สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject กะเหรี่ยง, ลัทธิฤาษี, ตาก, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Author ภาสกร ภูแต้มนิล
Title กระบวนการปรับตัวของพลังอำนาจกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม Call no: วจ 323.1593 ภ65ก 
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 319 Year 2549
Source วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ไทศึกษา) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
Abstract

ลัทธิฤาษีบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า เป็นความเชื่อตามลัทธิของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปและสะกอที่เรียกกลุ่มตนเองว่า “ตะละกู่” ซึ่งมีถิ่นฐานเดิมในเมืองกะยาอิงและขวยกะบอง ประเทศพม่า ซึ่งต่อมาได้อพยพหนีภัยสงครามเข้ามายังลุ่มน้ำแม่จัน จังหวัดตาก ลุ่มน้ำสุริยะ รัฐกะเหรี่ยง ในประเทศพม่า ลัทธินี้มีความเชื่อว่ามีต้นกำเนิดก่อนศาสนาพุทธ มีการผสมผสานความเชื่อทั้งผี พรามหณ์ พุทธตามหลักจักรวาลวิทยา
การศึกษาใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อทำความเข้าใจมิติพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิกะเหรี่ยงฤาษีซึ่งไม่สามารถกำหนดเขตแดนได้อย่างชัดเจน การศึกษากำหนดพื้นที่ศูนย์กลางวัฒนธรรม คือ บ้านเลตองคุ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นหลังจากที่พื้นที่วัฒนธรรมถูกแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ประเทศอันเป็นผลจากสนธิสัญญาแบ่งพรมแดนระหว่างสยามกับพม่า รัฐไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการเข้ามาจัดการพื้นที่ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะสิทธิการเป็นพลเมืองรัฐ ส่งผลให้มีการปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดด้วยการขัดขืนต่อรอง ยอมรับ ผสมผสาน และประนีประนอม ในด้านวัฒนธรรม มีการปรับตัวยอมรับการศึกษาส่วนกลาง การเผยแผ่ศาสนาคริสต์และพุทธ การรักษาพยาบาล การแต่งกาย และการบริโภคอาหาร, ด้านสังคม ปรับตัวยอมรับอุดมการณ์รัฐชาติ การพัฒนากระแสหลัก และเทคโนโลยีสมัยใหม่ และด้านเศรษฐกิจ ปรับตัวใช้ทรัพยากรข้ามพรมแดนร่วมกับพม่าและยอมรับระบบตลาด

Focus

งานศึกษามุ่งเน้นการอธิบาย “ลัทธิฤาษี” ในมิติของพื้นที่วัฒนธรรมและพลังอำนาจที่มีต่อการดำเนินชีวิต รวมทั้งวิเคราะห์ให้เห็นถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงและการดำรงอยู่ ที่นำมาสู่กระบวนการปรับตัวของชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีในบริเวณพื้นที่ตะเข็บชายแดนไทย-พม่าจากสังคมประเพณีสู่สังคมสมัยใหม่

Ethnic Group in the Focus

ชาวจีนเรียกชาวกะเหรี่ยงว่า “ชนชาติโจว” (น. 62)
กะเหรี่ยงในประเทศพม่ามีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป เช่น แซก กะเหรี่ยงดำ ยินตะแล ยินป่อ ปะตอง ซาเยียน กะแล แกค่อ สกอ โป บวอย (น. 64)
กะเหรี่ยงที่อาศัยในภาคตะวันตกบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า จำแนกตามวัฒนธรรมได้ 2 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงสะกอและโป จำแนกตามความเชื่อได้ 4 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงดั้งเดิม พุทธ คริสต์ และลัทธิฤาษี (น. 66)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยงอยู่ในกลุ่มตระกูลธิเบต-พม่า แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ โป สะกอ บเว และตองดู่ (น. 66)

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลา 15 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546– เดือนธันวาคม 2547

