่ยงจะมีวัฒนธรรมด้านความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง ความเชื่อดั้งเดิมเป็นความเชื่อเรื่องผี ซึ่งผีที่สำคัญของชาวกะเหรี่ยงได้แก่ ผีบ้าน ผีเรือน ยังมีผีไร่ ผีนา ผีน้ำ ผีเจ้าเขา ผีฟ้า เป็นต้น ผีบ้านจะเป็นผีเจ้าบ้านที่คอยปกป้องดูแลหมู่บ้าน ผีเรือนเป็นดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ  ซึ่งคอยปกป้องลูกหลานผู้สืบทอดตระกูลของตน (หน้า 129-130) ชาวม้งมีข้อห้ามจะไม่แต่งงานกับคนแซ่หรือตระกูลเดียวกัน เมื่อแต่งงานแล้วฝ่ายหญิงจะต้องย้ายมาอยู่บ้านฝ่ายชาย เมื่อมีคนตาย จะมีการประกอบพิธีกรรม อาบน้ำแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ วางศพขนาดกับผนัง ใต้หิ้งบูชาบรรพบุรุษ มีการสวดนำทางศพ เพื่อให้ไปพบกับบรรพบุรุษของตัวเอง และต้องฝังศพในตอนเย็น ด้วยความเชื่อว่าผู้ตายจะได้เดินทางไปตามทางของตนเหมือนดวงตะวันที่กำลังจะตกดิน (หน้า 134) ชาวอาข่า ดั้งเดิมนับถือผี (animism) หรือบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่าทุกหนทุกแห่งจะมีผีสิงสถิตอยู่ เช่น ผีป่า ผีเรือน ผีน้ำ ดังนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตามเกี่ยวกับสถานที่นั้น ต้องมีพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีต่างๆ เช่น ผีบรรพบุรุษ หรือผีเรือน เชื่อว่าคอยคุ้มครองสมาชิกในครอบครัวและหมู่บ้าน จะต้องมีหิ้งบูชาในทุกหลังคาเรือน และจะมีการไหว้ผีบรรพบุรุษหรือผีเรือนที่สำคัญ ปีละ 9 ครั้ง ชาวอาข่าจะมีการประกอบพิธีกรรมสำคัญ ทั้งหมด 12 พิธีกรรม เช่น พิธีโล้ชิงช้า  เป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงเทพเจ้าผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ แก่ผลผลิตในไร่นา โดยจัดงานทั้งหมดสี่วัน (หน้า 131-132) 

Education and Socialization

โรงเรียนแห่งแรกเกิดขึ้นที่หมู่บ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2518 (หน้า 68) การศึกษาที่เป็นทางการในปัจจุบัน ที่บ้านรวมมิตรมีโรงเรียนที่เปิดสอนถึงระดับศึกษาปีที่ 6 อยู่ 1 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนทั้งจากหมู่บ้านรวมมิตรและหมู่บ้านบริวาร รวมทั้งหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไป โดยที่บ้านรวมมิตรมีหอพักสำหรับรองรับเด็กที่บ้านอยู่ไกลจำนวน 2 แห่ง คือ หอพักเกาหลี และหอพักซากุระ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ศิลปหัตถกรรมของหญิงชาวกะเหรี่ยง คืองานทอผ้า ขณะที่หัตถกรรมของผู้ชายคือ การจักสาน และการทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในครัวเรือน  

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

งานชิ้นนี้นำเสนออัตลัษณ์ทางชาติพันธุ์ในสถานะของบริบทการท่องเที่ยว ผ่านแนวความคิดความเป็นชาติพันธุ์ และแนวคิดการท่องเที่ยว นิยามถึงชาวเขาเผ่าต่างๆ ในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์  ได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเมื่อเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา อาศัยอยู่ตามภูเขาในเขตภาคเหนือของประเทศ รัฐบาลไทยได้พยายามสร้างความเป็นรัฐชาติที่มั่นคง  ให้มีความคิด พฤติกรรม ศีลธรรม และวัฒนธรรมที่คล้ายๆ กัน  จากเหตุผลของความมั่นคง ทำให้ชาวเขาเป็นบุคคลอื่น  กลุ่มบุคคลที่แปลกแยก ต้องกำจัด หรือต้องถูกทำให้เหมือน ผสมกลมกลืน เช่น เรียนโรงเรียนที่สอนภาษาไทย ยังมีการสร้างวาทกรรมในแง่ลบต่อชาวเขาจากกลุ่มผู้มีอำนาจหรือคนส่วนใหญ่ เช่น ล้าหลัง ด้อยพัฒนา ไม่เจริญ สกปรก การสร้างว่าพวกเขาเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยว โดยการนำเอาวัฒนธรรม ประเพณี ให้กลายมาเป็นสินค้า  มีการปรับอัตลักษณ์ต่างๆ ของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ให้ชัดเจนขึ้น (หน้า 47-48) 

