|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทแดง, การปรับตัวทางด้านวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์, บ้านโพนทอง, นะคอนหลวงเวียงจันทน์, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, เวียดนาม, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
Author |
ศรีสมพร สุขวงศา |
Title |
การปรับตัวทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทแดงบ้านโพนทอง เมืองนาทรายทอง นะคอนหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Total Pages |
193 |
Year |
2551 |
Source |
วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาสังคมวิทยาการพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. |
Abstract |
การศึกษาประวัติศาสตร์ ลักษณะทางสังคมวัฒนธรรม และเงื่อนไขการปรับตัวทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทแดง บ้านโพนทอง เมืองนาซายทอง นะคอนหลวงเวียงจันทน์ พบว่า ประวัติศาสตร์ของไทแดงมีการย้ายถิ่นอย่างสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ไทแดงจึงมีกระบวนการปรับตัวยอมรับวัฒนธรรมอื่นที่เข้มแข็งมากกว่าเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง การปกครองในอดีตใช้ระบบแบบเจ้าก๊กเจ้าเหล่าและการปกครองแบบสืบทอดอำนาจ สังคมให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง ทำให้มีการแบ่งบทบาทการทำงานระหว่างชายหญิงอย่างชัดเจน
เงื่อนไขการปรับตัวของไทแดง ถูกแบ่งออกเป็น 3ช่วง คือ 1) ช่วงอพยพ การโยกย้ายถิ่นฐานชุมชนในหลายที่ ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนวัฒนธรรมกับเจ้าของพื้นที่ 2) ช่วงตั้งหมู่บ้านระยะแรก ค.ศ. 1978 ไทแดงได้ตั้งชุมชนถาวรในพื้นที่นาทรายทองหรือหมู่บ้านโพนทองในปัจจุบัน ไทแดงปรับตัวทำนาตามนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม และยกเลิกประเพณีบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับนโยบายรัฐ 3) ช่วงการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเป็นการตลาด ชุมชนได้ประกอบอาชีพหลากหลายมากขึ้น และมีการปรับตัวทางประเพณีความเชื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม เช่น เดิมชุมชนไทแดงนับถือผี แต่เนื่องจากชุมชนใกล้เคียง เช่น ไทลาว ไทพวน ไทขาวเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาพุทธ ทำให้ไทแดงรุ่นถัดมาสนใจในการทำบุญที่วัดมากขึ้น แม้รุ่นพ่อแม่ไม่นิยมทำบุญที่วัด แต่ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด สรุปได้ว่าเงื่อนไขการปรับตัวของไทแดงเป็นผลมาจากนโยบายรัฐ วัฒนธรรมตามบริบทพื้นที่และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองตามยุคสมัย โดยที่ชุมชนก็ได้มีการปรับตัวและยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน |
|
Focus |
เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ลักษณะทางสังคมวัฒนธรรม และเงื่อนไขการปรับตัวทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทแดง บ้านโพนทอง เมืองนาซายทอง นะคอนหลวงเวียงจันทน์ (หน้า 5) |
|
Theoretical Issues |
ทฤษฎีการปรับตัวทางวัฒนธรรม (Cultural Adaptation) กล่าวถึง การปรับตัว พฤติกรรม ค่านิยม วิถีชีวิตของกลุ่มคนจะเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ พบว่า เมื่อไทแดงมีการย้ายถิ่นฐานและประเทศลาวมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นแบบสังคมนิยม รัฐมีนโยบายด้านชาตินิยม ไทแดงมีการปรับตัวและปฏิบัติตนให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมหลักในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านยกเลิกจารีตประเพณีดั้งเดิม การให้ความสำคัญด้านการศึกษา ด้านการประกอบอาชีพที่หลากหลาย การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบใช้ชีวิตสังคมเมือง และการแสดงตนว่าตนเองเป็นลาวลุ่มเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและได้รับสิทธิเท่าเทียมในฐานะพลเมืองลาว (หน้า 174) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทแดง มักเรียกแทนตนเองว่าไตแดงหรือไตแหลง คนไตหรือกนไต อยู่ในกลุ่มตระกูลซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ชาติพันธุ์ คือ ผู้ไทหรือภูไท, ไทเหนือ, ไทแดง, ไทดำ, ไทขาว (หน้า 55) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาเก็บข้อมูล 1ปี ระหว่างเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ระยะเวลาวิเคราะห์และเขียนบท 10 เดือน ระหว่างเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2550 ถึงมีนาคม พ.ศ. 2551 (หน้า 170) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์ไทแดงแบ่งออกเป็น 3 ยุค ได้แก่
1. ยุคอพยพจากจีนเข้าเวียดนามหนังสือประวัติศาสตร์ลาวของ แกรนต์ อีแวนส์ (2549) กล่าวว่า “ไท” หมายถึง กลุ่มภาษาหรือวัฒนธรรมที่คนหลายกลุ่มปฏิบัติร่วมกัน ช่วงพันปีแรกของคริสตศักราช ชนชาติไทมีต้นกำเนิดบริเวณตอนใต้ของมณฑลกวางสี ประเทศจีน ต่อมาได้มีการขยายอิทธิพลของประเทศจีน ทำให้ชนชาติไทถอยร่นลงมาทางใต้ของประเทศจีน เข้ามาอาศัยอยู่บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางเหนือของเวียดนามและพม่า ชาวไทที่ตั้งถิ่นฐานในที่ราบลุ่มมีการจัดตั้งเป็นรัฐ และมีการพัฒนาทางวัฒนธรรมและการปกครอง ส่วนชาวไทที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณภูเขาทางตอนเหนือของลาวและเวียดนาม เรียกว่าชนเผ่าไม่ได้จัดตั้งเป็นรัฐ หนังสือของพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวว่า สิบสองจุไท เป็นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของ ไทดำ ไทแดง ไทขาว และอื่นๆ คนไทมีการปกครองตนเองอย่างอิสระ จนกระทั่งคนญวนได้เข้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นตังเกี๋ยและอานาม คนไทที่มาจากทิศตะวันตกจึงเข้ามามีอำนาจในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-20
ในคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าบัวมี เจืองมณีวง กล่าวว่า อดีตไทแดงอยู่ร่วมกับไทลาว บริเวณภูเขาอัลไต ประเทศมองโกเลีย ต่อมาได้ถูกพวกหานหรือตีนขับไล่ ไทกับลาวจึงได้อพยพลงมา โดยสันนิษฐานว่าแยกกันบริเวณยูนนานหรือสิบสองปันนา ปัจจุบันคือประเทศจีน ลาวอพยพไปทางแม่น้ำโขง ตั้งถิ่นฐานที่เมืองชวา (เชียงดง เชียงทอง) เจ้าปกครองไทลาว คือ ขุนบรม ส่วนคนไทอพยพไปทางแม่น้ำแดงและแม่น้ำม้า ตั้งถิ่นฐานที่เมืองกะยา ปัจจุบันคือเขตแท๋งฮั่ว ประเทศเวียดนาม เจ้าปกครองเมืองไต คือ เจ้าหน่อคำ
2. ยุคอพยพจากเวียดนามเข้าลาวหนังสือประวัติศาสตร์แขวงหัวพัน กล่าวว่า ไทแดงอพยพจากเวียดนาม มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองโสย แขวงหัวพัน ช่วงศตวรรษที่ 13ส่วนคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าบุญมี เจืองมณีวง กล่าวว่า ไทแดงตั้งถิ่นฐานที่เมืองโสยประมาณห้าชั่วอายุคน ก่อนหน้าที่ไทลาวจะเข้ามายึดครองเมืองโสย ไทแดงจึงต้องอพยพออกจากเมืองโสยไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ประเทศลาว การย้ายถิ่นฐานมีสาเหตุจากช่วง “คนแพร่หนาดินนาแคบกาด” หมายถึง คนในชุมชนมากขึ้นทำให้ที่ดินในการทำกินไม่เพียงพอ คนไทแดงจึงต้องออกจากหมู่บ้านไปตั้งชุมชนใหม่ที่เมืองโสย และช่วง “ปางเสิกเสียเมืองขนเม่น” หมายถึง การถูกชนชั้นปกครองของเวียดนามกดขี่ ไทแดงกลุ่มที่ไม่ยอมรับต่อกฎที่ไม่เป็นธรรมได้ จึงอพยพออกจากหมู่บ้าน ตามคนไทแดงกลุ่มแรกไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองโสยเช่นกัน
3. ยุคสร้างเมืองอยู่แขวงหัวพันสุมิตร ปิติพัฒน์ (2546) กล่าวว่า ไทแดง เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐานในเขตซำเหนือ และซำใต้ แขวงหัวพัน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประชาชนในชุมชนมีการอพยพย้ายถิ่นฐาน เนื่องจากการเกิดสงคราม การปล้นจากกลุ่มฮ่อ ช่วง พ.ศ. 2417 และนโยบายการปกครองแขวงหัวพันของฝรั่งเศส ตั้งแต่ พ.ศ. 2439 ส่งผลให้ชาวไทแดงเข้าไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ของชาวลาวที่นับถือศาสนาพุทธ และอพยพจากเวียดนามเข้ามาอาศัยในเขตลาว การย้ายถิ่นฐานทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรรม จากเดิมชาวไทแดงนับถือผี ปัจจุบันเริ่มนับถือศาสนาพุทธมากขึ้น ส่วนคำบอกเล่าของพ่อเฒ่าบุญมี เจืองมณีวง ผู้อาศัยอยู่บ้านนาล้อง เมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน กล่าวว่า ไทแดงตั้งถิ่นฐานที่เมืองโสย ประเทศลาวประมาณห้าชั่วอายุคน ไทแดงได้มีการเสียเส้ หรือการส่งบรรณาการไปให้แก่หลวงพระบาง และยังส่งบรรณาการให้แก่ฮานอย ประเทศเวียดนามด้วย ลาวจึงเกิดความไม่ไว้วางใจต่อชาวไทแดง กล่าวหาว่าไทแดงมีความภักดีต่อเวียดนาม จึงเกิดสงครามแย่งชิงเมืองโสยระหว่างไทแดงและไทลาวถึงสามครั้ง ไทแดงอพยพออกจากเมืองโสยไปอาศัยที่เมืองมิน เมืองสว่าง ประเทศเวียดนาม เมื่อสงครามสงบไทแดงกลับมาที่เมืองโสยอีกครั้ง แต่กลับถูกขับไล่เช่นเดิม
ช่วง พ.ศ.2108 รัชสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐา พระองค์ปกครองเมืองลาวในเขตล้านช้าง และมีสัญลักษณ์แสดงอำนาจเขตพื้นที่การปกครอง โดยการสร้างวัดและพระพุทธรูป สอดคล้องกับไทลาวในเมืองโสย ที่มีการสร้างวัดและพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อน้ำหนัก 3,850 กิโลกรัม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าไทลาวเป็นผู้ปกครองเมืองโสย ต่อมาคนไทลาวได้ผ่อนผันให้คนไทแดงอาศัยในเมืองโสยร่วมกัน แต่ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่เสมอ
ช่วง พ.ศ. 2417 คนฮ่อเข้ามาปล้นสะดมและฆ่าชาวเมืองโสยอย่างป่าเถื่อน ไทแดงและไทลาวจำนวนมากจึงอพยพออกจากหมู่บ้านไปยังเมืองอื่น เช่น กลุ่มหนึ่งไปทางล่องม้า เมืองฮัง เชียงค้อ กลุ่มสองไปทางพ้งสะทอน เมืองยืด กลุ่มสามไปทางเมืองเฮี้ยม-พันลอ กลุ่มสี่ไปทางเมืองแมด กาสี วังเวียง และบางกลุ่มก็ยังอาศัยอยู่ในเมืองโสย ต่อมาคนฮ่อเข้ามาปล้นอีกครั้ง แต่ชาวเมืองโสยไม่ได้อพยพออกจากเมืองเหมือนครั้งก่อน เนื่องจากรู้ว่าคนฮ่อจะปล้นเฉพาะคนฐานะดี ชาวเมืองโสยจึงจะนำเงินทองไปฝังดินก่อน ส่วนที่เหลือก็ยินยอมให้ปล้นแต่โดยดีเพื่อรักษาชีวิต
หนังสือพระราชอาณาจักรลาว ของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ (2503) เขียนถึงผู้ไทในแขวงหัวพันไว้ว่า “ผู้ไท” เป็นคำที่ไทลาวซำเหนือใช้เรียกไทแดงเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้ใช้เรียก ไทขาวหรือไทดำมากนัก เมื่อ พ.ศ. 2429 กองทัพไทยของพระยาสุรศักดิ์มนตรี ตั้งทัพอยู่ที่เมืองซ่อน เพื่อต่อสู้กับคนฮ่อและคนผู้ไทในหลายหัวเมือง เช่น เมืองสบแอต เมืองพูน เมืองจาด (เมืองจาดขึ้นกับเมืองซุย ซึ่งเมืองซุยคาดว่าคือเมืองโสย) คนฮ่อและผู้ไทพ่ายแพ้ ทำให้บางกลุ่มหนีไปและบางกลุ่มเข้าไปอยู่ภายใต้การปกครองของไทย ช่วงเวลานี้ไทแดงบางส่วนได้มีการอพยพไปอยู่เมืองต่างๆ ในแขวงหัวพัน ส่วนไทลาวและไทแดงที่ยังอาศัยอยู่ในเมืองโสยยังคงสร้างเมืองต่อไป จากความขัดแย้งที่มีอยู่แต่เดิมระหว่างไทแดงและไทลาว ทำให้เมืองโสยเป็น “เมืองสองง้าวสองคม” คือ เมืองที่มีเจ้าปกครองสองคนไทลาวมีเพี้ยพมเป็นหัวหน้า ไทแดงมีเพี้ยนามเป็นหัวหน้า ทั้งสองมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทั้งยังออกกลอุบายที่หมายต่อชีวิตอีกฝ่ายหลายครั้ง จนเมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครองลาวจึงจับกุมทั้งเพี้ยพมและเพี้ยนาม และเข้ามาปกครองแทน
ค.ศ. 1935 ฝรั่งเศสมียุทธศาสตร์การปกครอง คือ ไม่ต้องการให้กลุ่มคนท้องถิ่นรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ จึงได้ใช้โอกาสในความขัดแย้งแบ่งแยกกลุ่มไทแดงและไทลาวออกจากกัน สมัยนี้เรียกว่า “สมัยเบี้ยนไทเบี้ยนลาว” ฝรั่งเศสอพยพไทลาวออกจากเมืองโสย เมืองก้าง เมืองพูน มาอยู่ที่เชียงแมน นาเฮี้ย นาคาว และอพยพไทแดงตามพื้นที่อื่นๆ มาอยู่ที่เมืองโสย เมืองก้าง เมืองพูนแทนไทลาว จากนั้นได้สร้างโบสถ์คริสต์เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่เมืองโสย ทดแทนวัดในพุทธศาสนา คนไทแดงจำนวนมาก ได้มีการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากต้องการปกป้องชาติพันธุ์ตนเองและอาศัยอิทธิพลของฝรั่งเศสต่อรองกับไทลาว ฝรั่งเศสก็ได้รับผลประโยชน์จากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในครั้งนี้ จากการที่ไทแดงได้มีการรื้อวัดและพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อในเมืองโสย นำไปสร้างบ้านเรือนจนวัดกลายเป็นวัดร้าง ซึ่งเป็นการทำลายสัญลักษณ์ชาตินิยมสมัยรุ่งเรืองของไทลาวในแขวงหัวพันและอารยธรรมสมัยล้านช้างให้สิ้นสุดลง กระทั่ง ค.ศ. 1985 จึงได้มีการอัญเชิญพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อจากแขวงหัวพัน นำไปที่วัดโพธิ์ชัยชนะราม เมืองซำเหนือ ส่วนวัดและเจดีย์ถูกทิ้งร้างไว้เช่นเดิม