History of the Group and Community

ต้นกำเนิดกะเหรี่ยง
ก่อนพุทธศักราช 2777 ปี กะเหรี่ยงเริ่มตั้งชุมชนที่เมืองบาบิโลน อาณาจักรเมโสโปเตเมีย ถูกรุกรานจากชาวเปอร์เซียจึงอพยพโยกย้าย กลุ่มที่ 1ก่อนพุทธศักราช 1688 ปี ใช้เวลาเดินทาง 1,652 ปี อพยพตามเส้นทางแม่น้ำไปทางทิศตะวันออกผ่านประเทศธิเบต เข้าสู่พม่า และไทย กลุ่มที่ 2 ก่อนพุทธศักราช 1282 ปี ใช้เวลาเดินทาง 1,495 ปี เข้าสู่ประเทศธิเบต มณฑลยูนนาน ประเทศมอโกเลีย และจีนตะวันออก จากนั้นเข้าสู่ประเทศไทย ประเทศพม่า (น. 62)
อ้างถึง สุริยา รัตนกุล (2539) กะเหรี่ยงมีถิ่นกำเนิดทางทิศตะวันออกของธิเบต แล้วอพยพไปยังประเทศจีน บริเวณแม่น้ำทีแซะแมะยัว (แม่น้ำทรายไหล) หรือทะเลทรายโกบี และอาศัยบริเวณแม่น้ำยางซีเกียงหรือแยงซีเกียง หมายถึง แม่น้ำชาติยาง (น. 62)
พ.ศ.207 กะเหรี่ยงถูกกษัตริย์จีนรุกร่านถอยร่นมาบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงแล้วปะทะกับชนชาติไต อพยพถอยร่นมาตามแม่น้ำตั้งถิ่นฐานในที่ราบลุ่มแม่น้ำ 9 สาย คือ ยางซีเกียง, เหลือง, ซีโหล่โกล, แดง, โขง, ปิง, เป๊ะ โหล่ โกล, สาละวิน และโก่ โด้ โกล สร้างประเทศตนเองเรียกว่า “กอทูแล”(น. 62)
กะเหรี่ยงในประเทศไทย
กะเหรี่ยงอพยพเข้าสู่ประเทศไทย 4 ช่วง คือ (1) อ้างถึง ทิพาพร พิมพิสุทธิ์ และคณะ (2546) พ.ศ. 207 อพยพจากจีนและพม่าเข้ามายังที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ตาก และทิวเขาถนนธงชัย ตะนาวศรี เป็นกลุ่มดั้งเดิม เช่น ย้านอุ่มฮวม บ้านหินลาดนาไฮ อำเภอสามเงา จังหวัดตาก (2) อ้างถึง สุมาลี วีระวงศ์ (2518) พ.ศ. 2318 สมัยพระเจ้าอลองพญาทำสงครามกับมอญเพื่อยึดอำนาจและดินแดนมอญ ทำให้กะเหรี่ยงซึ่งเป็นมิตรกับมอญถูกทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เช่นเดียวกัน กะเหรี่ยงจึงอพยพเข้ามายังที่ราบลุ่มทุ่งใหญ่นเรศวร แม่น้ำสุริยะ และแม่น้ำเมย (3) อ้างถึง วุฒิ บุญเลิศ (2546) พ.ศ. 2428 เมื่ออังกฤษยึดพม่าเหนือได้ “จ่อละฝ่อ” หัวหน้ากะเหรี่ยงบเวไม่ยอมอ่อนน้อมแก่อังกฤษ อังกฤษจึงเข้าปราบปราม ทำให้กะเหรี่ยงอพยพเข้ามายังจังหวัดแม่ฮ่องสอน (4) พ.ศ 2538 กะเหรี่ยงอพยพเข้ามายังประเทศไทยหลังจากค่ายมอเนอว์ปอแตก อันเป็นผลสืบเนื่องจากการฉีกรัฐธรรมนูญและสัญญาปางโหลงของพม่าในปี พ.ศ. 2491 ซึ่งทำให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถปกครองตนเองได้ เกิดการสู้รบระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ กะเหรี่ยงอพยพเข้ามายังศูนย์อพยพบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า 10 กว่าแห่ง รวมถึงศษูนย์อพยพค่ายนุโพ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก (น. 63)
ประวัติพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีบ้านเลตองคุ
พ.ศ. 2318ชาวกะเหรี่ยงซึ่งอาศัยในพื้นที่เมืองกะยาอิง เมืองขวยกะบอง ประเทศพม่า ได้อพยพเข้าสู่สยามมายังบ้านเลตองคุหลังจากได้รับผลกระทบจากการทำสงครามขยายอาณาเขตของพระเจ้าอลองพญา ชาวกะเหรี่ยงมีความทรงจำร่วมว่าพม่าเบียดเบียนกะเหรี่ยงมาโดยตลอด การบวชในทุกศาสนาเป็นทางเลือกหนึ่งของการต่อรอง เนื่องด้วยพม่ามีความเลื่อมใสในศาสนามากโดยเฉพาะศาสนาพุทธ บรรพบุรุษกะเหรี่ยงลัทธิฤาษีเข้าไปหลบในถ้ำท่ามกลางวงล้อมพม่า “กว่อแว” ได้ทำเทียนขี้ผึ้งและจุดอธิษฐานให้ปลอดภัย หลังจากจุดเทียนปรากฏว่ามหารพม่าหลับทุกคนจึงหนีรอดจากวงล้อมพม่าได้และมาตั้งถิ่นฐานที่ “แม่กะวอ” และอพยพมายัง “เลตองคุ” หรือเลด่อโคะ ซึ่งเป็นที่ราบกลางหุบเขาบนผาน้ำตก และตั้งสำนักฤาษีหน้าถ้ำ “ตะหมุปุเปีย” ชาวกะเหรี่ยงจึงนับถือกว่อแวในฐานะเจ้าสำนักคนแรกจิตวิญญาณของเปอะม้อโก จากนั้นตั้ง “บูโค๊ะ” และกรรมการ “บูโคเก๊อะ” เพื่อบริหารจัดการพื้นที่วัฒนธรรมและให้สมาชิกปฏิบัติตามคำสอน ท้ายสุด “กว่อแว” ถูกกษัตริย์พม่าจับตัวไปฆ่า (น. 73-74)
ลัทธิได้ส่งผ่านเจ้าฤาษีเพื่อปกครองถึงปัจจุบันจำนวน 10 ตน ตนที่ 2 “จงยุ” เป็นฤาษีที่เทพเตอะจาเมซึ่งเป็นบิดาของกว่อแวส่งลงมาพร้อมผู้ช่วยหมอผี (วี) และหมอดู (เมาะ) มีการยกเลิกความเชื่อเรื่องการเลี้ยงผีซึ่งสิ้นเปลือง ก่อให้เกิดความไม่พอใจของสมาชิกภายใต้ความเชื่อว่าจะทำให้ยักษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าผีไม่พอใจ เมื่อยักษ์ขึ้นไปปรึกษาเทพเตอะจาเมจึงเกิดการประนีประนอมและวางเงื่อนไขท้าให้ฤาษีจงยุกระโดดเข้ากองไฟเพื่อแลกกับการให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี จงยุตายจากกองไฟในที่สุด (น. 74)
ตนที่ 3 “แจะเบอะ” เป็นเจ้าสำนักที่ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับจอห์นี่และลูเธอร์ เด็กฝาแฝดที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำกะเหรี่ยงกอดอาร์มี่ ตนที่ 4 “เสาะเจี๊ยะ” หรือสัจจะ เป็นศิษย์ของแจะเบอะ ได้ปรับเปลี่ยนผ้าครองจากสีขาวแถบแดงเป็นสีขาว ส่วนผ้าครองแบบเดิมกำหนดให้สมาชิกสวมใส่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตนที่ 5 “แจะแป๊ะ” เป็นผู้มีใฝ่รู้ภาษาไทยเพื่อที่จะจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ได้ส่งผู้ชู ผู้ดู และผู้อ่องวะไปเรียนภาษาไทย แต่ไม่ได้เรียน ถูกรังเกียจ และถูกไล่ ทำให้แจะแป๊ะสาบานว่าจะไม่เรียนภาษาไทยตลอดไปเนื่องจากจะทำให้เกิดภัยพิบัติ หลังจากนั้นจึงได้ส่งย่อโท ย่อดะ และย่อแค่มะไปบวชพระในประเทศพม่า เมื่อลูกศิษย์ตนสามารถครองผ้าเหลืองได้ จึงเห็นว่าตนก็สามารถครองได้เช่นกันแต่ต้องรอนิมิตจากองค์ฤาษี ท้ายที่ตลอดอายุขัยก็ไม่เกิดนิมิต แจะแป๊ะจึงไม่ได้ครองผ้าเหลือง (น. 74-75)
ตนที่ 6 “เก๊าะเคาะ” หรือขาเป๋ ดำรงตนในกรอบปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้รับนิมิตฝัน และเป็นตนแรกที่ครองผ้าเหลือง ตนที่ 7 “เสาะเทียะ” เป็นชาวบ้านเลตองคุ สร้างวาทกรรมใหม่ผ่านการนิมิต เปลี่ยนรูปแบบการแต่งกายจากเดิมที่มีลายตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมซึ่งหมายถึงอุปสรรคและความคับแคบของจิตใจเป็นเครื่องแต่งกายแบบใหม่ ตนที่ 8 “แจะยะ” ก่อนขึ้นเป็นเจ้าสำนักปรากฏว่ามีเด็กในพื้นที่เสียชีวิตจำนวนมาก แจะยะจึงสร้างตำนานว่าตนทำความดีไม่เท่าฤาษีตนก่อน จึงขอสร้างบารมีด้วยการสร้างและขยายพันธุ์มนุษย์ โดยแต่งงานกับนางมะเนระ ชาวบ้านกุยละเติ่ง ประเทศพม่า มีบุตร 2 คน คือ นายตะอึและนางหน่อพ่อ ทั้งยังเปลี่ยนที่อยู่โดยการสร้างบ้านไว้นอกสำนัก พานักบวชในสำนักและทหารกะเหรี่ยง KNU เข้าโจมตีทหารพม่าที่เมืองแจ้โต่ง ท้ายที่สุดถูกทหารกะเหรี่ยง KNU ฆ่าในปี ฑ.ศ. 2508 เนื่องจากโกรธแค้นที่กล่าวว่าสามารถคุ้มครองทุกคนได้แต่ไม่เป็นไปตามนั้น ตนที่ 9 “จำเลอช่วย” มีการทำพิธีเข้าฤาษีใหม่เพื่อให้สะอาดทั้งกายและใจ จากความเชื่อที่ว่าฤาษีตนที่ 8 ทำเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับผู้หญิงและพาลูกศิษย์ไปสู้รบกับพม่าจนล้มตายจำนวนมาก จำเลอช่วยเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ 2532 (น. 76-77)
ตนที่ 10 “ม่อแน่” เคยบวชเป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดก่อนขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ทำให้เป็นที่ยอมรับของทั้งไทยและพม่าโดยเป็น culutre heroหรือผู้นำวัฒนธรรม ผ่านนิมิตของเจ้าฤาษีและนักบวชในสำนักในการอนุญาตให้เป็นฤาษีถึง 3 ครั้ง และได้รับนิมิตให้เปลี่ยนผ้าครองจากสีขาวเป็นผ้าเหลือง ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลพิเศษที่มีอำนาจทั้งกายและใจ (น. 78-79)

