|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
วิถีชีวิต, สังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง, กูย, พนมดงรัก |
Author |
ดำเกิง โถทอง |
Title |
อัตลักษณ์และการคงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์กูยในอาณาบริเวณพนมดงรัก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Total Pages |
256 |
Year |
2554 |
Source |
วิทยานิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค (กลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ |
Abstract |
อัตลักษณ์และการคงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์กูยในอาณาบริเวณพนมดงรัก ประกอบด้วยพื้นที่ศึกษาสองส่วน คือ บ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย และบ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา ซึ่งทั้งสองพื้นที่ต่างมีพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับบริบททางธรรมชาติ และยังคงรักษาอัตลักษณ์ ความเชื่อ รวมทั้งพิธีกรรมไว้ อย่างกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านตะเคียน จะประกอบพิธีแก็ลมอและพิธีเซ่นไหว้ “ยะจู๊ เพาะจู๊” ซึ่งจัดขึ้นทุกปี แต่งกายด้วยชุดสีดำย้อมมะเกลือ อีกทั้งภายในชุมชนยังใช้ภาษากูยในการสื่อสาร ส่วนพื้นที่บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ ประเทศกัมพูชา ยังพบการนับถือผีปู่ตาที่เรียกว่า “อาเรี๊ย เนี๊ยตา” และการเล่นประไวกูน (การเล่นตีกัน)
อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กูยในสองพื้นที่ทั้งในไทยและกัมพูชายังคงอยู่ได้เกิดจากความเพียร มุ่งมั่น และความยืนหยัด โดยมีตัวชี้วัดแปดดรรชนี ประกอบด้วย ความรับผิดชอบร่วม ปรับประยุกต์ให้รู้เท่าทัน ความภาคภูมิใจในภาษา มีศรัทธาในวิถีกูย เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด มีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งและศรัทธาเชื่อมั่นต่อธรรมชาติแวดล้อม |
|
Focus |
เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์กูย ในอาณาบริเวณพนมดงรัก และศึกษาอัตลักษณ์ และการคงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์กูย ในอาณาบริเวณพนมดงรัก (หน้า 4,61) |
|
Theoretical Issues |
1.แนวคิดการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม
จากการศึกษาของ Boas (1940) นั้นศึกษาด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ โดยมากจะเน้นการศึกษาวิวัฒนาการผสมผสานกับการพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาวัฒนธรรมหนีไม่พ้นการสืบสวนย้อนหลังไปถึงอดีต การศึกษาอดีตสามารถนำมาอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี นักวิชาการในอดีตมักใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์ในสังคม การศึกษาทางประวัติศาสตร์นั้นมีหลายวิธีดังนี้ (หน้า 8)
ศึกษาความเป็นมาในอดีตของวัฒนธรรมจากอดีตถึงทุกวันนี้ เพื่อศึกษาพัฒนาการของวัฒนธรรม (หน้า 8) สังเกตการณ์ ศึกษาวัฒนธรรมปัจจุบันด้วยการสังเกต การสังเกตต้องทำคู่กับการจดบันทึก (หน้า 8,9) ศึกษาวัตถุและเหตุการณ์ด้านเวลากับสถานที่ เช่นวัฒนธรรมเกิดเมื่อไหร่กับที่ไหน วัฒนธรรมที่เห็นในทุกวันนี้นั้นมีความเป็นมาจากอดีต การสังเกตการณ์ด้านเวลากับแหล่งวัฒนธรรม เป็นวิธีการที่จำเป็นที่จะทำให้คาดคะเน เรื่องราวของพฤติกรรมและความเป็นมาได้,การขุดค้น คือการสืบหาหลักฐานของวัฒนธรรมในอดีต โดยนำหลักฐานทางรูปธรรมมารับประกัน การศึกษาวัฒนธรรมในทุกวันนี้ ได้เป็นการช่วยในการตีความ การกระทำของคนในทุกวันนี้ และการศึกษาแบบวิเคราะห์โครงสร้างรวมคือการศึกษาวัฒนธรรม โดยนำโครงสร้างทุกส่วนมาวิเคราะห์ เพื่อให้เห็นถึง วัฒนธรรมในภาพรวมของสังคม (หน้า 9)
2.แนวคิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม
Kroeber(1963) ระบุว่า วัฒนธรรมจะแพร่กระจายจากจุดศูนย์กลางไปตามพื้นที่ที่อยู่ในภูมิศาสตร์เดียวกัน และอยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน วัฒนธรรมแต่ละวัฒนธรรมจะแพร่กระจายไปสู่แหล่งอื่นๆ จะถือว่าวัฒนธรรมเป็นความคิดและการกระทำที่ติดตัวบุคคล คนเมื่อถึงที่ใดวัฒนธรรมก็จะไปถึงด้วย การแพร่กระจายของวัฒนธรรม จะขึ้นกับสิ่งต่างๆ ดังนี้ หลักภูมิศาสตร์ต้องไม่มีปัญหาด้านภูมิศาสตร์ ได้แก่ ไร้ภูเขาสูง ทะเล ทะเลทราย สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัญหาขัดขวางการเดินทาง คนที่มีวัฒนธรรม ปัจจัยทางเศรษฐกิจ คนที่ต้องเดินทางติดต่อกัน เพื่อไปค้าขายหรือท่องเที่ยว แต่คนที่มีฐานะเศรษฐกิจมั่นคงจะมีโอกาสนำวัฒนธรรมไปพบปะกับวัฒนธรรมอื่น และอื่นๆ (หน้า 11)
3.แนวคิดทฤษฎีอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์
Jenkins(1996) ระบุว่า อัตลักษณ์มิใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของมันเอง หรือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับคน แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น และมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อัตลักษณ์เป็นเรื่องของความเข้าใจ และการรับรู้ว่าเราเป็นใคร และคนอื่นเป็นใคร โดยมีกระบวนการทางสังคม ในการสร้างและถ่ายทอดอัตลักษณ์ โดย ขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ที่มีต่อบุคคลหรือกลุ่มต่างๆ (หน้า 12) อัตลักษณ์มีทั้งที่เป็นระดับปัจเจกกับอัตลักษณ์ร่วมของกลุ่ม ความเป็น อัตลักษณ์ร่วมของกลุ่มถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความเหมือนกันของสมาชิกในกลุ่ม แต่บนพื้นฐานความเหมือนกันของกลุ่มจะมีความไม่เหมือนกับกลุ่มอื่นมาเป็นตัวกำหนดความเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่ม (หน้า 13)
4.แนวคิดเกี่ยวกับการคงอยู่
งามพิศ สัตย์สงวน (2545: 407-422) ระบุว่า การคงอยู่ทางวัฒนธรรมเป็นการกระทำ ที่ทำให้วัฒนธรรมของตนคงอยู่ โดยรู้สำนึกผ่านการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งของสังคม การทำให้วัฒนธรรมคงอยู่เป็นการคัดเลือกลักษณะบางอย่างของวัฒนธรรม โดยไม่ได้เอาวัฒนธรรมดั้งเดิมมาทั้งหมด และได้ไตร่ตรองถึงการเอามาใช้ในปัจจุบัน และวัฒนธรรมหนึ่งจะมีการดำรงอยู่ได้ จะต้องมีการสืบทอดทางวัฒนธรรม ผ่านสื่อทั้งหลายอยู่เป็นประจำ (หน้า 13)
การที่วัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งจะคงอยู่หรือมีอยู่ในสังคม วัฒนธรรมนั้นจะต้องมีองค์ประกอบดังนี้ (หน้า 14) หนึ่ง. วัฒนธรรมนั้นต้องมีบทบาทหน้าที่รับใช้ประชาชนในสังคม หรือมีคุณค่า และความสำคัญในสังคมดังกล่าว สอง. วัฒนธรรมนั้นมีการปรับปรุง ดัดแปรง หรือมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับยุคสมัย และสามารถเอามาใช้ได้ในปัจจุบัน และอื่นๆ (หน้า 14)
5.แนวคิดทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรม
Steward (1949) ระบุว่า เป็นการศึกษาการปรับตัว ความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมกับสิ่งแวดล้อม เป็นการวิเคราะห์ระบบนิเวศน์วิทยากับสังคมเพื่อค้นหาลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมแต่ละพื้นที่ (หน้า 14) จากการศึกษาของ จูเลี่ยน สจ๊วด (อ้างถึงใน อมรา พงศาพิชญ์, 2549: 9) ว่า สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกันนั้นมีอิทธิพลทำให้วัฒนธรรมไม่เหมือนกัน (หน้า 15) ผู้เขียนได้นำแนวคิดนี้มาศึกษากลุ่มชาติพันธุ์กูยในอาณาบริเวณพนมดงรัก ในด้านการรักษาอัตลักษณ์ องค์ประกอบต่างๆ ของวัฒนธรรม กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละสังคมวัฒนธรรม การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมที่อยู่ใกล้เคียง การปรับตัวทางวัฒนธรรม การสืบทอด การถ่ายทอดและการคงอยู่ทางวัฒนธรรมนั้นมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งทำความเข้าใจในการปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (หน้า 15)
6.แนวคิดทฤษฎีโครงสร้างวัฒนธรรม
Levi Strauss (1969) ระบุว่า ระบบความคิดของคนประกอบด้วย สมองจิตใจ และต่อมจำนวนมากเป็นระบบธรรมชาติที่ทำงานได้เองแบบอัตโนมัติ และเป็นไปอย่างมีเหตุผล ในรูปแบบของตรรกศาสตร์ ความคิดของคนจะเห็นเป็นรูปธรรม โดยการทำงานศิลปะ ศาสนา ภาษา อีกทั้งยังเชื่อว่า คนมีความคิดในเชิงเปรียบเทียบเป็นคู่ มีรูปแบบเป็นคู่ เป็นขั้วตรงข้าม โดยมีรูปแบบอธิบาย หรือสนับสนุนกันและกัน หากจะรู้จักมีฝ่าย ต้องรู้จักอีกฝ่ายเช่นกัน ฉะนั้นคนจึงเลียนแบบธรรมชาติ ในการจัดสังคมที่คนอยู่ในปัจจุบันเป็นคู่ หรือระบบคิดแบบคู่ตรงข้าม คือลักษณะที่คู่ตรงข้ามจึงเข้าใจได้ ระบบความคิดนี้เป็นรูปแบบจำลองของสังคม (หน้า 16)
7.แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพิธีกรรมความเชื่อ
พิธีกรรมคือการแสดงออกทางสังคม มีแบบแผนและมีการปฏิบัติทางพิธีเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ มีข้อกำหนดอย่างแจ่มชัด พิธีกรรมมีความหมายเพื่อใช้แสดงออกถึงความคิด พิธีกรรมเป็นเรื่องของสังคมที่ช่วยถ่ายทอดว่าสังคมควรเป็นอย่างไร และประชาชนในสังคมนั้นจะประพฤติตัวเช่นไร นอกจากนี้พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อจะมีการกล่าวถึง ตำนานหากเกี่ยวกับข้อห้ามจะเป็นเรื่องของกฎกติกาต่างๆ (หน้า 17)
นอกจากนี้ พิธีกรรมเสมือนการกระทำที่อยู่เหนือการทำงาน เกิดขึ้นในเวลาพิเศษ เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ที่ต่างไปจากพฤติกรรมต่างๆ ใช้ชีวิตประจำวัน พิธีกรรมเหมือนกับทำงานด้านศิลปะ มีการใช้เครื่องหมาย ที่ไม่เหมือนกับการแสดงออกทั่วไป พิธีกรรมคือภาพสะท้อนของการปฏิบัติทั้งหลายในสังคม พิธีกรรมไม่ใช่แต่เรื่องแสดงออกแต่รวมถึงข้อห้ามต่างๆ (หน้า 17) ในการศึกษา ประกอบด้วยสี่ทฤษฎีหลักได้แก่ การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ ทฤษฎีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม, ทฤษฎีเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, ทฤษฎีเกี่ยวกับการคงอยู่ ส่วนทฤษฎีรองมี สามทฤษฎี ประกอบด้วย ทฤษฎีนิเวศวิทยาวัฒนธรรม, ทฤษฎีโครงสร้างทางวัฒนธรรม และแนวคิดเกี่ยวพิธีกรรมความเชื่อ (หน้า 18) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กูย