พ.ศ. 2497 ฝรั่งเศสพ่ายแพ้สงครามอินโดจีน ชาวฝรั่งเศสและผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์ จึงถอนกำลังออกจากประเทศลาว ทำให้บทบาทของศาสนาคริสต์ในแขวงหัวพันลดลง ชาวไทแดงบางกลุ่มกลับไปนับถือผีภายหลังมีการสร้างวัดในหมู่บ้าน ไทแดงส่วนมากจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ ต่อมาประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาททางการเมืองในลาว ประชาชนชาติพันธุ์เกิดความขัดแย้งและแบ่งแยกกันเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายขวาที่เป็นฝ่ายรัฐบาลเวียงจันทน์ และฝ่ายซ้ายที่เป็นฝ่ายรัฐบาลลาวแนวรักชาติ เมื่อ พ.ศ. 2503 เกิดสงครามกลางเมือง ส่งผลให้แขวงหัวพันอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลแนวลาวรักชาติ ส่วนข้าราชการ ทหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลเวียงจันทน์ ต้องอพยพออกจากแขวงหัวพันมาอาศัยที่นครหลวงเวียงจันทน์ หรือแขวงอื่นๆ ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเวียงจันทน์ (หน้า 57-62) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนไทแดงบ้านโพนทอง คือไทแดงจาวเลือง ที่ถูกคนฮ่อปล้นสะดม เมื่อ ค.ศ. 1874จึงอพยพออกจากเมืองโสย มาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เขตสบก่า-พ้งสะทอน ที่ขึ้นต่อเมืองยืด เมืองซำเหนือ แขวงหัวพัน คนไทแดงอาศัยอยู่บริเวณนี้ประมาณ 95 ปี ต่อมาเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามาทำให้เกิดสงครามกลางเมือง ช่วง ค.ศ.1969-1970 ไทแดงในเขตพ้งสะทอน ต้องอพยพกระจัดกระจายไปในหลายพื้นที่ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดไปตั้งถิ่นฐานที่เขตหนองแปน ซึ่งเป็นป่าดงดิบ มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ เหมาะสมกับการถางทำไร่ข้าว ไทแดงจึงอาศัยบริเวณนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1970-1978กระทั่งมีนโยบายลดการถางป่าทำไร่เลื่อนลอย ส่งเสริมให้ทำนาทดแทน เมื่อ ค.ศ. 1978คนไทแดงจึงอพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่หมู่บ้านโพนทอง เมืองนาทรายทอง ซึ่งขณะนั้นมีลักษณะเป็นพื้นที่ป่าและห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควร
ประกอบกับขณะนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองรัฐบาลเวียงจันทน์ ภาคเหนือของประเทศลาวเกิดสงคราม กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ จำนวนมาก เช่น ไทพวน ไทดำ ไทขาว ม้ง ขมุ จึงอพยพเข้ามาอาศัยในเมืองนาซายทอง เนื่องจากบริเวณนี้มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบ มีแหล่งอาหาร เช่น สัตว์ป่า ปลา พืช ผลไม้ และมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ต่อมาเมื่อเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้ว รัฐบาลมีนโยบายสร้างเขตทุ่งราบเมืองนาซายทองเป็นอู่ข้าว อู่ปลา เนื่องจากพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อการทำนา รัฐบาลได้สร้างเขื่อนกักเก็บน้ำซวงและคลองชลประทาน เพื่อส่งเสริมการทำนาและยกเลิกการทำไร่เลื่อนลอย นอกจากนี้ยังรวมกลุ่มชาติพันธุ์ให้มาอยู่รวมกันอย่างเป็นระเบียบ เดิมบริเวณนี้เรียกว่า หมู่บ้านนาง่า แบ่งเขตการปกครองเป็นจุด คือ จุดหนึ่ง จุดสอง จุดสาม จุดสี่ และจุดห้า สำหรับคนไทแดงที่หมู่บ้านหนองแปน เลือกอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่จุดสี่ เพราะเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงกับชุมชนไทขาวที่อพยพมาจากเมืองยืด ทั้งยังเป็นชาติพันธุ์ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตั้งแต่สมัยสร้างชุมชนที่สบก่า-พ้งสะทอน ต่อมาเมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงมีการจัดตั้งเป็นจุดต่างๆ เป็นหมู่บ้าน จุดสี่กลายเป็นหมู่บ้านโพนทองในปัจจุบัน (หน้า 74-77)
บ้านเรือนของคนไทแดงในอดีต ตัวบ้านยกพื้นสูงฝาบ้านทำจากไม้ไผ่ หากครอบครัวที่มีฐานะดี ฝาบ้านจะทำจากไม้อย่างดี รอบบ้านไม่มีรั้วกั้น หน้าบ้านมีระเบียง หลังคาบ้านมุงหญ้าปกคลุมตัวบ้าน เพื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวหลังบ้านมีชานเป็นที่เก็บโอ่งน้ำ และใช้ตากผ้า เนื่องจากคนไทแดงจะอาศัยเป็นครอบครัวใหญ่ ภายในบ้านจึงถูกแบ่งเป็นหลายห้อง และแบ่งสัดส่วนของชายหญิงอย่างชัดเจน เช่น ห้องเปิง (ห้องรับแขกเปิดโล่งไม่มีผนังกั้น) เพื่อใช้รับแขก มีกะล้อหรือหอผีเฮือนเป็นหิ้งตั้งไว้ที่ผนังบ้าน ห้องนี้จะห้ามลูกสะใภ้เข้าเด็ดขาด การทำครัวอยู่ภายในบ้าน โดยแบ่งเป็นเตาสองเตาคือ เตาหลักอยู่ที่หลังบ้านสำหรับทำครัว และเตากลางบ้านสำหรับให้ผู้ชายดื่มน้ำร้อนตอนเช้า ปัจจุบันคนไทแดงที่มีฐานะยากจน ยังคงปลูกบ้านในลักษณะดั้งเดิม คนที่มีฐานะดีมักสร้างบ้านผสมผสานตามยุคสมัย เช่น ตัวบ้านชั้นล่างเป็นปูนชั้นบนเป็นไม้ บ้านที่สร้างด้วยปูนทั้งหลัง พื้นและหลังคามุงด้วยกระเบื้อง (หน้า 63, 80-81) |
|
Demography |
คนไทแดงย้ายถิ่นจากบ้านหนองแปนมาตั้งชุมชนบ้านโพนทอง ประกอบด้วย ชาติพันธุ์ไทแดง 22 ครอบครัว และขมุ 14 ครอบครัวต่อมาทั้งสองชาติพันธุ์เกิดขัดแย้งกัน ทำให้ขมุได้ย้ายถิ่นฐานออกจากหมู่บ้านไป ต่อมาคนไทแดงที่อพยพกระจัดกระจายออกจากแขวงหัวพันไปได้กลับมาอาศัยในชุมชน ทั้งยังมีไทลาว ไทพวน เข้ามาตั้งถิ่นฐานในชุมชนอีกด้วย ค.ศ. 2000 ชาติพันธุ์ม้งเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่ม 7 ครอบครัว และมีคนภายนอกที่เข้ามาแต่งงานและอาศัยภายในชุมชน
ปัจจุบันหมู่บ้านมีประชากร 105 หลังคาเรือน ประชากรทั้งหมด 951 คน เป็นหญิง 471 คน ชาย 480 คน หากจำแนกตามชาติพันธุ์ ในหมู่บ้านมีครอบครัวไทแดง 74 ครอบครัว ครอบครัวที่แต่งงานกับชาติพันธุ์อื่น เช่น พ่อหรือแม่เป็นเผ่าอื่น 18 ครอบครัว และครอบครัวที่ไม่ใช่ไทแดงเช่น ลาว พวน ม้ง 13 ครอบครัว (หน้า 79-80) |