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงมักตั้งบ้านเรือนบริเวณที่ราบลุ่มเชิงเขาใกล้แหล่งน้ำ เมื่อถูกรุกรานจะหนีภัยเข้าไปยังป่าลึกและภูเขาที่สลับซับซ้อน (น. 62)
กะเหรี่ยงที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) KNU กลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2490 ซอว์บะอูยี ได้รวบรวมกองกำลังขึ้นเพื่อตั้งรัฐอิสระ “กอทูเล” โดยมีมอร์เนอปลอเป็นเมืองหลวง และสู้รบกับพม่า ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษและไม่ปฏิบัติตามพันธะสัญญาโดยปราบปรามชนกลุ่มน้อย KNU แตกแยกออกเป็นกะเหรี่ยงพุทธและคริสต์ในปี พ.ศ. 2537 และถูกพม่าเข้าตีกอทูเลจนแตกพ่ายในปี พ.ศ. 2538 ปัจจุบันฐานที่มั่นอยู่ที่ค่ายวาเลย์คลี ตรงข้ามอำเภอพบพระ และที่ราบเชิงภูเขามะม่วงสามหมื่น อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก (2) DKBA กลุ่มองค์การกะเหรี่ยงพุทธก้าวหน้า เป็นกลุ่มกะเหรี่ยงพุทธที่แยกตัวออกมาจากกลุ่ม KNU ในปี พ.ศ. 2536เกิดความขัดแย้งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนายพลโบเมี๊ยะ กรณีนายทหารคริสต์ทำร้ายกะเหรี่ยงพุทธขณะสร้างเจดีย์บนเนินเขา เหตุการณ์บานปลายไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาจึงประกาศแยกตัวออกจากกลุ่ม KNU ในปี พ.ศ. 2537(3) KPF กลุ่มกองกำลังรักษาความสงบและสันติสุข จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 โดยรัฐบาลพม่าเพื่อชักชวนชาวกะเหรี่ยงในชุมชนชายแดนให้กลับประเทศพม่าและประสานงานกับทหารพม่าในการกวาดล้างกลุ่ม KNU(น. 64-66)
ชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านเลตองคุ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ตั้งบ้านเรือนเป็นหย่อมตามเครือญาติ หย่อมละ 5-10 ครัวเรือน ตั้งอยู่ในพื้นที่สูงกว่าที่ทำกิน สลับด้วยเนินเขาภายในหุบเขาสามลอม ประเทศไทย และทิวเขาแม่เกอะคี ประเทศพม่า สะท้อนถึงความรักสงบ สมานฉันท์ (น. 69)
เมื่อลูกสาวแต่งงานครบ 1 ปีจะแยกครอบครัวออกไปสร้างบ้านเรือนใหม่ใกล้กับบ้านพ่อแม่โดยไม่นิยมสร้างทางทิศเหนือ นิยมสร้างบ้านด้วยไม้ไผ่เพราะเป็นไม้ที่แตกกอเร็วเป็นกลุ่ม บ่งบอกถึงความสามัคคี, อพยพเคลื่อนย้ายสะดวก และเป็นการประกันความมั่นคงของครอบครัวที่หากสูญเสียภรรยาไปต้องปล่อยให้บ้านร้างผุพัง แต่หากสูญเสียสามีสามารถแต่งงานใหม่และนำสามีใหม่เข้ามาอยู่ได้ อีกทั้งบ้านไม้ไผ่ยังเป็นที่สถิตของผีบรรพบุรุษที่ต้องทำพิธีเลี้ยงทุกปี (น. 127-128)