กูยอยู่กลุ่มภาษาตระกูลมอญ-เขมร หรือออสโตเอเชียติก (หน้า 1) กลุ่มชาติพันธุ์กูยกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ เช่น ชาวกูยที่อยู่ในพื้นที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่า “ชาวบลู” หรือ “บรู”, ชาวกูยที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เรียกตัวเองว่า “เยอ” (หน้า 1) กลุ่มชาติพันธุ์กูยที่อยู่ในประเทศไทยแบ่งเป็นห้ากลุ่มได้แก่ (หน้า 1) หนึ่ง. กูยมะไฮ (Kui M’ai) อยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มนี้เรียกตนเองว่า “บลู” หรือ “บรู”(ภูเขา) ตั้งบ้านเรือนในอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี (หน้า 1,288) สอง. กูย มะโล (Kui M’ lo) ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี กับศรีสะเกษ สาม. กูยเยอหรือ โย (Kui Yer,Yo) ตั้งบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี กับศรีสะเกษ สี่. กูยมะลัว หรือมะหลั่ว (Kui M’ loa) ตั้งบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ กับสุรินทร์ ห้า. กูยเจียง หรือกูยอะจีง อยู่ในพื้นที่อำเภอท่าตูม อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ กลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญเรื่องการคล้องช้างจึงได้รับชื่อเรียกเช่นนี้ (หน้า 1,288)
ในประเทศกัมพูชาได้แบ่งชาวกูยเป็นห้ากลุ่ม ดังนี้ (หน้า 1) หนึ่ง. กูยอ็อก (Auk) อยู่ที่ตาเล็ค สอง. กูยออเตอร์ (Autor) อยู่ที่เปรสะแกรง สาม. กูยมานิก (Manik) อยู่ที่โตนเลโรปู สี่. กูนมาลอร์ (Malor) อยู่ที่โตนเลโรปู ห้า. กูยมาฮาย (Mahay) อยู่ที่ทางตอนใต้ที่จังหวัดจำปาสัก (หน้า 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากูย อยู่ในตระกูลภาษา มอญ -เขมร (หน้า 39)สาขา Katuic ตะวันตก กลุ่มออสโตรเอเชียติก ภาษากูยแต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกัน (หน้า 191) ภาษากูยไม่มีภาษาเขียนมีแต่ภาษาพูด (หน้า 198) ภาษากูยในประเทศไทยแบ่งเป็นสี่กลุ่มได้แก่ กูยไม, กูย-อีมลอ, กูยเยอ, กูยอึม-ลัว (หน้า 191) ภาษากูย ไม่มีเสียงวรรณยุกต์ (หน้า 191) มีพยัญชนะต้นสองตัว ซึ่งไม่มีในภาษาไทย คือเสียง ญ-เช่น ในคำว่า ญับ (กะเถิบ) หญง (ก่อน) เหญียม (ร้องไห้) และเสียงหฺย เช่นในคำว่า หฺยืง (เท้า) กเหฺยีย (เรียก) แหฺยง (ทอง)
พยัญชนะสะกด มีหกตัว ได้แก่ พยัญชนะ-ล เช่น โตล (ซื้อ) แกล (เล่น) (หน้า 191)พยัญชนะ-ร เช่น กะตาร (กระดาน) กะตอร์ (หู) ปีร (ดอกไม้) (หน้า 191)พยัญชนะ- ญ เช่น ดูญ (นาน) กะชัญ (งู) ปัญ (ยิง) (หน้า 192)พยัญชนะ- จ อาทิเช่น ตัจ (ขาย) กัจ (เกี่ยวข้าว) ตูจ (ขโมย) (หน้า 192) พยัญชนะ- ฮ ได้แก่ ซ๊อฺฮ(ขึ้น) หล็อฺฮ (ออก) กะนอฮ (ปาก) บ็อฺฮ (ทิ้ง) หม็อฺฮ (ถาม) อูฮ (ไฟ,ฟืน) ก็อฺฮ (ป่า) ผอฺฮ (เกลือ) บูฮ (เผา) (หน้า 192) พยัญชนะ-ห์ อาทิเช่น ต็อฺห์ (ถึง) กะอาห์ (อีกา) กอีห์ (เกลียด,ไม่ชอบ) ลอฺห์ (ย้อม) กแตห์ (ดิน) (ดูตัวอย่างทั้งหมด หน้า 192)
หมู่บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา ประชากรบ้านเวียลเวง พูดภาษากูยในหมู่บ้าน และกับชาวกูยที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียง แต่ในบางครอบครัวจะพูดได้ทั้งภาษากูยและภาษากัมพูชา ส่วนภาษาเขียนเป็นภาษากัมพูชา ซึ่งเป็นภาษาราชการสำหรับการติดต่อกับคนนอกชุมชนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อื่นก็จะพูดด้วยภาษากัมพูชา (หน้า 226)
กูยมีแต่ภาษาพูดไม่มีภาษาเขียน ภาษากูยมีรูปแบบเหมือนภาษาเขมร อยู่ในตระกูลมอญ-เขมร มีการเรียงลำดับออกเสียง การจัดวรรคประโยค ไม่มีวรรณยุกต์ ใกล้เคียงกับภาษาเขมร ชาวกูยบ้านเวียลเวงจะเขียนภาษากูย โดยใช้ตัวอักษรเขมร (หน้า 261) ชาวกูยจะใช้ภาษากูยผสมกับภาษากัมพูชา แต่มีการออกเสียงเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มตน โดยจะลากเสียงยาวในคำท้ายประโยค ทั้งเสียงต่ำฟังเหมือนเสียงเพลง การออกเสียงบ่งบอกอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กูยว่าพวกเขาแตกต่างจากชาวกัมพูชา (หน้า 261)อย่างไรก็ตาม ภาษากูยในทุกวันนี้ ผสมกับภาษาเขมร เนื่องจากภาษากูยไม่มีภาษาเขียน ดังนั้นจึงต้องใช้ภาษากูยร่วมกับภาษาเขมร ในเวลาเดียวกัน ชาวกูยได้รักษาภาษาของตนไว้เป็นเวลานาน โดยไม่ถูกภาษาเขมรกลืน เนื่องจากว่าชาวกูยอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร (หน้า 266) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือน มกราคม 2553 – กุมภาพันธ์ 2554 ที่บ้านตะเคียน อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย และเดือน มิถุนายน 2553- กุมภาพันธ์ 2554 โดยกำหนดระยะเวลาการศึกษาไว้สามช่วงๆ ละ 15วัน ร่วมกับผู้ช่วยนักวิจัยอีก สองคน (หน้า 65) |
|
Settlement Pattern |
บ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ประเทศไทย
บ้านเรือนของกูยบ้านตะเคียน ในช่วงแรกจะสร้างแบบยกพื้นสูงประมาณ 4ถึง 6ศอก มุงหญ้าคา ผนังบ้านกั้นด้วยไม้หนีบใบตองกุง (ซราคล็อง) พื้นบ้านเป็นไม้บางครั้ง ก็ทำด้วยไม้ไผ่ บ้านเป็นแบบใต้ถุนสูง ด้านล่างเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย การสร้างบ้านจะอยู่ในพื้นที่เดียวกับญาติพี่น้อง บริเวณข้างบ้านจะสร้างยุ้งข้าวและแปลงผักสวนครัว (หน้า 132,167) การตั้งบ้านเรือนมักตั้งในที่เป็นเนินน้ำท่วมไม่ถึง และจะกระจายกันตามความยาวของถนน และรอบสระน้ำที่อยู่กลางหมู่บ้าน (หน้า 166)
บ้านโดยทั่วไป สร้างด้วยเสาเก้าต้น สามห้อง หรือเสา 12ต้น สี่ห้อง บันไดบ้านจะเป็นเลขคี่ เช่น ห้า, เจ็ด, เก้า บ้านหันไปทางด้านทิศตะวันออก หรือทิศเหนือ สันหลังคาวางแนวตะวันออก ตะวันตก บางครั้งจะสร้างบ้านหันไปทางทิศอื่นแต่จะไม่ค่อยมี และมีข้อห้ามไม่ให้หันหน้าบ้านไปด้านทิศตะวันตก เพราะเชื่อว่าเป็นทิศของผี และผีร้ายต่างๆ (หน้า 167)
การแบ่งพื้นที่ใช้สอยในบ้าน แบ่งเป็นส่วนหน้า และส่วนหลัง บริเวณส่วนหน้าจะอยู่ต่ำกว่าส่วนของด้านหลัง ที่เป็นที่อยู่กับบริเวณบันได ใกล้กับบันไดนั้นจะเป็นที่ว่าง (หน้า 167) เพื่อเป็นที่นั่งทำงานและพักผ่อน กับเป็นที่ตั้งของโอ่งน้ำดื่ม บางบ้านจะใช้เป็นที่ทำกับข้าว ส่วนด้านหลังแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งจะอยู่ด้านหน้าจะใช้เป็นที่รับแขก และกินข้าวปลา ทำงานเลี้ยงไหมที่ตั้งเตาไฟ ที่นอนของลูกชาย ที่นั่งเล่นพักผ่อน หรือตากเสื้อผ้า อีกส่วนหนึ่ง จะอยู่ทางด้านหลัง แบ่งเป็นห้องนอนของพ่อ แม่ และลูกๆ ในห้องนอน หรือมุมห้องที่นอนของตา ยาย จะมีหิ้งบูชาผี และจะทำพิธีเซ่นไหว้ในโอกาสต่างๆ พื้นที่ส่วนนี้จะไม่ให้ใครเข้าไป(เรื่องและภาพหน้า 168)
บ้าน กูย หมู่บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา
บ้าน ภาษากูยเรียกว่า “ดง” ชาวกูยบ้านเวียลเวงสร้างเป็นแบบใต้ถุนสูง มุงหญ้าคา จาก ใบตาล บ้านบางหลังมุงด้วยกระเบื้องดินเผา ตัวบ้านกั้นด้วยไม้ ไม้ไผ่ ใบจาก ในเวลากลางคืนจะจุดไฟทั้งคืนตลอดทั้งปี เพื่อไล่ยุงและผิงกันหนาว (หน้า 252)การเลือกทำเลสร้างบ้านจะเลือกสถานที่อยู่แล้วมีความสุข มีแหล่งน้ำและมีป่าไม้ มีดินชุ่มชื่นเพาะปลูกได้ดี (หน้า 252) ชาวกูยบ้านเวียลเวงมีที่ดินปลูกบ้าน และทำการเกษตรไม่น้อยกว่า 1.5 เฮกตาร์ ชุมชนชาวกูยบ้านเวียลเวง ได้ตั้งบ้านเรือนในกลุ่มเครือญาติ และทำรั้วไม้ บ้านแต่ละหลัง หรือแต่ละกลุ่มญาติอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย (หน้า 253)
โดยมากเป็นบ้านทรงกันตัง กับทรงเป็ด บ้านบางหลังปลูกไม้ผลไว้บริเวณบ้าน กับพื้นที่หน้าบ้าน บ้านเป็นแบบใต้ถุนสูง มีเนื้อที่อาศัยสำหรับคนประมาณเจ็ดคน บ้านเรือนโดยมากจะไม่สร้างที่อาบน้ำ และห้องสุขาในบ้าน แต่จะไปขับถ่ายโดยขุดหลุมหลังบ้านหรือขับถ่ายในป่า การสร้างบ้านแต่ละหลังจะใช้งบก่อสร้างระหว่างหนึ่งหมื่น ถึงหนึ่งแสนบาท ในทุกวันนี้ชาวกูยได้มีการสร้างบ้านใหม่หลายหลัง โดยใช้ไม้ อิฐ ปูน และสร้างบ้านหลังใหญ่กว่าในอดีตเพราะว่ามีฐานะที่ดีกว่าเดิม (หน้า 253) ครัว ที่จัดแยกไว้บนบ้านทางด้านทิศตะวันตก หรือทางด้านที่อยู่ตรงข้ามบันไดทางขึ้นบ้าน (หน้า 256) |
|
Demography |
บ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
ประกอบด้วย หมู่ 9 และหมู่ 12 ตำบลสำโรงทาบ มีประชากรดังนี้ หมู่ 9 มีจำนวนครัวเรือน 161 ครัวเรือน มีประชากร 829 คน เป็นผู้ชาย 412 คน และผู้หญิง 417 คน (หน้า 133) หมู่ 12 มีจำนวนครัวเรือน 119 ครัวเรือน มีจำนวนประชากร 691 คน แบ่งเป็นชาย 346 คน และผู้หญิง 345 คน (หน้า 133)
บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา
บ้านเวียลเวงมีจำนวน 313ครอบครัว มีจำนวนหลังคาเรือน 281 หลังคาเรือน ประชากรทั้งหมด 1416 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 1120 คน และผู้หญิง 296 คน (ข้อมูลปี 2553หน้า 226) |
|
Economy |
กูยบ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
อัตลักษณ์ด้านการบริโภคของชาวกูย จะมีอัตลักษณ์สำคัญได้แก่ การกินข้าวจ้าวเป็นประจำ และจะกินข้าวเหนียวเป็นบางเวลาเท่านั้น โดยมากแล้วจะนำข้าวเหนียวมาทำขนมหวาน บางครั้งก็นึ่งข้าวเหนียวเมื่อมีงานตามประเพณีของหมู่บ้าน เช่น งานศพ งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานบวชและอื่นๆ สำหรับอาหารที่กินในชีวิตประจำวันนั้นประกอบด้วย ตำพริก แกงกบ เขียด กิ้งก่า นำมาปรุงเป็นอาหาร นำมดแดงมาคั่วกับพริก มะนาว น้ำปลา กะปิ เกลือ และอื่นๆ (หน้า 183)
บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา
ชาวกูยทำอาชีพเพาะปลูก ทำไร่นาและยังไม่มีการนำสินค้าทางการเกษตรไปขายนอกชุมชน (หน้า 227) เพราะคนในชุมชนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน หากล่าสัตว์ป่ามาได้ก็จะแบ่งให้เพื่อนบ้านในชุมชนได้กินด้วย แต่ในภายหลังรัฐบาลได้มีนโยบายให้ชาวบ้านหยุดการทำลายป่าจึงได้ประชาสัมพันธ์ให้ชาวกูยมาขอขึ้นทะเบียนโฉนดที่ดิน และไม่ให้ทำไร่เลื่อนลอย แต่ในภายหลังที่มีการสร้างถนนเข้ามาในหมู่บ้านเวียลเวงก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในชุมชนมีการตั้งร้านขายของ และมีการนำพืชผลการเกษตรไปขายนอกชุมชน แต่ก็ยังมีไม่มาก เนื่องจากชาวกูยไม่ถนัดเรื่องค้าขาย (หน้า 228) และไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับพ่อค้าชาวจีนนอกชุมชน (หน้า 229) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน ของกูยบ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
การแต่งงานของกูยเริ่มจากการคบหาดูใจกันของหนุ่ม สาว ซึ่งก่อนที่จะตกลงใจแต่งงานมีครอบครัวร่วมกัน โดยเริ่มจากหนุ่ม สาว มาพบกันในช่วงค่ำคืน หลังจากที่เสร็จสิ้นการทำงานในไร่นา ในเวลากลางวัน โดยในช่วงกลางคืนสาวชาวกูยจะทอไหม ที่บริเวณลานบ้าน ส่วนกลุ่มชายหนุ่ม และเพื่อนๆ ก็จะเดินมาสนทนาด้วย เมื่อมาเจอหญิงสาวที่ชอบก็จะเข้ามาคุยด้วย และช่วยทำงาน (หน้า 142)
