|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง, มนุษยธรรม, ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์, ตาก, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
Author |
สกุลกร ยาไทย |
Title |
เศรษฐกิจการเมืองของความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศในบริบทความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กรณีศึกษาค่ายอพยพนุโพ จังหวัดตาก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
TU Digital Collections มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
184 |
Year |
2558 |
Source |
วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต (การระหว่างประเทศ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. |
Abstract |
ค่ายอพยพนุโพ จังหวัดตาก เป็นพื้นที่รองรับกลุ่มผู้อพยพซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในประเทศพม่าที่ดำรงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2005-2015กลุ่มองค์กรความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศเข้ามามีบทบาทในการส่งมอบกระบวนการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาปัญหาทางด้านมนุษยธรรม แต่ด้วยความซับซ้อนของระบบอำนาจ การเมือง และเศรษฐกิจภายในค่ายอพยพ ทำให้ความช่วยเหลือบางส่วนอาจเป็นการหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจสงครามให้กับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือ KNU
การศึกษาพบว่า ปริมาณของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศไม่มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มหรือลดระดับความรุนแรงในพื้นที่ขัดแย้ง เนื่องจากปัจจัยแทรกสำคัญ คือ ความขัดแย้งเป็นไปในระดับกลุ่มผู้นำไม่ใช่ความขัดแย้งระดับประชาชน ทรัพยากรจากการช่วยเหลือไม่ได้หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจสงครามเป็นหลัก กระแสความกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศเพื่อปฏิรูปประเทศพม่า ทำให้ประชาคมลดการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่องค์กรต่างประเทศซึ่งช่วยเหลือค่ายอพยพ และองค์ประกอบของประชากรอพยพชาวกะเหรี่ยงในค่ายเปลี่ยนไป กลุ่มส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีสายสัมพันธ์กับ KNU น้อย ทำให้ความช่วยเหลือที่ถูกส่งออกจากค่ายอพยพไปยังกลุ่ม KNU ลดลงตามไปด้วย |
|
Focus |
งานวิจัยตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศ” ภายใต้บริบทความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ของกะเหรี่ยงในพื้นที่ค่ายอพยพนุโพ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ในช่วงปี 2005-2015 ว่ามีผลต่อการบรรเทาผลกระทบความขัดแย้งให้ลดลงหรือเป็นส่วนช่วยหล่อเลี้ยงในระบบเศรษฐกิจสงครามของรัฐกะเหรี่ยง โดยทำความเข้าใจร่วมกับตัวแสดงของกลุ่มที่มีบทบาทในการจัดการพื้นที่ทั้งภายในค่ายอพยพและนอกค่ายอพยพ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดในการอธิบายเศรษฐกิจการเมืองเกี่ยวกับความขัดแย้งทางชาติพันธุ์
อ้างถึง Jacob Barcovitch (2003) ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองกลุ่มหรือหลายกลุ่มซึ่งมีการรับรู้ว่าตนแตกต่างจากกลุ่มอื่นและกลุ่มอื่นแตกต่างจากตน มักเกิดขึ้นในกรณีที่รัฐบาลล้มเหลวในการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ มีลักษณะสำคัญ คือ เป็นความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มโดยรัฐบาลทำหน้าที่เป็นฝ่ายที่สาม และเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กับรัฐบาล ซึ่งในประเทศพม่ามีทั้งความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์พม่ากับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกับรัฐบาล (น. 31-32)
ทุกความขัดแย้งมีประวัติศาสตร์ พลวัต และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ระบบเศรษฐกิจสงครามคือส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงและการยุติสงคราม ทั้งระบบเศรษฐกิจการสู้รบซึ่งเป็นทุนในการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบเศรษฐกิจเงาที่ครอบคลุมความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐ และระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากความรับมือกับความขัดแย้งซึ่งเอื้อผลประโยชน์ต่อพลเรือนโดยเฉพาะกลุ่มผู้ยากจนและผู้ด้อยโอกาส (น. 25-26)
