|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชาวเล, มอแกน, มอแกลน, อูรักลาโว้ย |
Author |
นฤมล อรุโณทัย, พลาเดช ณ ป้อมเพชร, อุษา โคตรศรีเพชร, กิ่งแก้ว บัวเพชร, จีระวรรณ์ บรรเทาทุกข์ |
Title |
ทักษะวัฒนธรรมชาวเล ร้อยเรื่องราวชาวเลมอแกน มอแกลน และอูรักลาโว้ย ผู้กล้าแห่งอันดามัน |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
อูรักลาโว้ย อูรักลาโวยจ, มอแกลน, มอแกน บะซิง มาซิง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
251 |
Year |
2557 |
Source |
โครงการนำร่องอันดามันและหน่วยปฏิบัติการวิจัยชนพื้นเมืองและทางเลือกการพัฒนา, สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมองค์ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจ และความตระหนักในวัฒนะรรมของกลุ่มชาวเลในประเทศไทย 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มมอแกน กลุ่มมอแกลน และกลุ่มอูรักลาโว้ย โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ การเกริ่นนำภาพรวมของชาวเล และข้อมูลเกี่ยวกับชาวเลทั้ง 3 กลุ่ม โดยครอบคลุมวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ที่เข้าใจง่าย ตลอดจนสถานการณ์ปัจจุบันของกลุ่มชาวเล |
|
Focus |
หนังสือเล่มนี้เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้เห็นคุณค่า ความหมายของวัฒนธรรมเพื่อปกป้องคุ้มครองวัฒนธรรมที่กำลังหาย หรือถูกกลืนไปของชาวเล 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มมอแกน กลุ่มมอแกลน และกลุ่มอูรักลาโว้ย |
|
Theoretical Issues |
หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับชาวเลที่ได้เรียบเรียงจากข้อมูลภาคสนาม และการศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจากวงเสวนาที่ไม่เป็นทางการในชุมชน ที่ให้ทำให้เกิดความเข้าใจในอัตลักษณ์ของกลุ่มชาวเล ผ่านข้อคำถามและการสรุปคำตอบสั้นๆ แต่ครอบคลุมเนื้อหาที่หลากหลายประเด็น |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาวเลในประเทศไทยประกอบด้วยกลุ่มมอแกน กลุ่มมอแกลน และกลุ่มอูรักลาโว้ย แต่ละกลุ่มมีคำเรียกกลุ่มตนเอง และกลุ่มชาวเลอื่นๆ แตกต่างกันไป รายละเอียดหน้า 43 |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาตระกูลออสโตรนีเซียน แต่ภาษาของชาวเลมีความคล้ายคลึงกันระหว่างกลุ่มมอแกน และมอแกลน แต่ภาษาของกลุ่มอูรักลาโว้ยจะมีความแตกต่างกับสองกลุ่มแรก |
|
History of the Group and Community |
ชาวเล หรือชาวทะเลถูกขนานนามว่า ยิปซีทะเล (Sea gypsy) ที่หมายถึงกลุ่มคนที่ย้ายถิ่นไปเรื่อยๆ โดยในประเทศไทยชาวเลประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มมอแกน กลุ่มมอแกลน และกลุ่มอูรักลาโว้ย ที่ตั้งถิ่นฐานริมชายฝั่งทะเลของจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และสตูล
1) กลุ่มมอแกนชาวมอแกนสืบเชื้อสายมาจากกลุ่มโปรโตมาเลย์ ที่อาศัยบริเวณแหลมมลายู และได้ใช้ชีวิตทางทะเลตั้งแต่บริเวณเกาะมะริดในเมียนมาร์ จนถึงหมู่เกาะซูลูในฟิลิปปินส์ สำหรับตำนานเล่าขานได้กล่าวว่ามีกะลาสีเรือได้มาแต่งงานกับราชินีซีเปียน ต่อมาน้องสาวของราชินี ได้แย่งคนรักไป จึงได้สาปให้คนทั้งสองและกลุ่มมอแกนใช้ชีวิตเร่ร่อนในทะเลตลอดไป
