|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง, ลัทธิฤาษี, ตาก, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
Author |
ภาสกร ภูแต้มนิล |
Title |
กระบวนการปรับตัวของพลังอำนาจกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม Call no: วจ 323.1593 ภ65ก
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
319 |
Year |
2549 |
Source |
วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ไทศึกษา) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. |
Abstract |
ลัทธิฤาษีบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า เป็นความเชื่อตามลัทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปและสะกอที่เรียกกลุ่มตนเองว่า “ตะละกู่” ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมในเมืองกะยาอิงและขวยกะบอง ประเทศพม่า ซึ่งต่อมาได้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามายังลุ่มน้ำแม่จัน จังหวัดตาก ลุ่มน้ำสุริยะ รัฐกะเหรี่ยง ในประเทศพม่า ลัทธินี้มีความเชื่อว่ามีต้นกำเนิดก่อนศาสนาพุทธ มีการผสมผสานความเชื่อทั้งผี พรามหณ์ พุทธตามหลักจักรวาลวิทยา
การศึกษาใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อทำความเข้าใจมิติพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิกะเหรี่ยงฤาษีซึ่งไม่สามารถกำหนดเขตแดนได้อย่างชัดเจน การศึกษากำหนดพื้นที่ศูนย์กลางวัฒนธรรม คือ บ้านเลตองคุ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นหลังจากที่พื้นที่วัฒนธรรมถูกแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ประเทศอันเป็นผลจากสนธิสัญญาแบ่งพรมแดนระหว่างสยามกับพม่า รัฐไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการเข้ามาจัดการพื้นที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะสิทธิการเป็นพลเมืองรัฐ ส่งผลให้มีการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดด้วยการขัดขืนต่อรอง ยอมรับ ผสมผสาน และประนีประนอม ในด้านวัฒนธรรม มีการปรับตัวยอมรับการศึกษาส่วนกลาง การเผยแผ่ศาสนาคริสต์และพุทธ การรักษาพยาบาล การแต่งกาย และการบริโภคอาหาร, ด้านสังคม ปรับตัวยอมรับอุดมการณ์รัฐชาติ การพัฒนากระแสหลัก และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และด้านเศรษฐกิจ ปรับตัวใช้ทรัพยากรข้ามพรมแดนร่วมกับพม่าและยอมรับระบบตลาด |
|
Focus |
งานศึกษามุ่งเน้นการอธิบาย “ลัทธิฤาษี” ในมิติของพื้นที่วัฒนธรรมและพลังอำนาจที่มีต่อการดำเนินชีวิต รวมทั้งวิเคราะห์ให้เห็นถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงและการดำรงอยู่ ที่นำมาสู่กระบวนการปรับตัวของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีในบริเวณพื้นที่ตะเข็บชายแดนไทย-พม่าจากสังคมประเพณีสู่สังคมสมัยใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวจีนเรียกชาวกะเหรี่ยงว่า “ชนชาติโจว” (น. 62)
กะเหรี่ยงในประเทศพม่ามีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป เช่น แซก กะเหรี่ยงดำ ยินตะแล ยินป่อ ปะตอง ซาเยียน กะแล แกค่อ สกอ โป บวอย (น. 64)
กะเหรี่ยงที่อาศัยในภาคตะวันตกบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า จำแนกตามวัฒนธรรมได้ 2 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงสะกอและโป จำแนกตามความเชื่อได้ 4 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงดั้งเดิม พุทธ คริสต์ และลัทธิฤาษี (น. 66) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยงอยู่ในกลุ่มตระกูลธิเบต-พม่า แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ โป สะกอ บเว และตองดู่ (น. 66) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลา 15 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546– เดือนธันวาคม 2547 |
|
History of the Group and Community |
ต้นกำเนิดกะเหรี่ยง
ก่อนพุทธศักราช 2777 ปี กะเหรี่ยงเริ่มตั้งชุมชนที่เมืองบาบิโลน อาณาจักรเมโสโปเตเมีย ถูกรุกรานจากชาวเปอร์เซียจึงอพยพโยกย้าย กลุ่มที่ 1ก่อนพุทธศักราช 1688 ปี ใช้เวลาเดินทาง 1,652 ปี อพยพตามเส้นทางแม่น้ำไปทางทิศตะวันออกผ่านประเทศธิเบต เข้าสู่พม่า และไทย กลุ่มที่ 2 ก่อนพุทธศักราช 1282 ปี ใช้เวลาเดินทาง 1,495 ปี เข้าสู่ประเทศธิเบต มณฑลยูนนาน ประเทศมอโกเลีย และจีนตะวันออก จากนั้นเข้าสู่ประเทศไทย ประเทศพม่า (น. 62)