งานศึกษาของ Bryant (1997), Global Witness (2003) และ Woods (2013) ชี้ให้เห็นว่าความยืดเยื้อของความขัดแย้งเป็นเพราะมี “ตัวแสดง” ที่ได้รับผลประโยชน์จากสงคราม ซึ่งสำหรับความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงนั้น นำมาสู่การจัดตั้งระบบเศรษฐกิจสงครามซึ่งเป็นระบบที่ผิดและกึ่งผิดกฎหมาย อันเป็นผลมาจากการไร้เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐ และการล่มสลายของเศรษฐกิจในระบบ (น. 4)
ภายใต้บริบทของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศได้เข้ามาทำหน้าที่บรรเทาทุกข์ภัยซึ่งกลายเป็นทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจสงครามโดยให้ความช่วยเหลือในรูปแบบสิ่งของที่จำเป็นในยามวิกฤต ได้แก่ อาหาร ยารักษาโรค และที่พักอาศัย ข้อสังเกตสำคัญในการเข้ามาช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมควรช่วยบรรทาความสูญเสียของเหยื่อตามหลักการจริยธรรม 4 ประการ คือ มนุษยธรรม ความไม่ลำเอียง ความเป็นกลาง และความเป็นอิสระ แต่งานศึกษาส่วนใหญ่สะท้อนว่ากลับมีส่วนหล่อเลี้ยงระบบที่ส่งเสริมความขัดแย้งให้ยืดเยื้อมากขึ้น เช่นงานของ Grossman (1992) ที่ชี้ให้เห็นว่าการรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศยิ่งสร้างแรงจูงใจให้กบฏแสวงหาผลประโยชน์จากความช่วยเหลือที่มากขึ้น (น. 5, 11-14, 27-28, 31)
อย่างไรก็ดีงานของ Shearer (2002), Fearon (2004) และ Narang (2011) โต้แย้งว่าความช่วยเหลือดังกล่าวไม่ได้ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจสงครามเนื่องจากมีมูลค่าที่น้อย และจำนวนความช่วยเหลือไม่ส่งผลกระทบต่อความรุนแรงในพื้นที่ขัดแย้ง โดยการยุติความขัดแย้งควรเป็นไปด้วยการเจรจามากกว่าการยุติความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม (น. 5-6) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง เป็นกลุ่มที่มีความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมภายในกลุ่มสูงมาก ประชากรกะเหรี่ยงร้อยละ 15-20 นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 5-10 นับถือผี และส่วนที่เหลือนับถือพุทธ ชาวกะเหรี่ยงที่นับถือผีและคริสต์ส่วนมากพูดภาษา Sgaw ชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธส่วนมากพูดภาษา Pwo (น. 2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
อ้างถึง Thawnghmung (2008) ชาวกะเหรี่ยงที่นับถือผีและคริสต์ส่วนมากพูดภาษา Sgaw ชาวกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาพุทธส่วนมากพูดภาษา Pwo (น. 2) |
|
Study Period (Data Collection) |
การวิจัยมุ่งเน้นการศึกษาเชิงเอกสาร มีการสังเกตภาคสนาม 7 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2013-เมษายน 2014 (น. 28)
ศึกษาข้อมูลความช่วยเหลือที่เป็นอาหารและสิ่งของอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารซึ่งองค์กร TBC ส่งมอบให้แก่ผู้อพยพที่อาศัยบริเวณค่ายอพยพชายแดนไทย-พม่า จากรายงานการดำเนินโครงการขององค์กร TBC ตั้งแต่ปี ค.ศ.2005-2015(น. 31) |
|
History of the Group and Community |
ค่ายอพยพนุโพ อยู่ใกล้พื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ห่างจากหมู่บ้านชายแดนของเมือง PerngKlerngรัฐกะเหรี่ยง 8 กิโลเมตร ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ตั้งของกองพลที่ 6 ของกองกำลัง KNU ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการที่สำคัญและยังเป็นแหล่งสนับสนุนเศรษฐกิจให้กับ KNUกองพลที่ 6 จึงเป็นเป้าโจมตีของทหารกองทัพพม่าและกองกำลังติดอาวุธทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงซึ่งเป็นพันธมิตรกับทหารพม่า เหตุการณ์ปะทะสำคัญของ KNU กับกองทัพพม่าและ DKBA-BGF ในปี 2007 ทำให้ชาวกะเหรี่ยงส่วนหนึ่งหนีภัยเข้ามาอาศัยในค่ายอพยพนุโพ ทำให้ค่ายอพยพนุโพถูกกล่าวว่าเป็นฐานสนับสนุนปฏิบัติการให้กับกองกำลัง KNUส่งผลให้เกิดการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของค่ายอพยพนุโพเพื่อป้องกันการโจมตีของ DKBA และกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้น ผู้อพยพในค่ายอพยพนุโพจึงอาจมีสถานะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบเศรษฐกิจสงครามของรัฐกะเหรี่ยงและอาจแสวงหาผลประโยชน์จากความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศ (น. 28-29)
กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ในประเทศพม่า ได้แก่ พม่า มอญ กะเหรี่ยง คะเรนนี ฉาน อาระกัน ชิน และคะฉิ่น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มเล็ก เช่น ว้า ปะโอ ปะหล่อง ปะดอง นากา โกก้าง (น. 35)
ค่ายอพยพนุโพ ตั้งขึ้นในปี 1997 เพื่อรองรับผู้อพยพจากพม่าที่เข้ามาลี้ภัยในค่ายอพยพขนาดเล็กในบริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการควบรวมค่ายอพยพของรัฐบาลไทยที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา ในปี 2005 ผู้อพยพในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งได้รับการรับรองโดย UNHCR ทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่ค่ายอพยพนุโพเป็นไปตามนโยบายของรัฐที่กำหนดให้ผู้อพยพต้องอาศัยใน “ศูนย์พักพิงชั่วคราว” เท่านั้น (คำว่าศูนย์พักพิงชั่วคราวเป็นคำที่รัฐไทยกำหนดเรียกแทนคำว่า “ค่ายอพยพ”) (น. 97) |
|
Demography |
กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริการะบุจำนวนประชากรกะเหรี่ยงในปี 2007 ว่ามีจำนวน 3.2 ล้านคน ในพื้นที่ชายแดนตะวันออกของประเทศพม่า (น. 1)
ข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรของรัฐบาลพม่าในปี 1983 พบว่า เป็นชาวพม่าร้อยละ 69, ฉาน ร้อยละ 8.5, กะเหรี่ยง ร้อยละ 6.2, อาระกัน ร้อยละ 4.5, มอญ ร้อยละ 2.4, ชิน ร้อยละ 2.2, คะฉิ่น ร้อยละ 1.4,คะเรนนี ร้อยละ 0.04และจีนและอินเดีย ร้อยละ 5.4 (น. 35)
ค่ายอพยพนุโพ ค่ายแม่หล่ะ ค่ายอุ้มเปี้ยม เป็นค่ายอพยพบริเวณชายแดนไทย-พม่า ที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่ในค่ายมากที่สุด ในค่ายอพยพนุโพ ชาวมุสลิมอาศัยในบริเวณเขต 11, 12 และ 14 โดยแบ่งชาวมุสลิมได้เป็น 3 กลุ่ม คือ (1) มุสลิมกะเหรี่ยง คือ ชาวมุสลิมที่เกิดในรัฐกะเหรี่ยงก่อนอพยพเข้ามา มีจำนวนร้อยละ 60 (2) มุสลิมจากภาคกลางและตะวันตกของพม่า นิยามว่าตนมีเชื้อสายอินโด/บังกาลี มีจำนวนร้อยละ 20-30 และ (3) มุสลิมที่อพยพมาจากภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งมีรากเหง้ามาจากพม่า อินเดีย บังคลาเทศ จีน และมาเลเซีย เพื่อเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจภายในค่ายอพยพ (น. 122-123) |
|
Economy |
ผู้อพยพในค่ายอพยพนุโพถูกจำกัดสิทธิ์ในการเดินทางออกนอกค่าย ทำให้ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกค่าย เช่น การหาของป่าและการรับจ้างทำงานในชุมชนใกล้เคียงได้ ทำให้มีการพึ่งพาตนเองในระดับต่ำ ต้องพึ่งพิงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศในระดับสูง องค์กรพัฒนาเอกชนจากต่างประเทศจึงดำเนินการมอบอาหารปันส่วน พร้อมทั้งวัสดุเชื้อเพลิงหุงต้มและอาหารเสริมอื่น ๆ และดำเนินโครงการด้านการเกษตรเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารแต่ไม่ประสบผลมากนัก เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดทั้งแหล่งดินและน้ำ รวมทั้งอุปสรรคจากการรัฐกำหนดให้ดำเนินการขออนุมัติในระยะยาวไม่สัมพันธ์กับช่วงการดำเนินโครงการระยะสั้น (น. 118)
อ้างถึง Sharon Truelove (2013) สภาพทางเศรษฐกิจและระดับความพึ่งพิงความช่วยเหลือของผู้อพยพค่ายอพยพนุโพแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มยากจนที่สุด เป็นกลุ่มไม่รู้หนังสือ มีความสามารถทางกายภาพต่ำ เช่น พิการ เป็นชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และภาษาทำให้เข้าถึงบริการทางสังคมต่าง ๆ ภายในค่ายได้อย่างจำกัด ขาดความสามารถในการเข้าถึงบริการด้านการติดต่อสื่อสาร การเงิน การช่วยมนุษยธรรมในระดับสูง (2) กลุ่มรายได้ปานกลาง เป็นกลุ่มมีการศึกษา ได้รับการฝึกอบรมทางวิชาชีพ ได้รับค่าจ้างจากองค์กรต่าง ๆ ที่มีสำนักงานภายในค่าย เป็นกลุ่มเจ้าของร้านค้าขนาดเล็กหรือมีรายได้จากการรับส่งเงินกลับบ้านจากฐาติผู้อพยพไปยังประเทศที่สาม มีความสามารถเข้าถึงบริการด้านการสื่อสารและการเงินอย่างจำกัด พึ่งพิงความช่วยเหลือด้านมนุยธรรมจากต่างประเทศต่ำกว่ากลุ่มแรก (3) กลุ่มฐานะดี เป็นกลุ่มคนที่มีการศึกษา มีทักษะทางภาษา การเงิน และการบริหารจัดการ เช่น กลุ่มคนที่ค้าขายในตลาดใหญ่ เป็นเจ้าของร้านค้าใหญ่ในค่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เป็นผ้ะรกอบการขนส่ง หรือเป็นผู้ปกครองผู้อพยพ กลุ่มนี้เข้าถึงบริการด้านการสื่อสารและการเงินได้ในระดับดี พึ่งพิงความช่วยเหลือด้านมนุยธรรมจากต่างประเทศในระดับต่ำ (น. 120-121)