การสู่ขอจะเริ่มจากที่ ลูกสาวได้บอกกับพ่อ แม่ ว่ามีชายที่หมายตาและอยากจะเป็นฝั่งเป็นฝามีครอบครัว ก็จะเล่าให้พ่อ แม่ฟัง เพื่อให้พ่อ แม่ไปหาเฒ่าแก่(หรือ นายใจ) ซึ่งเป็นผู้ชายสองคนที่แต่งงานแล้วและมีครอบครัวอบอุ่น ให้ไปติดต่อชาย หนุ่มที่มารักลูกสาวของตน ซึ่งการทาบทามนี้เรียกว่า “กะโปนโคก” แปลว่า “ตามหาวัว” ซึ่งมีนัยยะว่าถ้าฝ่ายชายแต่งงานแล้วก็จะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง (หน้า 142) หลังจากที่ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงจะมอบหมายให้ผู้สูงอายุมาคุยเรื่องค่าสินสอด(หรือสินโส่)อาทิเช่น ค่าสินสอดในอดีตตกลงกันว่าเจ็ดร้อยบาท แต่จะเอาเงินมาที่งานเจ็ดสิบบาท กรณีที่วันงานพิธีเจ้าบ่าวไม่มาเข้าพิธี ก็จะถูกปรับไหม (หน้า 143)
เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว ซึ่งการแต่งงานส่วนใหญ่จะจัดในเดือนคู่ ได้แก่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปด เดือนสิบสอง เดือนยี่ และเดือนที่ชาวกูยแต่งงานบ่อยที่สุดคือเดือนสี่ กับเดือนหก ส่วนเดือนสิบคนไม่ค่อยนิยมแต่งงานเพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ในการทำพิธีจะทำสองวัน วันที่หนึ่งเรียกว่า “งัยโร๋ม” (หรือวันรวม) และวันที่สองเรียกว่า “งัยซัด” หมายถึงวันแต่ง เมื่อถึงวันแต่งงานฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะยกขันหมากมาที่บ้านเจ้าสาว โดยเจ้าบ่าวจะกางร่มเดินนำหน้าขบวน ส่วนคนที่มาด้วยก็จะช่วยขนสิ่งต่างๆ ที่ใช้ในงาน เมื่อยกขันหมากมาถึงบ้าเจ้าสาวแล้ว เจ้าข่าวก็จะไปนั่งที่ปะรำที่ฝ่ายเจ้าสาวทำไว้ที่บริเวณเชิงบันได คนที่เป็นเฒ่าแก่ก็จะคุยเรื่องค่าสินสอด เพื่อตกลงกันใหม่ว่าวันนี้จะได้กี่บาท กับเป็นหนี้อีกนานเท่าไหร่ ซึ่งหนี้นี้เรียกว่า “แคนเคาะแกนโมง”ซึ่งเป็นเงินที่ไม่ต้องให้อีกเว้นเสียแต่ว่าเป็นการหย่าร้าง (หน้า 143)
ถ้าฝ่ายชายเป็นฝ่ายขอหย่า ฝ่ายชายก็จะใช้หนี้ที่ค้างไว้จนครบ ในกรณีที่เป็นฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงก็ต้องคืนส่วนที่ได้รับให้คืนฝ่ายชายทั้งหมด เมื่อตกลงเรื่องสินสอดแล้ว พ่อ แม่จะเรียกเจ้าสาวลงมาจากบ้านเพื่อมานั่งคู่กันกับเจ้าบ่าว หันเข้าหา “ขันดอม” หรือขันบางศรี โดยมีพราหมณ์สวดทำขวัญ โดยจะใช้ภาษาลาวสวด เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วก็จะพูดเป็นภาษากูยเพื่อให้พรคู่บ่าวสาว ให้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร เมื่อทำพิธีสู่ขวัญแล้ว ฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะขอขมาจู๊ฮเผาะ (หมายถึงพ่อตา)กับย๊ะเผาะ(หรือแม่ยาย) ต่อมาก็จะนำขอมีค่า เงินทอง นำมาผูกข้อมือพ่อตา แม่ยายและญาติจนครบทุกคน คนที่ผูกเจ้าบ่าว ก็จะผูกเจ้าบ่าวตอบแทน นอกจากนี้ของมีค่าเช่น เงิน ทอง ของใช้ และวัว ควาย เป็นต้น ที่เจ้าบ่าวมอบให้ก็ต้องคืนเจ้าบ่าวด้วย ส่วนคนที่ไม่มาก็ต้องมอบหมายให้มีตัวแทนมาผูกข้อมือ หลังจากผูกข้อมือแล้ว พ่อตากับแม่ยายก็จะไปรอบนเรือน ต่อมานายใจ(เฒ่าแก่) ก็จะบอกกับฝ่ายหญิงและสาวต่างๆ เป็นภาษากูย โดยบอกว่า “ผู้ชายคนนี้ถ้าเป็นสามีผู้ใดให้เอาไปด้วย” พูดเช่นนี้สามครั้ง ถ้าไม่มีหญิงใดแสดงท่าที เจ้าสาวก็จะจับมือเจ้าบ่าวขึ้นไปบนเรือนหอ (หน้า 143)
หลังจากบายศรีสู่ขวัญเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะรดน้ำสังข์และผูกข้อมือเจ้าบ่าว เจ้าสาว จากนั้นก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน ต่อมาเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็จะเข้าหอ แล้วให้ผู้หญิงนอนข้างซ้ายและผู้ชายนอนข้างขวา ต่อมาพราหมณ์ก็จะรดน้ำมนต์ แล้วกล่าวให้พรคู่บ่าวสาวให้อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจและรักกันยืนนาน ช่วยเหลือกันทำมาหากิน (หน้า 144) เมื่อลูกสาวสมรสมีครอบครัว ลูกเขยจะมาอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง ช่วยทำนาเป็นเวลาหนึ่งฤดูหรือหนึ่งปี แล้วแยกไปสร้างบ้านของตนเองในที่ดินของพ่อ แม่ ที่แบ่งให้ ในช่วงที่อยู่บ้านของฝ่ายหญิง (หน้า 168)
การแต่งงาน ของกูยหมู่บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา
เมื่อหนุ่มสาวชาวกูยแต่งงาน ฝ่ายหญิงจะเรียกค่าสินสอดเป็นบ้านหนึ่งหลัง ซึ่งฝ่ายชายจะสร้างบ้าน นอกจากนี้ยังมีไม้จำนวนหนึ่งที่เตรียมไว้ขายหรือแลกเปลี่ยน กับวัสดุอุปกรณ์ ที่จะนำมาสร้างบ้าน เช่น ประตู และอื่นๆ หลังจากที่ฝ่ายชายเตรียมอุปกรณ์ไว้จนเพียงพอแล้ว เพื่อนบ้านก็จะมาช่วยเหลือสร้างบ้านให้เสร็จภายในหนึ่งวัน ส่วนฝ่ายชายก็ต้องเตรียมข้าวปลาอาหารไว้เลี้ยงขอบคุณที่มาช่วยเหลือ ส่วนการแต่งงานจะจัดแบบพอเพียงไม่ฟุ่มเฟือยเกินฐานะ (หน้า 242)
ในงานจะมีการเล่นดนตรีสามชิ้นที่ประกอบด้วย กลอง ปี่ และซอ สำหรับขั้นตอนของการทำพิธีมีดังนี้ (หน้า 248) ก่อนวันแต่งงานเจ้าภาพจะไปบอกกล่าว กับญาติพี่น้อง และมาทำขนม จัดเตรียมอาหาร สร้างโรงพิธี และจัดเตรียมสิ่งของที่ใช้ในงาน เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งวันก่อนวันงาน เจ้าภาพฝ่ายเจ้าสาวจะไปที่ตลาดซื้อผลไม้ ขนม สุรา เครื่องดื่ม เมื่อถึงวันทำพิธี ในช่วงเช้า ชาวบ้านก็จะมาร่วมงาน โดยจะนำเหล้า ไก่ เป็ด หมากพลู จาน ชาม หม้อ มาช่วยงานและมีการสร้างกระท่อมให้เจ้าบ่าวพัก ในทิศที่โหรได้บอกไว้ (หน้า 248)
เจ็ดโมงเช้า เจ้าบ่าวก็จะแห่ขบวนมาที่บ้านเจ้าสาวและนำสิ่งของต่างๆ เช่นผลไม้ เนื้อ เหล้า มามอบให้ฝ่ายหญิง เมื่อมาถึง พ่อ แม่ และญาติ กับเจ้าสาวก็จะออกมาต้อนรับและนำสินสอดขึ้นบนบ้าน แล้วมอบสินสอดตามที่ตกลงกันไว้ (หน้า 248) เวลาบ่ายโมงก็จะจัดพิธีเก็บดอกมะพร้าว และพิธีตัดผมเพื่อความเป็นศิริมงคล โดยมีนักดนตรี พระ และ พ่อแม่ทำพิธี (หน้า 248) กระทั่งถึงห้าโมงเย็น จะไปนิมนต์พระมาสวดมนต์แล้วผูกข้อไม้ ข้อมือ เรียกขวัญให้คู่บ่าว สาว (หน้า 248)วันที่สอง เจ้าภาพและแขกก็จะร้องเพลงและเต้นรำฉลองถึงเวลาประมาณตีสี่, วันที่สามเวลาประมาณตีสี่ก็จะทำพิธีให้เจ้าบ่าว แล้วทำพิธีเวียนเทียน โปรยดอกมะพร้าว ส่งเจ้าบ่าว เจ้าสาว เข้าเรือนหอ (หน้า 248) เวลาสิบเอ็ดนาฬิกา เจ้าภาพก็จะเลี้ยงต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็ถือว่าพิธีได้เสร็จสิ้นลง หลังจากแต่งงานฝ่ายชายจะมาอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง (หน้า 248) |
|
Political Organization |
บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธมประเทศกัมพูชา
บ้านเวียลเวงมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำชุมชน และมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีกสองคน ส่วนตำบลซูกจัดการบริหารในรูปแบบองค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีการจัดการเลือกตั้งทุกห้าปี (หน้า 225-226) |
|
Belief System |
พิธีแซนยะจุ๊ ของชาวกูยบ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
คือพิธีที่เกี่ยวข้องกับผีปู่ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับไปแล้วของชาวกูยได้แบ่งเป็นสองอย่าง ได้แก่ ยะจุ๊ผืด หรืออีกชื่อคือ ยะจุ๊เพรียม (คือผีปู่ตา) ซึงในภาษากูยคำว่า “เพรียม” แปลว่า “เทพอารักษ์” หรือ “เทวดา” ที่มีหน้าที่คุ้มครองดูแลหมู่บ้านให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งในหมู่บ้านตะเคียนนั้นมีศาลปู่ตาทั้งหมดเจ็ดแห่ง ดังนั้นจึงได้ทำพิธีเซ่นไหว้ทุกปี ซึ่งเรียกว่า “แซนยะจู๊” อันเป็นการระลึกถึงบุญคุณยะจู๊ที่ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทำให้มีน้ำทำนา และทำให้มีข้าวเต็มยุ้ง นอกจากนี้ยังเป็นการบันทึกวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ที่เป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ที่ไม่ต้องเขียนเป็นตัวหนังสือ แต่ได้ทำตามกันมาและประกอบพิธีเซ่นไหว้เพื่อสร้างความทรงจำในชุมชนของตนเอง (หน้า 138) เหมือนคำที่พูดว่า “กูยเซาะคีลล์ เกอดความชือรื่งกะโมดจ์เจาแต่ลูดังลูเดิม พมเกิดเจาก้อวัวโตน ผมก็ชือปาย ถ้าวัวโตนแหล่ว ไอจิงดีต่อโมไฮ พุเกอดหน่อเจาวัวบืน” (หน้า 138) หมายถึง “คนบ้านตะเคียนนั้นมีความเชื่อเรื่องผี และสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ มาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย กระผมเกิดมาก็ปฏิบัติตาม ในความคิดเห็นของกระผมนั้นเชื่อมั่นว่า ถ้าเราปฏิบัติตามเราเอง คนในครอบครัว หมู่บ้านที่อยู่ก็จะไร้ซึ่งสิ่งอัปมงคล ทั้งปวง” (หน้า 138,139)
พิธีแซนยะจุ๊เพรียม
ประเพณีที่เซ่นไหว้ปู่ย่า หรือ งัยแซนยะจู๊ คือการเซ่นไหว้ผีที่อยู่ในชุมชน ได้แก่ผีประจำบ้าน หรือยะจู๊ดุง กับผีประจำหมู่บ้าน หรือ ยะจู๊เพรียม ชาวกูยจะทำพิธีเซ่นไหว้ ในวันขึ้นสามค่ำ เดือนสาม เดือนหก กับเดือนแปดของทุกปี สำหรับความเชื่อเรื่องการทำนา ในเดือน 3 ซึ่งในวันพุธที่สองของเดือนนั้น โดยจะเซ่นไหมือทำไร่ว้เมื่อครั้งอดีต หากชาวกูยจะลงมือทำไร่ ทำนา ก็ต้องทำพิธีเซ่นไหว้ เจ้าที่ที่อยู่ไร่ นา หรือ หยะจู๊เพรียม ต่อมาในเดือน 6ก็จะทำพิธีเซ่น ไหว้เจ้าที่ โดยจะมีเครื่องเซ่นไหว้ อันประกอบด้วย ไก่ต้ม ข้าว น้ำ สุรา เทียนสองคู่ ธูปสามดอก ดอกไม้หนึ่งคู่ สุราหนึ่งขวด (หน้า 139)
สำหรับการเซ่นไหว้ในเดือนสาม เป็นการเซ่นไหว้เพื่อเป็นการแสดงการทดแทนบุญคุณ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองดูแลผลผลิตในไร่นาจนมีข้าวจำนวนมาก (หน้า 139) ส่วนเดือนหก ก็จะทำพิธีเพื่อเซ่นไหว้ ขอฝนก่อนที่จะลงมือทำนา ในวันทำพิธีจะจัดตั้งแต่รุ่งเช้า ชาวกูยจะเอาเครื่องเซ่นไหว้ไปที่ศาลปู่ตา “ยะจู๊เพรียม” ที่อยู่กลางหมู่บ้าน โดยมีเฒ่าจ้ำ เป็นผู้ทำพิธี หลังจากเสร็จสิ้นการประกอบพิธี เมื่อนำเครื่องเซ่นไหว้ออกมาแล้ว ก็จะทำนายเรื่องฝน สำหรับผู้ที่นำสิ่งของเซ่นไหว้ไปประกอบพิธีนั้น ก็จะนำไก่มาบ้านเพื่อให้คนในครอบครัวพิจารณาการทำนายคางไก่ ถ้าคางไก่มีลักษณะเหยียดตรงก็จะทายว่า ฝนจะไม่ค่อยตก เพราะไก่แหงนคอจ้องมองท้องฟ้า คอยฝน (หน้า 140)
พิธีแซนยะจู๊ดุง
ชาวกูยเชื่อว่า “ยะจู๊ดุง” คือผีปู่ย่า ตา ยาย ที่เสียชีวิตไปแล้ว หรือที่กูยเรียกว่า “กะเวียเผาะทูต” อันหมายถึงวิญญาณตาทวด ที่ชาวกูยให้ความนับถือ เพราะชาวกูยเชื่อว่า หากทำการเซ่นไหว้แล้ว วิญญาณของปู่ ย่า ตา ยาย จะช่วยให้เจริญรุ่งเรืองในชีวิต และหน้าที่การงาน (หน้า 140) หรือถ้าหากมีคนในครอบครัวทำผิด อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะทำพิธีขอขมา สำหรับสิ่งของที่ใช้ประกอบด้วย หมาก พลู ไก่หนึ่งตัว เทียนหนึ่งคู่ ดอกไม้หนึ่งคู่ โดยเอาไปวางไว้ที่หมอนบ้าน ยะจู๊ผืด หรือ “โคตรใหญ่” เพื่อให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง (หน้า 141)