Demography

ประเทศพม่า
อ้างถึง ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 (2542) กะเหรี่ยงในประเทศพม่ามีจำนวน 8,600,000 คน โดยอาศัยอยู่ในรัฐคะยาหรือกะเรนนี รัฐกะเหรี่ยงหรือกอทูเลบ รัฐมอญ และรัฐฉาน (น. 64)
อ้างถึง กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (2545) กะเหรี่ยงภาคตะวันตกบริเวณตะเข็บชายแดน อำเภออุ้งผาง จังหวัดตาก และเมืองเจียวดอน ประเทศพม่า มีจำนวน 438,131คน (น. 66)
ประชากรในพื้นที่วัฒนธรรมฤาษีบ้านเลตองคุมีทั้งกะเหรี่ยงโป สะกอ และมอญ ไม่มีการสำรวจจำนวนที่แน่ชัด มีเพียงการรวบรวมสถิติผู้เข้าร่วมทำบุญอัตตารอ (สงกรานต์) เมื่อปีพ.ศ. 2548 จำนวน 2,918 คน (น. 71)

Economy

น้ำตกเลตองคุ เป็นแหล่งน้ำสำคัญของบ้านเลตองคุ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก เป็นแหล่งบริโภคสำคัญ อุดมสมบูรณ์ด้วยปลา ปู กุ้ง ผักกูด และผักหนาม บริเวณโดยรอบมีทรัพยากรป่าไผ่ ป่าหมาก และสัตว์ป่า (น. 68)
บริเวณชุมชนเลตองคุมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ที่สามารถเพราะปลูกร่วมกันได้ระหว่างคนไทย-พม่าโดยไม่ถือกรรมสิทธิ์ครอบครอง (น. 68)
ระบบเศรษฐกิจมีลักษณะไม่เป็นทางการให้อิสระในการประกอบอาชีพ ผลิตเพื่อยังชีพ ส่วนมากประกอบอาชีพทำการเกษตร ปลูกข้าว ทำไร่หมุนเวียน, เลี้ยงสัตว์ โค กระบือ ช้าง แพะเพื่อการใช้งานและขาย ไม่ปรากฏสัตว์เลี้ยงประเภทหมู ไก่ เป็ดตามกฎบัญญัติ, ค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภค และเก็บผลผลิตจากป่าโดยเฉพาะน้ำผึ้งป่า มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 2,000 บาทต่อครัวเรือน (น. 133-137)

Social Organization

สมาชิกลัทธิฤาษีมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติอย่างใกล้ชิดจากการแต่งงานภายในกลุ่มโดยมีศีล 5 และกฎบัญญัติ 14 ข้อเป็นสิ่งควบคุมพฤติกรรมให้ยึดมั่นในระบบผัวเดียวเมียเดียว มักมีการแต่งงานข้ามพรมแดนประเทศโดยผู้คนส่วนมากไม่มีข้อจำกัดเนื่องจากไม่มีนามสกุลและไม่มีสัญชาติทั้งไทยและพม่า นับญาติผ่านการนับถือผีบรรพบุรุษ ศูนย์กลางวัฒนธรรมกะเหรี่ยงฤาษีบ้านเลตองคุมีคนสัญชาติไทยร้อยละ 40 ที่มี 5 นามสกุล คือ คีรีการะเกตุ คีรีบุปผา คีรีดุจจินดา คีรีคงฉลวย และสุขศรีสาคร (น. 126-127)
ลักษณะโครงสร้างครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว มีสมาชิก 5-6 คน (น. 127) 

Political Organization

พื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีมีโครงสร้างสังคมที่เป็นลำดับชั้น มีรูปแบบสังคมแบบกระชับบังคับโดยจารีตประเพณี มีผู้นำเทียบเท่าขุนหรือกษัตริย์แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) เจ้าฤาษี เป็นนักบวชที่เป็นผู้นำสูงสุดทางการปกครองและทางจิตวิญญาณ ปัจจุบัน (พ.ศ. 2547) มีการส่งผ่านอำนาจมาแล้วจำนวน 10 ตน (2) ตาวาบุหรือนักบวช เป็นชายที่ผ่านพิธีบวชโดยเจ้าฤาษี (3) ตะวาโบ๊ะหรือสมาชิกทุกคนที่ยึดถือศีล 5 และปฏิบัติตามกฏ 14 ข้อ (น. 100-101)
การเข้าเป็นสมาชิกลัทธิฤาษีเป็นได้โดยกำเนิดตามบุพการี การแต่งงาน การบวชในสำนักฤาษี และการอพยพเข้ามา (น. 105)
อำนาจในพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีสามารถครอบงำให้สมาชิกปฏิบัติตามและดลบันดาลให้เกิดทุกข์สุขได้ มีทั้ง (1) อำนาจไม่เป็นทางการ คือ อำนาจเหนือธรรมชาติจากผีดีและผีร้าย อำนาจเจ้าฤาษีซึ่งเป็นที่สิงสถิตของจิตวิญญาณฤาษีเปอะม้อโก อำนาจบูโค๊ะในฐานะผู้นำศาสนกิจ อำนาจกรรมการบูโค๊ะเก๊อะในการควบคุมสมาชิกให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ และ (2) อำนาจทางการ เป็นอำนาจของตัวแทนรัฐทั้ง 2 ประเทศที่รัฐแต่งตั้งให้เป็นผู้นำปกครองหมู่บ้าน ซึ่งวัฒนธรรมลัทธิฤาษีไม่มีบทบาทมากนัก (น. 121-125)
การปกครองในช่วงก่อนการทำสนธิสัญญาแบ่งพรมแดนไทย-พม่า มีลักษณะเป็นแบบรัฐอาณาจักรหรือเมืองมีอำนาจสูงสุด เจ้าฤาษีเป็นประมุข จัดการปกครองโดยแบ่งกรรมการ “บูโคะเก๊อะ” เป็นผู้บริหารสมาชิก และมี “บูโค๊ะ” เป็นผู้นำชุมชน มีการจัดระเบียบสังคมโดยใช้ความเชื่อเป็นเกณฑ์ ส่วนหลังสนธิสัญญาฯ มีการแต่งตั้งผู้นำชุมชนในการบริหาร โดยฝั่งไทยมีผู้ใหญ่บ้าน และฝั่งพม่ามีโอกะทะ ลักษณะการปกครองซ้อนทับแบบทวิลักษณ์ แต่ก็ยังมีบทบาทน้อยกว่าผู้นำแบบเดิม (น. 129-132)