อ้างถึง Cardno Agrisystems Ltds (2009) ผู้อพยพส่วนมากประสบข้อจำกัดการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายนอกค่ายซึ่งอยู่ไกลจากชุมชนเมือง และมีข้อจำกัดทางกฎหมาย ทำให้ส่วนใหญ่เลือกทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในค่าย เช่น การเกษตร ธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งยังมีความเชื่อมโยงกับตลาดภายในของประเทศพักพิง คือ ตลาดการค้าที่อำเภอแม่สอดและตลาดบริเวณชายแดนไทย-พม่า และประเทศต้นกำเนิดของผู้อพยพ ภายในตลาดมืดในรัฐกะเหรี่ยงและเมืองอื่น ๆ ของประเทศพม่าอีกด้วย (น. 121-124) |
|
Political Organization |
ประเทศพม่าแบ่งการปกครองออกเป็น 7 รัฐและ 7 มณฑล ตามรัฐธรรมนูญปี 2008ดยมีสถานะที่เท่าเทียมกัน แต่แตกต่างกันที่รากเหง้าทางประวัติศาสตร์ รัฐเป็นพื้นที่ที่ประชากรส่วนมากเป็นชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ขนาดใหญ่ซึ่งอาศัยในพื้นที่ภูเขา ได้แก่ ชิน กะฉิ่น กะยา กะเหรี่ยงหรือกะยิน มอญ ยะไข่หรืออาระกัน และฉาน ส่วนมณฑล ส่วนใหญ่ประชากรเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พม่าในพื้นที่ภาคกลางของประเทศ ได้แก่ อิระวดี พะโค มาเกว มัณฑะเลย์ สะกาย ตะนาวศรี ย่างกุ้ง (น. 1)
ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์พม่า
ก่อนยุคอาณานิคม ปี 1824: กลุ่มชาติพันธุ์มอญ อาระกัน ฉาน และพม่า ก่อตั้งอาณาจักรอิสระของตน มีความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มในลักษณะการทำสงครามและการเมืองอาณาจักรพม่าเคยแผ่อำนาจไปครองมอญ ฉาน และอาระกัน แต่ไม่เคยควบคุมชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ เนื่องจากยากต่อการปกครอง และไม่คุ้มค่าต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (น. 39-40)
ยุคอาณานิยม ปี 1824-1948: เมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ พม่าถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ (1) พม่าแท้ (Proper Burma) ซึ่งรวมอาระกันและมอญเข้าไว้ด้วย และ (2) ส่วนภูเขาหรือชายแดน อังกฤษดำเนินนโยบายแบ่งแยกแล้วปกครองซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งเรื่อยมาจากการให้สิทธิกับบางกลุ่ม เช่น กะเหรี่ยง ชิน คะฉิ่น สร้างอัตลักษณ์ทางศาสนาและภาษาเขียนให้ เกิดการนิยามว่าเป็น “คริสเตียน” นำคนเข้าร่วมประจำการกองทัพ และเลือกปฏิบัติต่อชาวพม่าซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่และนับถือศาสนาพุทธ แล้วใช้กองกำลังรบกับชาวพม่า ทั้งยังให้สิทธิพิเศษทางการเมืองกับกลุ่มผู้ที่ไม่มีเชื้อสายพม่า ก่อให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มชาตินิยมพม่าเป็นอันมาก (น. 40-41)
ยุคปกครองระบบรัฐสภา ปี 1948-1962: หลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1948 เริ่มต้นขึ้นจากการประกาศข้อตกลงปางโหลงที่เน้นความเท่าเทียมของประชาชนแต่ก็ยังเอื้อสิทธิ์ทางการเมืองให้กับบางกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ฉาน ชิน คะฉิ่น คะเรนนี ในขณะที่กะเหรี่ยง มอญ และอาระกันถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานในการส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมของตน จนนำมาสู่ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและพม่า เมื่อสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union-KNU) และองค์กรป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Defense Organization- KNDO) ทำสงครามกับรัฐบาลทหารพม่า หลังจากนั้นเกิดความขัดแย้งของมอญกับพม่า และอาระกันกับพม่า (น. 41-44)