งานศพ
เมื่อมีคนในครอบครัวเสียชีวิต ญาติๆและเพื่อนบ้านจะมาช่วยงานศพ และไปเรียกสัปเหร่อ (กูยเรียกว่า “ขูดอือเขียด”) เพื่อมาทำพิธีเกี่ยวกับศพ ขูดอือเขียดจะบอกลูกๆ ของผู้วายชนม์ ให้ต้มน้ำอุ่นผสมขมิ้นให้มาอาบน้ำศพ ในช่วงที่อาบน้ำให้ศพนั้นให้พูดว่า “พ่อกับแม่ยังไม่เสียชีวิต เพราะเมื่อวานนี้ก็สนทนากันอยู่ เวลานี้แน่ใจว่ายังไม่เสียชีวิต” แล้วก็ถามผู้ตายว่า “เสียชีวิตแล้ว หรือยังมีลมหายใจ ถ้ายังไม่หมดลมหายใจก็ให้ลืมตา แต่ถ้าเสียชีวิตก็ให้หลับตาเสีย” (หน้า 147)
ต่อมาก็จะราดน้ำที่ร่างผู้เสียชีวิตอีก หากเห็นศพไม่ลืมตาอีก ขูดอือเขียด(สัปเหร่อ) ก็จะกล่าวว่า “โอ้ ตายจริงๆ รีบอาบน้ำอาบท่า ให้เรียบร้อยแล้วกัน” ต่อมาลูกหลานอีกจำนวนหนึ่งก็จะไปหาไม้กระดานมาต่อโลง ส่วนใหญ่จะใช้ฝากระดานบ้าน หรือไม้ปูพื้นเรือนของผู้เสียชีวิต หลังจากทำโลงแล้วก็จะเตรียมข้าวของเครื่องใช้ ได้แก่ ถ้วย ชาม หม้อ ฟูก หมอน และเสื้อผ้าไว้ให้ผู้เสียชีวิตเอาไว้ใช้ภพหน้า ซึ่งข้าวของต่างๆที่เตรียมไว้นั้นชาวกูยเรียกว่า “ผล็องถำ” ก่อนยกร่างผู้ตายลงโลง สับปะเหร่อ (บูดอือเขียด) จะจับมือศพพนมมือแล้วมัดด้วยไหม พร้อมกับกล่าวว่า “ให้ไปทางตรง หากไปไหนแล้วเห็นสิ่งใด ถ้าเห็นสิ่งของของคนอื่นก็อย่าหยิบไป เพราะจะเป็นกรรมไม่ได้เกิดในชาติหน้า” (หน้า 147) แล้วก็มอบหมายให้ลูกชายยกทางด้านหัว และลูกสาวยกทางด้านเท้าศพ เพื่อช่วยกันยกลงโลง เมื่อวางศพให้นอนหงาย แล้วนำไหมม้วนสอดที่ใต้คาง ป้องกันผู้ตายอ้าปากแล้วปิดฝาโลง ต่อมาก็จะต้องเตรียมข้าวของต่างๆที่เรียกว่า “อือเถีย” ประกอบด้วย เสื้อหนึ่งตัว กางเกงหนึ่งตัว (ผู้หญิง ผ้าถุงหนึ่งผืน) ผ้าขาวหนึ่งผืน นำไปวางด้านทิศตะวันตกของโลงศพ (ศพหันหัวไปทางนี้) จากนั้นก็จะประกอบพิธีทางศาสนา ถ้าจะนำศพลงจากบ้าน ผู้ประกอบพิธีจะพิจารณาดูวันว่าเป็นวันมงคลหรือวันผีกินคน หรือผีกินสัตว์ ถ้าหากวันนั้นเป็นวันผีกินคน ก็จะไม่ยกโลงศพลงจากบ้าน แต่ถ้าหากตรงกับวันผีกินสัตว์ ก็สามารถยกศพลงบ้านได้ (หน้า 147)
เมื่อจะนำโลงศพลงจากเรือนก็จะลงทางบันได โดยจะนำกาบกล้วยพาดทางขึ้นบันได เมื่อเคลื่อนโลงศพแล้วก็จะรื้อกาบกล้วยนำไปเผา การเคลื่อนโลง ขูดอือเขียด จะแบกผล็องถำ(ข้าวของต่างๆของศพ) นำหน้าโลงศพ เมื่อไปถึงป่าช้าก็จะหาที่ฝังศพ สับปะเหร่อ (ขูดอือเขียด) จะเป็นคนเสี่ยงทางเลือกพื้นที่โดยโยนไข่ ถ้าโยนไข่ ไข่ไม่แตกก็ให้ย้ายไปเลือกที่อื่น ถ้าโยนแล้วไข่แตกก็ให้เลือกตรงนั้นฝังศพ จากนั้นขูดอือเขียด ก็จะรดน้ำศพอีกรอบ แล้วพูดว่า “ตายแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ตายให้ลืมตา ถ้าเสียชีวิตแน่ๆ ก็ให้หลับตาต่อเสียเถอะ” ต่อมาก็จะทำพิธีฝังศพเก็บไว้รอทำบุญ โดยจะเก็บไว้หนึ่งถึงสองปี จึงจะขุดมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ (หน้า 147)
พิธีวันสารท(งัยซ้าก)
คือพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เพื่อระลึกถึง ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยจะทำบุญในเดือนสิบ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “บุญเดือนสิบ” (หน้า 148) การทำพิธีจะจัดสองครั้ง ครั้งแรกจะทำพิธีในวันขึ้น 12ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่า “ซ้ากแกด” หรือวันสาดเล็ก, และครั้งที่สอง จัดในวันแรม 14ค่ำ เดือนสิบ เรียกว่า “ซ้ากฝื๊ด”หรือวันสารทใหญ่ การทำพิธี ชาวกูยจะนำอาหารไปรวมกันที่บ้านของผู้อาวุโสของตระกูล “ดงยะจู๊” (ตระกูล) สำหรับผู้อาวุโสของตระกูลนั้นเรียกว่า “โคตรผืด” (โคตรใหญ่) ของที่ใช้ประกอบด้วย ข้าวต้มมัด กล้วย เหล้า และขนม สำหรับมอบให้คนในครอบครัวและญาติที่มาร่วมทำพิธี ส่วนในช่วงกลางคืนจะไปฟังพระสวดมนต์ (จีงัน) เมื่อถึงตอนเช้าของวันแรม 15ค่ำ ก็จะไปทำบุญตักบาตรที่วัด และนำอาหารไปเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ที่เก็บไว้ที่ธาตุเก็บอัฐิ ( เรื่องและภาพ หน้า 149)
พิธีสะเดาะเคราะห์ (เญี้ยกะเวีย หรือซีเชราะห์)
พิธีนี้จะเป็นการสร้างกำลังใจ และเรียกขวัญให้คืนกลับมาอยู่ที่ร่างกาย ซึ่งชาวกูยเชื่อว่า ถ้าหากเป็นไข้ไม่สบาย ขวัญของคนไข้จะออกจากร่างกาย ดังนั้นจึงต้องทำพิธีเรียกขวัญ การประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์จะทำในวันเสาร์ เพราะเชื่อว่าเป็นวันแข็ง ผีร้ายจะอ่อนแอ ทำให้กำจัดผีร้ายได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากรีบเร่งก็สามารถทำพิธีได้เลย นอกจากนี้การทำพิธีไม่ควรจัดในวันอังคาร กับวันพุธ เนื่องจากชาวกูยเชื่อว่า วันอังคารจะทำให้ผีมอมีฤทธิ์แก่กล้า ส่วนวันพุธเป็นวันที่ชาวกูยจะต้องทำพิธีเลี้ยงผีอื่น ได้แก่ เลี้ยงผีปู่ตา ซึ่งเป็นผีประจำหมู่บ้าน เลี้ยงยะจู๊ฮ(ผีบ้าน) ฯลฯ (หน้า 150)
การทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ส่วนใหญ่จะทำเวลาเช้าถึงเพล ส่วนเวลาอื่นถือเป็นช่วงที่ไม่เหมาะสม การทำพิธีจะไม่จัดในช่วงกลางคืน เพราะเชื่อว่าผีจะมีฤทธิ์มาก ส่งผลให้การทำพิธีอาจไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีมีพลังเยอะ (หน้า 150) เครื่องประกอบพิธี จะทำเป็นสองชุด ชุดที่หนึ่งใช้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดีให้ออกไปจากร่างกาย ชุดที่สองเป็นเครื่องประกอบพิธี “เญี้ยกะเวีย” (เรียกขวัญ) เพื่อให้ขวัญมาเข้าร่างเข้ากายเหมือนเวลาปกติ (หน้า 150)
เครื่องประกอบพิธีชุดที่หนึ่ง จะทำจากกาบกล้วย เป็นรูปสี่เหลี่ยม ให้เส้นรอบวงวัดมาจากลำตัวของคนที่สะเดาะเคราะห์ ตั้งแต่หัวถึงเท้า เวลาตัดกาบกล้วยจะให้มีความยาวเท่ากับร่างคนสะเดาะเคราะห์ แล้วนำมาหักเป็นรูปกระทงสี่เหลี่ยม โดยแบ่งเป็นเก้าช่อง ซึ่งในแต่ละช่องจะใช้สีขาว สีดำ สีแดง สีเหลือง การทำแป้งจะเอาข้าวเหนียว นำมาแช่น้ำแล้วก็จะเอาไปตำด้วยครกมอง เมื่อแหลกละเอียดแล้วจะนำไปคลุกเคล้ากับถ่าน, ผลไม้สีแดง, ขมิ้น ต่อมาก็จะปั้นเป็นรูปสัตว์ ได้แก ควาย วัว ไก่ ม้า บางครั้งก็ปั้นเป็นก้อนกลมมน ใส่ลงไปในกระทงทุกช่อง ส่วนรูปคนนั้นจะปั้นด้วยแป้งสีขาวนวล แล้วเอากาบกล้วยมาตัดเป็นรูปคน ผู้ชายกับผู้หญิง แล้วตัดเล็บมือ, เล็บเท้า กับเส้นผมใส่กระทง แล้วปักธงไม้ไผ่ จำนวน 16ต้น และเทียนอายุที่ไส้เป็นฝ้ายนำเอามาหลอมกับขี้ผึ้ง เอามาวัดรอบศีรษะหนึ่งเส้น แล้ววัดจากศีรษะถึงเท้าอีกหนึ่งเส้นส่วนอีกเส้นจะวัดเท้ากับนิ้วกลาง จากนั้นก็จะนับเท่ากับอายุของคนที่ทำพิธี (หน้า 150)
ส่วนเครื่องประกอบพิธีเรียกขวัญ ญาติๆ จะเตรียมไว้อีกชุด ประกอบด้วย กระด้ง ใส่สิ่งต่างๆ เช่น ไข่ต้มหนึ่งฟอง ข้าวต้ม กล้วย กระจก หวี แป้ง กำไลเงินหนึ่งคู่ ข้าวสารหนึ่งถ้วย สร้อยทอง เคียวหนึ่งด้าม กรวยใบตอง ครอบไข่ไก่ไว้บนถังข้าวสาร เทียนหนึ่งเล่ม เหรียญเงินห้าสตางค์หนึ่งเหรียญ ด้าย แล้วผสมขมิ้นใส่ถ้วยหนึ่งถ้วย ขันน้ำมนต์ กรณีคนที่มีฐานะร่ำรวยนิยมเป็นพานบายศรีสามชั้นขึ้นไป การทำพิธีจะให้คนที่เข้าพิธีนั่งหันหน้าเข้าหาแพเหยียดขาจากนั้นจะเอาเศษผ้ามาสอดง่ามนิ้วเท้าทั้งสอง ผู้ทำพิธีจะสวดเชิญเทวดามาร่วมพิธีแล้วปะพรมน้ำมนต์ให้คนไข้ จากนั้นก็จะเอาเศษผ้าจากนิ้วเท้าใส่ลงในแพ เพื่อเอาไปทิ้ง ผู้ทำพิธีจะเป็นคนกำหนด และจะห้ามไม่ให้เหลียวมองด้านหลัง เมื่อมาถึงบ้านก็จะถามอาการคนไข้ว่ามีอาการเช่นไร คนที่นั่งก็จะกล่าวโดยพร้อมเพรียงว่า “สบายดี แข็งแรงดีเป็นปกติ” ก็ถือว่าจบพิธี (หน้า 151)
พิธีเซ๊าะฮ์บวยแทน (พิธีบูชาแถน)
พิธีนี้จะจัดในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนยี่ ถึงแรมหนึ่งค่ำ เดือนยี่ของปี โดยจะจัดเป็นเวลาสามวัน สามคืน พิธีนี้จะเริ่มตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ หลังจากเชิญหมอมอเข้าร่างเรียบร้อยแล้ว ก็จะเต้นรำตามจังหวะแคนกับกลอง นอกจากนี้ก็จะร้องหมอลำเนื้อหาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของกูย พิธีนี้จะต่างจากพิธีแก็ลมอ คือจะไม่มีขั้นตอนการชำระ “อืมแหละ” หรือ “อาบน้ำ” ให้กับคนไข้ที่เข้าพิธี พิธีเซ๊าะบวยแทน คือพิธีเซ่นไหว้ผีมอประจำปี พิธีสิ้นสุดเมื่อประกอบพิธีกรรมครบทุกขั้นตอน ในวันประกอบพิธี คนสูงอายุในแต่ละสายตระกูลจะมีการเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ผีมอ แต่จะไม่ให้ลูกเขยกับลูกสะใภ้ เข้าใกล้บริเวณที่ผีมออยู่ ถ้าหากไม่เชื่อฟังก็จะถือว่าเป็นการดูหมิ่นผีมอ ส่วนผู้ชายจะจะช่วยกันทำ “ญิงกะอาย” หรือ “ตีนกา” โดยจะนำต้นกล้วยขนาดเล็ก สูงหนึ่งศอก ตัดโคนและเสียบด้วยไม้ไผ่ตรงโคนเป็นสามขาสำหรับตั้งไม่ให้ล้ม (หน้า 152)
สำหรับสิ่งของในการเซ่นไหว้ผีมอ ประกอบด้วย ขันหมากเบ็งใส่ขันลงหิน ดอกไม้ ข้าวตอกติดก้านมะพร้าว ปักในขัน หมากสี่ลูก จัดให้เป็นกลีบสี่กลีบ สี่อัน, กรวยเย็บด้วยใบตอง ขันห้าหรือขันแปด, ญิงกะอาฮ “ตีนกา” ทำจากต้นกล้วยมีไม้เสียบสามขาให้ตั้งได้, ข้าวต้ม, กล้วยหนึ่งสองหวี, เหล้าหนึ่งขวด, ธูปเทียน, ขมิ้น แป้ง น้ำอบน้ำหอม หากเป็นผีมอในสายตระกูล สองหิ้ง หรือสามหิ้ง การเซ่นไหว้จะแยกต่างหาก คือถ้ามีสองหิ้ง จะจัดเครื่องเซ่นสองสำรับ ถ้าสามหิ้งจะจัดสามสำรับ เนื่องจากเครื่องเซ่นไหว้แต่ละสำรับจะใช้สำหรับผีมอหนึ่งตนเท่านั้น (หน้า 152)
ซึ่งตามความเชื่อของชาวกูยในช่วงวันเข้าพรรษา ผีมอจะเดินทางไปเฝ้าแถน เป็นเวลาสามวัน สามคืน ซึ่งในช่วงทำพิธีนั้นจะอยู่ในวันขึ้น 13 เดือนยี่ ในช่วงนี้ ชาวกูยในสายตระกูลจะทำความสะอาดหิ้งมอ ช้าง ม้า ธนู มีด ดาบ หน้าไม้ ขวดเหล้าและอื่นๆ ให้สะอาดหมดจด ด้วยน้ำขมิ้น หลังจากทำความสะอาดแล้ว ก็จะนำหิ้งไปไว้ที่เก่าและหันหน้าช้าง ม้า เข้าหาฝาเรือน นานสามวันสามคืน หลังจากทำพิธีแล้วก็จะหันกลับมาเหมือนเก่า (หน้า 152)
พิธีแกลมอ
พิธีนี้จะจัดเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นไข้ไม่สบาย เชื่อว่าเป็นเพราะการกระทำของทำ (หน้า 152) ขั้นตอนการทำพิธีจะแบ่งเป็นสองขั้นตอน หนึ่ง. การอืมโปล หรือเสี่ยงทาย โดยจะเสี่ยงทายด้วยเต้าปูน ซึ่งจะผูกเต้าปูนด้วยสายสิญจน์และกล่าวคำเสี่ยงทายว่า คนไข้ป่วยเพราะอะไร หากรู้อาการป่วยก็จะไปหาลำส่อง (คับแม) เพื่อหาสาเหตุว่าป่วยเพราะอะไร และจะรักษาอย่างไร ถ้าเป็นฝีมือของผีก็จะจัดพิธีแก็ลมอเพื่อรักษา