|
Economy |
ชุมชนบ้านโพนทองแต่เดิมไม่มีถนน ไม่มีระบบสาธารณูปโภค การประกอบอาชีพจึงค่อนข้างลำบาก ชาวบ้านส่วนใหญ่มักทำเกษตรกรรม เช่น ทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพเป็นหลัก ผลผลิตที่ได้มีการนำมาแลกเปลี่ยนภายในชุมชน ผู้หญิงมีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม เพื่อทอผ้าขายเป็นอาชีพเสริม สำหรับการค้าขายจะมีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อผลิตภัณฑ์ในหมู่บ้าน เพราะถ้านำไปขายเองต้องใช้การเดินเท้าระยะทางไกล ดังนั้นพ่อค้าคนกลางจึงเป็นผู้ควบคุมราคาผลิตภัณฑ์ โดยที่ชุมชนไม่มีอำนาจในการต่อรองราคา
กระทั่ง พ.ศ. 2538 รัฐได้มีการสร้างถนนลูกรังเข้ามาในหมู่บ้าน มีรถโดยสารประจำทางจากตัวเมืองเข้าออกชุมชน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและวิถีชีวิต เนื่องจากคนชุมชนสามารถทำการค้าขายด้วยตนเองได้สะดวกมากขึ้น ชุมชนมีโรงสี ร้านขายของ ระบบไฟฟ้า น้ำบาดาล โทรศัพท์ และโทรทัศน์ คนไทแดงเริ่มเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมภายนอก เช่น ผู้หญิงไทแดง ได้เรียนรู้ระบบการตลาดของผ้าทอ สามารถผลิตผ้าทอให้ตรงตามความต้องการลูกค้า มีอำนาจในการต่อรองราคาขาย จำหน่ายในตลาดที่เหมาะสม ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนให้เข้าไปสู่ชุมชนเมือง แต่ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้คนในชุมชนมีอัตราแข่งขันสูง และยังส่งผลให้ระบบอุปถัมภ์เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันลดหายไป (หน้า 107-108, 116) |
|
Social Organization |
สังคมไทแดงมีการแบ่งบทบาทของเพศชายและหญิงอย่างชัดเจน ดังนี้
ผู้ชายมีหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำไร่ ทำนา ทำสวน งานช่างต่างๆ ล่าสัตว์ การค้าขาย รับราชการ และได้รับการศึกษา นอกจากนี้ยังต้องมีหน้าที่ในสังคม เช่น การเข้าประชุมในชุมชน ดูแลกิจกรรมภายในชุมชน มีอำนาจในการตัดสินใจทุกเรื่องอย่างเด็ดขาด สำหรับลูกชาย ก็จะช่วยพ่อในการทำไร่นา เฝ้าสวน เลี้ยงสัตว์ ชายชราที่แข็งแรงก็จะช่วยลูกในการดูแลไร่นา หรือดูแลฮีตคองประจำเรือนหรือหอผีเรือน หากเคยเป็นหมอเสน หมอเยา ก็จะเปลี่ยนไปทำหน้าที่ดูแลพิธีเสน พิธีเยา ประเพณีต่างๆ ของชุมชนแทน
ผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลบ้านเรือน ดูแลพ่อสามี สามี และลูกๆ เก็บผัก ทำสวนครัว หาปลาเพื่อมาทำอาหาร และทอผ้า ผู้หญิงไทแดงเมื่อแต่งงานแล้ว จะให้ความเคารพกับพ่อสามีและสามีอย่างมาก เช่น เวลาเดินผ่านพ่อสามีต้องก้มหัว ภายในบ้านมีเตาสำหรับทำครัว และอีกเตาไว้กลางบ้านสำหรับต้มน้ำร้อนในบ้านให้ผู้ชายเท่านั้น โดยผู้หญิงต้องตื่นเช้าทุกวันเพื่อต้มน้ำร้อนให้สามีและพ่อสามีดื่มและล้างหน้าในช่วงฤดูหนาว ผู้หญิงถูกจำกัดพื้นที่ในบ้าน จากการที่ถูกห้ามเข้าห้องเปิงเด็ดขาด ห้องเปิงจะอยู่หน้าบ้าน ผู้หญิงจึงจะต้องเข้าออกทางหลังบ้าน หญิงชราหรือแม่สามีที่แข็งแรง ก็จะช่วยดูแลลูกหลานและทอผ้า
เมื่อเปรียบเทียบบทบาทชายและหญิง จะเห็นได้ว่าสังคมไทแดงทั้งในบริบทของครอบครัวและชุมชน ต่างให้ความสำคัญกับชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงถูกริดรอนสิทธิหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การแสดงความคิดเห็น แม้กระทั่งบทลงโทษเมื่อกระทำผิด ฝ่ายชายจะไม่ได้รับโทษมากนัก ในขณะที่ฝ่ายหญิงอาจต้องมีการชดใช้ค่าเสียหายให้ฝ่ายชาย (หน้า 65-67) |
|
Political Organization |
ระบบการปกครองของไทแดงแต่เดิม เรียกว่า ระบบจาว คือ ไทแดงจะมีการแบ่งคนออกเป็นกลุ่มหรือตระกูล จาวที่สำคัญ คือ จาวเลือง จาวลอ จาวลก จาววี จาวคา จาวควาง และจาวอื่นๆ ชุมชนไทแดงบ้านโพนทอง มีสองจาว คือ จาวเลืองและจาวควาง โดยจาวเลืองเป็นประชากรส่วนใหญ่ในชุมชน ในอดีตแต่ละจาวมีระบบการสืบทอดอำนาจแบบศักดินา ไทแดงเรียกผู้ปกครองว่า “จุ้มต้าว” สมัยอยู่แขวงหัวพัน ไทแดงไม่สามารถรวมกลุ่มสร้างเมืองของตนเองได้ จนต่อมาไทแดงมีเมืองโสยเป็นเมืองของตนเอง แต่อำนาจการปกครองสูงสุดขณะนั้นก็เป็นของฝรั่งเศส ทำให้ตำแหน่งสูงสุดที่คนไทแดงได้รับคือ “เพีย” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สืบทอดกับในวงศ์ตระกูลเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งแสน หมื่น ราชา และบ่าว โดยตำแหน่งที่กล่าวมาต้องเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมที่สามารถทำให้คนในชุมชนมีความเคารพยำเกรง ทุกตำแหน่งต้องเป็นทั้งผู้นำการปกครองและผู้นำทางจิตใจของคนในชุมชน (หน้า 63)
เมื่อ พ.ศ. 2518 ประเทศลาวเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเป็นแบบสังคมนิยม รัฐบาลได้ยกเลิกระบบศักดินาแบบสืบทอดอำนาจ รวมทั้งยกเลิกประเพณีและความเชื่อทางจิตวิญญาณแบบเก่าทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐบาลส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดทางการเมืองสอดคล้องกับรัฐบาลเข้าไปเป็นผู้นำชุมชนแทน ชุมชนบ้านโพนทองจึงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองตามโครงสร้างของรัฐบาล ดังนี้
1. คณะพรรคบ้าน จำนวน 5 คน เป็นองค์กรที่สำคัญ และมีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในชุมชน ได้มาจากคัดเลือกของสมาชิกพรรคบ้าน มีวาระ 3 ปี คณะกรรมการปกครองบ้าน จำนวน 3 คน ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนในหมู่บ้าน รับผิดชอบด้านการเมือง ดูแลอนุกรรมการและองค์การมหาชน มีวาระ 2 ปี
2. องค์การแนวโฮม (แนวร่วม) เป็นองค์กรที่รวบรวมผู้นำที่ไม่เป็นทางการ เช่น เพีย แสน เจ้าก๊ก เจ้าเหล่า บุคคลอาวุโส ผู้นำทางจิตวิญญาณทั้งหลาย เนื่องจาก พ.ศ. 2532 รัฐบาลได้ฟื้นฟูประเพณีการถือฮีตคอง ซึ่งเป็นประเพณีสำคัญของไทแดง จึงผ่อนผันให้ชุมชนเคารพและรักษาบทบาทของผู้นำชุมชนแบบเก่าไว้
3. สมาคมแม่หญิงบ้าน (องค์กรสตรี) รับผิดชอบเรื่องสิทธิของผู้หญิง ดูแลอบรมผู้หญิงให้ปฏิบัติสอดคล้องไปตามนโยบายรัฐ สมาคมชาวหนุ่มหรือสมาคมเยาวชนมีชื่อทางการว่า องค์กรชาวหนุ่มประชาชนปฏิวัติลาว (ช.ป.ป.ล) รับผิดชอบด้านการรวบรวมบุคคลหนุ่มสาวที่มีแนวทางในการพัฒนาหมู่บ้านและมีแนวคิดทางการเมืองสอดคล้องกับนโยบายรัฐ