2) กลุ่มมอแกลนมีเรื่องเล่าขานว่า พ่อตาสามพัน และพี่น้องผู้ชายถูกกลอุบายของผู้มีอำนาจออกเดินทางโดยเรือเพื่อหาสมบัติหรือของมีค่าอื่นๆ หลายต่อหลายครั้ง จนรอดชีวิตกลับมาโดยมีปลากระเบนยักษ์ศักดิ์สิทธิ์พานั่งบนหลังมาที่ชายหาดบางสัก จังหวัดพังงา และได้รับการนับถือเป็นบรรพบุรุษของชาวมอแกลน
3) กลุ่มอูรักลาโว้ยมีเรื่องเล่าขานว่าชาวอูรักลาโว้ยมีเชื้อสายร่วมกับกลุ่มโอรัง ลาอุต ที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับอาณาจักรมะละกาในสมัยกษัตริย์ปรเมศวร (พ.ศ. 1887-1957) และมีความผูกพันกับเทือกเขาฆูนุงฌีไร ในรัฐเคดะห์ (ไทรบุรี)ในอดีต ชาวอูรักลาโว้ยดำรงชีพบริเวณชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของแหลมมลายู โดยมีเรือเป็นพาหนะ และมีเพิงที่มุงหลังคาด้วยแฝกเป็นที่พักชั่วคราว ซึ่งเรียกการเดินทางทะเลเพื่อไปทำมาหากินและพักแรมที่ต่างๆว่า บากัด |
|
Settlement Pattern |
ชาวมอแกน ใช้ชีวิตอยู่บนเรือ เดินทางไปตามเกาะต่างๆ เพื่อจับปลา และงมหอย ตลอดจนแลกเปลี่ยนสิ่งค้าอื่นๆกับพ่อค้า ในช่วงมรสุมชาวมอแกนได้รวมกลุ่มสร้างกระท่อมบริเวณชายหาดที่สามารถกำบังคลื่นลม และมีแหล่งนำ้จืด ตลอดจนทำมาหากินโดยการแจวเรือเล็ก (ฉ่าพัน) เพื่อตกปลา งมหอย จับปู และสัตว์ทะเลต่างๆ สำหรับฤดูฝนจะหาอาหารบริเวณป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ และในหน้าแล้งชาวมอแกนจะอาศัยบนเรือที่แบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างกระทัดรัดอย่างพื้นที่ทำครัว นอกจากนี้มีอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ ภายในเรือ เช่น เสื่อที่สานด้วยใบเตยหนาม กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำจืด กระปุกหรือกล่องที่สานด้วยใบเตยหนามเพื่อเก็บเสื้อผ้าข้าวของ
ในปัจจุบันชาวมอแกนเริ่มมีการตั้งถิ่นฐานถาวร จึงนิยมปลูกบ้านริมหาดเพื่อให้สังเกตเรือของตนเองได้ การสร้างบ้านไม้มีการยกพื้นสูงเพื่อให้สามารถผูกเรือไว้กับเสาบ้านในช่วงน้ำขึ้น มีการต่อระเบียง และปูพื้นด้วยฟากไม้ไผ่ ซึ่งใช้วัสดุที่หาได้ง่ายจากธรรมชาติ
ชาวมอแกลนในอดีตวิถีชีวิตชาวมอแกลนมีการหากินทางทะเลโดยใช้เรือก่าบางมาด เรือเล็กที่ใช้สำหรับเดินทางบริเวณใกล้ชายฝั่ง สำหรับการปลูกบ้านมีลักษณะยกใต้ถุนสูง มีบันไดพาดขึ้นบ้านเพื่อป้องกันสัตว์ร้าย และใช้วัสดุที่หาได้ง่ายตามธรรมชาติ นอกจากนี้มีการปลูกข้าวบริเวณที่ราบชายฝั่งทะเลโดยการพึ่งพาน้ำฝนในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงมิถุนายน (หน้า 135) ในปัจจุบัน การตั้งถิ่นฐานของชาวมอแกลนหลายกลุ่มเป็นการตั้งถิ่นฐานแบบชาวบกซึ่งแตกต่างจากชาวเลกลุ่มอื่น โดยบ้านของชาวมอแกลนมีลักษณะของใต้ถุนเตี้ย หรือเรือนติดพื้น ขึ้นอยู่กับความสะดวกและฐานะ สำหรับวัสดุที่ใช้เป็นไปตามสมัยนิยมและมักอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่