สำหรับการจัดพิธี “คับแม” หรือ “ลำส่อง”ส่วนใหญ่จะได้รับคำตอบจากผีมอสองอย่างคือ (หน้า 153) หนึ่ง.เจ้าของผีมอ (คนในยะจู๊) ไม่สนใจใยดี ไม่ได้จัดพิธีเล่นมอ หรือ เซ่นไหว้มาเป็นเวลานาน จึงทำให้ผีโมโหพยาบาท บางครั้งก็อาจมีคนพูดไม่ดีหรือดูถูกผีมอ ในบางกรณีอาจมีผีมอที่เคยอยู่ในร่างคนในตระกูลที่เสียชีวิตไปแล้วได้ถูกนำไปปล่อยทิ้งกับร่างที่หมดลมหายใจ ได้ตกระกำลำบากกลายเป็นผีเร่ร่อน เมื่อกลับมาอยู่ในร่างกายเก่าก็จะทำให้เป็นไข้ไม่สบาย ดังนั้นจึงต้องจัดพิธีขวง (หรือพิธีรับ) โดยจะให้ลูกหลานที่เป็นผู้หญิงที่สมรสแล้วมานั่งล้อมวงในปะรำพิธี หรือเรียกว่า “นางกะวาน” หรื “ร่างทรง” เพื่อให้ผีมอเข้าสิงร่างกาย (หน้า 153)
ความเชื่อที่ทำให้เกิดพิธีแก็ลมอ ผีมอก็มีส่วนสำคัญในสังคมชาวกูย เนื่องจากว่าการกระทำ หรือคำพูดอาจทำให้ผีมอโกรธจนดลบัลดาลให้เป็นไข้ไม่สบาย การทำพิธีแก็ลมอในแต่ละครั้งนั้นจะต้องเชิญร่างทรงมาไม่น้อยกว่าแปดคนรวมกับครูบาใหญ่ ซึ่งเรียกว่า “มอหนึ่งหิ้ง” เท่ากับหนึ่งคณะ แต่ถ้าหากผีมอเรียกสองหิ้ง เจ้าภาพก็จะจัดให้ตามที่ผีมอปรารถนา คนที่เป็นเจ้าภาพประกอบพิธีคือเจ้าโคตรในสายตระกูล จะปรึกษากับญาติเรื่องการจัดงาน และค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเจ้าโคตรจะนำ พลู เทียนหนึ่งคู่ เหล้าหนึ่งขวดไปอกครูบาใหญ่ แล้วครูบาใหญ่ก็จะไปหาหมอแคนมาเป่าแคนในพิธีเพราะการเป่าจะมีผลในการทำพิธี เพราะถ้าเป่าเก่งเป่าไพเราะพิธีก็จะสนุกครื้นเครง แต่ถ้าเป่าไม่เพราะก็จะทำให้ผีมอโกรธ (หน้า 154)
ขั้นตอนพิธีแก็ลมอ ก่อนวันงานญาติๆ ที่อยู่ในยะจู๊ และเพื่อนบ้านจะเตรียมข้าวของที่ใช้ในพิธี เช่น ห่อข้าวต้ม ทำขันหมากเบ็ง สานใยแมงมุม ถักฝ้ายสามสีสำหรับทำกะเน้อฮ์ (ผ้าโพกศีรษะ) คั่วข้าวตอก ส่วนผู้หญิงที่เป็นยะจู๊ผืด หรือโคตรใหญ่ ก็จะนำหิ้งมอ มาทำความสะอาด (หน้า 154) ในกลุ่มผู้ชายจะทำพื้นที่รองหิ้งมอใหญ่ ส่วนโครงก็จะใช้อันเก่า สำหรับพื้นรองหิ้งมอจะเอาไม้ไผ่ผ่าเป็นไม้ระแนง ขนาดประมาณหนึ่งเซนติเมตร ยาวเท่ากับโครงหิ้งมอ แล้วนำมาสานกับฝ้ายบริเวณช่องหน้าแผ่นหลังเป็นรูปกากบาท แล้วนำเครื่องประกอบพิธีไปเตรียมไว้บนบ้าน (หน้า 154)
เมื่อถึงวันที่ทำพิธี ญาติพี่น้องจะมาตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนผีมอก็จะมาช่วยงานกับ ครูบาใหญ่ (หน้า 154) เมื่อจัดเตรียมสิ่งต่างๆจนครบ หมอมอก็จะเข้าไปในปะรำพิธี โดยจะเริ่มทำพิธีในเวลาประมาณสี่โมงเย็น การทำพิธีจะเริ่มจากครูบาใหญ่จะประกอบพิธีดูคางไก่ หรือเรียกว่า “มอมู๊ด” หรือ “มอเข้า” เพื่อดูคางไก่ โดยจะทำนายว่า คนไข้จะมีอาการดีขึ้นหรือไม่ โดยคราใหญ่จะใช้ดาบแล่เนื้อไก่ต้มสามรอบ จากนั้นก็จะป้อนเนื้อไก่ใส่ปากหมอมอสามครั้ง เมื่อเริ่มทำพิธี ครูบามอก็จะเข้าทรงก่อนคนอื่นๆ (หน้า 155)
ในช่วงที่เข้าทรงจะถือถังข้าวสาร กับจุดเทียนในขัน ตอนจับขันนั้นจะนั่งสมาธิ ต่อมาก็จะเริ่มการเคลื่อนไหว เมื่อเข้าทรง ต่อมาแม่หมอก็จะเข้าทรงจนครบทุกคน ส่วนคนที่อยู่รอบๆ ก็จะให้กำลังใจและปรบไม้ปรบมือ โดยจะสนทนากับผีมอด้วยภาษาลาว การเข้าทรงจะเรียงลำดับความอาวุโสของผีมอ หลังจากผีมอเข้าร่างนางกะวาน จนครบทุกคน ก็จะให้คนไข้เข้ามาร่วมพิธี การเข้าร่างของผีมอจะมีเวลาไม่แน่นอน อยู่ที่ความพอใจของผีมอว่าจะอยู่นานแค่ไหน (หน้า 155)
หลังจากที่ผีมอเข้าสิงผู้ป่วย คนที่เป็นญาติก็จะนำเหล้า หมาก พลู บุหรี่ มาเซ่นไหว้ ส่วนลูกชายกับสะใภ้ก็จะเอาผ้า ผ้าสไบ เสื้อใหม่กับเหล้าหนึ่งขวด มาเซ่นไหว้ผีมอ ต่อมาผีมอทุกตนก็จะสวมด้ายมงคล (ผ้าสีดำ แดง ขาวถักเกลียว) ไว้บนหัว ต่อมามอทุกคนก็จะเอาหมากพลู เหล้ามอบกับครูบาใหญ่ เมื่อครูบาใหญ่รับเหล้าแล้ว (หน้า 156) ช่วงที่พักผู้หญิงที่อยู่รอบนอกก็จะนำบายศรีแปดสำรับมอบให้มอ โดยในนั้นจะมีสิ่งต่างๆได้แก่ ข้าวต้ม กล้วย เทียน กรองอาหลี่(ขนมบัวลอย) และประกอบพิธีบายศรีกิน การกินบายศรี เมื่อได้สำรับมาแล้วก็จะจุดเทียนแล้วเต้นรำสามรอบ แล้วมานั่งหน้าสำรับ จากนั้น ก็จะทำเป็นกินเทียน (หรือเปลวเทียนไข) สามคำ ก็จบพิธีกินบายศรี (หน้า 156)
ต่อมาก็จะรำอีกสามรอบ ตอนที่รำครูบาใหญ่ก็จะรินเหล้าให้กับมอทุกคน การรำจะสนุกมากขึ้น เมื่อผีมอกินบายศรีจนอิ่ม ครูบาใหญ่ก็จะให้ทำพิธี “อือมหละ” (อาบน้ำ)ให้คนไข้ ส่วนญาติๆชาย หญิง ก็จะช่วยกันจัดข้าวของต่างๆ เช่น ถังใส่น้ำสองแบบ แพเก้าชั้นทำจากต้นกล้วย ซึ่งก่อนจะเริ่มขั้นตอนต่างๆ หมอมอจะรำสามรอบทุกครั้ง (เวียนซ้ายดูที่หน้า 156) ส่วนการตั้งแพจะตั้งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปะรำ โดยจะมีไม้พาดต่อจากปะรำพิธี สองแผ่นแล้วจะมีแผ่นใหญ่เป็นที่นั่งชมของคนไข้ที่เข้าร่วมพิธี จากนั้นครูบาใหญ่จะให้ครูบารอง พาคนไข้ออกนอกพื้นที่ทำพิธี ต่อมาครูบารองจะเข้ามาบริเวณปะรำพิธีเพื่อร่วมพิธีอีกรอบ (หน้า 156)
จากนั้นครูบาใหญ่จะยื่นดาบให้ครูบารองไปตัดแพ หลังจากครูบารองออกไปแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังอยู่ในปะรำ ต่อมาก็จะให้ผู้ชายคนหนึ่งถือตะเกียงไปจุดตั้งไว้เบื้องหน้าคนไข้ ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ถ้าหากแพล้มเร็ว ก็เชื่อว่าคนไข้จะหายป่วยรวดเร็ว แต่ถ้าหากแพล้มช้าก็จะหายป่วยช้า เมื่อแพล้มแล้วก็จะลากไปทิ้ง ส่วนครูบาก็จะเรียกผีมอให้ออกมาช่วยหนึ่งคน ให้ราดน้ำที่คนป่วยจนหมดถัง ส่วนญาติๆก็จะเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้คนไข้เปลี่ยน แล้วครูบามอก็จะเอาฝ้ายสวมศีรษะให้คนไข้ (หน้า 157)
พิธีตัดแพ ผู้ทำพิธีเป็นผู้ชายจะอมน้ำแล้วพ่น พ่นไปรอบที่ทำพิธีเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดี ไม่ให้มาหาคนไข้ นอกจากนี้ก็จะเป็นการไล่ผีร้าย และสิ่งไม่ดีทั้งหลายให้ออกไปจากคนไข้ ส่วนกระทงแต่ละชั้นจะใส่สิ่งของต่างๆ เช่น ข้าวต้ม กล้วย ข้าวแดง ข้าวสาร ข้าวเหนียวปั้นเป็นรูปคน หมาก พลู ยาสูบ เงินเหรียญจำนวนหนึ่ง เพื่อมอให้ดวงวิญญาณที่มาทำให้เจ็บป่วยไม่สบาย เพื่อให้ไปอยู่ที่อื่นจะได้ไม่มาทำให้เดือดร้อนอีก ดังนั้นพิธีชำระจึงเปรียบเสมือนการขับไล่สิ่งไม่ดี ให้ออกไปจากร่างคนป่วย ดังนั้นแพจึงเปรียบเสมือนที่ส่งผีร้ายให้ไปอยู่ที่อื่น และฝากเคราะห์ไปกับเครื่องเซ่นไหว้ (หน้า 157)
เมื่อทำพิธีชำระแล้วก็จะกินข้าวเที่ยงด้วยกัน การกินข้าวจะไม่ให้ออกนอกปะรำพิธี เว้นแต่จะมีธุระฉุกเฉินจริงๆ เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องรีบกลับเข้าปะรำทันที ส่วนคนที่อยู่รอบนอกก็จะเย้าแหย่ผีมอ โดยหยอกให้พูด ถ้าผีมอเผลอพูดด้วย (หน้า 157) ก็จะถูกปรับไหม เป็นเหล้าหนึ่งขวดให้กับคนที่อยู่รอบนอก ส่วนช่วงบ่ายก็จะรำ “ญิงกะอาฮ” (ตีนกา) โดยครูบามอ หรือครูบารองจะนำหน้าขบวนหมอมอรำสามรอบ ขณะรำจะถือสิ่งต่างๆ คือ “กูฮ” (เรือ) “โปงวาย” (คือใยแมงมุม) “กลอง” (คือไข่ไก่) มอที่ถือเรือจะทำท่าพายเรือ มอที่ถือโปงวายหรือใยแมงมุมก็จะถือกวัดแกว่งไปมา เป็นต้น ขณะที่รำครูบารองก็จะรินเหล้าให้มอดื่ม (หน้า 158)
ในการทำพิธีแก็ลมอจะมีขั้นตอนที่สำคัญ คือการขึ้นบ้านใหม่ให้ผีมอที่มารบกวนคนให้เป็นไข้ไม่สบาย โดยจะเชิญให้ผีมอ ให้อยู่ที่หิ้งไม่ให้มารบกวนคนในชุมชน การประกอบพิธีอือเถิจโรง หรือขึ้นบ้านใหม่ ครูบามอจะให้โคตรของคนไข้สี่คนมาจับหิ้งมอ จากนั้นครูบามอจะนำหน้าขึ้นเหยียบที่หิ้งมอ วนผีมอคนอื่นๆก็จะรำเหยียบที่หิ้งมอสามรอบ เมื่อทำทุกคนแล้วก็จะประกอบพิธีสรงกู่ แล้วเอาเศษหม้อดินตั้งบนไข่ไก่สามฟอง (ตั้งเป็นสามเส้า เหมือนก้อนเส้าเตาไฟ) จากนั้นก็จะนำนุ่น และขี้ผึ้งใส่ในหม้อที่แตกกับเงินหนึ่งสตางค์ ต้มจนขี้ผึ้งละลายแล้วเอาใบขนุนมาย่างแล้วเอาไปฟาดที่ไหล่ หน้า อก ขา เพื่อไล่ความเจ็บปวดให้หนีไปจากเรือนกาย ต่อมาก็จะเอาค้อนที่ทำด้วยต้นกล้วยมาฟาดที่หลัง, ไหล่ หน้าอก และขา (หน้า 158) ขั้นตอนนี้เป็นหน้าที่ของครูบารอง ต่อมาครูบาใหญ่ก็จะประกอบพิธีละลายขี้ผึ้งในช่วงที่จุดไฟ ก็จะให้คนเอาก้านมะละกอสองก้านไปเป่าไฟ เมื่อขี้ผึ้งละลายก็ยกหม้อลงจากก้อนเส้าแล้วก็ตักเหรียญสตางค์ออกมา จากนั้นก็จะปั้นขี้ผึ้งให้เป็นก้อนนำมาแปะที่ขวดเหล้า (หน้า 159)
ชาวกูยเชื่อว่าเป็นการให้อาหารในการให้มอนำไปบริโภคยามขาดแคลน จากนั้นก็จะเอาน้ำ ที่ผสมขมิ้นมาปะพรมหิ้งมอแล้วเอาไปไว้บนเรือนก็ถือว่าจบพิธีสรงกู่ ต่อมาคนที่มาร่วมพิธีก็จะเอาฝ้ายมาผูกข้อไม้ข้อมือเรียกขวัญให้กลับมาอยู่ในร่างกาย จากนั้นมอก็จะรำอีกสามรอบแล้วทำพิธีกินบายศรี หลังจากกินจนอิ่มก็จะทำพิธีออกจากร่าง ตอนออกจากทรง หมอแคนจะเป่าแคนคนเดียวไม่ตีกลองเพราะเชื่อว่า ถ้าได้ยินเสียงกลองผีมอจะไม่ออกจากร่างกาย ส่วนผีมอก็จะออกจากร่างกายก่อนหลังตามความอาวุโสของมอ จากน้อยไปหามาก ส่วนครูบามอจะออกจากร่างเป็นคนหลังสุด ก็ถือว่าทำพิธีแก็ลมอเรียบร้อยแล้ว แล้วญาติก็จะเอาหิ้งมอไปเก็บที่เก่าก็ถือว่าจบพิธี (หน้า 159)
ชื่อของนางกะวาน (ร่างทรงมอ) คนที่เป็นนางกะวาน (ร่างทรงของผีมอ)จะใช้ชื่อเป็นภาษาลาว มีคำนำหน้าว่า “ท้าว” เวลาพูดกันหน้า จะพูดภาษาลาว ดังนั้นจึงทำให้ชาวกูยเชื่อว่ามีผีเข้าสิงร่างนางกะวาน สำหรับชื่อผีมอจะเป็นผีผู้ชาย และเป็นชื่อที่ไม่ใช่ชื่อชาวกูยในชุมชน ตัวอย่างมอหนึ่งหิ้ง ประกอบด้วย ครูบาใหญ่ชื่อท้าวบดี, ท้าวรอดเมือง, ท้าวเมือง, ท้าวคำสิงห์, ท้าวคำแสน, ท้าวน้อย, ท้าวลาน้อย (หน้า 159)
ประเพณีพิธีทำบุญปะจุ๊ ญะจุ๊ ของกูยบ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา
หมายถึงการทำบุญเซ่นไหว้ผีปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งในภาษากูย คำว่า “ญะจู๊” แปลว่า ปู่ ตา กับ “ญะ” แปลว่า “ย่า ยาย” พิธีนี้ชาวกูยบ้านเวียลเวงจะจัดในวันศุกร์ “แคเบ๊าะ ซึ่งอยู่ในช่วงเดือน 1- 2 โดยชาวกูยจะนำเครื่องเซ่นไหว้ มาทำบุญปะจุ๊ ญะจู๊ และในวันนี้จะทำแคร่หามที่มีหลังคา (หน้า 235) และมีเครื่องเซ่นไหว้หลายชนิด เช่น ไก่ต้ม ข้าวต้มผัด ถั่ว งา กล้วย และอื่นๆ จะมีการเล่นดนตรี ที่ประกอบด้วยกลองสองใบ กับซอ ในวันนี้ชาวกูยจะแห่ขบวนไปยังศาลผีจู๊ ญะเพื่อประกอบพิธีเซ่นไหว้ กับสร้างเรือนโรงสามชั้น (หน้า 236) ต่อมาก็จะหักกิ่งไม้ และธูปสามดอกเอามามัดที่เสาเรือน จากนั้นก็เอาเหล้าหนึ่งขวด ไปแขวนที่เสา เมื่อประกอบพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะแห่กลับบ้าน ช่วงนั้นชาวกูยต้น “จะเดินค้นหาต้น “สะเมาตรอเสิด” แล้วนำไปปลูกที่บ้าน หลังละหนึ่งกอ โดยจะนำไปผูกแล้ววางไว้ที่เสากลางบ้าน (หน้า 236)