Social Cultural and Identity Change

เรื่องของวัฒนธรรมนั้น ชีวิตของชาวบ้านจะผูกพันอยู่กับศาสนาคริสต์ วัฒนธรรมความเป็นอยู่จึงเกี่ยวข้องกับศาสนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น ที่เห็นได้ง่ายที่สุดก็คือวันอาทิตย์ที่ผู้คนส่วนมากจะเข้าโบสถ์ในช่วงเวลา 10 โมงเสร็จพิธีเกือบบ่ายโมงแล้ว ผู้คนที่ไปมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงอายุ ผู้ชาย แต่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงและเด็ก บางคนก็จะถือพระคัมภีร์ที่เนื้อหาเขียนด้วยภาษากะเหรี่ยงไปด้วย เพื่อใช้อ่านและสรรเสริญพระเจ้าที่พวกเขาศรัทธา ในวันอาทิตย์ที่ชาวบ้านเข้าโบสถ์ หมู่บ้านจะเงียบกว่าวันอื่นๆ ห้ามขายอาหาร ห้ามเปิดร้านขายของ วันนี้ต้องเอาใจเข้าหาพระเจ้าเท่านั้น (หน้า 76-77) บ้านรวมมิตรยังมีวัฒนธรรมอีกอย่างที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ คือ ทัวร์ช้าง กิจกรรมนี้เป็นการปฏิบัติทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งจะทำให้รู้สึกตื่นเต้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่เคยนั่งบนหลังช้างมาก่อน มีการจัดงานวันช้าง ในทุกวันที่ 13 มีนาคม ของทุกปี การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก่อนมีการรื่นเริง งานวันนี้เป็นเทศกาลหรืองานพิธีของชุมชน แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมบ้าง เพิ่งมีการจัดมา ช่วงปี 2549 เป็นการจัดงานครั้งที่ 5 แต่ก่อนควาญช้างที่ประกอบกิจการท่องเที่ยวต้องนมัสการ พระเจ้าร่วมกัน 1 ครั้ง ชาวบ้านจะแต่งตัวด้วยชุดประจำเผ่าของตนเองเข้าไปร่วมขบวนพาเหรด ขบวนจะเริ่มเคลื่อนตัวสู่สนามโรงเรียนบ้านรวมมิตร ส่วนในปีก่อนๆ จะมีกลุ่มลาหู่และไทลื้อเข้าร่วมด้วย เป็นวันช้างไทย มีการแสดงวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า จะมีการให้ช้างกินบุฟเฟ่ห์ ขันโตกช้าง จำพวกอ้อย กล้วย มะละกอ  ข้าวโพด เป็นต้น (หน้า 79) การแต่งกายได้รับอิทธิพลจากภายนอก หาซื้อได้ตามท้องตลาด แต่ขณะเดียวกันยังคงแต่งชุดประจำเผ่า เพื่อแสดงความเป็นชนเผ่าให้ดึงดูดความสนใจยังในแง่มุมของหมู่บ้านท่องเที่ยว ตามความคาดหมายของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวชม (หน้า 122) 

Critic Issues

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด มาพร้อมกับการเจริญเติบโตของการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวทางชาติพันธุ์ต่างๆ ผู้คนในกลุ่มชาติพันธุ์ปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้ถูกท่องเที่ยวเชิงรับกลายเป็นผู้กระทำเชิงรุก เป็นการเพิ่มอำนาจในการต่อรองกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งในตอนแรกการบริหารจัดการอยู่ในการดูแลจากคนภายนอก  ต่อมาเกิดการผลักดันของผู้คนและคนในชุมชน จึงกลับมาอยู่ในมือของคนท้องถิ่น ทั้งผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ เจ้าของช้างและควาญช้าง 

Map/Illustration

ตาราง
- ตาราง 1 แสดงจำนวนนักท่องเที่ยว วันพักเฉลี่ย และรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย ในปี 2547 หน้า 62
- ตาราง 2 จำนวนผู้มาเยือนจังหวัดเชียงรายที่เป็นชาวต่างประเทศ จำแนกตามถิ่นที่อยู่ในปี 2547  หน้า 63
- ตาราง 3 แสดงจำนวนหลังคาเรือนในหมู่บ้านรวมมิตรแยกตามกลุ่มบ้าน ประจำปี 2548  หน้า 70
- ตาราง 4 แสดงจำนวนหลังคาเรือนระหว่างปี 2538 – 2548 หน้า 71
- ตาราง 5 แสดงจำนวนประชากรบ้านรวมมิตร ปี 2548 หน้า 71
- ตาราง 6 แสดงจำนวนประชากรบ้านรวมมิตรแยกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ปี 2548 หน้า 72
- ตาราง 7 แสดงจำนวนนักเรียนโรงเรียนบ้านรวมมิตร ประจำปี 2548 หน้า 73
- ตาราง 8 แสดงการนั่งช้างในหมู่บ้านรวมมิตร หน้า 84
- ตาราง 9 แสดงความเป็นเจ้าของร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกในบ้านรวมมิตร หน้า 93
แผนที่
- แผนที่ 1 แผนที่จังหวัดเชียงราย หน้า 56
- แผนที่ 2 แผนที่บ้านรวมมิตร หน้า 69
- แผนที่ 3 แผนที่อำเภอเมืองเชียงรายและเส้นทางสู่บ้านรวมมิตร หน้า 81
- แผนที่ 4 แสดงเส้นทางการล่องแพตามแม่น้ำกก หน้า 87
- แผนที่ 5 เส้นทางนั่งช้างท่องเที่ยวของรอบๆ บ้านรวมมิตร หน้า 90
ภาพประกอบ
- รูปที่ 1 โรงเรียนบ้านรวมมิตร หน้า 74
- รูปที่ 2 โบสถ์กะเหรี่ยงบ้านรวมมิตร หน้า 78
- รูปที่ 3 งานวันช้างไทย หน้า 79
- รูปที่ 4 บรรยากาศงานช้างของหมู่บ้าน หน้า 80
- รูปที่ 5 เส้นทางการนั่งช้างท่องเที่ยวของบ้านรวมมิตร หน้า 85
- รูปที่ 6 ปางช้างรวมมิตร หน้า 85
- รูปที่ 7 แผนที่แนะนำการท่องเที่ยวบ้านรวมมิตรและหมู่บ้านใกล้เคียง หน้า 91
- รูปที่ 8 แผนที่แนะนำการท่องเที่ยวบ้านรวมมิตรและหมู่บ้านใกล้เคียง (2) หน้า 91
- รูปที่ 9 ร้านขายของที่ระลึกเผ่ากะเหรี่ยง หน้า 94
- รูปที่ 10 นักท่องเที่ยวต่างชาติถ่ายรูปกับงูหลามยักษ์ หน้า 98
- รูปที่ 11 ผ้าปักของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง หน้า 100
- รูปที่ 12“พี่ก๊ะ” กำลังตัดเย็บเสื้อผ้าม้ง หน้า 102
- รูปที่ 13 อาแหยะ เยเบีบวกู่ หน้า 105
- รูปที่ 14 หญิงลีซูกับงานขายของที่ระลึก หน้า 106
- รูปที่ 15 เจ้าของร้านกาแฟดอยช้าง บ้านรวมมิตร หน้า  108
- รูปที่ 16 บรรยากาศการขายของที่ระลึก ไนท์บาร์ซาร์ เชียงราย หน้า 112
- รูปที่ 17 การตั้งร้านสำหรับขายของที่ระลึก ไนท์บาซาร์ หน้า 112
- รูปที่ 18 ชาวเขาเผ่าอาข่าขายของที่ระลึกอยู่ข้างเวทีแสดงวัฒนธรรม  หน้า 113
- รูปที่ 19 นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศกำลังดูภาพถ่ายของตัวเอง หน้า 118
- รูปที่ 20 รถบัสที่ใช้ขนส่งนักท่องเที่ยว หน้า 119
- รูปที่ 21 นักท่องเที่ยวกำลังเดินชมหมู่บ้าน หน้า 125
- รูปที่ 22 เด็กที่เดินเร่ขายของที่ระลึก หน้า 143 

Text Analyst กนกวรรณ มีพรหม Date of Report 01 ต.ค. 2564
TAG อัตลักษณ์, ชนกลุ่มน้อย, เชียงราย, การท่องเที่ยว, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง