ผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าในแม่สอด มีการอยู่อาศัยช่วงเกิดปัญหาความไม่สงบ ตั้งแต่ก่อนการขีดเส้นแบ่งรัฐชาติ ความเป็นพื้นเมืองชายแดน มีผู้คนหลากหลายโดยเฉพาะการเป็นเส้นทางการค้าสำคัญเชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ ทำให้เกิดการทำการค้า มีการเชื่อมสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น แต่งงานข้ามไปมา กลายเป็นสายสัมพันธ์เครือญาติแน่นแฟ้น รวมถึงกลุ่มคนจีน มุสลิม กลุ่มคนไทยพื้นเมืองต่างก็มีการแต่งงานข้ามไปมา ร่วมทำธุรกิจเชื่อมโยงกัน
จักรพันธ์ ขัดชุ่มแสง (2543) พบว่า ระบบความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่แม่สอดมีความทับซ้อนเชิงพื้นที่และชาติพันธุ์ สอดคล้องกับการศึกษาของ ไพรินทร์ มากเจริญ (2551) พบว่า การที่ผู้คนจากประเทศพม่าอพยพเข้ามาหลากหลายกลุ่ม ก่อให้เกิดการแบ่งแยกทางสังคมระหว่างคนในพื้นที่ กับกลุ่มแรงงานที่เคลื่อนย้ายเข้ามาใหม่ ทั้งในด้านเชื้อชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ ภูมิศาสตร์ ศาสนา เพศ (น. 95)
หลายชุมชนในพื้นที่เขตเทศบาลมีประชากรพม่ามากกว่าคนท้องถิ่น การอยู่ร่วมกันจึงต้องมีการปรับตัวหลายอย่าง เพื่อการเอื้อประโยชน์ต่อกัน เช่น การเข้าทำงานก่อสร้างของคนพม่าที่รับช่วงต่อจากผู้รับเหมาคนไทย ค่าแรงของคนพม่าจะถูกกว่าผู้รับเหมาคนไทยจึงมีการจ้าง จากการต่อรองเรื่องราคาที่ถูกกว่า ทำให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (น. 97)
นอกจากบัตรแรงงาน และหนังสือเดินทาง คนพม่าจะต้องมี “นายจ้าง” เพื่อการันตีการทำงาน ลูกจ้างหลายรายเมื่อจดทะเบียนแรงงานมีนายจ้างชัดเจนแล้ว เมื่ออยากเปลี่ยนงานก็ลาออกไปทำงานกับนายจ้างคนใหม่ โดยมีทั้งจดและไม่จดทะเบียนนายจ้างใหม่ ทว่าลูกจ้างกลุ่มหนึ่งจะลาออกเพื่อทำงานอิสระโดยไม่มี “นายจ้างรับจ้าง” เป็นกลยุทธ์เอื้อการทำงานอิสระของตนเอง
งานอิสระของคนพม่าในแม่สอดมีความซับซ้อน ในแง่ของการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย การร่วมประโยชน์ระหว่างกัน การเอื้อประโยชน์ให้กัน รวมถึงการผ่อนผันเพื่อลดปัญหาในอนาคต รูปแบบงานอิสระสามารถทำได้เนื่องจากการ “จ่ายส่วย” ให้กับคนดูแลในพื้นที่ (น. 98)
เครือข่ายความสัมพันธ์ ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนใหญ่ผ่านการทำงาน ประสบการณ์ชีวิต และความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน นายจ้างหลากหลายรูปแบบ หลายคนรักษาความสัมพันธ์ไว้ เพื่อดึงมาเป็นกลุ่มลูกค้ามาตัดเย็บเสื้อผ้ากับพวกเธอ ผู้หญิงบางคนรับงานจากนายจ้างเดิมมาทำที่บ้าน บางคนมีการ “จ่ายเงิน” ให้นายจ้างเดิม เพื่อรองรับการเป็นลูกจ้าง “นายจ้างรับจ้าง” เป็นความสัมพันธ์ที่ถือว่าได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ขณะที่กลุ่มที่เคยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวจะใช้เครือข่ายความสัมพันธ์ ตัดเย็บเสื้อผ้าตามสั่งส่งไปให้ผู้เคลื่อนย้ายไปยังประเทศที่สาม และเป็นธุระจัดหาของใช้ตามความต้องการ (น.128)
ความสัมพันธ์ในครอบครัว แม้ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าจะมีศักยภาพในการทำงาน และหาเงินเพื่อใช้สอย ดูแลครอบครัว แต่อำนาจทางการเงินของพวกเธอไม่สามารถทำให้เกิดการต่อรองเชิงอำนาจในครอบครัวของผู้หญิงพม่าได้ เนื่องจากเงื่อนไขสองประการ ได้แก่ เงื่อนไขความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่มีความเชื่อว่า ผู้ชายเป็นผู้ดูแลสมาชิกในครอบครัว ทำหน้าที่ในการดูแลปกปักรักษาอำนวยความเป็นอยู่ของสมาชิกครัวเรือน ผู้หญิงจะทำหน้าที่ดูแลบ้าน อาหารการกิน และเด็ก บทบาทของชายหญิงในศาสนาอิสลามถูกถ่ายทอดมาจนปัจจุบัน ขณะที่ความเชื่อศาสนาพุทธ โดยเฉพาะสังคมพม่า รศ. อุบลรัตน์ พันธุมินทร์ นักวิชาการด้านวัฒนธรรมพม่า อธิบายว่า สถานภาพของผู้หญิงพม่าด้อยกว่าเพศชาย โอกาสในการศึกษา ทำงาน และเลือกใช้ชีวิตจะน้อยกว่า ความเป็นหญิงถูกครอบให้อยู่ในกฎระเบียบทั้งจากสังคม และครอบครัว ผู้ชายจะเป็นใหญ่ มีอำนาจสูงสุดในครอบครัว ความเชื่อดังกล่าวส่งผลให้ผู้หญิงต้องให้ความเคารพผู้ชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว เชื่อฟังคำชี้แนะ และการตัดสินใจ เงื่อนไขต่อมาคือ การเผชิญชีวิตในพื้นที่ โดยส่วนใหญ่พบว่าเดินทางมากับสายสัมพันธ์ครอบครัว เครือญาติ และส่วนใหญ่มี “ผู้ชาย” เดินทางมาก่อน ลูกและภรรยาจะตามมาทีหลัง บางกรณีเข้ามากับเครือญาติ หรือกลุ่มเพื่อนบ้าน การเดินทางใช้ระยะเวลานาน ระหว่างทางรอนแรมทำให้ผู้หญิงต้องพึ่งพิงผู้ชายในด้านความปลอดภัย และการติดต่อสื่อสาร เมื่อเดินทางมาตั้งรกรากอยู่ในแม่สอดแล้วยังคงต้องติดต่อสัมพันธ์กับนายหน้า หรือกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางค้าขายเพื่อติดต่อกับบ้านเกิด เช่น การส่งเงิน หรือสิ่งของกลับบ้าน (น. 140)