ยุคปกครองระบอบสังคมนิยมทหาร ปี 1962-2011: รัฐบาลมีนโยบายการจัดการปัญหาทางชาติพันธุ์ในการสร้างรูปแบบการปกครองแบบ “รัฐเดี่ยว” โดยสร้างความเป็นพม่า กำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ มีวัฒนธรรมพม่าเป็นวัฒนธรรมหลัก ยกเลิกข้อตกลงปางโหลง ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งเคยได้การรับรองสิทธิทางการเมืองไม่พอใจและก่อตั้งขบวนการชาตินิยมของกลุ่มชาติพันธุ์ขึ้นโดยรวมฉาน คะเรนนี คะฉิ่น อาระกัน มอญ กะเหรี่ยงเข้าด้วยกันเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลพม่า รัฐบาลดำเนินยุทธวิธีตัดสี่กับกองกำลังชาติพันธุ์ คือ ตัดอาหาร เงินทุน ข่าวกรอง และกองกำลัง โดยบังคับให้ประชาชนกลุ่มใหญ่ย้ายถิ่นฐานพร้อมทำลายบ้านเรือน ถัดจากนั้น รัฐดำเนินนโยบายเจรจาข้อตกลงหยุดยิงซึ่งไม่ได้นำไปสู่การเจรจาทางการเมืองร่วมกันระหว่างรัฐบาลทหารและกลุ่มติดอาวุธทางชาติพันธุ์ทำให้ยังไม่สามารถยุติความขัดแย้งได้ ทั้งยังมีช่องว่างให้เกิดการค้ายาเสพติด การค้าขายในตลาดมืด และการลักลอบค้ามนุษย์ (น. 44-48)
ยุคปกครองโดยรัฐบาลกึ่งพลเรือน ปี 2011-2015: รัฐบาลพยายามปฏิรูปให้เป็นประชาธิปไตย พัฒนาระบบเศรษฐกิจตลาดเสรี ซึ่งทำให้กองกำลังทหารพม่าถูกลดอำนาจทางการเมืองลง รัฐบาลเปิดรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศในฐานะเครื่องมือของการพัฒนาประเทศ ดำเนินการสร้างสันติภาพ ซึ่งทำให้กลุ่มติดอาวุธทางชาติพันธุ์ต่าง ๆ มีท่าทีสนับสนุนรัฐบาล จนเกิดการตั้งคณะประสานงานการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงทั้งประเทศในปี 2013 ในขณะที่กองทัพพม่าดำเนินการสวนทางกับท่าทีของประธานาธิบดี จึงทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ยังคงไม่ไว้วางใจ (น. 49-52)
ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
ตั้งแต่ปี 2005-2010รัฐกะเหรี่ยงมีโครงสร้างการปกครองเป็น “ระบบศักดินา” ซึ่งดำรงอยู่ได้ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรพม่า ซึ่งกษัตริย์พม่าไม่เคยขยายอำนาจการเมืองปกครองรัฐกะเหรี่ยงเนื่องจากยากต่อการปกครอง ในสมัยอาณานิคม อังกฤษก็ยังคงให้ดำรงไว้ซึ่งโครงสร้างแบบเดิม จนกระทั่งพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1948 เกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลพม่าและเกิด “ระบบศักดินาสมัยใหม่” ซึ่งกลุ่มกองกำลังติดอาวุธทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มต่าง ๆ ได้ใช้อำนาจบารมีของผู้นำ ความรุนแรง แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ระดมประชาชนให้เข้ามาอยู่อาศัยในเขตปกครองของตน โดย สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือ KNU เป็นกลุ่มที่มีอำนาจทางการเมือง การทหาร และเศรษฐกิจมากที่สุด ในช่วงครึ่งหลังทศวรรษ 1990 เกิดความขัดแย้งระหว่างกะเหรี่ยงพุทธและคริสต์นำมาสู่การแยกตัวของกะเหรี่ยงพุทธ หรือ DBKAเกิดการสู้รบและนำมาสู่การเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า ซึ่งทำให้รัฐบาลสามารถขยายพื้นที่ควบคุมในรัฐกะเหรี่ยงได้มากยิ่งขึ้น ในภายหลัง KNU มีอำนาจอ่อนลงเหลือเพียงรูปแบบของหน่วยทหารกองโจรขนาดเล็กเท่านั้น ตัวแสดงอำนาจในการปกครองช่วงระยะเวลานี้ ได้แก่ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กองทัพพม่า กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย (DKBA-BGF) และกองกำลังรักษาชายแดน (BGF) (น. 55-69)
ตั้งแต่ปี 2011-2015อ้างถึง Kim Jolliffe (2015) โครงสร้างการปกครองของรัฐกะเหรี่ยงภายหลังการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงมีตัวแสดงอำนาจปกครองจำนวนมาก คือ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ยังคงรักษาอำนาจในการควบคุมฐานที่มั่นของกองกำลัง KNLA และพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีอำนาจบริหารปกครองชุมชนกะเหรี่ยงในทุกจังหวัดของรัฐ, รัฐบาลพม่าและกองทัพพม่า มีการขยายอำนาจในระดับกิ่งอำเภอซึ่งทับซ้อนพื้นที่ของ KNU, กองกำลังกะเหรี่ยงบำเพ็ญประโยชน์แด่ประชาธิปไตย (DKBA) แยกตัวออกมาจากกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย แปรสภาพเป็นกองกำลังภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพพม่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นปัญหาความทับซ้อนของอำนาจการปกครองจำนวนมาก (น. 77-84)