อ้างถึง สุริยา รัตนกุล (2539) กะเหรี่ยงมีถิ่นกำเนิดทางทิศตะวันออกของธิเบต แล้วอพยพไปยังประเทศจีน บริเวณแม่น้ำทีแซะแมะยัว (แม่น้ำทรายไหล) หรือทะเลทรายโกบี และอาศัยบริเวณแม่น้ำยางซีเกียงหรือแยงซีเกียง หมายถึง แม่น้ำชาติยาง (น. 62)
พ.ศ.207 กะเหรี่ยงถูกกษัตริย์จีนรุกร่านถอยร่นมาบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงแล้วปะทะกับชนชาติไต อพยพถอยร่นมาตามแม่น้ำตั้งถิ่นฐานในที่ราบลุ่มแม่น้ำ 9 สาย คือ ยางซีเกียง, เหลือง, ซีโหล่โกล, แดง, โขง, ปิง, เป๊ะ โหล่ โกล, สาละวิน และโก่ โด้ โกล สร้างประเทศตนเองเรียกว่า “กอทูแล”(น. 62)
กะเหรี่ยงในประเทศไทย
กะเหรี่ยงอพยพเข้าสู่ประเทศไทย 4 ช่วง คือ (1) อ้างถึง ทิพาพร พิมพิสุทธิ์ และคณะ (2546) พ.ศ. 207 อพยพจากจีนและพม่าเข้ามายังที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ตาก และทิวเขาถนนธงชัย ตะนาวศรี เป็นกลุ่มดั้งเดิม เช่น ย้านอุ่มฮวม บ้านหินลาดนาไฮ อำเภอสามเงา จังหวัดตาก (2) อ้างถึง สุมาลี วีระวงศ์ (2518) พ.ศ. 2318 สมัยพระเจ้าอลองพญาทำสงครามกับมอญเพื่อยึดอำนาจและดินแดนมอญ ทำให้กะเหรี่ยงซึ่งเป็นมิตรกับมอญถูกทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกัน กะเหรี่ยงจึงอพยพเข้ามายังที่ราบลุ่มทุ่งใหญ่นเรศวร แม่น้ำสุริยะ และแม่น้ำเมย (3) อ้างถึง วุฒิ บุญเลิศ (2546) พ.ศ. 2428 เมื่ออังกฤษยึดพม่าเหนือได้ “จ่อละฝ่อ” หัวหน้ากะเหรี่ยงบเวไม่ยอมอ่อนน้อมแก่อังกฤษ อังกฤษจึงเข้าปราบปราม ทำให้กะเหรี่ยงอพยพเข้ามายังจังหวัดแม่ฮ่องสอน (4) พ.ศ 2538 กะเหรี่ยงอพยพเข้ามายังประเทศไทยหลังจากค่ายมอเนอว์ปอแตก อันเป็นผลสืบเนื่องจากการฉีกรัฐธรรมนูญและสัญญาปางโหลงของพม่าในปี พ.ศ. 2491 ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถปกครองตนเองได้ เกิดการสู้รบระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ กะเหรี่ยงอพยพเข้ามายังศูนย์อพยพบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า 10 กว่าแห่ง รวมถึงศษูนย์อพยพค่ายนุโพ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก (น. 63)
ประวัติพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีบ้านเลตองคุ
พ.ศ. 2318ชาวกะเหรี่ยงซึ่งอาศัยในพื้นที่เมืองกะยาอิง เมืองขวยกะบอง ประเทศพม่า ได้อพยพเข้าสู่สยามมายังบ้านเลตองคุหลังจากได้รับผลกระทบจากการทำสงครามขยายอาณาเขตของพระเจ้าอลองพญา ชาวกะเหรี่ยงมีความทรงจำร่วมว่าพม่าเบียดเบียนกะเหรี่ยงมาโดยตลอด การบวชในทุกศาสนาเป็นทางเลือกหนึ่งของการต่อรอง เนื่องด้วยพม่ามีความเลื่อมใสในศาสนามากโดยเฉพาะศาสนาพุทธ บรรพบุรุษกะเหรี่ยงลัทธิฤาษีเข้าไปหลบในถ้ำท่ามกลางวงล้อมพม่า “กว่อแว” ได้ทำเทียนขี้ผึ้งและจุดอธิษฐานให้ปลอดภัย หลังจากจุดเทียนปรากฏว่ามหารพม่าหลับทุกคนจึงหนีรอดจากวงล้อมพม่าได้และมาตั้งถิ่นฐานที่ “แม่กะวอ” และอพยพมายัง “เลตองคุ” หรือเลด่อโคะ ซึ่งเป็นที่ราบกลางหุบเขาบนผาน้ำตก และตั้งสำนักฤาษีหน้าถ้ำ “ตะหมุปุเปีย” ชาวกะเหรี่ยงจึงนับถือกว่อแวในฐานะเจ้าสำนักคนแรกจิตวิญญาณของเปอะม้อโก จากนั้นตั้ง “บูโค๊ะ” และกรรมการ “บูโคเก๊อะ” เพื่อบริหารจัดการพื้นที่วัฒนธรรมและให้สมาชิกปฏิบัติตามคำสอน ท้ายสุด “กว่อแว” ถูกกษัตริย์พม่าจับตัวไปฆ่า (น. 73-74)
ลัทธิได้ส่งผ่านเจ้าฤาษีเพื่อปกครองถึงปัจจุบันจำนวน 10 ตน ตนที่ 2 “จงยุ” เป็นฤาษีที่เทพเตอะจาเมซึ่งเป็นบิดาของกว่อแวส่งลงมาพร้อมผู้ช่วยหมอผี (วี) และหมอดู (เมาะ) มีการยกเลิกความเชื่อเรื่องการเลี้ยงผีซึ่งสิ้นเปลือง ก่อให้เกิดความไม่พอใจของสมาชิกภายใต้ความเชื่อว่าจะทำให้ยักษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าผีไม่พอใจ เมื่อยักษ์ขึ้นไปปรึกษาเทพเตอะจาเมจึงเกิดการประนีประนอมและวางเงื่อนไขท้าให้ฤาษีจงยุกระโดดเข้ากองไฟเพื่อแลกกับการให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี จงยุตายจากกองไฟในที่สุด (น. 74)