สำหรับวิถีชีวิตของชาวมอแกลนมีความแตกต่างจากกลุ่มชาวเลอื่นๆ เช่น การไม่ออกไปทะเลลึก หรือการพึ่งพาป่าชายเลนบริเวณริมชายหาด ป่าบก ทุ่งหญ้ามากกว่าทะเล
ชาวอูรักลาโว้ยตั้งถิ่นฐานตามปัจจัยทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม เช่น แหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ และมีการตั้งถิ่นฐานที่สะดวกต่อการเดินทางและติดต่อค้าขายกับชุมชนอื่น สำหรับลักษณะบ้านของชาวอูรักลาโว้ยในอดีต มีลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูง เพื่อใช้ประโยชน์ในการนั่งพักผ่อนที่ใต้ถุน ตัวบ้านโปร่ง มีจำนวนขั้นบันไดขึ้นบ้านเป็นจำนวนเลขคี่ และใช้วัสดุที่หาได้ง่าย มีการต่อแคร่เป็นเตียงนอน ในปัจจุบันชาวอูรักลาโว้ยสร้างบ้านปูนติดพื้นดิน และใช้วัสดุตามสมัยนิยม |
|
Demography |
ชาวเลในประเทศไทยมีจำนวนราว 12,000 คน ประกอบด้วยกลุ่มอูรักลาโว้ยจำนวน 7,000 คน กลุ่มมอแกลนจำนวน 4,000 คน และกลุ่มมอแกนจำนวน 1,000 คน |
|
Social Organization |
ปัจจุบันชาวเลกำลังประสบปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวเล ดังนี้
- การไร้สัญชาติและการถูกปฏิเสธขั้นพื้นฐาน ชาวเลไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนอย่างบัตรประจำตัวประชาชน และทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐ
- ปัญหาเรื่องที่ดิน ที่อยู่อาศัย ชาวเลถูกฟ้องร้องเรื่องการบุกรุกพื้นที่จากการขาดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
- การทำมาหากินและการเข้าถึงทรัพยากร ทรัพยากรทางทะเลมีจำนวนลดลง และยังขาดการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติจากการประกาศพื้นที่คุ้มครอง
- การขาดการศึกษา
- การขาดความภูมิใจในวิถีวัฒนธรรมดั้งเดิม |
|
Belief System |
ชาวมอแกนพิธีและความเชื่อที่สำคัญสำหรับชาวมอแกน ได้แก่
-พิธีเหน่เอ็นหล่อโบง หรือพิธีฉลองเสาวิญญาณบรรพบุรุษทุกเดือน 5 โดยมีโต๊ะหมอ หรือออลาง ปูตีเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมในการเข้าทรงติดต่อสื่อสารกับวิญญาณ (หน้า 99, 101)
-ความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างบ้านหลายอย่าง เช่น ห้ามตั้งบ้านบริเวณที่มีนำ้ไหลผ่าน หรือน้ำขังเป็นแอ่ง การห้ามมีขั้นบันได้เป็นเลขคู่ (หน้า 89)
- พิธีแต่งงาน ที่ชายหญิงอยู่กินกันตั้งแต่อายุน้อย และไม่มีการเปลี่ยนคู่ครองจนกว่าคนใดคนหนึ่งจะเสียชีวิต การแต่งงานของชาวมอแกนเป็นไปอย่างเรียบง่าย (หน้า 119)
- พิธีศพ ที่มีเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาเฝ้าศพ และนำไปฝั่งบริเวณสุสาน ที่ถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และมักจะนำยาเส้น หมาก พลูไปวางที่หลุมศพ
ชาวมอแกลนพิธีและความเชื่อที่สำคัญสำหรับชาวมอแกลน ได้แก่
- พิธีกรรมเกี่ยวกับการปลูกข้าว อย่างที่เกาะพระทอง จังหวัดพังงาที่มีเทศกาลข้าว เพื่อใช้ในพิธีกรรมสักการะวิญญาณบรรพบุรุษ และเพื่อพยากรณ์ดวงชะตาของผู้คนในชุมชน เมื่อการปลูกข้าวหมดไปพิธีดังกล่าวจึงสูญหายตามไปด้วย
- พิธีลอยเรือ เช่นที่บ้านแหลมหลา จังหวัดภูเก็ต ที่จัดขึ้นในเดือน6 และเดือน11 เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้ลูกหลานหายจากโรคภัย และเพื่อให้สิ่งสักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง (หน้า 165)
- พิธีไหว้ตายาย(ที่อยู่ใน)ถ้วย ซึ่งจัดขึ้นในเดือนสี่ พิธีดังกล่าวจัดขึ้นในเวลากลางวันที่บริเวณป่าใกล้หมู่บ้าน และพิธีในเวลากลางคืนที่จัดขึ้นในแต่ละครอบครัว โดยมีผู้เฒ่าชาวมอแกลนเป็นผู้ประกอบพิธี (หน้า 161)
- พิธีชิงเปรต จัดขึ้นในเดือนสิบที่เป็นการทำบุญให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว (หน้า 163)
- ความเชื่อเกี่ยวกับบรรพบุรุษในแต่ละพื้นที่ เช่น ชุมชนบ้านปากจกและบ้านท่าแป๊ะโย้ยมีการนับถือพ่อตาหินกอง หรือบ้านบางสักมีความเคารพพ่อตาสามพัน ชุมชนบ้านเหนือให้ความเคารพพ่อตากินลูกเดียว และชุมชนบ้านลำปีให้ความเคารพพ่อตาหลวงจักร (หน้า 167)
- พิธีแต่งงาน ฝ่ายชายจะมีการส่งเถ้าแก่ไปเจรจาสู่ขอกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง (หน้า 175)
ชาวอูรักลาโว้ยพิธีและความเชื่อที่สำคัญสำหรับชาวอูรักลาโว้ย ได้แก่
- พิธีลอยเรือ จัดขึ้นในเดือน 6 และเดือน 11 ที่แฝงด้วยวิถีของความสามัคคี การอยู่ร่วมกัน และเพื่อเป็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในชุมชน
- พิธีอาบนำ้มนต์ที่หาดราไวย์ที่เชื่อว่านำ้มนต์จะชำระสิ่งไม่ดีให้หลุดดออกไปจากร่างกายและครอบครัวได้
- บริเวณภายในชุมชนมีหลาดาโต๊ะ หรือศาลที่ประดิษฐานรูปเคารพ หรือผู้ปกปักรักษาพื้นที่และประกอบพิธีกรรมตามธรรมเนียมประเพณี
- การผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมกับศาสนาพุทธในพื้นที่เกาะสิเหร่ และการผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมกับศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดตรัง และสตูล และบางพื้นที่ในจังหวัดภูเก็ตเริ่มมีการนับถือศาสนาคริสต์ จากการเข้ามาของมิชชันนารีราว 40 ปีก่อน และการเข้าช่วยเหลือหลังเหตุการณ์สึนามิ จึงกล่าวได้ว่า ชาวอูรักลาโว้ยมีความหลากหลายทางศาสนา
- พิธีศพ เมื่อมีผู้เสียชีวิต ชาวอูรักลาโว้ยจะก่อกองไฟไว้หน้าบ้าน และดำเนินพิธีกรรมตามขั้นตอน ได้แก่ การอาบนำ้ศพ โดยรดตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เพื่อไว้อาลัยและชำระล้างร่างผู้ตาย และช่วงกลางคืนจะมีการเฝ้าศพ โดยมีการร้องรำทำเพลงเพื่อไม่ให้เกิดความเศร้าโศก ในวันต่อมาเป็นการเคลื่อนศพเพื่อนำไปฝังบริเวณสุสาน นอกจากนี้ยังมีการทำความสะอาดสุสานเป็นประจำทุกปี จัดขึ้นในเดือน 5 เพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงผู้ตาย |
|
Education and Socialization |
ชาวมอแกลนบริเวณเกาะพระทอง มีหมู่บ้านเกาะชาด มีการตั้งโรงเรียนบ้านเกาะชาดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 แต่เมื่อครั้งมีโรคระบาดและชาวบ้านได้อพยพไปอยู่ที่ใหม่ โรงเรียนจึงถูกยุบ หลังจากนั้นจึงมีการตั้งโรงเรียนบ้านปากจก เมื่อราว 70 กว่าปีก่อน และได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์สึนามิ ในปัจจุบันมีโรงเรียนเกียรติประชา และโรงเรียนทุ่งดาบที่เป็นแหล่งบ่มเพาะของเด็กๆหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยบริเวณเกาะพระทอง |
|
Health and Medicine |
ชาวมอแกนยังมีการมีการทำคลอดโดยหมอตำแย หรือ เอบูมบายาย ที่เป็นแม่เฒ่าหรือหญิงวัยกลาวคนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการทำคลอด โดยมีการ “คัดท้อง” หรือการเปลี่ยนท่าเด็กทารกให้แม่รู้สึกสบายขึ้น และมีการ “ผูกมดลูก” เพื่อเป็นการทำหมันหญิงที่ไม่ต้องการตั้งครรภ์ด้วย สำหรับการรักษาอื่นๆของชาวมอแกนมีการรักษาด้วยสมุนไพร และหมอพื้นบ้าน
ชาวมอแกลนมีวิธีรักษาสุขภาพ 2 แบบได้แก่ การรักษาพยาบาลพื้นบ้านโดยการนำสมุนไพรมาใช้รักษาอาการต่างๆ (หน้า 153) และการรักษาพยาบาลจากสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล ที่เป็นระบบสาธารณสุขแบบใหม่ |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวมอแกน
- มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต เช่น มีดพร้า เหล็กตอก และแกะเปลือกหอย ขวาน อุปกรณ์ตกปลา (หน้า 91)
- สำหรับดนตรี และเพลงของชาวมอแกน ประกอบด้วยเครื่องดนตรีรำมะนา ฉิ่ง กาติ๊ง และมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเดินทะเล เช่น เพลงลูยู่ (ล่องทะเล) ประกอบกับการมีท่าร่ายรำประกอบเพลงที่แสดงการล่องเรือ สำหรับงานหัตถกรรม ได้แก่ เสื่อชาวนำ้ ที่มีลวดลายงดงาม และเป็นเอกลักษณ์
ชาวมอแกลนด้วยความผสมผสานของวัฒนธรรมของชาวมอแกลน ทำให้ศิลปะการแสดงมีความคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น โนรา
ชาวอูรักลาโว้ยมี “รำมะนา” ซึ่งเป็นทั้งชื่อเรียกของเครื่องดนตรีที่เป็นกลองหน้าเดียว เป็นชื่อประเภทของเพลง ที่ไม่ทราบถึงที่มาและผู้แต่ง แต่มีลูกเล่นในเนื้อร้องและทำนอง ตลอดจนยังเป็นวงที่บรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีรำมะนา โทน ฉิ่ง ซอ และฆ้อง เพลงรำมะนาเป็นเพลงที่ใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆของชาวอูรักลาโว้ย (หน้า 214-215)
- ศิลปะป้องกันตัวที่เรียกว่า กาหยง ที่มีลักษณะคล้ายกับสีลัต ที่ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมมลายู และถ่ายทอดเฉพาะในผู้ชายเท่านั้น แต่ในปัจจุบันได้เป็นจางหายไปจากความทรงจำของชาวอูรักลาโว้ย
- การรำรองเง็ง เป็นการร่ายรำประกอบดนตรีในกลุ่มหญิงมลายูมุสลิม และมีชื่อเสียงมากที่บ้านแหลมตุ๊กแก เกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต สและในพื้นที่อื่นๆ เช่น เกาะลันตา เกาะหลีเป้ะ ยังคงมีการรำรองเง็งอยู่เช่นกัน และในบางโรงเรียนมีการจัดหลักสูตรท้องถิ่นที่ให้นักเรียนรุ่นหลังได้ฝึกฝนอีกด้วย |
|
Folklore |
ชาวมอแกนมีนิทานหรือตำนานเกี่ยวกับการผจญภัยของชาวมอแกน และนิทานเกี่ยวกับสัตว์ที่มีคติสอนใจแทรกอยู่ เช่น เรื่องนกกระสากับหอยดู่กูน ที่สอนให้รู้ว่าอย่าดูถูกคนเล็กคนน้อยที่ดูด้อยกว่าตนเอง (หน้า 109) นอกจากนี้ยังมีนิทานเกี่ยวกับคลื่นยักษ์เจ็ดชั้น หรือที่เรียกว่า ละบูน ซึ่งช่วยให้ชาวมอแกนรอดชีวิตจากเหตุการณ์คลื่นสึนามิเมื่อปี พ.ศ. 2547 (หน้า 111-113)