โครงสร้างการปกครองภายในค่ายอพยพนุโพ
นโยบายการควบรวมค่ายอพยพบริเวณชายแดนไทย-พม่า ตั้งแต่ปี 1995 ทำให้การบริหารภายในค่ายอพยพชาวกะเหรี่ยงมีความซับซ้อนและมีพลวัตมากขึ้น กลุ่มคนที่มีส่วนร่วมสำคัญในการปกครองและบริหารจัดการค่าย คือ (1) กลุ่มผู้อพยพภายในค่าย ประกอบด้วย คณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง (KRC) คณะกรรมการค่าย (Camp Committee) และองค์กรชุมชน (CBOs) (2) กลุ่มภายนอกค่ายอพยพ ประกอบด้วย รัฐบาลไทย องค์กรด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศ (ได้แก่ UNHCR กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนจากต่างประเทศที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการประสานงานองค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในประเทศไทย-CCSDPT) (น. 100)
อ้างถึง Olsen and Nicolaisen (2001) และ McConnachie (2012) เนื่องจากโครงสร้างค่ายอพยพชาวกะเหรี่ยงได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยสมาชิก KNU ทำให้อำนาจส่วนใหญ่ยังเป็นของกลุ่ม KNU โดยพบว่ามักเป็นผู้มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งระดับสูงในคณะกรรมการผู้ลี้ภัย งานของ Human Right Watch (2012) ชี้ให้เห็นว่านอกจากสมาชิกในค่ายจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรฝ่ายการเมืองของ KNU แล้ว ผู้รักษาความปลอดภัยในค่ายบางส่วนยังเกี่ยวข้องกับกองทัพ KNLA ด้วย เช่นเดียวกับในค่ายอพยพนุโพ จึงทำให้มีการรายงานข่าวสารต่าง ๆ ต่อกองทัพ KNLA ในรัฐกะเหรี่ยงเสมอ รวมทั้งมีการประสานงานเพื่อภารกิจต่าง ๆ อีกด้วย เมื่ออำนาจต่าง ๆ ถูกจำกัดโดยเฉพาะกับกลุ่ม KNU กลุ่มนี้จึงมีความชอบธรรมในการจัดการค่ายและการใช้ความรุนแรงผ่านกฎหมายค่ายที่มีการผสมผสานระหว่างกฎหมายไทย กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมาย Kaw Thoo Lei ซึ่งเป็นกฎหมายจารีตที่บังคับใช้ในกลุ่ม KNU ของรัฐกะเหรี่ยง ส่งผลให้เกิดการคุมขังนักโทษในศูนย์กักกันประจำค่ายซึ่งมีขนาดเล็กและสกปรก มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งผู้อพยพมักจะรายงานต่อ UNHCR เกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติภายในค่าย (น. 103-104)
อ้างถึง Christopher (1988) และ Olsen and Nicolaisen (2001) การผูกขาดอำนาจในกลุ่มผู้อพยพ KNU ซึ่งส่วนมากเป็นกะเหรี่ยงคริสต์ยังก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ศาสนา และอุดมการณ์ทางการเมือง อ้างถึง TBBC (2010) (น. 104) ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งค่ายอพยพในปี 1984-2005 จำนวนประชากรที่มากที่สุดเป็นชาวกะเหรี่ยง จึงมีเสียงข้างมากในการเลือกตั้งคณะกรรมการค่าย แม้ว่าในระยะหลังจะมีผู้อพยพกลุ่มชาติพันธุ์ชิน คะฉิ่น ลาหู่ มอญ และฉาน แต่กลับไม่ได้รับการลงทะเบียนเป็นผู้อพยพจึงลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่ได้รวมทั้งถูกจำกัดสิทธิ์ต่าง ๆ เช่น การทำงานในหน่วยงานสาธารณสุขและการศึกษาภายในค่ายอีกด้วย (น. 105)
กลุ่มประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือและ UNHCR มีข้อวิพากษ์ที่เกิดความกังวลว่า โครงสร้างการปกครองภายในค่ายอาจนำไปสู่การสนับสนุนกระบวนการ “แปรสภาพให้เป็นทหาร” มากกว่าเป้าหมายด้านมนุษยธรรม จึงได้เกิดการเรียกร้องให้ฝ่ายต่าง ๆ เข้ามาช่วยเหลือผู้อพยพให้มีลักษณะที่เป็น “พลเรือน” มากขึ้น (น. 105-106) เพื่อลดกระแสความกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ ในปี 2008 คณะกรรมการผู้ลี้ภัยกะเหรี่ยงจึงได้ปฏิรูปการปกครอง โดยสร้างระบบบริหารฝ่ายพลเรือนแยกออกจาก KNU นอกจากนี้ยังมีกลุ่มภายนอกค่ายอพยพที่เข้ามามีส่วนในการจัดการ ได้แก่ (1) รัฐบาลไทย ผ่านกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีนายอำเภอ ปลัดค่าย และเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน เข้ามาดูแลความมั่นคงในค่ายอพยพ แต่ก็ยังคงมีรายงานถึงการใช้อำนาจโดยไม่ชอบของรัฐบาลไทย เช่น การทำร้ายร่างกาย ทรมาน ฆ่า ล่วงละเมิดทางเพศ เรียกร้องสินบน และบังคับใช้แรงงาน (2) องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยชนจากต่างประเทศ ได้แก่ คะกรรมการประสานงานองค์กรความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในประเทศไทย (CCSDPT) ซึ่งเข้ามาประสานงานกับรัฐบาลไทยด้านมนุษยธรรม ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 18 องค์กรเป็นองค์กรทั้งทางด้านศาสนาและไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา, องค์กร The Border Consortium (TBC) ดำเนินการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ภัยด้านอาหาร ของใช้ที่ไม่อาหารและที่พัก เสริมสร้างศักยภาพผู้อพยพ, สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) สำหรับประเทศอื่น UNHCR มีอาณัติในการบริหารจัดการค่ายผู้ลี้ภัย คุ้มครองสิทธิมนุษยชน ดูแลความปลอดภัย แต่รัฐบาลไม่ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัยองค์การสหประชาติในปี 1951 ทำให้ในประเทศไทย UNHCR มีอาณัติเพียงการช่วยเหลือคุ้มครองผู้อพยพและเตรียมความพร้อมสำหรับทางออกที่ยั่งยืน 3 รูปแบบ คือ การตั้งถิ่นฐานในรัฐผู้รับ การเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมโดยสมัครใจ และการไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม โดยรัฐไทยปฏิเสธการตั้งรับ ส่วนการกลับภูมิลำเนาเดิมก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ (น. 106-110)
ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศในบริบทความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยง
กระบวนการให้ความช่วยเหลือ: องค์กร TBC เข้ามาช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตั้งแต่ปี 1984 ในรูปแบบของการเปิโอกาสให้ผู้อพยพในค่ายมีส่วนร่วมในแต่ละกระบวนการ โดยในกระบวนการส่งมอบความช่วยเหลือ องค์กร TBC ได้จัดทำฐานข้อมูลระบบประชากรที่มีความเที่ยงตรงโดยเพิ่มเติมข้อมูลจากคณะกรรมผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงทุกเดือน เพื่อที่จะสามารถจัดสรรส่งมอบความช่วยเหลือไปยังโกดังสินค้าในแต่ละค่ายอพยพ สำหรับค่ายอพยพนุโพ องค์กรจะส่งความช่วยเหลือในทุกเดือนเนื่องจากอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร โดยมีคณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงเป็นผู้ตรวจสอบน้ำหนักและคุณภาพของช่วยเหลือ ส่วนกระบวนการกระจายความช่วยเหลือต้องผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงเช่นกัน โดยองค์กร TBC พิจารณาผู้มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือแบบปันส่วนตามสถานะการลงทะเบียนกับ UNHCR ซึ่งจะได้รับความช่วยเหลือที่ต่างกันออกไปทั้งอาหารและไม่ใช่อาหาร (น. 124-127)
กลุ่มผู้มีบทบาทและส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการช่วยเหลือในค่ายอพยพ ได้แก่ (1) คณะกรรมการผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง มีหน้าที่กระจายความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพ โดยปฏิเสธข้อกล่าวหาการให้ความช่วยเหลือกองกำลังติดอาวุธ KNUและความโปร่งใสในการจัดการผู้ลี้ภัยซึ่งมีการตรวจพบจำนวนรายงานประชากรที่ไม่ตรงกันกับ UNHCR (2) ผู้อพยพที่เป็นทหาร เป็นกลุ่มที่เข้ามาอยู่ร่วมกับครอบครัวภายในค่ายอพยพ ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศและมีแรงจูงใจด้านอุดมการณ์ทางการเมือง โดยไม่ได้ใช้ความรุนแรงโดยตรงต่อผู้อพยพคนอื่น แต่จะเป็นการขอซื้อความช่วยเหลือจากผู้อพยพเพื่อส่งไปยังเพื่อนทหาร KNU ในรัฐกะเหรี่ยงเป็นเสบียงในกองทัพ (3) ผู้อพยพที่เป็นพลเรือน กลุ่มยากจนส่วนใหญ่เป็นเกษตรยังชีพและรับจ้างรายวัน ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ KNU แสวงหาผลประโยชน์แสวงหาผลประโยชน์เพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของครอบครัวเท่านั้น ส่วนกลุ่มฐานะปานกลางซึ่งเป็นพ่อค้าและเจ้าของร้านค้าภายในค่าย บางส่วนมีความใกล้ชิดกับกลุ่ม KNU เป็นกลุ่มที่มีทุนในการดำรงชีวิตมากกว่า มีระดับการพึ่งพิงน้อยกว่า สามารถแสวงหาทางเลือกในการดำรงชีพที่ก่อให้เกิดรายได้ได้มากกว่า จึงสามารถรวบรวมความช่วยเหลือที่ได้รับส่งกลับไปยังกลุ่มญาติในประเทศพม่า บางส่วนยังสนับสนุน KNU โดยการแบ่งความช่วยเหลือที่ได้รับ ขอซื้อความความช่วยเหลือ และส่งมอบความช่วยเหลือไปยังกลุ่ม KNU นอกค่ายอพยพนุโพ (4) ผู้อพยพที่เป็นพ่อค้า เป็นกลุ่มชาวกะเหรี่ยงและชาวมุสลิมที่ประกอบอาชีพค้าขาย รับซ้อความช่วยเหลือจากผู้อพยพในค่ายเพื่อขายต่อให้กับพ่อค้าคนกลางที่ตลาดสินค้าที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตลาดบริเวณชายแดนไทย-พม่า และตลาดในค่ายอพยพนุโพ สินค้าที่ขาย เช่น ข้าว น้ำมัน ถ่าน ถั่วเหลือง ปลาร้า (น. 127-134)
ตั้งแต่ปี 2005-2015 ปริมาณของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศไม่มีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงในพื้นที่ขัดแย้ง เนื่องจากปัจจัยแทรกดังนี้ ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพม่ากับกองกำลังติดอาวุธทางชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเพียงเท่านั้น ประชาชนสองกลุ่มไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรง, การเพิ่มหรือลดความช่วยเหลือไม่ได้ส่งผลต่อการลดลงหรือยืดเยื้อของการสู้รบ เนื่องจากทรัพยากรจากการช่วยเหลือไม่ได้หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจสงครามเป็นหลัก แต่ละกลุ่มมีรายได้จากช่องทางอื่น โดยเฉพาะการสัมปทานเหมืองแร่ ป่าไม้ และการเก็บภาษี, กระแสความกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศเพื่อปฏิรูปประเทศพม่าเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยและมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ทำให้ประชาคมลดการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมให้แก่องค์กรต่างประเทศซึ่งช่วยเหลือค่ายอพยพ และกลับช่วยเหลือรัฐบาลพม่าโดยตรง ซึ่งทำให้งบประมาณความช่วยเหลือค่ายอพยพในไทยลดลงเป็นอย่างมาก ปริมาณความช่วยเหลือที่ KNU ขนย้ายจากประเทศไทยไปยังผู้พลัดถิ่นในค่าย IDP ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของ KNU ในรัฐกะเหรี่ยงก็ลดลงตามไปด้วย และองค์ประกอบของประชากรอพยพชาวกะเหรี่ยงในค่ายเปลี่ยนไป กลุ่มผู้มีการศึกษา มีทักษะดี และมีความสัมพันธ์กับ KNU ได้ย้ายไปยังประเทศที่ 3 เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้อพยพในค่ายที่เหลือส่วนมากเป็นกลุ่มยากจนที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์กับ KNU ทำให้ความช่วยเหลือที่ถูกส่งออกจากค่ายอพยพไปยังกลุ่ม KNU ลดลงตามไปด้วย (น. 137-142) |
|
Belief System |
อ้างถึง Thawnghmung (2008) ประชากรกะเหรี่ยงร้อยละ 15-20 นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 5-10 นับถือผี และส่วนที่เหลือนับถือพุทธ (น. 2) |
|
Other Issues |
ผู้วิจัยเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายการจัดการค่ายอพยพและการใช้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยรัฐบาลควรมีการตั้งค่ายอพยพห่างจากบริเวณชายแดนซึ่งอยู่ใกบ้พื้นที่ความขัดแย้งที่มีกลุ่มติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันอาศัยอยู่ และควรยกเลิกนโยบายการใช้ค่ายอพยพเป็นพื้นที่กันชนซึ่งส่งผลให้ผู้อพยพมีความเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจสงครามของรัฐกะเหรี่ยง นอกจากนี้ รัฐบาลและองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศควรมีการตรวจสอบความโปร่งใสของการบริหารจัดการโดยองค์กรปกครองของผู้อพยพภายในค่ายอพยพซึ่งมีการผูกขาดอำนาจเพียงกลุ่มชาติพันธุ์เดียว รัฐบาลยังควรทบทวนข้อจำกัดในการห้ามผู้อพยพประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจนอกค่าย และท้ายที่สุด องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศควรมีการวิเคราะห์ธรรมชาติของความขัดแย้ง กระบวนการทางเมืองและเศรษฐกิจ และตัวแสดงส่วนได้ส่วนเสียในระบบเศรษฐกิจสงครามเพื่อลดผลกระทบของความขัดแย้งและลดปัจจัยที่อาจนำไปสู่การสร้างระบบเศรษฐกิจก่อนสงครามที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง (น. 147-148) |
|
Map/Illustration |
ภาพ
- แผนที่ตั้งของค่ายอพยพนุโพ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตากและกองพลที่ 6 ของ KNU(น. 99)
ตาราง
- ตารางแสดงกระบวนการซื้อ-ขายความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศในค่ายอพยพนุโพ (น. 133-134) |
|
|