4. กองหลอนบ้าน (อาสาสมัครป้องกัน) ก่อตั้งโดยรัฐบาลแนวลาวรักชาติ เป็นกองกำลังประชาชนอาสาสมัคร ในสมัยปฏิวัติที่ใช้ป่าเป็นฐานที่มั่นเพื่อซุ่มโจมตีศัตรู ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะกรรมการบ้านได้แต่งตั้งกองหลอน ให้เข้ามารับผิดชอบดูแลความสงบของหมู่บ้าน และจับกุมผู้กระทำความผิดส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี (หน้า 82-84,98) |
|
Belief System |
คนไทแดงมีความเชื่อด้านการเคารพนับถือผี เช่น ผีขวัญ ผีเฮือน ผีบรรพบุรุษ ผีแถน ส่งผลให้เกิดประเพณีการคำ พิธีกรรมเลี้ยงผีตามความเชื่อของคนไทแดง นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่ใช้เป็นวิถีปฏิบัติสืบต่อกันมาในเหตุการณ์ต่างๆ ดังนี้
ประเพณีการคำ (กรรม)
1. ประเพณีคำบ้านคือ พิธีเลี้ยงผีบ้านประจำปี จัดขึ้นครั้งละ 3 วัน ในช่วงเดือนเมษายน ระหว่างทำพิธีมีข้อห้ามคือ ห้ามคนเข้าออกหมู่บ้าน และห้ามทำงานอื่นยกเว้นงานคำบ้าน โดยคนในชุมชนจะรวบรวมเงินเพื่อไปซื้อของมาทำพิธี วันแรก ชาวบ้านจะเตรียมของต่างๆ ทำความสะอาดหอผีบ้าน สานตะเหลว (ไม้ไผ่สานเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีรูตรงกลาง) ไปปักทางเข้าออกหมู่บ้านทุกทิศทาง เพื่อห้ามคนเข้าออกจากหมู่บ้าน วันที่สอง วันไหว้ผีบ้าน ชาวบ้านจะนำเหล้าขาว เหล้าไห ไก่ต้มสุก หมู ควาย นำไปให้หมอจ้ำหรือหมอเสนทำพิธีเซ่นไหว้ที่หอผีบ้าน เมื่อทำพิธีเสร็จก็นำอาหารมารับประทานร่วมกันโดยห้ามนำกลับบ้าน ส่วนเนื้อสัตว์ที่ยังดิบอยู่ ผู้นำหมู่บ้านจะนำมาแจกจ่ายให้กับชาวบ้านเพื่อนำไปทำอาหารในวันที่สาม ระหว่างนี้ยังมีการสังสรรค์ร่วมกัน เช่น การขับไตแดง การเล่นค่างโยนค่อน การเล่นหมากบ้า การชักเย่อ วันที่สาม ชาวบ้านจะนำเนื้อสัตว์ที่ได้รับมาทำอาหาร และผลัดเปลี่ยนกันไปรับประทานอาหารและเหล้าของบ้านอื่น
2. ประเพณีคำเมืองคือ พิธีเลี้ยงผีเมือง จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม คนไทแดงไม่ค่อยให้ความสำคัญ และไม่ได้จัดพิธีในหมู่บ้าน เนื่องจากไทแดงไม่มีเมืองเป็นของตนเองอย่างชัดเจน ชาวบ้านจะรวมเงินกันเพียงเล็กน้อย แล้วให้ผู้นำชุมชนเป็นตัวแทนไปร่วมงานที่ในเมืองที่คนไทลาวจัดขึ้น
3. ประเพณีคำฟ้า (กรรมฟ้า)คือ พิธีจะถูกจัดขึ้นเมื่อเกิดเสียงฟ้าร้องในวันแรกของปี คนไทแดงเชื่อว่าเป็นวันแรกของปี ที่ชุมชนต้องเตรียมอุปกรณ์การผลิตต่างๆ ไปทำความสะอาดให้พร้อมต่อการเริ่มทำงานหลังจากหยุดช่วงปีใหม่ ซึ่งในวันคำฟ้าชาวบ้านจะอาบน้ำ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ ห้ามทำงานต่างๆ และจะมีการสังสรรค์ดื่มเหล้าไหและเหล้าขาว มีการขับลำไทแดงทั้งวัน
ฮีตคอง (จารีต)
1. การเกิดไทแดงไม่มีหมอตำแย ผู้ทำคลอด คือ ผู้เฒ่าผู้แก่ ญาติ หรือผู้มีประสบการณ์มาคอยดูแล ระหว่างทำคลอดไม่มีพิธีกรรมมากนัก เมื่อเด็กคลอดแล้ว ผู้ทำคลอดจะใช้น้ำอุ่นทำความสะอาดตัวเด็ก เอาไม้ไผ่ตัดสายรก นำรกใส่กระบอกไม้ไผ่ไปฝังดิน จากนั้นนำเด็กมาวางบนกระด้ง แล้วร่อนกระด้งเบาๆ สามครั้ง เพื่อขับไล่ภูตผีออกจากตัวเด็ก แล้วผู้ทำคลอดจะเปิดปากเด็ก ด้วยการเอามือคว้านเข้าไปในปากเด็ก แล้วพูดว่า “กินข้าวบ่อเห้ออม กินนมบ่อเห้อฮาก” แปลว่า กินข้าวไม่ให้อม กินนมไม่ให้อาเจียน สำหรับแม่หลังคลอดต้องอยู่กรรมหรืออยู่ไฟ ประมาณ2-3 สัปดาห์ โดยการอยู่กรรมจะนำใบเป้าหรือใบหนาด มารองเก้าอี้หวายและเตียงนอน เพื่อให้แผลสมานเร็วขึ้น ห้ามรับประทานเนื้อทุกชนิด ควรดื่มน้ำร้อน ขิง ข่า ก่อนออกกรรม สามีหรือญาติต้องนำหมูหรือไก่ มาทำพิธีสู่ขวัญให้แม่และเด็ก
2. การแต่งงานสังคมไทแดงให้ความสำคัญกับผู้ชายเป็นหลัก ผู้ชายต้องทำหน้าที่สืบสกุล เมื่อมีการแต่งงานฝ่ายหญิงต้องย้ายเข้าไปอาศัยในบ้านเพื่อดูแลพ่อแม่ของฝ่ายชาย หากเป็นการแต่งงานที่ฝ่ายชายย้ายเข้าไปอาศัยในบ้านฝ่ายหญิงจะไม่ได้รับการยอมรับ การแต่งงานส่วนมากพ่อแม่จะเป็นผู้จัดหาให้ หรือหากหนุ่มสาวชอบพอกัน ฝ่ายชายต้องแจ้งให้พ่อแม่ของตนเองไปสู่ขอ พิธีแต่งงานมีหลายขั้นตอน ดังนี้
การทาบทามผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะมีการทาบทาม โดยการนำเหล้าไหและไก่ ไปให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิง เพื่อบอกโดยนัยว่าต้องการลูกสาวมาเป็นสะใภ้ จึงจะนัดวันเวลาที่จะมาสู่ขอ การสู่ขอฝ่ายชายจะนำผ้าซิ่นสองผืน ฝ้ายสองวา เงินฮาว 2 ฮาว เงินหมัน 2 หมัน หมาก พลู เป็นสิ่งของไปสู่ขอฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงก็จะเตรียมอาหารและเหล้าไว้ต้อนรับ เมื่อเจรจาสู่ขอเรียบร้อย ฝ่ายชายต้องรอคำตอบประมาณสองถึงสามสัปดาห์ ถ้าฝ่ายหญิงปฏิเสธ ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะนำสิ่งของไปคืนแก่ฝ่ายชาย แต่ถ้าตอบรับแต่งงาน จึงจะไปเจรจาเรื่องสินสอดและนัดหมายวันเวลาจัดพิธีแต่งงาน
การหมั้น เมื่อถึงตามกำหนดฝ่ายชายจะไปทำพิธีหมั้นที่บ้านฝ่ายหญิง ตามประเพณีสินสอดจะต้องมี เงินค่าเหย้าค่าเฮือน (ค่าบ้าน) เงินพี่เงินน้อง (เงินญาติพี่น้อง) สัตว์ที่ต้องฆ่าเลี้ยงผี จากนั้นจึงจะนัดหมายวันแต่งงาน
การแต่งงาน วันแต่งงานฝ่ายหญิงต้องฆ่าสัตว์ที่ฝ่ายชายนำมาให้ เพื่อเซ่นไหว้ผีเรือน และนำมาเป็นอาหารในงานแต่งงาน ฝ่ายชายต้องนำหม้อหนึ่งใบ ฝ้ายสองกำ เงินอาวสองเบี้ย และปลาส้มหนึ่งบั้ง ซึ่งอยู่นอกเหนือจากสินสอด เพื่อมอบให้หมอเสอ (หมอที่ทำพิธีแต่งงาน) ทำพิธีเซ่นไหว้กะล้อผีเรือนของฝ่ายหญิง จากนั้นทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ผูกข้อไม้ข้อมืออวยพรบ่าวสาว จากนั้นจึงร่วมรับประทานอาหารและสังสรรค์จนถึงใกล้รุ่งเช้า เจ้าบ่าวจะรินเหล้าขาวเพื่อเป็นการสู่ขอฝ่ายหญิงมาเป็นภรรยา ผู้อาวุโสฝ่ายเจ้าบ่าวจะจูงเจ้าสาวลงบ้านไป ญาติเจ้าบ่าวจะให้เจ้าสาวนั่งเก้าอี้หวายแล้วแห่เจ้าสาว กลับไปบ้านเจ้าบ่าว
พิธีชมใภ้หรือ พิธีต้อนรับลูกสะใภ้ใหม่เข้าบ้าน ฝ่ายชายจะฆ่าหมูเพื่อบอกผีเฮือน และขอให้คุ้มครองคู่สามีภรรยา ฝ่ายหญิงที่เป็นสะใภ้ขึ้นบ้านไปฝากเนื้อฝากตัวกับพ่อแม่ฝ่ายชาย จะมีการให้ของกำนัลเพื่อรับขวัญสะใภ้ ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ต่อมาสองสามวันลูกสะใภ้ต้องนำผ้าซิ่น ผ้าแพร ไปไหว้ญาติพี่น้องฝ่ายสามีอีกครั้ง เพื่อให้รับรู้ว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากันอย่างสมบูรณ์
3. การหย่าร้างแต่เดิมการหย่าร้างเป็นเรื่องที่รุนแรงและไม่ค่อยเกิดขึ้น ส่วนมากหากสามีภรรยาเกิดปัญหากัน ผู้อาวุโสก็จะช่วยไกล่เกลี่ยและตัดสิน แต่หากมีบทลงโทษจะเน้นไปที่ฝ่ายหญิง เช่น การมีชู้ ฝ่ายชายจะให้หย่าร้างอย่างเดียว แต่หากเป็นฝ่ายหญิง เมื่อหย่าร้างแล้วต้องชดใช้ค่าอาหารตามระยะเวลาที่อาศัยอยู่กับฝ่ายชาย และชดใช้ค่าสินสอดทั้งหมด
4. การตายแต่เดิมคนชรานิยมให้ลูกหลานไปตัดต้นไม้ เพื่อมาทำเป็นโลงศพให้ตนเองก่อนตาย เมื่อมีคนตายจะส่งข่าวด้วยการนำถ่านไฟห่อด้วยใบตองแล้วส่งให้ญาติเดินทางมาร่วมงานศพ นิยมตั้งศพไว้ที่บ้าน 2-3 วัน ลูกหลานไว้ทุกข์ด้วยการนำผ้าขาวมาตัดเป็นหมวกและเสื้อคลุม ห้ามสวมใส่เครื่องประดับ ห้ามแต่งหน้า และหวีผม ห้ามกิจกรรมสนุกสนานร่าเริง การกินข้าวต้องกินกับใบตองหรือรางใส่อาหารที่ทำจากไม้ไผ่เท่านั้น ลูกผู้ตายจะนำอาหารและของใช้ของผู้ตายวางข้างศพ แล้วให้ลำจาว (หมอส่งวิญญาณ) มาเซ่นไหว้แล้วส่งวิญญาณผู้ตายไปเมืองแถน จากนั้นจึงนำศพไปฝัง (หน้า 69-74) |
|
Education and Socialization |
ด้านการศึกษา ช่วงตั้งหมู่บ้านที่หนองแปน พ.ศ. 2513 คนไทแดงที่เป็นผู้นำและชนชั้นปกครองจะส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือ โดยส่วนใหญ่เรียนที่วิทยาลัยครูดงโดก เมื่อเรียนจบนิยมเข้ารับราชการภายนอกหมู่บ้านที่มีความเจริญมากกว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2518คนในชุมชนไทแดงจึงมีโอกาสได้เข้ารับราชการในท้องถิ่นและทำงานร่วมกับรัฐบาลใหม่
เมื่อชุมชนไทแดงย้ายมาที่บ้านนาซายทอง พ.ศ. 2521 ภาครัฐเริ่มมีนโยบายส่งเสริมให้คนทุกกลุ่มเรียนหนังสือประกอบกับแผนกศึกษานครเวียงจันทน์ (ปัจจุบันคือนครหลวงเวียงจันทน์) ได้สร้างโรงเรียนประถมศึกษาบ้านโพนทองหนึ่งหลังเมื่อ พ.ศ. 2544 คนไทแดงจึงนิยมส่งเสริมให้บุตรหลานเข้าศึกษามากขึ้น เพื่อให้สามารถทำงานรับราชการหรือเป็นพนักงานของรัฐ นอกจากนี้ยังนิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาที่นะคอนหลวงเวียงจันทน์ คนในชุมชนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในหลายสาขา เช่น ครู บริหารการศึกษา ป่าไม้ พยาบาล ตำรวจ บุคคลที่จบการศึกษาสูงสุดในหมู่บ้านจบปริญญาโท สาขาบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ประเทศไทย เมื่อคนในชุมชนได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น ประกอบกับเข้ามาอาศัยในเมือง จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตดั้งเดิมไปเป็นลักษณะแบบสังคมเมืองมากขึ้น (หน้า 85, 103-105) |
|
Health and Medicine |
คนไทแดงมีพิธีกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ เรียกว่า “การเสน” หมายถึง การเหยาหรือเซ่นไหว้ เมื่อมีคนป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ ญาติจะต้องให้หมอเสนเสี่ยงทำนายโดยการดูไข่ (ไทแดงเรียกว่าเกือกไข่) หรือดูหมอเสื้อ แล้วหมอเสนก็จะบอกสาเหตุอาการเจ็บป่วย ญาติต้องทำพิธีเสนหรือแก้ให้ผู้ป่วย แต่หากหมอเสนดูแล้วว่าอาการป่วยมาจากเชื้อโรคทั่วไปก็ไม่ต้องทำพิธีเสน พิธีเสนแบ่งออกเป็น 2ประเภท คือ
1. เสนแก้บะ (แก้บน)เมื่อหมอเสนพบว่าอาการป่วยมาจากญาติที่ตายไปแล้ว ต้องการกินเนื้อสัตว์บางอย่าง ญาติผู้ป่วยก็ต้องทำการแก้บนที่บ้าน โดยที่นำเสื้อผู้ป่วยและหมากพูล ไปบนที่กะล้อผีเฮือน เมื่อผู้ป่วยหายดีภายในเวลาที่กำหนด ญาติก็ต้องฆ่าสัตว์ชนิดที่บนเอาไว้ เตรียมเหล้าขาว เหล้าไห ไข่ เงินเสี่ยน (เงินที่เป็นแท่งยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ปลายเรียวทั้งสองข้าง) เงินฮาง (รางให้อาหารหมูยาวเท่าเงินเสี่ยน แต่ใหญ่และหนากว่า) ดาบ ข้าวสาร เสื้อคนป่วย เงินค่าแก้บน ไปให้หมอเสนทำพิธีเสน ไทแดงเรียกว่า การคายแก้ ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง
2. เสนแก้โสย (การต่ออายุ)เมื่อหมอเสนพบว่าคนป่วยมีอาการโส้ย คือวิญญาณไปอยู่เมืองแถนแล้ว ญาติต้องทำพิธีแก้เสนโส้ยเพื่อให้วิญญาณกลับมา ญาติต้องฆ่าไก่ เป็ด หมู วัว หรือควาย เตรียมเงินเสี่ยน เงินฮาง เงินโลหะ ซิ่น ผ้า ไข่ ข้าวสาร ดาบ เหล้าขาว เหล้าไห ฝ้ายขาว และฝ้ายแดง เพื่อไว้คาดศีรษะผู้ป่วยตอนเสน วิธีเสนแก้โส้ยจะยุ่งยากและใช้เวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง
สำหรับปัจจุบันบ้านโพนทองไม่มีสถานีอนามัย หากคนในหมู่บ้านมีอาการป่วยทั่วไป ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองหรือตัวเมืองเวียงจันทน์ (หน้า 68, 85) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
บทขับลำไทแดง บทร้องที่เล่าถึงสมัยที่ไทแดงถูกกดขี่จากชนชั้นปกครอง จึงต้องอพยพจากเขตฮ่องก่าไปอาศัยที่เมืองโสย (หน้า196)
ผ้าทอ เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทแดง ที่มีชื่อเสียงด้านความประณีต ชาวบ้านใช้การทอมือด้วยกี่ทอ ฟืม กระสวย วัสดุในการทำมาจากฝ้าย หม่อน ไหม ย้อมสีจากธรรมชาติ ลายผ้าจะสื่อสารเรื่องศาสนาและวิญญาณ (หน้า 129-130) |
|
Folklore |
เรื่องเล่าการอพยพของไทแดงจากเวียดนามมาสร้างเมืองที่เมืองโสย ผู้วิจัยบันทึกจากคำบอกเล่าของพ่อเฒ่า บัวมี เจืองมณีวง กล่าวคือ ช่วงแรก เรียกว่า ปางเขาควายเหล็กควายทอง หรือคนไทแดงเรียกว่า “คนแพร่หนาดินนาแคบกาด” แปลว่าจำนวนคนมากขึ้นทำให้ที่นาหายากขึ้น สมัยก่อนมี ต้าวกะยา (ท้าวกะยา) เป็นเจ้าเมืองปกครองเมือง มีพระราชวังชื่อ ย้วงฮวดต้าวเมืองกะยามีควายตัวหนึ่งที่มีความสามารถพิเศษ คือ เมื่อมันร้องแล้วหันหน้าไปทางไหน ควายตัวอื่นที่อยู่ทางนั้นจะได้ยินเสียงและเดินมาหามัน ทำให้ควายและชาวเมืองต้องเข้ามาอยู่ในวังย้วงฮวดทั้งหมด ต่อมาเมื่อควายตัวนี้ตาย ต้าวเมืองกะยาได้ถอนเขาควายเอาไว้ก่อนนำไปฝัง นำเขาควายมาโอบด้วยเหล็กและทอง ต่อมาเมื่อจำนวนชาวเมืองมากขึ้น จึงต้องมีการอพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่