Belief System

กะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยก่อน พ.ศ. 2411 ยึดมั่นในศาสนา เชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น กะเหรี่ยงบ้านเลตองคุ อำเภออุ้งผาง จังหวัดตาก นับถือลัทธิฤาษี (น. 64)
กะเหรี่ยงที่อาศัยในภาคตะวันตกบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-พม่า จำแนกตามความเชื่อได้ 4 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงดั้งเดิม พุทธ คริสต์ และลัทธิฤาษี โดยกะเหรี่ยงดั้งเดิม พุทธ และคริสต์มีพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ทับซ้อนกัน กะเหรี่ยงพุทธมีศูนย์รวมจิตใตที่วัดสุนทรีกาวาส อำเภอแม่สอด และวัดมงคลคีรีเขต อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ส่วนกะเหรี่ยงคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีศูนย์รสวมจิตใจที่สำนักแม่ชีเทเรซ่า อำเภอแม่สอด นิกายเซเวนเดแอดเวนติสท์เดิมรวมศูนย์ที่กอทูเล รัฐกะเหรี่ยง หลังจากที่กอทูเลแตกจึงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยพร้อมนำความเชื่อมาด้วย ส่วนกะเหรี่ยงลัทธิฤาษี มีความเชื่อในตัวเจ้าฤาษีและผี หรือเตอะจาเม หรือพระอินทร์ มีอุดมการณ์สูงสุด คือ “ตาบุ” หรือบุญ เชื่อว่าหากสะสมตาบุมากจะได้เกิดในยุคพระศรีอาริยะเมตไตรย ยึดมั่นในศีล 5 และข้อบัญญัติ 14 ข้อที่ปรับเปลี่ยนไปตามบริบทแวดล้อมซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต เช่น อนุญาตให้แต่งงานกับคนต่างวัฒนธรรม อนุญาตให้รัฐตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา โดยมีข้อปฏิบัติเคร่งครัด เช่น ห้ามกินและต้มเหล้า ห้ามผิดลูกเมียผู้อื่น ห้ามเลี้ยงหมูและไก่ ลัทธินี้มีศูนย์กลางที่บ้านเลตองคุ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก และมีเครือข่ายในประเทศไทยและพม่าจำนวน 29 หมู่บ้าน ครอบคลุมถึงเมืองเจียวดอน เมืองกอกาเรก รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า (น. 66-68)
ประเพณีพิธีกรรมที่สำคัญ ได้แก่ ลาเผาะหรือวันพระ, อัตตารอหรือสงกรานต์ในเดือนมีนาคม, พะชาลอหรือบุญช้าวเปลือกในเดือนเมษายน, ตะกึนึหรือเข้าพรรษาในเดือนมิถุนายน, ลาโคะหรือมัดมือในเดือนสิงหาคม, ตะกึเปาะหรือออกพรรษาในเดือนกันยายน และอุ๊จ๊ะหรือเผาไฟในเดือนธันวาคม (น. 138)
พิธีทำบุญโพ่โดกุ๊ด้วยการลอยแพปอเดอกู คล้ายกับการลอยกระทงเพื่อแสดงความเคารพและขอขมาพระแม่คงคา (น. 89)
พิธีบวชตะวาบุหรือนักบวชในลัทธิฤาษี มีข้อกำหนดคือต้องเป็นชายที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไปและได้รับการอนุญาตจากบิดามารดา ส่วนมากเป็นชายกะเหรี่ยงในประเทศพม่า (น. 109)
พิธีออตะแลเนอโพบุหรือพิธีเข้าฤาษีใหม่ กระทำเมื่อประพฤติผิด หรือไปทำงานต่างถิ่นเกิน 15 วัน สมาชิกกระทำได้ไม่เกินคนละ 3 ครั้ง (น. 115-116)
กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีเชื่อว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและเป็นเพียงผู้เข้ามาขอใช้ประโยชน์เพื่อยังชีพให้อยู่รอด มีระบบคิดแบบ “จักรวาลวิทยา” ที่วางตำแหน่งแบ่งฟ้ากับดิน แบ่งหญิงกับชาย แบ่งคนนอกกับคนใน เชื่อว่าทุกอย่างในโลกสร้างโดย “เทพเตอะจาเม” และมี “เทพยะนู๋” คอยค้ำพื้นพิภพให้ปกติสุข เทพเตอะจาเมเป็นผู้สร้างฤาษีเปอะม้อโกเป็นผู้ดูแลมนุษย์ มนุษย์ต้องถือศีล 5 และปฏิบัติตามข้อบัญญัติ 14 ข้อ โดยมีเจ้าฤาษีเป็นผู้นำการทำพิธีผ่านสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ 7 แห่งใน “บุ” หรือสำนักเจ้าฤาษี คือ (1) ตะละเอหมุ หรือสถานที่เกิด มีลักษณะเป็นเสาไม้ประดับเครื่องจักสานล้อมรอบด้วยหิน เชื่อว่าสถานที่นี้คือวันแรกของโลกคือวันอาทิตย์ (2) บุ๊ หรือบ้านบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นที่หลับนอนของเจ้าฤาษีในเวลากลางคืน ภายในมีแผ่นไม้สี่เหลี่ยมซึ่งเป็นตัวแทนของเทพเตอะจาเมที่เชื่อว่าเป็นฐานรองรับโลก (3) ตะแล หรือหลักธรรม เป็นไม้ไผ่ประดับเครื่องจักสาน เจ้าฤาษีประดิษฐ์ 4 ต้น นักบวชประดิษฐ์ 3 ต้น (4) จ๊ะโทซ่อง หรือเสารัตนตรัย (5) รูเจ๊ะ หรืองาช้างกะสลักพระพุทธรูป เพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า (6) ตะละโป๊ะ หรือพระไตรปิฎก (7) ตู หรือสะพานไม้ เป็นไม้ยาวสองท่อน เสมือนทางเชื่อมดินและฟ้าไปยังสวรรค์และนรก (น. 85-86) โดยการทำพิธีใน 7 แห่งนี้จะกระทำเฉพาะในพระและพิธีสำคัญ เช่น การเข้าเป็นสมาชิกลัทธิฤาษี พิธีอุจ๊ะ พิธีอัตตารอ พิธีพะชาลอ และพิธีออตะแลแนอโพบุ การทำพิธีประกอบด้วย (1) เจ้าฤาษี (2) ตะวาบุ หรือนักบวช (3) ตะละกู่ หรือสมาชิกลัทธิฤาษี ทำพิธีเรียงตามลำดับ (น. 87-88)
กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีมีความเชื่อเรื่องเทพอื่น ๆ คือ ซ่งทะรี เป็นเทพองค์แรกเป็นเทพแห่งแผ่นดิน, โพ่โดกุ๊ เทพแห่งน้ำ, รุกขจือ เทพารักษ์, และพิบุ๊โย แม่โพสพ
ตาดี๊ หรือข้อบัญญัติ 14 ประการ ได้แก่ (1) ห้ามเลี้ยงสัตว์ (2) ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา (3) ห้ามเล่นการพนัน (4) ต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่และผู้เฒ่าผู้แก่ในการแต่งงาน (5) ห้ามผิดลูกเมียผู้อื่น (6) ห้ามปฏิบัติข้อด้านบนทั้งในบ้านและนอกพื้นที่ (7) การประชุมจะต้องมีสมาชิก 1 ใน 3 (8) การตัดสินเรื่องใด ๆ ที่เห็นไม่ตรงกันให้ใช้วิธีลงบัตรโดยผู้ใหญ่บ้านลง 2 บัตร สมาชิกลง 1 บัตร (9) การควบคุมกิจการในกลุ่มต้องมีที่ปรึกษา 1 คน รอง 1 คน กรรมการ 4 คน (10) ประธานที่ปรึกษาเป็นผู้ตัดสินกรณีสมาชิกฝ่าฝืนกฏ (11) ประธานมีอำนาจลงโทษและตักเตือนกรณีสมาชิกทำผิดข้อ 4 (12) ผู้ใดกล่าวล่วงเกินในข้อ 4 คณะผู้ใหญ่ให้ผู้ล่วงเกินนั้นไปกราบขอโทษได้ (13) ผู้ใดล่วงเกินข้อ 1 2 3 ลงโทษ 3 ครั้งไม่เข็ดหลาบ ให้กรรมการผู้ใหญ่ไล่ออกจากสมาชิกได้ (14) การกลับเข้ามาเป็นสมาชิกหลังถูกไล่ออกต้องมีสมาชิก 2 คนรับรอง (น. 111-112) โดยหากละเมิดจะมีบทลงโทษแตกต่างกันไปทั้งนักบวชและสมาชิก (น. 115-116)