ชาวมอแกลนมีนิทานที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นที่สอดแทรกคำสอนหรือคติต่างๆ เพื่อเป็นการเตือนใจในการดำรงชีพ เช่น นิทานเรื่องเกาะเหา ที่นำเสนอเรื่องราวน้ำท่วมใหญ่ หรือนิทานเรื่องผีหลังโวง หรือผีหลังโหว่ เพื่อเป็นอุบายให้เด็กๆไม่เล่น และเข้านอนแต่หัวค่ำ |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มชาวเลมีความชำนาญในการเดินเรือ และทะเล สืบเนื่องจากวิถีการดำรงชีพที่อพยพไปยังที่ต่างๆในบริเวณชายฝั่งทะเล ชาวเลจึงสั่งสมภูมิปัญญาต่างๆ สำหรับนิสัยใจคอของชาวเล จะมีความสุภาพ มีน้ำใจ ไม่ชอบการเอารัดเอาเปรียบ ซื่อสัตย์ รักสงบ และมีนำ้ใจ (หน้า 67) อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลุ่มชาวเลทั้งสามกลุ่มจะมีวิถีชีวิตใกล้ชิดกับท้องทะเล แต่มีอัตลักษณ์บางอย่างของแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน อาทิ ภาษาที่ใช้สื่อสารของกลุ่มมอแกน และมอแกลน มีความใกล้เคียงกัน และทั้งสองกลุ่มมีความแตกต่างกับภาษาที่ใช้ในกลุ่มอูรักลาโว้ย หรือการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มมอแกลนที่ไม่อาศัยติดริมชายหาย แต่จะมีลักษณะการตั้งถิ่นฐานค่อนไปทางชาวบก เป็นต้น |
|
Critic Issues |
มาตรการรัฐที่ช่วยฟื้นฟูปัญหาของกลุ่มชาวเลได้แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือการฟื้นฟูในระยะสั้น ภายใน 6-12เดือน ที่ครอบคลุมด้านวัฒนธรรม การเข้าถึงบริการสาธารณสุข ความมั่นคงทางที่อยู่อาศัย การเข้าถึงทรัพยากร และการฟื้นฟูในระยะยาวภายใน 1-3 ปี คือการกำหนดเขตวัฒนธรรมพิเศษที่ช่วยปกป้องคุ้มครองวัฒนธรรมและกลุ่มคนที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรม ด้วยการกำหนดขอบเขตทางกายภาพ และอาณาบริเวณของวัฒนธรรม |
|
Other Issues |
ภูมิปัญญาทางทะเล
ชาวอูรักลาโว้ยเรือกรรเชียงหรือ ปราฮู อาไว่เดิมเป็นเรือมาดเสริมกราบไม้กระดาน และไม่ใช้เครื่องยนต์ และมีการผูกเชือกสมอเรือ ที่เรียกว่า ตาลี ป่านะ อีไก้ ปาไต้ ซาโวฮ หรือเป็นเชือกสั้นๆผูกโคนสมอที่ช่วยแก้ไขปัญหากสมอเรือติดซอกหิน และสามารถดึงสมอขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีภูมิปัญญาเกี่ยวกับลมชนิดต่างๆ เพื่อการล่าสัตว์ทะเลและการเก็บอาหารจากป่า ตลอดจนเป็นสิ่งสำคัญในการออกเดินเรือของชาวอูรักลาโว้ย
สำหรับเครืองมือทำมาหากินในอดีต ชาวอูรักลาโว้ยใช้เครื่องมือเรียบง่าย เช่น ฉมวก เหล็กยิงปลา เบ็ดตกปลา เหล็กตอกหอย แต่ในปัจจุบันมีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย เช่น เรือติดเครื่องยนต์ อุปกรณ์ประมงที่ต้องมีความทนทานและมีขนาดใหญ่มากขึ้น
อาหารของชาวอูรักลาโว้ย (หน้า 208-209) |
|
Map/Illustration |
- มีชุมชนชาวเลอยู่ที่ไหนบ้าง? หน้า 35
- แผนที่แสดงชื่อสถานที่ที่เป็นภาษาอูรักลาโว้ย หน้า 182
- ตารางแสดงปัจจัยในการเลือกสถานที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอูรักลาโว้ย หน้า 187
- แผนผังแสดงทิศทางของลม หน้า 202 |
|
|