ตนที่ 3 “แจะเบอะ” เป็นเจ้าสำนักที่ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับจอห์นี่และลูเธอร์ เด็กฝาแฝดที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำกะเหรี่ยงกอดอาร์มี่ ตนที่ 4 “เสาะเจี๊ยะ” หรือสัจจะ เป็นศิษย์ของแจะเบอะ ได้ปรับเปลี่ยนผ้าครองจากสีขาวแถบแดงเป็นสีขาว ส่วนผ้าครองแบบเดิมกำหนดให้สมาชิกสวมใส่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตนที่ 5 “แจะแป๊ะ” เป็นผู้มีใฝ่รู้ภาษาไทยเพื่อที่จะจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ได้ส่งผู้ชู ผู้ดู และผู้อ่องวะไปเรียนภาษาไทย แต่ไม่ได้เรียน ถูกรังเกียจ และถูกไล่ ทำให้แจะแป๊ะสาบานว่าจะไม่เรียนภาษาไทยตลอดไปเนื่องจากจะทำให้เกิดภัยพิบัติ หลังจากนั้นจึงได้ส่งย่อโท ย่อดะ และย่อแค่มะไปบวชพระในประเทศพม่า เมื่อลูกศิษย์ตนสามารถครองผ้าเหลืองได้ จึงเห็นว่าตนก็สามารถครองได้เช่นกันแต่ต้องรอนิมิตจากองค์ฤาษี ท้ายที่ตลอดอายุขัยก็ไม่เกิดนิมิต แจะแป๊ะจึงไม่ได้ครองผ้าเหลือง (น. 74-75)
ตนที่ 6 “เก๊าะเคาะ” หรือขาเป๋ ดำรงตนในกรอบปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้รับนิมิตฝัน และเป็นตนแรกที่ครองผ้าเหลือง ตนที่ 7 “เสาะเทียะ” เป็นชาวบ้านเลตองคุ สร้างวาทกรรมใหม่ผ่านการนิมิต เปลี่ยนรูปแบบการแต่งกายจากเดิมที่มีลายตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมซึ่งหมายถึงอุปสรรคและความคับแคบของจิตใจเป็นเครื่องแต่งกายแบบใหม่ ตนที่ 8 “แจะยะ” ก่อนขึ้นเป็นเจ้าสำนักปรากฏว่ามีเด็กในพื้นที่เสียชีวิตจำนวนมาก แจะยะจึงสร้างตำนานว่าตนทำความดีไม่เท่าฤาษีตนก่อน จึงขอสร้างบารมีด้วยการสร้างและขยายพันธุ์มนุษย์ โดยแต่งงานกับนางมะเนระ ชาวบ้านกุยละเติ่ง ประเทศพม่า มีบุตร 2 คน คือ นายตะอึและนางหน่อพ่อ ทั้งยังเปลี่ยนที่อยู่โดยการสร้างบ้านไว้นอกสำนัก พานักบวชในสำนักและทหารกะเหรี่ยง KNU เข้าโจมตีทหารพม่าที่เมืองแจ้โต่ง ท้ายที่สุดถูกทหารกะเหรี่ยง KNU ฆ่าในปี ฑ.ศ. 2508 เนื่องจากโกรธแค้นที่กล่าวว่าสามารถคุ้มครองทุกคนได้แต่ไม่เป็นไปตามนั้น ตนที่ 9 “จำเลอช่วย” มีการทำพิธีเข้าฤาษีใหม่เพื่อให้สะอาดทั้งกายและใจ จากความเชื่อที่ว่าฤาษีตนที่ 8 ทำเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับผู้หญิงและพาลูกศิษย์ไปสู้รบกับพม่าจนล้มตายจำนวนมาก จำเลอช่วยเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ 2532 (น. 76-77)
ตนที่ 10 “ม่อแน่” เคยบวชเป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดก่อนขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ทำให้เป็นที่ยอมรับของทั้งไทยและพม่าโดยเป็น culutre heroหรือผู้นำวัฒนธรรม ผ่านนิมิตของเจ้าฤาษีและนักบวชในสำนักในการอนุญาตให้เป็นฤาษีถึง 3 ครั้ง และได้รับนิมิตให้เปลี่ยนผ้าครองจากสีขาวเป็นผ้าเหลือง ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลพิเศษที่มีอำนาจทั้งกายและใจ (น. 78-79) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงมักตั้งบ้านเรือนบริเวณที่ราบลุ่มเชิงเขาใกล้แหล่งน้ำ เมื่อถูกรุกรานจะหนีภัยเข้าไปยังป่าลึกและภูเขาที่สลับซับซ้อน (น. 62)
กะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) KNU กลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2490 ซอว์บะอูยี ได้รวบรวมกองกำลังขึ้นเพื่อตั้งรัฐอิสระ “กอทูเล” โดยมีมอร์เนอปลอเป็นเมืองหลวง และสู้รบกับพม่า ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษและไม่ปฏิบัติตามพันธะสัญญาโดยปราบปรามชนกลุ่มน้อย KNU แตกแยกออกเป็นกะเหรี่ยงพุทธและคริสต์ในปี พ.ศ. 2537 และถูกพม่าเข้าตีกอทูเลจนแตกพ่ายในปี พ.ศ. 2538 ปัจจุบันฐานที่มั่นอยู่ที่ค่ายวาเลย์คลี ตรงข้ามอำเภอพบพระ และที่ราบเชิงภูเขามะม่วงสามหมื่น อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก (2) DKBA กลุ่มองค์การกะเหรี่ยงพุทธก้าวหน้า เป็นกลุ่มกะเหรี่ยงพุทธที่แยกตัวออกมาจากกลุ่ม KNU ในปี พ.ศ. 2536เกิดความขัดแย้งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายพลโบเมี๊ยะ กรณีนายทหารคริสต์ทำร้ายกะเหรี่ยงพุทธขณะสร้างเจดีย์บนเนินเขา เหตุการณ์บานปลายไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาจึงประกาศแยกตัวออกจากกลุ่ม KNU ในปี พ.ศ. 2537(3) KPF กลุ่มกองกำลังรักษาความสงบและสันติสุข จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 โดยรัฐบาลพม่าเพื่อชักชวนชาวกะเหรี่ยงในชุมชนชายแดนให้กลับประเทศพม่าและประสานงานกับทหารพม่าในการกวาดล้างกลุ่ม KNU(น. 64-66)
ชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านเลตองคุ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ตั้งบ้านเรือนเป็นหย่อมตามเครือญาติ หย่อมละ 5-10 ครัวเรือน ตั้งอยู่ในพื้นที่สูงกว่าที่ทำกิน สลับด้วยเนินเขาภายในหุบเขาสามลอม ประเทศไทย และทิวเขาแม่เกอะคี ประเทศพม่า สะท้อนถึงความรักสงบ สมานฉันท์ (น. 69)
เมื่อลูกสาวแต่งงานครบ 1 ปีจะแยกครอบครัวออกไปสร้างบ้านเรือนใหม่ใกล้กับบ้านพ่อแม่โดยไม่นิยมสร้างทางทิศเหนือ นิยมสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่เพราะเป็นไม้ที่แตกกอเร็วเป็นกลุ่ม บ่งบอกถึงความสามัคคี, อพยพเคลื่อนย้ายสะดวก และเป็นการประกันความมั่นคงของครอบครัวที่หากสูญเสียภรรยาไปต้องปล่อยให้บ้านร้างผุพัง แต่หากสูญเสียสามีสามารถแต่งงานใหม่และนำสามีใหม่เข้ามาอยู่ได้ อีกทั้งบ้านไม้ไผ่ยังเป็นที่สถิตของผีบรรพบุรุษที่ต้องทำพิธีเลี้ยงทุกปี (น. 127-128) |
|
Demography |
ประเทศพม่า
อ้างถึง ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 (2542) กะเหรี่ยงในประเทศพม่ามีจำนวน 8,600,000 คน โดยอาศัยอยู่ในรัฐคะยาหรือกะเรนนี รัฐกะเหรี่ยงหรือกอทูเลบ รัฐมอญ และรัฐฉาน (น. 64)
อ้างถึง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (2545) กะเหรี่ยงภาคตะวันตกบริเวณตะเข็บชายแดน อำเภออุ้งผาง จังหวัดตาก และเมืองเจียวดอน ประเทศพม่า มีจำนวน 438,131คน (น. 66)
ประชากรในพื้นที่วัฒนธรรมฤาษีบ้านเลตองคุมีทั้งกะเหรี่ยงโป สะกอ และมอญ ไม่มีการสำรวจจำนวนที่แน่ชัด มีเพียงการรวบรวมสถิติผู้เข้าร่วมทำบุญอัตตารอ (สงกรานต์) เมื่อปีพ.ศ. 2548 จำนวน 2,918 คน (น. 71) |
|
Economy |
น้ำตกเลตองคุ เป็นแหล่งน้ำสำคัญของบ้านเลตองคุ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เป็นแหล่งบริโภคสำคัญ อุดมสมบูรณ์ด้วยปลา ปู กุ้ง ผักกูด และผักหนาม บริเวณโดยรอบมีทรัพยากรป่าไผ่ ป่าหมาก และสัตว์ป่า (น. 68)
บริเวณชุมชนเลตองคุมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเพราะปลูกร่วมกันได้ระหว่างคนไทย-พม่าโดยไม่ถือกรรมสิทธิ์ครอบครอง (น. 68)
ระบบเศรษฐกิจมีลักษณะไม่เป็นทางการให้อิสระในการประกอบอาชีพ ผลิตเพื่อยังชีพ ส่วนมากประกอบอาชีพทำการเกษตร ปลูกข้าว ทำไร่หมุนเวียน, เลี้ยงสัตว์ โค กระบือ ช้าง แพะเพื่อการใช้งานและขาย ไม่ปรากฏสัตว์เลี้ยงประเภทหมู ไก่ เป็ดตามกฎบัญญัติ, ค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภค และเก็บผลผลิตจากป่าโดยเฉพาะน้ำผึ้งป่า มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 2,000 บาทต่อครัวเรือน (น. 133-137) |
|
Social Organization |
สมาชิกลัทธิฤาษีมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติอย่างใกล้ชิดจากการแต่งงานภายในกลุ่มโดยมีศีล 5 และกฎบัญญัติ 14 ข้อเป็นสิ่งควบคุมพฤติกรรมให้ยึดมั่นในระบบผัวเดียวเมียเดียว มักมีการแต่งงานข้ามพรมแดนประเทศโดยผู้คนส่วนมากไม่มีข้อจำกัดเนื่องจากไม่มีนามสกุลและไม่มีสัญชาติทั้งไทยและพม่า นับญาติผ่านการนับถือผีบรรพบุรุษ ศูนย์กลางวัฒนธรรมกะเหรี่ยงฤาษีบ้านเลตองคุมีคนสัญชาติไทยร้อยละ 40 ที่มี 5 นามสกุล คือ คีรีการะเกตุ คีรีบุปผา คีรีดุจจินดา คีรีคงฉลวย และสุขศรีสาคร (น. 126-127)
ลักษณะโครงสร้างครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว มีสมาชิก 5-6 คน (น. 127) |
|
Political Organization |
พื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีมีโครงสร้างสังคมที่เป็นลำดับชั้น มีรูปแบบสังคมแบบกระชับบังคับโดยจารีตประเพณี มีผู้นำเทียบเท่าขุนหรือกษัตริย์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) เจ้าฤาษี เป็นนักบวชที่เป็นผู้นำสูงสุดทางการปกครองและทางจิตวิญญาณ ปัจจุบัน (พ.ศ. 2547) มีการส่งผ่านอำนาจมาแล้วจำนวน 10 ตน (2) ตาวาบุหรือนักบวช เป็นชายที่ผ่านพิธีบวชโดยเจ้าฤาษี (3) ตะวาโบ๊ะหรือสมาชิกทุกคนที่ยึดถือศีล 5 และปฏิบัติตามกฏ 14 ข้อ (น. 100-101)
การเข้าเป็นสมาชิกลัทธิฤาษีเป็นได้โดยกำเนิดตามบุพการี การแต่งงาน การบวชในสำนักฤาษี และการอพยพเข้ามา (น. 105)
อำนาจในพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีสามารถครอบงำให้สมาชิกปฏิบัติตามและดลบันดาลให้เกิดทุกข์สุขได้ มีทั้ง (1) อำนาจไม่เป็นทางการ คือ อำนาจเหนือธรรมชาติจากผีดีและผีร้าย อำนาจเจ้าฤาษีซึ่งเป็นที่สิงสถิตของจิตวิญญาณฤาษีเปอะม้อโก อำนาจบูโค๊ะในฐานะผู้นำศาสนกิจ อำนาจกรรมการบูโค๊ะเก๊อะในการควบคุมสมาชิกให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และ (2) อำนาจทางการ เป็นอำนาจของตัวแทนรัฐทั้ง 2 ประเทศที่รัฐแต่งตั้งให้เป็นผู้นำปกครองหมู่บ้าน ซึ่งวัฒนธรรมลัทธิฤาษีไม่มีบทบาทมากนัก (น. 121-125)
การปกครองในช่วงก่อนการทำสนธิสัญญาแบ่งพรมแดนไทย-พม่า มีลักษณะเป็นแบบรัฐอาณาจักรหรือเมืองมีอำนาจสูงสุด เจ้าฤาษีเป็นประมุข จัดการปกครองโดยแบ่งกรรมการ “บูโคะเก๊อะ” เป็นผู้บริหารสมาชิก และมี “บูโค๊ะ” เป็นผู้นำชุมชน มีการจัดระเบียบสังคมโดยใช้ความเชื่อเป็นเกณฑ์ ส่วนหลังสนธิสัญญาฯ มีการแต่งตั้งผู้นำชุมชนในการบริหาร โดยฝั่งไทยมีผู้ใหญ่บ้าน และฝั่งพม่ามีโอกะทะ ลักษณะการปกครองซ้อนทับแบบทวิลักษณ์ แต่ก็ยังมีบทบาทน้อยกว่าผู้นำแบบเดิม (น. 129-132) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยก่อน พ.ศ. 2411 ยึดมั่นในศาสนา เชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น กะเหรี่ยงบ้านเลตองคุ อำเภออุ้งผาง จังหวัดตาก นับถือลัทธิฤาษี (น. 64)
กะเหรี่ยงที่อาศัยในภาคตะวันตกบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า จำแนกตามความเชื่อได้ 4 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงดั้งเดิม พุทธ คริสต์ และลัทธิฤาษี โดยกะเหรี่ยงดั้งเดิม พุทธ และคริสต์มีพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ทับซ้อนกัน กะเหรี่ยงพุทธมีศูนย์รวมจิตใตที่วัดสุนทรีกาวาส อำเภอแม่สอด และวัดมงคลคีรีเขต อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ส่วนกะเหรี่ยงคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีศูนย์รสวมจิตใจที่สำนักแม่ชีเทเรซ่า อำเภอแม่สอด นิกายเซเวนเดแอดเวนติสท์เดิมรวมศูนย์ที่กอทูเล รัฐกะเหรี่ยง หลังจากที่กอทูเลแตกจึงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยพร้อมนำความเชื่อมาด้วย ส่วนกะเหรี่ยงลัทธิฤาษี มีความเชื่อในตัวเจ้าฤาษีและผี หรือเตอะจาเม หรือพระอินทร์ มีอุดมการณ์สูงสุด คือ “ตาบุ” หรือบุญ เชื่อว่าหากสะสมตาบุมากจะได้เกิดในยุคพระศรีอาริยะเมตไตรย ยึดมั่นในศีล 5 และข้อบัญญัติ 14 ข้อที่ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทแวดล้อมซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต เช่น อนุญาตให้แต่งงานกับคนต่างวัฒนธรรม อนุญาตให้รัฐตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา โดยมีข้อปฏิบัติเคร่งครัด เช่น ห้ามกินและต้มเหล้า ห้ามผิดลูกเมียผู้อื่น ห้ามเลี้ยงหมูและไก่ ลัทธินี้มีศูนย์กลางที่บ้านเลตองคุ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และมีเครือข่ายในประเทศไทยและพม่าจำนวน 29 หมู่บ้าน ครอบคลุมถึงเมืองเจียวดอน เมืองกอกาเรก รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า (น. 66-68)
ประเพณีพิธีกรรมที่สำคัญ ได้แก่ ลาเผาะหรือวันพระ, อัตตารอหรือสงกรานต์ในเดือนมีนาคม, พะชาลอหรือบุญช้าวเปลือกในเดือนเมษายน, ตะกึนึหรือเข้าพรรษาในเดือนมิถุนายน, ลาโคะหรือมัดมือในเดือนสิงหาคม, ตะกึเปาะหรือออกพรรษาในเดือนกันยายน และอุ๊จ๊ะหรือเผาไฟในเดือนธันวาคม (น. 138)
พิธีทำบุญโพ่โดกุ๊ด้วยการลอยแพปอเดอกู คล้ายกับการลอยกระทงเพื่อแสดงความเคารพและขอขมาพระแม่คงคา (น. 89)
พิธีบวชตะวาบุหรือนักบวชในลัทธิฤาษี มีข้อกำหนดคือต้องเป็นชายที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไปและได้รับการอนุญาตจากบิดามารดา ส่วนมากเป็นชายกะเหรี่ยงในประเทศพม่า (น. 109)
พิธีออตะแลเนอโพบุหรือพิธีเข้าฤาษีใหม่ กระทำเมื่อประพฤติผิด หรือไปทำงานต่างถิ่นเกิน 15 วัน สมาชิกกระทำได้ไม่เกินคนละ 3 ครั้ง (น. 115-116)
กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีเชื่อว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและเป็นเพียงผู้เข้ามาขอใช้ประโยชน์เพื่อยังชีพให้อยู่รอด มีระบบคิดแบบ “จักรวาลวิทยา” ที่วางตำแหน่งแบ่งฟ้ากับดิน แบ่งหญิงกับชาย แบ่งคนนอกกับคนใน เชื่อว่าทุกอย่างในโลกสร้างโดย “เทพเตอะจาเม” และมี “เทพยะนู๋” คอยค้ำพื้นพิภพให้ปกติสุข เทพเตอะจาเมเป็นผู้สร้างฤาษีเปอะม้อโกเป็นผู้ดูแลมนุษย์ มนุษย์ต้องถือศีล 5 และปฏิบัติตามข้อบัญญัติ 14 ข้อ โดยมีเจ้าฤาษีเป็นผู้นำการทำพิธีผ่านสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ 7 แห่งใน “บุ” หรือสำนักเจ้าฤาษี คือ (1) ตะละเอหมุ หรือสถานที่เกิด มีลักษณะเป็นเสาไม้ประดับเครื่องจักสานล้อมรอบด้วยหิน เชื่อว่าสถานที่นี้คือวันแรกของโลกคือวันอาทิตย์ (2) บุ๊ หรือบ้านบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นที่หลับนอนของเจ้าฤาษีในเวลากลางคืน ภายในมีแผ่นไม้สี่เหลี่ยมซึ่งเป็นตัวแทนของเทพเตอะจาเมที่เชื่อว่าเป็นฐานรองรับโลก (3) ตะแล หรือหลักธรรม เป็นไม้ไผ่ประดับเครื่องจักสาน เจ้าฤาษีประดิษฐ์ 4 ต้น นักบวชประดิษฐ์ 3 ต้น (4) จ๊ะโทซ่อง หรือเสารัตนตรัย (5) รูเจ๊ะ หรืองาช้างกะสลักพระพุทธรูป เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า (6) ตะละโป๊ะ หรือพระไตรปิฎก (7) ตู หรือสะพานไม้ เป็นไม้ยาวสองท่อน เสมือนทางเชื่อมดินและฟ้าไปยังสวรรค์และนรก (น. 85-86) โดยการทำพิธีใน 7 แห่งนี้จะกระทำเฉพาะในพระและพิธีสำคัญ เช่น การเข้าเป็นสมาชิกลัทธิฤาษี พิธีอุจ๊ะ พิธีอัตตารอ พิธีพะชาลอ และพิธีออตะแลแนอโพบุ การทำพิธีประกอบด้วย (1) เจ้าฤาษี (2) ตะวาบุ หรือนักบวช (3) ตะละกู่ หรือสมาชิกลัทธิฤาษี ทำพิธีเรียงตามลำดับ (น. 87-88)
กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีมีความเชื่อเรื่องเทพอื่น ๆ คือ ซ่งทะรี เป็นเทพองค์แรกเป็นเทพแห่งแผ่นดิน, โพ่โดกุ๊ เทพแห่งน้ำ, รุกขจือ เทพารักษ์, และพิบุ๊โย แม่โพสพ
ตาดี๊ หรือข้อบัญญัติ 14 ประการ ได้แก่ (1) ห้ามเลี้ยงสัตว์ (2) ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา (3) ห้ามเล่นการพนัน (4) ต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่และผู้เฒ่าผู้แก่ในการแต่งงาน (5) ห้ามผิดลูกเมียผู้อื่น (6) ห้ามปฏิบัติข้อด้านบนทั้งในบ้านและนอกพื้นที่ (7) การประชุมจะต้องมีสมาชิก 1 ใน 3 (8) การตัดสินเรื่องใด ๆ ที่เห็นไม่ตรงกันให้ใช้วิธีลงบัตรโดยผู้ใหญ่บ้านลง 2 บัตร สมาชิกลง 1 บัตร (9) การควบคุมกิจการในกลุ่มต้องมีที่ปรึกษา 1 คน รอง 1 คน กรรมการ 4 คน (10) ประธานที่ปรึกษาเป็นผู้ตัดสินกรณีสมาชิกฝ่าฝืนกฏ (11) ประธานมีอำนาจลงโทษและตักเตือนกรณีสมาชิกทำผิดข้อ 4 (12) ผู้ใดกล่าวล่วงเกินในข้อ 4 คณะผู้ใหญ่ให้ผู้ล่วงเกินนั้นไปกราบขอโทษได้ (13) ผู้ใดล่วงเกินข้อ 1 2 3 ลงโทษ 3 ครั้งไม่เข็ดหลาบ ให้กรรมการผู้ใหญ่ไล่ออกจากสมาชิกได้ (14) การกลับเข้ามาเป็นสมาชิกหลังถูกไล่ออกต้องมีสมาชิก 2 คนรับรอง (น. 111-112) โดยหากละเมิดจะมีบทลงโทษแตกต่างกันไปทั้งนักบวชและสมาชิก (น. 115-116) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาในพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีเป็นการศึกษาเรียนรู้จากบรรพชนและปราชญ์ในชุมชน หลังจากการเข้ามาของกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน 34 จังหวัดตากเกิดการตั้งโรงเรียนสอนหนังสือภาษาไทย แต่ด้วยขัดกับกรอบปฏิบัติของฤาษีตนที่ 5 ที่กำหนดให้ห้ามตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยในพื้นที่ทำให้เกิดการต่อต้านในระยะแรก ภาครัฐจึงได้สร้างเงื่อนไขข้อตกลงร่วมกันจึงสามารถสอนภาษาไทยให้กับชาวบ้านได้ ซึ่งได้มีการจัดการศึกษาในระบบโดยโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเลตองคุและนอกระบบโดยการศึกษานอกโรงเรียน ทำให้ชาวบ้านสามารถสื่อสารภาษาไทยได้มากขึ้นร้อยละ 30(น. 143-145) |
|
Health and Medicine |
ระบบการรักษาพยาบาลมีทั้งระบบพื้นบ้านโดยเป็นการรักษาด้วยหมอผี หมอยาสมุนไพร และการฝังเข็มซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากคอมมิวนิสต์ และระบบแผนปัจจุบันโดย อสม. บ้านเลตองคุเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งรักษาต่อยังศูนย์อพยพบ้านนุโพหากอาการไม่ดีขึ้น ส่วนมากป่วยเป็นโรคมาลาเรียและท้องร่วง ส่วนสวัสดิการของรัฐไทยในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ครอบคลุม เนื่องจากคนส่วนมากไม่มีสัญชาติไทย (น. 140-141) |
|
Folklore |
ตำนานเจ้าฤาษี กล่าวถึงเจ้าฤาษีซึ่งเป็นผู้สร้างบ้านแปงเมืองและเป็นผู้นำการปกครอง โดยเฉพาะฤาษีกว่อแว ตนที่ 1 ซึ่งเป็น culture hero หรือผู้นำของพื้นที่วัฒนธรรม (น. 72)
กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีมีความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผิดแปลกไปของสัตว์ ได้แก่ นกทูส่องหรือนกขุนแผนแดง หากร้องจะเป็นเตือนภัยหรือลางบอกเหตุ, คีหรือเสือ ฉะคูบ่องหรือเก้ง ฉะโค่งหรือกวาง หากเข้ามาในบ้านจะบ่งบอกว่ามีผู้กระทำผิดกฎ, ทุกุหรือนกกกดำหรือนกเงือกกรามช้าง เป็นนกตัวอย่างของสัจจะแห่งคู่ครอง โดยหากคู่ตายอีกตัวจะตรอมใจตายตาม และยังมีความเชื่อในการไม่เลี้ยงและบริโภคหมูและไก่เพราะเป็นสัตว์เลี้ยงผี (น. 90-91)
ตำนานการเกิดกลุ่มคนกะเหรี่ยง “เตอะจาเม” เป็นผู้สร้างมนุษย์ชายชื่อว่า “เอท้อกะระ” แปลว่าเหมือนแผ่นฟ้า หญิงชื่อว่า “เอท้อกะชิ” แปลว่าเหมือนแผ่นดิน และได้ส่งทั้งสองไปอยู่ในสวนอีเด้เพื่อสร้างมนุษยชาติและทำงาน 6 วัน โดยห้ามกินผลไม้ 1 ต้นในสวน ผีร้าย “โมก่อลี” ได้บอกทั้งสองว่าผลไม้ดังกล่าวเป็นผลวิเศษที่เตอะจาเมเก็บไว้กินเพียงผู้เดียว ทั้งสองหลงเชื่อและได้กินผลไม้นั้นทำให้ไม่สามารถติดต่อกับเตอะจาเมได้อีก เตอะจาเมจึงส่ง “เปอะม้อโก” ลงมาควบคุมคนทั้งสองให้ปฏิบัติแต่สิ่งดีงาม ทั้งสองมีบุตร 5 คู่ คือ “เจอะกว่อ” ต้นตระกูลกะเหรี่ยง, “เตอะเลอ” ต้นตระกูลมอญ, “โหย่” ต้นตระกูลไทย, “เปอะเยอ” ต้นตระกูลพม่า และ “ก่อล่า” ต้นตระกูลฝรั่ง (น. 98)
การละเล่น “อือทา” เป็นการแต่งกลอนโต้ตอบกันเพื้อเกี้ยวพาราสี (น. 142) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีนิยามตัวตนของตนเองโดยเรียกว่า “ตะละกู่” หรือนักบวชที่มีตัวตนและอัตลักษณ์ที่แตกต่างกับกะเหรี่ยงกลุ่มอื่น ถือศีล กินเจ มุ่งทำบุญ ไม่แบ่งแยกกลุ่มโปและสะกอ โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ (1) ไว้ผมยาวมวยผมและมัดจุกด้านหน้าทั้งชายและหญิง หมายถึง ความเสมอภาค ชายสวมเสื้อผ่าอก นุ่งโสร่งสีล้วนไม่มีลายตัดกันเหมือนท้องนา ไม่สวมใส่ชุดชั้นใน นักบวชโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวล้วน หญิงหากยังไม่แต่งงานสวมเสื้อสีขาวทรงกระสอบ สวมแขนยาวทับอีกชั้นโดยไม่ใส่ซับใน หากแต่งงานแล้วสวมเสื้อแยกจากผ้าถุง สะท้อนความเสมอภาคและความบริสุทธิ์ (2) มีวัฒนธรรมบนฐานของผี พราหมณ์ พุทธ เชื่อว่าลัทธิฤาษีก่อนก่อนศาสนาอื่น ๆ และเกิดขึ้นบนพื้นฐานความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติและตำนานการเกิดกลุ่มคนกะเหรี่ยง โดยเชื่อว่า “เจอะกว่อ” เป็นต้นตระกูลกะเหรี่ยงที่เป็นคนโตของคนทุกกลุ่ม (3) มีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน มีพื้นที่ศูนย์กลางวัฒนธรรมคือบ้านเลตองคุโดยนับถือเป็นฝ่ายแม่ และมีพื้นที่เครือข่ายในประเทศพม่านับถือเป็นฝ่ายพ่อ เมื่อทำพิธีให้ทำจากฝ่ายแม่ก่อนฝ่ายพ่อ สอดคล้องความเชื่อการนับถือบรรพบุรุษฝ่ายหญิงเป็นใหญ่ (4) มีความเชื่อในภพหน้า เชื่อว่าภพนี้เกิดเป็นกะเหรี่ยงเพราะทำบุญไม่พอ ต้องหมั่นทำบุญเพื่อนำไปสู่ภพภูมิที่ดี (น. 95-99)
กระบวนการปรับตัวของสมาชิกลัทธิฤาษีเป็นไปทั้งระดับปัจเจกและระดับสังคมภายใต้เงื่อนไขเจ้าฤาษีและพลังอำนาจในพื้นที่สร้างขึ้นมาในลักษณะการขัดขืนต่อรอง ยอมรับ ผสมผสาน และประนีประนอม (น. 201) |
|
Social Cultural and Identity Change |
พื้นที่วัฒนธรรมบ้านเลตองคุมีการเปลี่ยนแปลงขนาดพื้นที่ที่เล็กลงจากช่วงระยะเวลาก่อนเกิดรัฐชาติ จากการบังคับใช้สนธิสัญญากำหนดเส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอังกฤษ การเข้ามาของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อพัฒนาปัจจัยพื้นฐานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1-9 ทำให้คนนับถือลัทธิฤาษีบ้านเลตองคุลดลง บางส่วนแยกตนไปตั้งลัทธิฤาษีขึ้นใหม่ และบางส่วนเปลี่ยนศาสนา (น. 69)
เครือข่ายพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีในประเทศไทย มีจำนวน 3 หมู่บ้าน คือ บ้านมอตาลัว ไกบอทะ และซอแม๊ะ โดยแยกออกจากลัทธิฤาษีในพื้นที่ทุ่งนเรศวรตะวันตกในจังหวัดอุทัยธานีและกาญจนบุรี ซึ่งบางส่วนเปลี่ยนไปนับถืศาสนาพุทธ คริสต์ และเปลี่ยนไปนับถือเจ้าวัดหรือบูโค๊ะ โดยเชื่อว่าหใดยุคของฤาษีบ้านเลตองคุตั้งแต่ฤาษีคนที่ 7 แล้ว ฤาษีตนปัจจุบันไม่ใช่ฤาษีที่แท้จริง จึงได้ร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้น และสร้างรูปปั้นและศาลฤาษีใน “ทุ่งฤาษี” ในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตกเพื่อกราบไหว้และประกอบพิธีกรรมแทน (น. 69)
เครือข่ายพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีในประเทศพม่า มีจำนวน 26 หมู่บ้าน เป็นพื้นที่ชายขอบ ห่างไกลศูนย์กลางประเทศ ทำให้การพัฒนาจากรัฐเข้าถึงไม่มากนัก ชาวกะเหรี่ยงดำรงตนแบบสังคมประเพณี ยังคงยึดแนวคิดฤาษีเป็นหลักความมั่นคงในการดำรงชีวิต (น. 69-70)
การผลิตซ้ำและส่งผ่านเจ้าฤาษีจากตนที่ 1 กว่อแว จนถึงตนที่ 10 เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเครือข่ายสมาชิกลัทธิฤาษีโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ “บูโค๊ะ” ที่แยกตัวสร้างลัทธิใหม่ในพื้นที่ห่างไกลจากศูนย์กลางวัฒนธรรมโดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งก่อให้เกิดการตั้งลัทธิใหม่เพราะสถานภาพเจ้าฤาษีเปรียบดังเจ้าผู้ครองนครรัฐที่มีพลังอำนาจ, เกิดความเชื่อว่าเจ้าฤาษีหมดไปตั้งแต่ตนที่ 7 จากการที่ตนที่ 8 ประพฤติไม่เหมาะสม บูโค๊ะจึงตั้งตนแทน, เนื่องจากการเดินทางไปทำพิธีที่บ้านเลตองคุไม่สะดวก มีระยะทางไกลกว่า 80 กิโลเมตร, การพัฒนาของรัฐทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด และการเข้ามาของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ. 2510-2525 (น. 80-81) โดยทำให้เกิดการแตกหน่อในจังหวัดตากออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มฤาษีบ้านแม่จันทะเก่า โดยมี “พุ่งเอ่ย” หรือ “ธิเลียวเอง” ซึ่งเชื่อว่าตนคือ “จงยุ” ฤาษีตนที่ 2 กลับชาติมาเกิด (2) กลุ่มฤาษีบ้านมอทะ เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2508 หลังฤาษีตนที่ 8 ถูกฆ่า “พินิจ” หรือ “พือพินิจ” เชื่อว่าหมดยุคฤาษี 7 ชั่วโคตรแล้ว ควรต้องมีระบบกษัตริย์และได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์สร้างความไม่พอใจกับบ้านเลตองคุ ท้ายที่สุดได้แยกออกไปตั้งสำนักใหม่ (3) กลุ่มฤาษีบ้านกุยด๊ะ มี “จ่อวาโพ ตระหง่านกูลชัย” เป็นเจ้าสำนักเมื่อ พ.ศ. 2546 พัฒนามาจากการต่อสู้กับอำนาจรัฐที่กดทับกลุ่มกะเหรี่ยงในการกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ทับซ้อนพื้นที่ทำกิน สิทธิการเป็นพลเมืองไทย และความห่างไกลจากพื้นที่บ้านเลตองคุ โดยมีความเชื่อในการหยุดทำมาหากินเพื่อรอวันที่พระเจ้ามารับ การแตกหน่อกลุ่มฤาษีสะท้อนให้เห็นถึงการช่วงชิงอำนาจและการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมจากการถูกอำนาจที่เหนือกว่ากดทับ (น. 82-83)
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและวัฒนธรรม เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2411 จากอนุสัญญาเส้นแบ่งพรมแดนกับรัฐบาลสยาม ที่ทำให้พื้นที่กายภาพถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยเส้นแบ่งพรมแดนไม่ปรากฏเป็นรูปธรรม ทำให้สมาชิกยังใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่เมื่อ พ.ศ. 2504-2529 รัฐไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและนโยบายการหลอมรวมเป็นเอกภาพอย่างเข้มข้น ทำให้มีการแบ่งพรมแดนที่ชัดเจน มีการกำหนดให้ทำบัตรประชาชนพลเมืองไทยและต้องมีทะเบียนบ้าน ซึ่งสมาชิกบางส่วนไม่ให้ความสนใจ ในช่วง พ.ศ. 2508 เกิดการเผยแผ่ศาสนาพุทธและคริสต์อย่างกว้างขวางซึ่งไม่ส่งผลการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมมากนัก พ.ศ. 2510-2525กระบวนการคอมมิวนิสต์เข้ามาเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย การตัดผม การกินเนื้อสัตว์ การห้ามทำพิธีกรรม ทำให้บางกลุ่มเปลี่ยนศาสนาและแยกตนไปก่อตั้งลัทธิฤาษีใหม่ ถัดมา พ.ศ. 2530-2549 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเป็นอย่างมากจากการที่รัฐไทยส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติการ และเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ทำให้มีผู้เปลี่ยนศาสนาจำนวนมาก (น. 152-153) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- ประเพณีพิธีกรรมในรอบปีของชาวพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษี (น. 138)
แผนที่/แผนภาพ
- แผนที่แสดงที่ตั้งสำนักฤาษีในอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก (น. 84)
- แผนภาพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในสำนักฤาษี (น. 86)
- ลำดับการไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 7 แห่งในสำนักฤาษี (น. 88) |
|
|