Education and Socialization

การศึกษาในพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีเป็นการศึกษาเรียนรู้จากบรรพชนและปราชญ์ในชุมชน หลังจากการเข้ามาของกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดน 34 จังหวัดตากเกิดการตั้งโรงเรียนสอนหนังสือภาษาไทย แต่ด้วยขัดกับกรอบปฏิบัติของฤาษีตนที่ 5 ที่กำหนดให้ห้ามตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยในพื้นที่ทำให้เกิดการต่อต้านในระยะแรก ภาครัฐจึงได้สร้างเงื่อนไขข้อตกลงร่วมกันจึงสามารถสอนภาษาไทยให้กับชาวบ้านได้ ซึ่งได้มีการจัดการศึกษาในระบบโดยโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเลตองคุและนอกระบบโดยการศึกษานอกโรงเรียน ทำให้ชาวบ้านสามารถสื่อสารภาษาไทยได้มากขึ้นร้อยละ 30(น. 143-145)

Health and Medicine

ระบบการรักษาพยาบาลมีทั้งระบบพื้นบ้านโดยเป็นการรักษาด้วยหมอผี หมอยาสมุนไพร และการฝังเข็มซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากคอมมิวนิสต์ และระบบแผนปัจจุบันโดย อสม. บ้านเลตองคุเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนส่งรักษาต่อยังศูนย์อพยพบ้านนุโพหากอาการไม่ดีขึ้น ส่วนมากป่วยเป็นโรคมาลาเรียและท้องร่วง ส่วนสวัสดิการของรัฐไทยในโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคไม่ครอบคลุม เนื่องจากคนส่วนมากไม่มีสัญชาติไทย (น. 140-141)

Folklore

ตำนานเจ้าฤาษี กล่าวถึงเจ้าฤาษีซึ่งเป็นผู้สร้างบ้านแปงเมืองและเป็นผู้นำการปกครอง โดยเฉพาะฤาษีกว่อแว ตนที่ 1 ซึ่งเป็น culture hero หรือผู้นำของพื้นที่วัฒนธรรม (น. 72)
กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีมีความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผิดแปลกไปของสัตว์ ได้แก่ นกทูส่องหรือนกขุนแผนแดง หากร้องจะเป็นเตือนภัยหรือลางบอกเหตุ, คีหรือเสือ ฉะคูบ่องหรือเก้ง ฉะโค่งหรือกวาง หากเข้ามาในบ้านจะบ่งบอกว่ามีผู้กระทำผิดกฎ, ทุกุหรือนกกกดำหรือนกเงือกกรามช้าง เป็นนกตัวอย่างของสัจจะแห่งคู่ครอง โดยหากคู่ตายอีกตัวจะตรอมใจตายตาม และยังมีความเชื่อในการไม่เลี้ยงและบริโภคหมูและไก่เพราะเป็นสัตว์เลี้ยงผี (น. 90-91)
ตำนานการเกิดกลุ่มคนกะเหรี่ยง “เตอะจาเม” เป็นผู้สร้างมนุษย์ชายชื่อว่า “เอท้อกะระ” แปลว่าเหมือนแผ่นฟ้า หญิงชื่อว่า “เอท้อกะชิ” แปลว่าเหมือนแผ่นดิน และได้ส่งทั้งสองไปอยู่ในสวนอีเด้เพื่อสร้างมนุษยชาติและทำงาน 6 วัน โดยห้ามกินผลไม้ 1 ต้นในสวน ผีร้าย “โมก่อลี” ได้บอกทั้งสองว่าผลไม้ดังกล่าวเป็นผลวิเศษที่เตอะจาเมเก็บไว้กินเพียงผู้เดียว ทั้งสองหลงเชื่อและได้กินผลไม้นั้นทำให้ไม่สามารถติดต่อกับเตอะจาเมได้อีก เตอะจาเมจึงส่ง “เปอะม้อโก” ลงมาควบคุมคนทั้งสองให้ปฏิบัติแต่สิ่งดีงาม ทั้งสองมีบุตร 5 คู่ คือ “เจอะกว่อ” ต้นตระกูลกะเหรี่ยง, “เตอะเลอ” ต้นตระกูลมอญ, “โหย่” ต้นตระกูลไทย, “เปอะเยอ” ต้นตระกูลพม่า และ “ก่อล่า” ต้นตระกูลฝรั่ง (น. 98)
การละเล่น “อือทา” เป็นการแต่งกลอนโต้ตอบกันเพื้อเกี้ยวพาราสี (น. 142)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

กะเหรี่ยงลัทธิฤาษีนิยามตัวตนของตนเองโดยเรียกว่า “ตะละกู่” หรือนักบวชที่มีตัวตนและอัตลักษณ์ที่แตกต่างกับกะเหรี่ยงกลุ่มอื่น ถือศีล กินเจ มุ่งทำบุญ ไม่แบ่งแยกกลุ่มโปและสะกอ โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ (1) ไว้ผมยาวมวยผมและมัดจุกด้านหน้าทั้งชายและหญิง หมายถึง ความเสมอภาค ชายสวมเสื้อผ่าอก นุ่งโสร่งสีล้วนไม่มีลายตัดกันเหมือนท้องนา ไม่สวมใส่ชุดชั้นใน นักบวชโพกศีรษะด้วยผ้าสีขาวล้วน หญิงหากยังไม่แต่งงานสวมเสื้อสีขาวทรงกระสอบ สวมแขนยาวทับอีกชั้นโดยไม่ใส่ซับใน หากแต่งงานแล้วสวมเสื้อแยกจากผ้าถุง สะท้อนความเสมอภาคและความบริสุทธิ์ (2) มีวัฒนธรรมบนฐานของผี พราหมณ์ พุทธ เชื่อว่าลัทธิฤาษีก่อนก่อนศาสนาอื่น ๆ และเกิดขึ้นบนพื้นฐานความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติและตำนานการเกิดกลุ่มคนกะเหรี่ยง โดยเชื่อว่า “เจอะกว่อ” เป็นต้นตระกูลกะเหรี่ยงที่เป็นคนโตของคนทุกกลุ่ม (3) มีพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน มีพื้นที่ศูนย์กลางวัฒนธรรมคือบ้านเลตองคุโดยนับถือเป็นฝ่ายแม่ และมีพื้นที่เครือข่ายในประเทศพม่านับถือเป็นฝ่ายพ่อ เมื่อทำพิธีให้ทำจากฝ่ายแม่ก่อนฝ่ายพ่อ สอดคล้องความเชื่อการนับถือบรรพบุรุษฝ่ายหญิงเป็นใหญ่ (4) มีความเชื่อในภพหน้า เชื่อว่าภพนี้เกิดเป็นกะเหรี่ยงเพราะทำบุญไม่พอ ต้องหมั่นทำบุญเพื่อนำไปสู่ภพภูมิที่ดี (น. 95-99)
กระบวนการปรับตัวของสมาชิกลัทธิฤาษีเป็นไปทั้งระดับปัจเจกและระดับสังคมภายใต้เงื่อนไขเจ้าฤาษีและพลังอำนาจในพื้นที่สร้างขึ้นมาในลักษณะการขัดขืนต่อรอง ยอมรับ ผสมผสาน และประนีประนอม (น. 201)