ต้าวกะยามีพี่น้องเป็นผู้ชาย 5 คน (ไทแดง เรียกว่าจุ้มต้าว แปลว่า คนในตระกูลของเจ้าเมือง) จุ้มต้าวทั้ง 5 คนจึงหารือแล้วได้ข้อตกลงว่าจะให้ จุ้มต้าวน้องชายคนที่สี่ชื่อ ต้าวดึก (ท้าวดึก) และคนที่ห้าชื่อต้าวเจือง (ท้าวเจือง) ออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ ต้าวกะยาจึงได้นำเขาควายข้างที่เป็นทองให้ต้าวดึก และเขาควายข้างที่เป็นเหล็กให้ต้าวเจือง จากนั้นสองพี่น้องจึงพาชาวเมืองออกเดินทางเลียบลงไปทางแม่น้ำตวง (แม่น้ำทวง) จนถึงที่ปากน้ำปูนและน้ำโสยมาบรรจบกัน สองพี่น้องจึงแยกทางกันโดยสัญญาต่อกันว่า “หากชาวเมืองที่อพยพมาด้วยไปอยู่กับใครมากกว่า ก็ให้ตั้งที่นั่นเป็นเมือง” ต้าวดึกเป็นผู้ฉลาดกว่า ได้เลือกชาวเมืองที่เป็นนายช่างต่างๆ เช่น ช่างตีเหล็ก ตีเงิน ตีทองอพยพไปทางแม่น้ำโสย ไปตั้งถิ่นฐานที่บริเวณเขตฮ่องก่า (ร่องค่า) ส่วนจ้าวเจืองได้พาชาวเมืองอพยพไปตามแม่น้ำปูน ไปตั้งถิ่นฐานที่บริเวณเขตฮ่องกู่ (ร่องคู่) หลายปีต่อมาชาวเมืองเขตฮ่องกู่ขาดแคลนช่างฝีมือ จึงต้องเดินไปเขตฮ่องก่าหลายครั้ง แต่ด้วยการเดินทางที่ลำบากทำให้ชาวเมืองไม่กลับมาที่ฮ่องกู่ จนเมื่อชาวเมืองเริ่มอพยพมาที่ฮ่องก่าเริ่มมากขึ้น ต้าวดึกจึงได้ตั้งเขตฮ่องก่าเป็นเมืองต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองโสย ตามชื่อแม่น้ำโสยในปัจจุบัน
ช่วงที่สอง เรียกว่า ปางเสิกเจืองเสียเมือง หรือ สมัยศึกเจืองเสียเมืองขนเม่นเป็นช่วงการอพยพเพราะถูกกดขี่จากชนชั้นปกครอง กล่าวคือ สมัยก่อนเจ้าคนเวียดนาม ตั้งกฎว่าถ้าชาวเมืองล่าสัตว์ได้ ต้องนำขาหลังและขนของสัตว์ตัวนั้นไปถวายให้ต้าว (เจ้าเมือง) วันหนึ่งชาวเมืองกะยาล่าเม่นได้ จึงนำขาและขนเม่นไปถวายตามกฎ แต่เจ้าเมืองไม่พอใจที่ขนเม่นใหญ่ แต่ขาเม่นเล็ก กล่าวหาว่าถ้าขนเม่นใหญ่ขนาดนี้ขนาดตัวน่าจะเท่าช้างแน่นอน และได้มีการขู่เข็ญให้นำขาเม่นไปถวายใหม่ ชาวเมืองจึงเกิดความหวาดกลัวต่ออำนาจป่าเถื่อนของเจ้าเมือง จึงได้พากันอพยพออกไปอยู่ที่เมืองโสยเป็นจำนวนมาก เรื่องนี้คนไทแดงบอกเล่าผ่านการสร้างเป็นบทขับลำไทแดง
ช่วงที่สามเรียกว่า สมัยเสิก (ช่วงศึก) เจืองเสียเมืองสนปอก กล่าวคือ มีเจ้าเมืองชื่อตือมิน เป็นเจ้าเมืองกะยา นิสัยป่าเถื่อนและโลภมาก ตือมินบังคับชาวเมืองให้สร้างตำหนัก ชาวเมืองต้องไปตัดไม้และทำงานหนัก โดยตำหนักต้องทำจากไม้สนเท่านั้น ไม้สนที่นำแต่ต้นต้องมีการเจาะรูลำไม้ทุกต้น คนไทแดงเรียกว่า ทำปอก ซึ่งสร้างความลำบากต่อชาวเมือง ชาวเมืองจึงแอบหนีออกจากเมืองไปจำนวนมาก (หน้า 195-196) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
คนไทแดงแต่เดิมเคารพนับถือผี เช่น ผีเฮือน ผีบรรพบุรุษ ผีแถน มีหอผีบ้านเป็นที่พึ่งทางจิตใจ แต่เนื่องจากชาติพันธุ์มีการย้ายถิ่นฐานเข้าไปอาศัยใกล้ชิดกับชาติพันธุ์อื่นที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ชนชั้นปกครองจึงต้องการให้ไทแดงยกเลิกความเชื่อและประเพณีของตนเอง ส่งเสริมให้เปลี่ยนไปนับถือพุทธศาสนาซึ่งเป็นความเชื่อหลักในพื้นที่ มีการสร้างวัดทดแทนหอผีบ้าน คนไทแดงจึงพยายามธำรงรักษาอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ตนเองและแสดงถึงการไม่ยอมรับข้อปฏิบัติอย่างประนีประนอม จากการสร้างเรื่องเล่าว่า “พระสงฆ์รูปหนึ่ง เดินไปตกหลุมอุจจาระ ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครยอมช่วยท่าน จนมีชายหนุ่มชาวไทแดงเดินผ่านมาและช่วยท่านขึ้นมาจากหลุมอุจจาระ เมื่อพระสงฆ์รู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไทแดง จึงกล่าวขอบคุณแล้วบอกว่า หากชาวไทแดงต้องการทำบุญให้ญาติพี่น้องที่ตายไป สามารถทำบุญได้ด้วยตนเองไม่ต้องมีวัดหรือนิมนต์พระ เพราะการช่วยเหลือพระสงฆ์ครั้งนี้เป็นบุญกุศลมากเพียงพอแล้ว” แต่ทั้งนี้ไทแดงก็ยังสามารถเข้าร่วมงานสำคัญทางพุทธศาสนาและให้ความเคารพพระสงฆ์ เพื่อเป็นการลดความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสเข้ามาปกครอง คนไทแดงก็ปรับตัวไปนับถือศาสนาคริสต์ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองจากฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสหมดอำนาจคนไทแดงก็กลับมานับถือผีเช่นเดิม
นอกจากนี้ไทแดงยังมีการปรับตัวเป็นพลเมืองลาว หลังจากได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส รัฐบาลลาวพยายามสร้างความเท่าเทียมให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น ลาวเทิง ลาวสูง ลาวลุ่ม ไทแดงจึงแสดงตนว่าเป็นกลุ่มลาวลุ่มหรือไทซำเหนือตามที่ตั้งถิ่นฐาน มากกว่าที่จะแสดงตนเป็นไทแดง เพื่อให้ได้รับสิทธิในฐานะพลเมืองลาว ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย รวมไปถึงการเข้าถึงทรัพยากรในพื้นที่ การได้รับการศึกษา การเรียนหนังสือภาษาลาวเพื่อให้ได้เข้ารับราชการในระดับสูง ตลอดจนเพื่อให้ได้รับการยอมรับในสังคม
จากที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าไทแดงเป็นชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ จึงจำเป็นต้องปรับตัวตามสถานการณ์และปฏิบัติตามวัฒนธรรมหลักของพื้นที่นั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพราะความศรัทธาแต่อย่างใด ทั้งยังรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ตนเอง แล้วเข้าไปมีบทบาทในสังคมส่วนใหญ่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ความเชื่อ เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครอง (หน้า 90-94) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชุมชนไทแดงมีการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมวัฒนธรรม ดังนี้
การสืบทอดอำนาจผู้นำชุมชน จากเดิมไทแดงมีการปกครองแบบศักดินาสืบทอดอำนาจ ผู้นำชุมชนไทแดงต้องเป็นทั้งผู้นำชุมชนและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ภายหลังเมื่อประเทศลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสังคมนิยม รัฐมีนโยบายทางการเมืองให้ยกเลิกการปกครองแบบศักดินา ความเชื่อด้านจิตวิญญาณ และยกเลิกประเพณีในชุมชนที่ขัดกับนโยบายรัฐ สำหรับชุมชนไทแดงบ้านโพนทอง ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือชนชั้นปกครอง ปรับตัวให้ได้รับการยอมรับจากรัฐและคนในชุมชน โดยต้องพยายามรักษาบทบาทผู้นำในชุมชน จากการช่วยส่งเสริมให้คนในหมู่บ้านปฏิบัติตามนโยบายรัฐ แต่สำหรับคนในชุมชนทั่วไปไม่ได้รับผลกระทบมากนัก (หน้า 96-102)
การปรับตัวภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ด้านการศึกษา คนในชุมชนไทแดงนิยมให้บุตรหลานเข้าศึกษาในระดับที่สูงขึ้นเพื่อสามารถเข้ารับราชการหรืออาชีพที่มั่นคง และได้รับการยอมรับจากสังคม ด้านเศรษฐกิจ เมื่อชุมชนไทแดงมีสาธารณูปโภคต่างๆ จากเดิมที่การประกอบอาชีพต่างๆ เช่น การเกษตร เลี้ยงสัตว์ การทอผ้า เพื่อไว้ใช้อุปโภคบริโภคในครัวเรือนเท่านั้น ได้แปรเปลี่ยนไปสู่การค้าขายกับคนภายนอก มีการทำการตลาด และมีอำนาจต่อรองราคาสินค้าด้วยตนเอง โดยเฉพาะการทอผ้า กลายเป็นรายได้ที่สำคัญสำหรับคนในชุมชน ด้านสื่อสารมวลชน จากเดิมเด็กในชุมชนจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่อย่างใกล้ชิด โดยการเล่านิทาน สุภาษิต หรือการสอนในช่วงผู้ใหญ่ทำงานตามบทบาทชายหญิงได้เปลี่ยนแปลงไป เด็กมีโอกาสเข้าถึงสื่อโดยง่าย เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์ ประกอบกับพ่อแม่ต้องทำงานเพื่อหารายได้ จึงห่างเหินกับลูก ส่งผลให้เด็กออกจากวัฒนธรรมเดิมของตนเอง ไปสู่สังคมเมืองมากขึ้น เช่น เด็กให้ความสำคัญกับเพื่อนและมีพฤติกรรมเลียนแบบละคร (หน้า 103-109)
การปรับเปลี่ยนทางสังคม จากเดิมบทบาทของเพศชายจะสำคัญกว่าเพศหญิง แต่ปัจจุบันผู้หญิงได้รับการยอมรับและเข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้น จากการที่สามารถเป็นผู้นำครอบครัว มีความรู้เรื่องการศึกษาและเศรษฐกิจ มีความสามารถในการหารายได้ รับราชการ และทำอาชีพอื่นๆ ขณะที่ผู้ชายก็มีบทบาทในการดูแลคนในครอบครัวมากขึ้น สำหรับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวก็มีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น จากเดิมการแต่งงานต้องมีพิธีเคร่งครัด ปัจจุบันก็เป็นพิธีที่เรียบง่าย ภายในไม่มีเตาต้มน้ำกลางบ้านสำหรับพ่อสามีและสามี ผู้หญิงสามารถเข้าออกบ้านได้ทุกประตู แต่ยังห้ามเข้าห้องเปิงเช่นเดิม ต่อมาเมื่อแบบบ้านได้เปลี่ยนเป็นบ้านสองชั้นตามแบบสมัยใหม่ การแบ่งพื้นที่ในบ้านระหว่างชายหญิงก็ค่อยๆ ลดลงไปด้วย (หน้า 110-115)
การปรับตัวในการประกอบอาชีพ ชุมชนมีการเปลี่ยนแปลงอาชีพจากนโยบายภาครัฐ เช่น รัฐให้ยกเลิกการทำนารวม นาสหกรณ์ และการทำไร่เลื่อนลอย รัฐเข้ามาจัดสรรให้ชุมชนมีสิทธิในพื้นที่ เพื่อใช้ทำการเกษตรอย่างเป็นสัดส่วน ชุมชนจึงเปลี่ยนมาทำนาปีและนาปรัง เริ่มมีการรับเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การนำรถไถเข้ามาใช้แทนควาย ภายในหมู่บ้านมีโรงสีจึงเริ่มมีการค้าขายข้าวสาร ประกอบกับการพัฒนาทางด้านสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า เครื่องมือสื่อสาร ทำให้คนไทแดงสามารถประกอบอาชีพหลากหลายมากขึ้น เช่น รับราชการ พนักงานรัฐ โดยเฉพาะอาชีพค้าขาย จากเดิมที่ชุมชนไทแดงเลี้ยงสัตว์ หาปลา ทอผ้า เพื่อบริโภคในชีวิตประจำวันหรือการประกอบพิธีกรรมเท่านั้น ปัจจุบันได้กระจายผลผลิตจากชุมชนเข้าสู่เมืองด้วยการค้าขาย คนไทแดงมีอำนาจในการต่อรองราคาสินค้า การค้าขายจึงเป็นเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้อย่างดีให้แก่คนในชุมชน (หน้า 116-138)
การปรับตัวด้านจารีต ประเพณี ความเชื่อไทแดงมีการปรับตัวเพื่อให้ได้การยอมรับในสังคมหลัก จากเดิมไทแดงจะเคร่งครัดในเรื่องพิธีกรรม ประเพณี ความเชื่อด้านไสยศาสตร์ เมื่อต้องย้ายถิ่นฐานอยู่ใกล้ชิดชุมชนชาติพันธุ์อื่น ก็ปรับตัวตามวัฒนธรรมหลักในลักษณะที่ประนีประนอม เช่น การนับถือศาสนาพุทธตามชาวไทขาว เมื่อลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสังคมนิยม รัฐเข้ามากำหนดนโยบายสร้างความเท่าเทียมด้านชาติพันธุ์ และปิดกั้นประเพณีดั้งเดิมของชาวไทแดง เช่น คนที่ทำพิธีกรรมเลี้ยงผีจะถูกมองว่างมงาย ล้าหลัง ประกอบกับรัฐเข้ามาส่งเสริมด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น การรักษาโรคที่โรงพยาบาล ส่งผลให้พิธีเสนไม่ได้รับความนิยมเช่นเดิม และพิธีเลี้ยงผีต่างๆ ถูกยกเลิก คนไทแดงประกอบพิธีกรรมต่างๆ อย่างเรียบง่ายมากขึ้น เช่น งานแต่งงานที่ไม่เคร่งครัด งานศพเริ่มมีกิจกรรมรื่นเริงเพื่อคลายความเศร้ามากขึ้น ต่อมา ค.ศ. 1986 รัฐได้ผ่อนปรนและเริ่มฟื้นฟูประเพณีดั้งเดิม เช่น ฮีตคอง แต่รัฐจะเน้นส่งเสริมกิจกรรมทางการเมืองมากกว่า เช่น วันแรงงาน วันกองทัพ นอกจากนี้รัฐยังส่งเสริมให้ชุมชนได้รับการศึกษาในระดับสูง กล่าวได้ว่านโยบายด้านการเมืองมีส่วนสำคัญที่ทำให้ชุมชนไทแดงละทิ้งความเชื่อดั้งเดิม คนในชุมชนมีค่านิยมความเชื่อและปฏิบัติตนให้เปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมเมืองสมัยใหม่ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากรัฐและสังคมหลัก (หน้า139-155)
การปรับเปลี่ยนทัศนคติค่านิยมของเด็กและเยาวชน เนื่องจากนโยบายด้านชาติพันธุ์ของรัฐ เด็กชาวไทแดง รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยกว่าผู้อื่น เด็กจึงนิยมแสดงว่าตนเองเป็นไทลาวซำเหนือ หรือ ลาวลุ่ม เพื่อให้ได้รับการยอมรับฐานะพลเมืองลาว เด็กไม่ค่อยเข้าร่วมประเพณีชาติพันธุ์ของตนเอง นิยมเข้าไปศึกษาในเมือง เข้าร่วมกิจกรรมของทางโรงเรียน และใช้ชีวิตตามแบบสังคมเมือง เช่น การแต่งกาย การฟังเพลง การนับถือศาสนาพุทธ การพูดสำเนียงเวียงจันทน์ (หน้า 155-160) |
|
Map/Illustration |
- แผนผังการเคลื่อนย้ายของไทแดง (หน้า 62)
- ลักษณะบ้านเรือนภายนอกของไทแดง (หน้า 64)
- ลักษณะบ้านเรือนภายในของไทแดง (หน้า 64)
- กะล้อผีเฮือนหรือหอผีเฮือน (หน้า 65)
- การย้ายถิ่นของชุมชนไทแดงบ้านโพนทอง (หน้า 76)
- แผนที่ขอบเขตหมู่บ้าน (หน้า 78)
- การจัดแบ่งประชากรหมู่บ้าน (หน้า 80)
- โครงสร้างระบบปกครองชุมชน (หน้า 85)
- โรงเรียนประถมบ้านโพนทอง (หน้า 86)
- ลำดับเหตุการณ์สำคัญของการสืบทอดโครงสร้างการปกครองของชุมชน (หน้า 103)
- การขายของและอาหารกลายเป็นอาชีพหลักของบางครัวเรือนในชุมชน (หน้า 129)
- การทอผ้าของผู้หญิงไทแดง (หน้า 130)
- การปรับตัวทางด้านอาชีพ (หน้า 139)
- การปรับตัวทางจารีตประเพณี-ความเชื่อ (หน้า 155)
- เด็กไทแดงสมัยเปลี่ยนค่านิยมในการสวมใส่เสื้อผ้าของเด็ก (หน้า 159)
- การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยมของเด็กไทแดงหมู่บ้านโพนทอง (หน้า 161) |
|
|