ทั้งนี้ชาวกูยมีความเชื่อว่า “ต้นสะเมาตรอเสิด” คือพืชพรรณที่พิเศษสามารถให้คำทำนายเรื่องผลผลิตในไร่นาว่าจะได้ผลดี หรือแห้งแล้งข้าวไม่พอกิน เนื่องจากถ้าเห็น “ต้นสะเมาตรอเสิด” ที่นำมาปลูกมีความสดชื่นเขียวงามอยู่ตลอดเวลาก็หมายความว่าผืนดินแห่งนั้นชุ่มชื่น ปลูกข้าวได้ผลผลิตเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี พิธีทำบุญปะจุ๊ ญะจู๊ นั้น ชาวกูยมีจุดหมายเพื่อขอให้ผีปู่ตา อันเป็นผีบรรพบุรุษของหมู่บ้าน ที่ให้ความคุ้มครองดูแลให้คนในหมู่บ้านมีความสุข พืชผลการผลิตได้ผลดี (หน้า 236)
พิธีกรรมเกี่ยวกับอาเรี๊ยะ เนี๊ยะตา
การจัดพิธีเซ่นไหว้ “เนี๊ยะตา” หรือ “ปู่ตา” กับพิธีเลี้ยงอาเรี๊ยะ หรือ “อารักษ์” ของหมู่บ้านเวียลเวง ชาวกูยจะทำพิธีในช่วงเดือนมาฆะ (มกราคม-มีนาคม) ซึ่งชาวกูยจะบริจาคเงินและข้าวของเครื่องใช้ที่จำนำมาประกอบพิธีกรรม โดยจะร่วมกันรับประทานอาหารในการทำพิธีเซ่นไหว้ การเตรียมงานเมื่อใกล้ถึงวันทำพิธีเซ่นไหว้ชาวกูยจะมาทำความสะอาดศาลปู่ตา แล้วทำปะรำพิธี ซึ่งวันก่อนวันงาน นักดนตรี นักร้อง คนเข้าทรง แม่สื่อ (หรือสนม) ผู้จัดพิธีกรรมจะเตรียมงานช่วยกัน เมื่อถึงวันเซ่นไหว้ทุกคนจะมาที่ศาลปู่ตาใหญ่ ที่อยู่ทิศเหนือของหมู่บ้านเวียลเวง (ปู่ตาเป็นจุม) ทั้งนี้ชาวกูยจะเซ่นไหว้ปู่ตาใหญ่ก่อนศาลอื่น (หน้า 236)
สำหรับของเซ่นไหว้ประกอบด้วยอาหารคาว หวาน เหล้า หลังจากที่ชาวกูยได้นำเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ เซ่นไหว้ปู่ตา นักดนตรีก็จะเล่นดนตรีที่ประกอบด้วย ซอหนึ่งคัน กลองสองใบ ปี่อ้อ ส่วนนางรำก็จะฟ้อนรำเพื่อรอให้ปู่ตาเข้าทรง (หน้า 236) หลังจากเข้าทรง ชาวกูยก็จะมอบของเซ่นไหว้ ได้แก่อาหารหวาน คาว เหล้า จากนั้นผู้ร่วมพิธีก็จะไถ่ถามความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้าน ส่วนบางรายก็จะขอให้มีความสุข มีโชคในหน้าที่การงาน (หน้า 236)
ต่อมาชาวกูยจะทำพิธีสู่ขวัญข้าว โดยนำข้าวเปลือกหนึ่งกระเชอ เดินศาลปู่ตาสามรอบ โดยมีนักดนตรีเล่นเพลงและเดินตามเพื่อขอให้ปีหน้าฝนตกต้องตามฤดูกาล ปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตจำนวนมากไร้โรคภัยไข้เจ็บ หลังจากทำพิธีเรียบร้อยแล้วก็จะร่วมกันกินอาหารและดื่มสุรา เพื่อความสามัคคีของชาวกูย หลังจากที่ประกอบพิธีที่ศาลปู่ตาใหญ่ เรียบร้อยแล้ว ก็จะไปทำพิธีเซ่นไหว้ที่ศาลปู่ตาอื่นๆ ต่อไป แต่การจัดพิธีจะมีความใกล้เคียงกัน แต่จะไม่จัดเอิกเหริกครึกครื้นเช่นศาลปู่ตาใหญ่ นอกจากนี้ของเซ่นไหว้ก็จะมีไม่มากเหมือนศาลปู่ตาใหญ่ นอกจากนี้ก็ไม่มีพิธีการผูกขวัญข้าว โดยจะจัดพิธีอัญเชิญปู่ตา ให้มารับเครื่องเซ่นไหว้เพื่อเป็นการตอบตอบแทนบุญคุณ และขอให้ปู่ตาให้ความคุ้มครองให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข นอกจากนี้มีชาวกูยบางครอบครัวที่เคารพอารักษ์ ก็จะทำพิธีไหว้อารักษ์ โดยเชิญคนมาร่วมพิธี การจักก็จะทำพิธีเหมือนเซ่นไหว้ ผีปู่ตา โดยมีดนตรีประกอบจัดเครื่องเซ่นไหว้ถวาย ทำปะรำพิธีในงานแต่จะไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะวิธีการจัดทำในฐานะของผู้เป็นลูกศิษย์ที่เรียกว่า “พิธีไหว้ครู” (หน้า 237)
พิธีกรรมเซ่นเหล็ก
ชาวกูยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีชื่อเสียงเรื่องการตีเหล็ก อยู่ในตระกูลนักตีเหล็ก ตั้งแต่ยุคเมืองพระนคร ซึ่งจากหลักฐานข้อมูลประวัติศาสตร์ระบุว่า หมู่บ้านชาวกูย ในจังหวัดกัมปงธม พบเตาหลอมเหล็ก และมีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาเกี่ยวกับดาบของหมู่บ้านกำปงสวาย ที่มีความคมกว่าเหล็กทั้งปวง (หน้า 240) ส่วนกูยบ้านเวียลเวงก็มีพิธีเซ่นเหล็กเช่นกัน เนื่องจากเป็นการแสดงความเคารพ ต่อคุณค่าและประโยชน์ของเครื่องมือทำมาหากิน เนื่องจากชาวกูยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองดูแล ดังนั้นหลังจากเลิกใช้งานแล้ว ก็ต้องทำพิธีขอขมา ซึ่งพิธีเซ่นเหล็กต่างก็มีในชุมชนชาวกูยทั้งในกัมพูชาและในไทย เวลาช่างได้สร้างบ้านเรือนเรียบร้อยแล้ว ในการขึ้นบ้านใหม่ก็ต้องประกอบพิธีเซ่นเหล็ก และเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้งาน (เรื่องและภาพหน้า 241)
ในจังหวัดกัมปงธม เป็นที่ตั้งขอภูเขา “พนมแด็ก” หรือ “ภูเขาเหล็ก” โดยมีชาวกูยตั้งบ้านรอบภูเขาเหล็ก ที่นี่มีประเพณีทำเหล็ก ที่ได้สาบสูญเมื่อ 70ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ชาวกูยทุกหมู่บ้านก็ยังประกอบพิธีเซ่นเหล็กมาจนถึงทุกวันนี้ การเซ่นเหล็กได้จัดทุกปี ซึ่งจะตรงกับงาน “พะชุมบิณฑ์ธม” หรือวันสารทใหญ่ของเขมร ซึ่งชาวกูยได้ประกอบพิธีทั้งสอง เมื่อถึงวันสารทใหญ่ ซึ่งในวันนี้ชาวกูยได้จัดอาหารต่างๆ สุราและเครื่องเซ่นไหว้หลายอย่าง พร้อมด้วย อุปกรณ์เครื่องมือทั้งหลายที่ผลิตด้วยเหล็กที่ใช้ในบ้าน ได้แก่ มีด ขวาน เลื่อย จอบ เสียม และอื่นๆ นำมาวางบนปะรำพิธีที่อยู่บนบ้าน จากนั้นก็จะเรียกชื่อปู่ตา เจ้าที่ที่ให้ความคุ้มครองดูแล บ้านเวียลเวง ให้มากินเครื่องสังเวย (หน้า 241) การทำพิธีต้องมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเชิญผีปู่ตา มารับเครื่องเซ่นไหว้ เชิญผีปู่ ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับ (หน้า 241) ให้มารับอาหารหวาน คาว ที่ลูกหลานนำมาเซ่นไหว้ กับมีความต้องการที่จะตอบแทนบุญคุณขวัญเหล็ก ที่อยู่ในอุปกรณ์เครื่องใช้ ที่ชาวกูยใช้ทำงานหล่อเลี้ยงชีวิต โดยขอให้ขวัญเหล็ก จงช่วยคุ้มครองป้องกัน เครื่องมือ และอุปกรณ์ทำมาหากินให้อยู่เนิ่นนาน แหลมคมและไร้สนิม (หน้า 242)
งานศพของชาวกูย
เมื่อมีคนในหมู่บ้านเสียชีวิต ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านก็จะมาช่วยงานที่บ้าน ผู้วายชนม์ คนที่มาจะเอาข้าวสาร ธูปเทียน และเงินมาร่วมทำบุญ บางส่วนจะนำผัก มะพร้าว และฟืนติดไม้ติดมือมาช่วยงาน ส่วนผู้เฒ่า ผู้แก่ก็จะไปนิมนต์พระมาสวดอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ ส่วนลูกหลานและญาติๆ ก็จะเตรียมงานเช่น ทำโรงปะรำพิธี เตรียมอาหารไว้เลี้ยงต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน และช่วยต่อโลง (หน้า 246)
เวลาบ่ายสี่โมงเย็น เจ้าภาพก็จะไปนิมนต์พระสงฆ์เพื่อมาสวดในช่วงค่ำ ส่วนลูกหลานจะโกนผมไว้ทุกข์ นุ่งชุดขาว กับชุดดำ ในเวลากลางคืนจะมีการละเล่นเพื่อเป็นเพื่อนเจ้าภาพ ส่วนเจ้าภาพก็จะเลี้ยงแขกเหรื่อที่มาช่วยงานด้วยอาหารและเหล้า (หน้า 246) ตอนเช้าเจ้าภาพก็จะไปนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ และถวายอาหารจากนั้นก็จะทำพิธีอาบน้ำให้ศพ และแต่งตัวให้ศพแล้วบรรจุร่างที่ไร้ลมหายใจนั้นลงโลง จากนั้นก็จะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดบังสุกุล ก่อนจะเคลื่อนร่างผู้ตายไปฝังที่ป่าช้า (หน้า 247)
ชาวบ้านที่มาร่วมงานก็จะแห่แล้วเอาโลงศพบรรทุกใส่เกวียน จะลากโดยใช้เชือกผูกโลงไปที่ป่าช้า เมื่อไปถึงก็จะหามโลงศพ เดินรอบหลุมสามรอบ แล้วนำโลงใส่ลงในหลุม ก่อนที่จะฝังพระจะสวดมนต์ จากนั้นจะปิดฝาโลง แล้วนำเสื้อผ้าและสิ่งของฝังกับศพ ส่วนชาวบ้านก็จะนำธูปเทียน ดอกไม้ วางไว้ที่โลงศพ เมื่อกลบดินแล้วจะสร้างหลังคาเพื่อกันฝน กันแดด (หน้า 247) |
|
Education and Socialization |
หมู่บ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
ในอดีตกูยบ้านตะเคียนได้ศึกษาความรู้จากการดำรงชีวิตที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ เช่น เด็กผู้ชาย ต้องเข้าป่าไปเก็บของป่ากับพ่อและญาติๆ นอกจากนี้ยังต้องฝึกฝนทำงานในไร่นา ใช้เครื่องมือการเกษตรเช่น จอบ เสียม ไปช่วยตัดไม้มาปลูกบ้านและอื่นๆ (หน้า 135) ส่วนเด็กผู้หญิงก็จะช่วยทำงานบ้าน หุงหาอาหาร ทอผ้า ปลูกผัก สำหรับการศึกษาในระบบโรงเรียน บ้านตะเคียนมีโรงเรียนประจำหมู่บ้านชื่อ โรงเรียนบ้านตะเคียน ตั้งเมื่อ พ.ศ. 2478 โรงเรียนตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน (หน้า 136) ปัจจุบัน (พ.ศ.2553) โรงเรียนมีครูผู้สอน 22 คน และมีนักเรียนทั้งหมด 476 คน (หน้า 137)
บ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา
ในหมู่บ้านมีโรงเรียนประถมศึกษา ประจำหมู่บ้าน โดยสอนระดับเกรด 1 ถึง 6 (ป.1 ถึง ป.6) (หน้า 210-211) |
|
Health and Medicine |
การรักษาสุขภาพ ของกูยบ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
อีหงูขำผุง เมื่อปวดท้องจะใช้อุปกรณ์นี้ประคบท้องบริเวณที่ปวด (หน้า 189) “อีหงูขำผุง”ทำด้วยดินเหนียว ดินมีน้ำหนัก ห้าถึงหกกิโลกรัม สูง 27เซนติเมตร ฐานกว้าง 13เซนติเมตร ยาว 15เซนติเมตร ปลายด้านบนกว้างสามเซนติเมตร ยาวห้าเซนติเมตร อุปกรณ์นี้ถ้าเก็บไว้ไม่ให้โดนน้ำจะอยู่ได้นาน ในกลุ่มแม่ลูกอ่อนจะนำไปทับหน้าท้องเพราะจะทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น การลนไฟก่อนใช้ต้องให้นานประมาณห้านาที การกดทับเพื่อรักษาส่วนมากจะทำช่วงเช้า เพราะเป็นช่วงท้องว่าง (เรื่องและภาพ หน้า 190)
การคลอดลูกของกูยบ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา
เมื่อภรรยาคลอดลูก สามีจะเป็นคนที่จัดเตรียมสมุนไพรให้ภรรยา เมื่อหมอตำแยทำคลอด เรียบร้อยแล้วจะต้องอยู่ไฟเป็นเวลา เจ็ดถึงสิบห้าวัน และให้ครูบามาสวดเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคล ซึ่งเรียกพิธีนี้ว่า “พิธีบังเก๊าะโกน” ต่อมาก็จะทำพิธีล้างมือ แล้วขอขมาลาโทษหมอตำแยจากนั้นก็ทำพิธี “แซนเปรียน” เพื่อบอกผีปู่ ย่า ตา ยาย อาเรี๊ยะ เนียะตา เชิญให้มารับรู้ และคุ้มครองเด็กทารก ให้คลาดแคล้วจากอันตรายต่างๆ (หน้า 243) ในครอบครัวที่มีลูกแฝด หลังจากที่แม่ออกจากการอยู่ไฟ ภายหลังที่จัดพิธีบังเก๊าะโกน ก็จะจัดพิธี “เรียบกา” หมายถึง “พิธีวิวาห์” ให้ลูกแฝดที่ลืมตามาดูโลก เพราะชาวกูยมีความเชื่อว่า เด็กฝาแฝดในอดีตชาติเคยเป็นเนื้อคู่กันมาก่อน จึงได้มาเกิดด้วยกันอีกครั้ง ดังนั้นจึงต้องแก้เคล็ดด้วยการแต่งงาน เพื่อให้ฝาแฝดแข็งแรงสุขภาพดี
การเลี้ยงทารกกับแม่ที่อยู่ไฟ จะให้อาบน้ำอุ่นเป็นประจำ (หน้า 243)หากทารกตัวร้อนก็จะนำสมุนไพรชื่อ “เมิบสกัวซอ” ตำจนแหลกนำมาผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วให้ดื่มก็จะหายตัวร้อน ต่อมาก็จะให้นำใบชมพู่ป่า นำมาคั้งน้ำให้ทารกดื่ม ส่วนใบที่บีบน้ำออกมาจนแห้งนั้นก็จะนำมาประคบที่กระหม่อมของทารก ปิดไว้สองถึงสามวัน จึงแกะออก กระทั่งทารกอายุได้หกเดือน จะป้อนด้วยข้าวต้ม โดยจะเอาข้าวสารแช่น้ำ ใส่กระเทียมหนึ่งกลีบ แล้วนึ่งจนสุก บดจนละเอียดเอามาป้อนทารก สำหรับเหตุผลที่ใส่กระเทียมลงไปในข้าวเพื่อขับลมไม่ให้ทารกท้องอืด ร้องไห้โยเย (หน้า 244)
การรักษาสุขภาพของกูยบ้านเวียลเวง
ปัจจุบันชาวกูยจะไปรักษาที่สถานีอนามัยซูก กับสถานีอนามัยมีชัย แต่ชาวกูยส่วนใหญ่ถ้าเจ็บป่วยจะซื้อยามากินเองถ้าเจ็บป่วยมากก็จะไปสถานีอนามัย แต่ถ้าเจ็บป่วยเกินกว่าที่สถานีอามัยจะรักษาได้ ก็จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลกัมปงธม สำหรับการฝากครรภ์จะฝากที่สถานีอามัย ส่วนการคลอดส่วนใหญ่จะคลอดกับหมอตำแย (หน้า 257) หญิงชาวกูยเลี้ยงลูกด้วยนม และมีการคุมกำเนิดโดยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ส่วนองค์กรอนามัย กับสาธารณสุขประจำตำบลก็จะมีการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดให้ประชาชน ปัจจุบันแต่ละครัวเรือนมีลูกเฉลี่ย สามคน แต่รัฐบาลได้รณรงค์ให้มีลูกสองคน และแนะนำวิธีการคุมกำเนิด ส่วนการใช้ถุงยางอนามัยยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เพราะชาวกูยเชื่อว่า ถุงยางอนามัยใช้ได้ในการป้องกันโรคเอดส์เพียงอย่างเดียว ทุกวันนี้บ้านเวียลเวงพบปัญหาด้านการดูแลสุขภาพเพราะหมู่บ้านอยู่ไกลจากสถานีอนามัย ขาดแคลนยารักษาโรค นอกจากนี้ชาวกูยต้องเดินทางไปซื้อยาที่จังหวัด กัมปงธม และต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก เด็กแรกเกิดส่วนมากไม่ได้ฉีดวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่หยอดโปลิโอ ส่วนโรคระบาดที่ค้นพบได้แก่ โรคมาลาเรีย และโรคทางเดินอาหาร (หน้า 257) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของกูย บ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
ประเภทผ้านุ่ง ผ้านุ่งของผู้หญิงทอผ้าหมี่ คั่นเป็นแนวดิ่ง โดยใช้ไหมควบพื้นสีน้ำตาลอมดำ ส่วนหัวซิ่น ยืนพื้นสีแดงลายขิด ส่วนของตีนซิ่นเป็นพื้นดำ ขนาด สองถึงสามนิ้ว ประดับริ้วสีขาว เหลือง แดง แบบผ้านุ่งแบ่งประเภทต่างๆ ดังนี้ (หน้า 175) จิกกะน้อย คือผ้านุ่งผู้ชาย โดยจะสวมเมื่อมีงานบุญ และงานสำคัญ การนุ่งจะพับจับไว้ทางด้านหน้าเหมือนการนุ่งโสร่ง ผ้าแบบนี้ยังใช้คลุมศพ ลักษณะเหมือนผ้าหางกระรอก จิกโสร่ง คือผ้าตารางสี่เหลี่ยมมีหลายสี โดยจะเอาเส้นไหมมา “กวี” (ควบ กันสองเส้น) ทำให้ผ้ามีความหนาและความมันแวววาว(หน้า 175) จิกกะกวี รูปแบบเหมือนผ้าอันลุยซีนของคนไทยเขมรมีลายทางเป็นช่องไม่ใหญ่ คือผ้าที่ผู้หญิงสวมเมื่อมีงานบุญ ได้แก่งานแต่งงาน บางครั้งก็เป็น ผ้าไหว้ญาติผู้ใหญ่ ฝ่ายชายคนที่เป็นลูกสะใภ้จะทออัมเปิลหรือหัวซิ่น กับเจิงหรือตีนซิ่น มอบให้แต่ไม่ต้องเย็บต่อกับกวีหรือผ้าถุง จิกโฮล คือ ผ้ามัดหมี่มีความหลากหลายลวดลาย การนุ่งจะต่อเจิง (ตีนซิ่น) กับอึมเปิล (หน้า 175)
ผู้ชาย สวมเสื้อคอกลม สวมโสร่ง บางครั้งก็สวมกางเกงขาก๊วย คนสูงอายุ นิยมสวมผ้าแก็บสีดำเมื่อมีงานบุญ คาดผ้าขาวม้าไหมหรือฝ้าย (หน้า 174,178) ผู้หญิง ชอบสวมเสื้อสีดำเมื่อมีงานบุญประเพณี ผู้หญิงสูงวัยก็นิยมสวมผ้าสีดำไปงานบุญ งานมงคลต่างๆ จนบางครั้งจึงมีคำเปรียบเปรยว่าถ้าไม่สวมผ้าแก็บสีดำไปงานบุญก็ดูไม่ถูกกาลเทศะ การแต่งกายของผู้หญิงจะสวมเสื้อ และนุ่งซิ่น ในส่วนของเสื้อกูย (ฮับกูย) นั้นเป็นเสื้อที่ชาวกูยตัดเย็บเอง ซึ่งผ้านั้นเป็นผ้าไหม ย้อมด้วยลูกมะเกลือ เสื้อเป็นแบบแขนยาว ปักแซวประดับด้วยไหมสีขาว แดง สีเขียว สีเหลือง เป็นต้น ซึ่งจะแซวสลับกันบริเวณตะเข็บเสื้อ ได้แก่ ตะเข็บข้าง ตะเข็บแขน คอเสื้อ สาบเสื้อ และชายเสื้อ นอกจากนี้ยังประดับอย่างงดงามด้วยกระดุมเงิน หรือ โลหะ บางครั้งก็ร้อยด้วยเส้นไหม (หน้า 178)ส่วนผ้าซิ่น ชอบสวมผ้าไหมมัดหมี่ หรือผ้าไหมลายเข็น หรือ “จิกระวี” ซึ่งผ้าซิ่นนี้ประกอบด้วยสามส่วนคือ หัวซิ่น(อัมเปิล หรือปลอดจิก) ตัวซิ่น และตีนซิ่น (กะปูล หรือเญิง บางครั้งก็เรียกว่า อึนเญิง) (เรื่องและภาพ หน้า 179)
การแต่งกายของกูยบ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม ประเทศกัมพูชา
ชาวกูยในอดีต ผู้หญิง นุ่งโจงกระเบน กระโจมอก และผ้าขาวม้า โพกหัวด้วยผ้าขาวม้า บางคนก็สวมเสื้อไว้ผมมวย ผู้ชาย สวมกางเกงจีน เวลาทำงานไม่ค่อยสวมเสื้อ (เรื่องและภาพหน้า 254) ทุกวันนี้ ชาวกูย บ้านเวียลเวงชอบแต่งกายตามสมัยนิยม คนสูงอายุนิยมนุ่งผ้าโสร่ง (ซอมปุต) สวมเสื้อที่เย็บเองโดยซื้อผ้ามาจากตลาดในอำเภอปราสาทซอมโบร์ หรือตลาดในจังหวัดกัมปงธม บางครั้งก็ซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป (หน้า 254) ผู้ชาย เวลาอยู่บ้านชอบสวมกางเกงขาสั้น หรือผ้าขาวม้า แต่ไม่สวมเสื้อและมีผ้าขาวม้าพาดไหล่ บางครั้งก็ใส่เสื้อยืด ผู้หญิง และหญิงสูงอายุชอบใส่เสื้อผ้าลายฉลุดอกไม้ สวมผ้าไหม ประดับด้วยเครื่องเงิน ทอง เมื่อมีงานบุญตามประเพณี (หน้า 255) ผู้ชาย ชอบสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว นุ่งกางเกงขายาว คนวัยหนุ่ม สาว ชอบสวมเสื้อผ้าตามสมัยนิยม ที่ซื้อจากตลาดในตัวอำเภอและตัวจังหวัด ผู้หญิง ที่ค่อนข้างมีฐานะ ก็จะสวมเสื้อผ้าตามสมัยนิยม หรือชุดขาว ประเพณีเขมรเมื่อมีงานบุญ ส่วนในงานศพจะสวมเสื้อสีขาว นุ่งโสร่ง หรือกางเกงขายาวสีดำ (หน้า 255)
การเล่นประไวกูย (เล่นตีกัน)
การเล่นประไวกูยเป็นการละเล่นของชาวกูย บ้านเวียลเวงที่จัดขึ้นในงานประเพณีที่สำคัญในงานวันขึ้นปีใหม่ งานบุญวันสารท การเล่นประไวกูย (เล่นตีกัน) เป็นการเล่นแบบต่อสู้ เช่นเดียวกับชกมวย เป็นการละเล่นเพื่อความสนุกสนาน ทดสอไหวพริบ สติปัญญา ความว่องไว นอกจากนี้ยังเป็นการใช้กลวิธีการสู้รบ ความสมัครสมานสามัคคี การเล่นประไวกูย เป็นช่วงเวลาที่ชาวกูยจะมาอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ชายและหญิง ชายหนุ่มจะได้ทดสอบพละกำลัง แต่มีการป้องกันร่างกายเพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงได้ทำเสื้อเกราะ เพื่อป้องกันอันตรายยกเว้นส่วนที่ใช้เล่น ด้านที่ปล่อยแขนหนึ่งข้าง กับปลายขา (หน้า 249)
อุปกรณ์การเล่นประไวกูย มีทั้งสำหรับผู้หญิง และของผู้ชาย แต่จะไม่เหมือนกันตรงที่ตัวที่เป็นของผู้หญิงจะมีมงกุฎที่สูงกว่าของผู้ชาย อุปกรณ์การเล่นประไวกูย ประกอบด้วยเสื้อเกราะสองตัว กับไม้สองอันทำจากเถาวัลย์ ที่ชาวกูยเรียกว่า “ฉะนู” โดยจะนำเถาวันมาถักให้มีทรงยาวเหมือนเสื้อ และทำเป็นช่องเพื่อเป็นช่องใส่ศีรษะ แต่จะมีช่องที่เว้นไว้ยื่นแขนออกเพื่อถือไม้ตี เวลาเล่นจะสวมคลุมศีรษะเพื่อป้องกันอันตราย และไม้ตีก็เป็นเถาวัลย์ “ฉนู” เถาวัลย์ฉะนู สามท่อน ยาวประมาณหนึ่งเมตรนำมาสานรวมกันให้ถือได้สะดวก บางครั้งก็ใช้ไม้ไผ่เหลามัดรวมกัน เวลาเล่นจะมีกลองสองหน้าอีกสองใบ นักดนตรีจะเล่นประกอบ ตอนที่มีการแข่งขันประไวกูย ผู้เล่นที่เป็นผู้ชายสองคนจะไปอยู่กลางเวที เมื่อสวมเสื้อเกราะเถาวัลย์ฉะนู ก็จะยื่นมือข้างหนึ่งออกมาถือไม้ตี (หน้า 250)
ผู้เล่นจะกระโดดตามจังหวะและหลบหลีกเพื่อหาโอกาสตีคู่ต่อสู้ ส่วนอีกคนก็จะหลบหลีกไม่ให้ถูกเสื้อเกราะ คนที่มีความสามารถจะกระโดดไปมา หลอกล่อคู่แข่ง ให้ชะล่าใจจึงลงมือตี ถ้าถูกตีมากขึ้น ดนตรีก็จะเพิ่มจังหวะความเร็วเพื่อความเร้าใจ ส่วนคนที่ตีคู่ต่อสู้ได้มากกว่าคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ (เรื่องและภาพหน้า 250-252) |
|
Folklore |
นิทานเหตุใดภาษากูยยังคงอยู่
ภาษากูยได้คงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ดังคำสุภาษิตของชาวกูยที่กล่าวว่า “ขะแมร์ เจีย สูย กูย เจียสะดัว” หมายถึง “เขมร เป็นส่วย กูยเป็นกษัตริย์” ซึ่งสุภาษิตมีที่มาดังต่อไปนี้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่กษัตริย์เขมรได้ทำศึกสงครามมีชัยเหนือกษัตริย์กูย จึงได้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ แทนกษัตริย์กูย ต่อมากษัตริย์เขมรได้มีคำสั่งให้กษัตริย์ของประเทศราชทั้งหลายมาประชุมเพื่อแข่งขันทักษะความรู้ เวลานั้นกษัตริย์กูยได้ครองราชย์อยู่ที่เขตแดนกำปงสวาย (หน้า 267) และได้นำตัวหนังสือภาษากูยมาขีดเขียนไว้ที่หนังสัตว์ แล้วก็นำไปตากไว้กลางแจ้ง จนกระทั่งเปียกน้ำค้าง ส่งผลให้หนังสัตว์ผืนนั้นบวมพอง โชคร้ายไปกว่านั้น สุนัขได้ขโมยไปกินจนไม่เหลือซาก (หน้า 267)
ฉะนั้นพอถึงวันแข่งขัน ฝ่ายกษัตริย์กูยจึงไร้ซึ่งหลักฐานเพื่อยืนยันว่าตนมีภาษาเขียนเป็นของกลุ่มชาติพันธุ์ตน ดังนั้นจึงกล่าวออกมาว่า “จอจาแจมบัดเหย” แปลว่า “สุนัขกินหมดแล้ว” เมื่อกษัตริย์กูยตอบดังนั้น จึงทำให้กษัตริย์เขมร และกษัตริย์ประเทศราชทั้งหลายต่างพึงพอพระทัย และปรบมือโดยพร้อมเพรียง เพื่อเป็นการยินดีและชื่นชมคำพูดของกษัตริย์ชาวกูย ที่ได้บุกเบิกและประดิษฐ์คำศัพท์ใหม่ขึ้นมา ในการแข่งขันทักษะความรู้ในครั้งนี้ เนื่องจากการตีความหมายถึงนัยยะของภาษากูยประโยคนี้ได้แสดงถึงไหวพริบที่ทำให้แก้ไขปัญหาให้หมดไปโดยไร้ข้อกังขา ฉะนั้นกษัตริย์เขมรจึงได้ประกาศให้กษัตริย์ชาวกูยได้รับรางวัลชนะเลิศในการประชันความรู้ในครั้งนี้ (หน้า 267)
นิทานเรื่องภูมิแสร
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีป่ากว้างใหญ่และทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีชาวนาสองสามีภรรยาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ทั้งสองครองคู่อยู่ด้วยกันฉันคู่รักมาเป็นเวลานาน แต่ไม่มีทายาทสืบสกุล ดังนั้นทั้งสองจึงเซ่นไหว้ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยบันดาลให้มีลูก ต่อมาอีกสองวัน ได้มีชายชราคนหนึ่งได้เดินทางผ่านมา และได้ขอพักอาศัยที่บ้าน ตอนที่ชายชราคนนั้นมาขอพักแรมที่บ้าน ได้มีเหตุการณ์มหัศจรรย์เกิดขึ้นหลายอย่างเช่น ฝนตก ฟ้าร้อง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวตลอดทั้งคืน (หน้า 268) กระทั่งเช้าตรู่ ชายชราคนนั้นได้หายตัวไปโดยไม่บอกลา ดังนั้นสองสามีภรรยาซึ่งเกิดความสงสัยจึงคิดว่าชายชราคนนั้นน่าจะเป็นเทวดาอย่างแน่นอน ต่อมาอีกห้าวัน ผู้ที่เป็นภรรยาได้ตั้งครรภ์ ทั้งสองจึงทำพิธีเซ่นไหว้เพื่อแก้บน และกล่าวคำขอบคุณที่เทวดาได้ดลบันดาลให้สองสามีภรรยามีลูกสมปรารถนา กระทั่งถึงเวลากำหนดคลอด ผู้ภรรยาได้คลอดลูกออกมาทั้งหมด 15คน เป็นผู้ชาย แปดคน และลูกสาวอีกเจ็ดคน เมื่อเห็นว่ามีลูกหลายคน ผู้เป็นสามีจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “เวียลกูนมวยแสร” แปลว่า “มีลูกมากมายเต็มท้องนา” หลังจากนั้นผ่านไปหลายปีก็มีการอพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเพิ่มขึ้นตามลำดับ จึงเพี้ยนเสียงมาเป็นชื่อ “ภูมิเวียลแสร”กระทั่งชื่อเรียกหมู่บ้าน ได้สั้นลงจนเหลือเพียงหมู่บ้าน “ภูมิแสร” (หรือ หมู่บ้านนา) มาจนถึงทุกวันนี้ (หน้า 268) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกูยกับลาว ในประเทศไทย
ชาวกูยมีการติดต่อกับคนลาวที่อยู่ในชุมชนใกล้เคียง ดังนั้นจึงมีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองกลุ่ม เช่นความเชื่อเรื่องผี (หน้า 165) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การแต่งงาน ของกูยบ้านตะเคียน ตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย
ในช่วงกลางคืนสาวชาวกูยจะทอไหม ที่บริเวณลานบ้าน ส่วนกลุ่มชายหนุ่ม และเพื่อนๆ ก็จะเดินมาสนทนาด้วย เมื่อมาเจอหญิงสาวที่ชอบก็จะเข้ามาคุยด้วย และช่วยทำงาน บางครั้งก็อาจอยู่จนดึกดื่น เพื่อทำความรู้จักกัน การสู่ขอจะเริ่มจากที่ ลูกสาวได้บอกกับพ่อ แม่ ว่ามีชายที่หมายตาและอยากจะเป็นฝั่งเป็นฝามีครอบครัว ก็จะเล่าให้พ่อ แม่ฟัง เพื่อให้พ่อ แม่ไปหาเฒ่าแก่ (หรือ นายใจ) ซึ่งเป็นผู้ชายสองคนที่แต่งงานแล้วและมีครอบครัวอบอุ่น ให้ไปติดต่อชาย หนุ่มที่มารักลูกสาวของตน ซึ่งการทาบทามนี้เรียกว่า “กะโปนโคก” แปลว่า “ตามหาวัว” ซึ่งมีนัยยะว่าถ้าฝ่ายชายแต่งงานแล้วก็จะมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง (หน้า 142) หลังจากที่ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงจะมอบหมายให้ผู้สูงอายุมาคุยเรื่องค่าสินสอด (หรือสินโส่) อาทิเช่น ค่าสินสอดในอดีตตกลงกันว่าเจ็ดร้อยบาท แต่จะเอาเงินมาที่งานเจ็ดสิบบาท กรณีที่วันงานพิธีเจ้าบ่าวไม่มาเข้าพิธี หรือถ้าแต่งงานแล้ว มีการหย่าเกิดขึ้นก็จะถูกปรับไหม (หน้า 143)
เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว ซึ่งการแต่งงานส่วนใหญ่จะจัดในเดือนคู่ ได้แก่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปด เดือนสิบสอง เดือนยี่ และเดือนที่ชาวกูยแต่งงานบ่อยที่สุดคือเดือนสี่ กับเดือนหก ส่วนเดือนสิบคนไม่ค่อยนิยมแต่งงานเพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ในการทำพิธีจะทำสองวัน วันที่หนึ่งเรียกว่า “งัยโร๋ม” (หรือวันรวม) และวันที่สองเรียกว่า “งัยซัด” หมายถึงวันแต่ง เมื่อถึงวันแต่งงานฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะยกขันหมากมาที่บ้านเจ้าสาว โดยเจ้าบ่าวจะกางร่มเดินนำหน้าขบวน ส่วนคนที่มาด้วยก็จะช่วยขนสิ่งต่างๆ ที่ใช้ในงาน เมื่อยกขันหมากมาถึงบ้าเจ้าสาวแล้ว เจ้าข่าวก็จะไปนั่งที่ปะรำที่ฝ่ายเจ้าสวทำไว้ที่บริเวณเชิงบันได คนที่เป็นเฒ่าแก่ก็จะคุยเรื่องค่าสินสอด เพื่อตกลงกันใหม่ว่าวันนี้จะได้กี่บาท กับเป็นหนี้อีกนานเท่าไหร่ ซึ่งหนี้นี้เรียกว่า “แคนเคาะแกนโมง”ซึ่งเป็นเงินที่ไม่ต้องให้อีกเว้นเสียแต่ว่าเป็นการหย่าร้าง (หน้า 143)
ถ้าฝ่ายชายเป็นฝ่ายขอหย่า ฝ่ายชายก็จะใช้หนี้ที่ค้างไว้จนครบ ในกรณีที่เป็นฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงก็ต้องคืนส่วนที่ได้รับให้คืนฝ่ายชายทั้งหมด เมื่อตกลงเรื่องสินสอดแล้ว พ่อ แม่จะเรียกเจ้าสาวลงมาจากบ้านเพื่อมานั่งคู่กันกับเจ้าบ่าว หันเข้าหา “ขันดอม” หรือขันบางศรี โดยมีพราหมณ์สวดทำขวัญ โดยจะใช้ภาษาลาวสวด เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วก็จะพูดเป็นภาษากูยเพื่อให้พรคู่บ่าวสาว ให้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร เมื่อทำพิธีสู่ขวัญแล้ว ฝ่ายเจ้าบ่าวก็จะขอขมาจู๊ฮเผาะ (หมายถึงพ่อตา)กับย๊ะเผาะ(หรือแม่ยาย) ต่อมาก็จะนำขอมีค่า เงินทอง นำมาผูกข้อมือพ่อตา แม่ยายและญาติจนครบทุกคน คนที่ผูกเจ้าบ่าว ก็จะผูกเจ้าบ่าวตอบแทน นอกจากนี้ของมีค่าเช่น เงิน ทอง ของใช้ และวัว ควาย เป็นต้น ที่เจ้าบ่าวมอบให้ก็ต้องคืนเจ้าบ่าวด้วย ส่วนคนที่ไม่มาก็ต้องมอบหมายให้มีตัวแทนมาผูกข้อมือ หลังจากผูกข้อมือแล้ว พ่อตากับแม่ยายก็จะไปรอบนเรือน ต่อมานายใจ(เฒ่าแก่) ก็จะบอกกับฝ่ายหญิงและสาวต่างๆ เป็นภาษากูย โดยบอกว่า “ผู้ชายคนนี้ถ้าเป็นสามีผู้ใดให้เอาไปด้วย” พูดเช่นนี้สามครั้ง ถ้าไม่มีหญิงใดแสดงท่าที เจ้าสาวก็จะจับมือเจ้าบ่าวขึ้นไปบนเรือนหอ (หน้า 143)
หลังจากบายศรีสู่ขวัญเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะรดน้ำสังข์และผูกข้อมือเจ้าบ่าว เจ้าสาว จากนั้นก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน ต่อมาเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็จะเข้าหอ แล้วให้ผู้หญิงนอนข้างซ้ายและผู้ชายนอนข้างขวา ต่อมาพราหมณ์ก็จะรดน้ำมนต์ แล้วกล่าวให้พรคู่บ่าวสาวให้อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจและรักกันยืนนาน (หน้า 144)
การแต่งงาน ของกูยบ้านเวียลเวง ตำบลซูก อำเภอปราสาทซอมโบร์ จังหวัดกัมปงธม กัมพูชา
เมื่อหนุ่มสาวชาวกูยแต่งงาน ฝ่ายหญิงจะเรียกค่าสินสอดเป็นบ้านหนึ่งหลัง ซึ่งฝ่ายชายจะสร้างบ้าน นอกจากนี้ยังมีไม้จำนวนหนึ่งที่เตรียมไว้ขายหรือแลกเปลี่ยน กับวัสดุอุปกรณ์ ที่จะนำมาสร้างบ้าน เช่น ประตู และอื่นๆ หลังจากที่ฝ่ายชายเตรียมอุปกรณ์ไว้จนเพียงพอแล้ว เพื่อนบ้านก็จะมาช่วยเหลือสร้างบ้านให้เสร็จภายในหนึ่งวัน ส่วนฝ่ายชายก็ต้องเตรียมข้าวปลาอาหารไว้เลี้ยงขอบคุณที่มาช่วยเหลือ ส่วนการแต่งงานจะจัดแบบพอเพียงไม่ฟุ่มเฟือย (หน้า 242)
ในงานจะมีการเล่นดนตรี กลอง ปี่ และซอ สำหรับขั้นตอนของการทำพิธีมีดังนี้ ก่อนวันแต่งงานเจ้าภาพจะไปบอกกล่าว กับญาติพี่น้อง และมาทำขนม จัดเตรียมอาหาร สร้างโรงพิธี และจัดเตรียมสิ่งของที่ใช้ในงาน เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งวันก่อนวันงาน เจ้าภาพฝ่ายเจ้าสาวจะไปที่ตลาดซื้อผลไม้ ขนม เครื่องดื่ม (หน้า 248) เมื่อถึงวันทำพิธี ในช่วงเช้า ชาวบ้านก็จะมาร่วมงาน โดยจะนำเหล้า ไก่ เป็ด หมากพลู จาน ชาม หม้อ มาช่วยงานและมีการสร้างกระท่อมให้เจ้าบ่าวพัก ในทิศที่โหรได้บอกไว้ เจ็ดโมงเช้า เจ้าบ่าวก็จะแห่ขบวนมาที่บ้านเจ้าสาวและนำสิ่งของต่างๆ เช่นผลไม้ เนื้อ เหล้า มามอบให้ฝ่ายหญิง เมื่อมาถึง พ่อ แม่ และญาติ กับเจ้าสาวก็จะออกมาต้อนรับและนำสินสอดขึ้นบนบ้าน แล้วมอบสินสอดตามที่ตกลงกันไว้ เวลาบ่ายโมงก็จะจัดพิธีเก็บดอกมะพร้าว และพิธีตัดผมเพื่อความเป็นศิริมงคล โดยมีนักดนตรี พระ และ พ่อแม่ทำพิธี กระทั่งถึงห้าโมงเย็น จะไปนิมนต์พระมาสวดมนต์แล้วผูกข้อไม้ ข้อมือ เรียกขวัญให้คู่บ่าว สาว วันที่สอง เจ้าภาพและแขกก็จะร้องเพลงและเต้นรำฉลองถึงเวลาประมาณตีสี่ วันที่สามเวลาประมาณตีสี่ก็จะทำพิธีให้เจ้าบ่าว แล้วทำพิธีเวียนเทียน โปรยดอกมะพร้าว ส่งเจ้าบ่าว เจ้าสาว เข้าเรือนหอ สิบเอ็ดนาฬิกา เจ้าภาพก็จะเลี้ยงต้อนรับแขกเหรื่อ ก็ถือว่าพิธีได้เสร็จสิ้นลง (หน้า 248) |
|
Other Issues |
การคงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์กูย เวทีเสวนา ที่หมู่บ้านตะเคียน (หน้า 271-287) จัดนิทรรศการเริ่มตั้งแต่วันที่ 10มีนาคม 2554 (หน้า 272) สรุปประเด็นการเก็บข้อมูลภาคสนามเมื่อ 25มกราคม 2554 โดยมีกลุ่มเป้าหมาย หกคน ข้อมูลที่เก็บได้แก่ ภาษากูย คำที่ใช้ประจำ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน แหล่งน้ำใช้สอย ป่าช้า วัฒนธรรม วิถีชีวิตและอื่นๆ (หน้า 273) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- ประชากรบ้านตะเคียน (หน้า 133)
- จำนวนประชากรชาวกูยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกำปงธม ประเทศกัมพูชา (หน้า 217)
- ประชากรบ้านเวียลเวง (หน้า 226)
- ดรรชนีชี้วัดการคงอยู่กลุ่มชาติพันธุ์กูย (หน้า 281)
แผนผัง
- กรอบแนวคิด (หน้า 60)
- การสำรวจชุมชน (หน้า 67)
- กระบวนการวิจัย อัตลักษณ์และการคงอยู่ (หน้า 68)
- เส้นทางจากจังหวัดกำปงธมไปอำเภอปราสาทซอมโบว์ (หน้า 213)
- แบบจำลองปิรามิดการคงอยู่กลุ่มชาติพันธุ์กูย (หน้า 286)
แผนที่
- ถิ่นที่อยู่ชาวกูย (หน้า 84)
- พื้นที่วิจัย (หน้า 89)
- ถิ่นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์กูย (หน้า 104)
- ถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์กูย(หน้า 109)
- เส้นทางหลวงในภาคอีสาน (หน้า 115)
- บ้านตะเคียน (หน้า 128)
- กัมพูชา (หน้า 208)
- จังหวัดกำปงธม (หน้า 212)
- บ้านเวียลเวง (หน้า 223)
- บ้านเวียลเวง (หน้า 224)
ภาพ
แม่น้ำโขง (หน้า 20) อเล็กซานเดอร์ อังรี มูโอ (หน้า 21) คนหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 53) สมุนไพร (หน้า 84) แนวถนนโบราณสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (หน้า 85) แสดงการฝังศพ (หน้า 88) เส้นทางการเดินจากเมืองสุรินทร์ไปและกลับ (หน้า 91) เส้นทางเดินจากด่านตาโพยไปเมืองกันทรลักษณ์ (หน้า 92) แนวเทือกเขาพนมดงรัก (หน้า 93) ชาวพื้นเมือง (หน้า 102) โบราณวัตถุ (หน้า 129) แสดงการอพยพ (หน้า 130) แสดงชื่อบ้านและสระน้ำ (หน้า 130) อาณาเขตติดต่อ (หน้า 131) สถานที่สำคัญของบ้านตะเคียน (หน้า 134) ป้ายชื่อและประตู (หน้า 135) แสดงป้ายหน้าโรงเรียน (หน้า 136) แซนยะจู๊เพรี้ยม (หน้า 139) พิธีการแซนยะจู๊ดูง (หน้า 140) แสดงเปลผูกสำหรับเลี้ยงลูก (หน้า 146) บุญสารทใหญ่ (หน้า 149) กระทง 9ช่อง (หน้า 151) พิธีแก็ลมอ (หน้า 153) พิธีเริ่มต้นการเล่นแก็ลมอ (หน้า 155) ผีมอกำลังเข้าสิงครูบาใหญ่ (หน้า 156) พิธี อือมหละ (หน้า 157) ต้นดอกไม้ประดับด้วยข้าวตอก (หน้า 158) อุปกรณ์ในพิธีกรรมแก็ลมอ (หน้า 160) เครื่องดนตรี (หน้า 162) ศาลบูชาผี (หน้า 167) บ้านเรือนชาวกูย (หน้า 168) ป้ายแสดงความรู้ (หน้า 169) ยุ้งข้าว (หน้า 172) ชาวกูยกำลังสานกระเชอ (หน้า 173) วิถีชีวิต (หน้า 174) เครื่องแต่งกาย (หน้า 175,176) หัวซิ่น และเชิงผ้านุ่ง (หน้า 176,177,178) สตรีชาวกูย (หน้า 179) กูยบ้านตะเคียนตัดเย็บเสื้อ (หน้า 179) เครื่องประกอบสตรี ว่านหอม (หน้า 181) อาปุงเวีย (มัน) (หน้า 182) ก้อยปลา (หน้า 183) สะท้อนวิถีชีวิต (หน้า 184) อาหาร(หน้า 186) อุปกรณ์การดูแลสุขภาพ (หน้า 190) ภาพแกะสลักใบหน้าบุคคลที่ปราสาทโบว์ไพรกุก (หน้า 201)การแต่งงาน (หน้า 202)เมืองสมัยปัจจุบัน (หน้า 204) รูปเหมือนพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (หน้า 206) สภาพเส้นทางจากเมืองกำปงธมไปอำเภอปราสาทซอมโบร์ (หน้า 213) เด็กๆ บ้าน เวียลเวง (หน้า 220,221) เวียลเวง ในสองฤดู (หน้า 221) ถนนที่เดินทางไปบ้านเวียลเวง (หน้า 225) สถานที่สำคัญของบ้านเวียลเวง (หน้า 227) โปสเตอร์ (หน้า 228) ผู้วิจัยกับผู้ใหญ่บ้านเวียลเวง (หน้า 233) การเซ่นเครื่องมือเหล็ก (หน้า 241) หลุมฝังศพ (หน้า 246) เสื้อเกราะ (หน้า 250) อุปกรณ์การเล่นประไวกูน (หน้า 251,252) การแต่งกาย (หน้า 254) หม้อข้าว (หน้า 255) สถานที่ประกอบอาหาร (หน้า 256) บ่อน้ำ (หน้า 257) เวทีปฏิบัติการมีส่วนร่วม (หน้า 274) นิทรรศการ (หน้า 275) กิจกรรมและการแลกเปลี่ยน (หน้า 277) วิทยากร (หน้า 280) กระบวนการวิจัยอัตลักษณ์ (หน้า 284) |
|
|