Social Cultural and Identity Change

พื้นที่วัฒนธรรมบ้านเลตองคุมีการเปลี่ยนแปลงขนาดพื้นที่ที่เล็กลงจากช่วงระยะเวลาก่อนเกิดรัฐชาติ จากการบังคับใช้สนธิสัญญากำหนดเส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอังกฤษ การเข้ามาของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อพัฒนาปัจจัยพื้นฐานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1-9 ทำให้คนนับถือลัทธิฤาษีบ้านเลตองคุลดลง บางส่วนแยกตนไปตั้งลัทธิฤาษีขึ้นใหม่ และบางส่วนเปลี่ยนศาสนา (น. 69)
เครือข่ายพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีในประเทศไทย มีจำนวน 3 หมู่บ้าน คือ บ้านมอตาลัว ไกบอทะ และซอแม๊ะ โดยแยกออกจากลัทธิฤาษีในพื้นที่ทุ่งนเรศวรตะวันตกในจังหวัดอุทัยธานีและกาญจนบุรี ซึ่งบางส่วนเปลี่ยนไปนับถืศาสนาพุทธ คริสต์ และเปลี่ยนไปนับถือเจ้าวัดหรือบูโค๊ะ โดยเชื่อว่าหใดยุคของฤาษีบ้านเลตองคุตั้งแต่ฤาษีคนที่ 7 แล้ว ฤาษีตนปัจจุบันไม่ใช่ฤาษีที่แท้จริง จึงได้ร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้น และสร้างรูปปั้นและศาลฤาษีใน “ทุ่งฤาษี” ในพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตกเพื่อกราบไหว้และประกอบพิธีกรรมแทน (น. 69)
เครือข่ายพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษีในประเทศพม่า มีจำนวน 26 หมู่บ้าน เป็นพื้นที่ชายขอบ ห่างไกลศูนย์กลางประเทศ ทำให้การพัฒนาจากรัฐเข้าถึงไม่มากนัก ชาวกะเหรี่ยงดำรงตนแบบสังคมประเพณี ยังคงยึดแนวคิดฤาษีเป็นหลักความมั่นคงในการดำรงชีวิต (น. 69-70)
การผลิตซ้ำและส่งผ่านเจ้าฤาษีจากตนที่ 1 กว่อแว จนถึงตนที่ 10 เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเครือข่ายสมาชิกลัทธิฤาษีโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ “บูโค๊ะ” ที่แยกตัวสร้างลัทธิใหม่ในพื้นที่ห่างไกลจากศูนย์กลางวัฒนธรรมโดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งก่อให้เกิดการตั้งลัทธิใหม่เพราะสถานภาพเจ้าฤาษีเปรียบดังเจ้าผู้ครองนครรัฐที่มีพลังอำนาจ, เกิดความเชื่อว่าเจ้าฤาษีหมดไปตั้งแต่ตนที่ 7 จากการที่ตนที่ 8 ประพฤติไม่เหมาะสม บูโค๊ะจึงตั้งตนแทน, เนื่องจากการเดินทางไปทำพิธีที่บ้านเลตองคุไม่สะดวก มีระยะทางไกลกว่า 80 กิโลเมตร, การพัฒนาของรัฐทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด และการเข้ามาของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ. 2510-2525 (น. 80-81) โดยทำให้เกิดการแตกหน่อในจังหวัดตากออกเป็น 3 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มฤาษีบ้านแม่จันทะเก่า โดยมี “พุ่งเอ่ย” หรือ “ธิเลียวเอง” ซึ่งเชื่อว่าตนคือ “จงยุ” ฤาษีตนที่ 2 กลับชาติมาเกิด (2) กลุ่มฤาษีบ้านมอทะ เกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2508 หลังฤาษีตนที่ 8 ถูกฆ่า “พินิจ” หรือ “พือพินิจ” เชื่อว่าหมดยุคฤาษี 7 ชั่วโคตรแล้ว ควรต้องมีระบบกษัตริย์และได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์สร้างความไม่พอใจกับบ้านเลตองคุ ท้ายที่สุดได้แยกออกไปตั้งสำนักใหม่ (3) กลุ่มฤาษีบ้านกุยด๊ะ มี “จ่อวาโพ ตระหง่านกูลชัย” เป็นเจ้าสำนักเมื่อ พ.ศ. 2546 พัฒนามาจากการต่อสู้กับอำนาจรัฐที่กดทับกลุ่มกะเหรี่ยงในการกำหนดพื้นที่อนุรักษ์ทับซ้อนพื้นที่ทำกิน สิทธิการเป็นพลเมืองไทย และความห่างไกลจากพื้นที่บ้านเลตองคุ โดยมีความเชื่อในการหยุดทำมาหากินเพื่อรอวันที่พระเจ้ามารับ การแตกหน่อกลุ่มฤาษีสะท้อนให้เห็นถึงการช่วงชิงอำนาจและการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมจากการถูกอำนาจที่เหนือกว่ากดทับ (น. 82-83)
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและวัฒนธรรม เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2411 จากอนุสัญญาเส้นแบ่งพรมแดนกับรัฐบาลสยาม ที่ทำให้พื้นที่กายภาพถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดยเส้นแบ่งพรมแดนไม่ปรากฏเป็นรูปธรรม ทำให้สมาชิกยังใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่เมื่อ พ.ศ. 2504-2529 รัฐไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและนโยบายการหลอมรวมเป็นเอกภาพอย่างเข้มข้น ทำให้มีการแบ่งพรมแดนที่ชัดเจน มีการกำหนดให้ทำบัตรประชาชนพลเมืองไทยและต้องมีทะเบียนบ้าน ซึ่งสมาชิกบางส่วนไม่ให้ความสนใจ ในช่วง พ.ศ. 2508 เกิดการเผยแผ่ศาสนาพุทธและคริสต์อย่างกว้างขวางซึ่งไม่ส่งผลการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมมากนัก พ.ศ. 2510-2525กระบวนการคอมมิวนิสต์เข้ามาเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย การตัดผม การกินเนื้อสัตว์ การห้ามทำพิธีกรรม ทำให้บางกลุ่มเปลี่ยนศาสนาและแยกตนไปก่อตั้งลัทธิฤาษีใหม่ ถัดมา พ.ศ. 2530-2549 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเป็นอย่างมากจากการที่รัฐไทยส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาปฏิบัติการ และเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ทำให้มีผู้เปลี่ยนศาสนาจำนวนมาก (น. 152-153)

Map/Illustration

ตาราง
- ประเพณีพิธีกรรมในรอบปีของชาวพื้นที่วัฒนธรรมลัทธิฤาษี (น. 138)

แผนที่/แผนภาพ
- แผนที่แสดงที่ตั้งสำนักฤาษีในอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก (น. 84)
- แผนภาพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในสำนักฤาษี (น. 86)
- ลำดับการไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 7 แห่งในสำนักฤาษี (น. 88)

Text Analyst พิสุทธิลักษณ์ บุญโต Date of Report 19 ก.ค. 2564
TAG กะเหรี่ยง, ลัทธิฤาษี, ตาก, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Southeast Asia, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง