สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject งานอิสระ, ผู้หญิงพม่า, ทำงานที่บ้าน, ตัดเย็บเสื้อผ้า, แม่สอด, เมียนมาร์
Author ศิราพร แป๊ะเส็ง
Title ทุนกับปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนการดำรงชีพในพื้นที่ชายแดนของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านจากประเทศเมียนมาร์ในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents

ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์กับการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Total Pages 202 Year 2560
Source วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

งานศึกษาชิ้นนี้ต้องการค้นหาเงื่อนไขของการทำงานของผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่า ภายใต้ความเป็นพหุสังคมและความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่ทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านในพื้นที่เมืองชายแดน ซึ่งเป็นการทำงานอิสระ แต่เนื่องจากเป็นการทำงานของคนต่างด้าวจึงผิดกฎหมายแรงงาน อีกทั้งยังมีกระแสวิพากษ์ วิจารณ์จากสังคมว่าเป็นการแย่งงานจากคนไทยท้องถิ่น อย่างไรก็ตามข้อค้นพบจากการศึกษามีสามประการ คือ ประการแรก พื้นที่ชายแดนแม่สอดเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม อยู่ภายใต้การควบคุมจัดการของอำนาจรัฐและอำนาจท้องถิ่น มีการต่อรองเชิงอำนาจผ่านกลไกของพื้นที่และลักษณะพิเศษของเมืองชายแดน ประการที่สอง ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านมีปฏิบัติการทางสังคม โดยใช้ช่องว่างกฎหมายและกติกาทางสังคมเพื่อทำงานผิดกฎหมายแรงงาน อีกทั้งใช้ทุนความรู้และทุนที่เป็นตัวเงินสนับสนุนการทำงาน เพื่อต่อรองกับโครงสร้างสังคม ผลักดันตัวเองสู่การทำงานอิสระ ประการที่สาม ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านได้แสวงหาทุนที่เป็นเครือข่ายทางสังคม ในฐานะลักษณะของบุคคลและทุนทางวัฒนธรรม โดยใช้ทุนความรู้และทุนที่ติดตัวมาเป็นเครื่องมือเพื่อสนับสนุนการทำงานและพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง

Focus

การศึกษาวิจัยต้องการทราบ และเข้าใจการดำเนินวิถีชีวิต การทำงานของกลุ่มผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านจากประเทศพม่าท่ามกลางสังคมพหุวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ว่ามีปฏิบัติการอย่างไรในการประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งเป็นกิจกรรมผิดกฎหมายแรงงาน รวมถึงการใช้ทุนต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงาน และการใช้ชีวิตของตนเองในสังคมเมืองชายแดน ทั้งมิติทางสังคม และทางเศรษฐกิจของเมืองชายแดนแม่สอด

Theoretical Issues

แนวคิดทุน 
        ตามทัศนะของ Pierre Bourdieuกล่าวว่า “ทุน” คือ แรงงานที่ถูกสะสมจนกลายเป็นวัตถุ เป็นส่วนหนึ่งของปัจเจกหรือกลุ่มปัจเจก สามารถเปลี่ยนแปลง และสืบทอดอย่างต่อเนื่อง มีลักษณะทั้งสัมผัสได้ และสัมผัสไม่ได้ แบ่งออกเป็น 4 แบบ ได้แก่

  1. ทุนเศรษฐกิจ (Economic Capital) เป็นทรัพย์สินที่สะสม เงินทอง ของมีราคาต่าง ๆ เช่น บ้าน รถ ที่ดิน ทุนเศรษฐกิจนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในรูปแบบอื่นได้
  2. ทุนทางสัญลักษณ์ (Symbolic Capital) คือสถานภาพ ชื่อเสียง การได้รับการยอมรับจากผู้อื่น ทำให้ผู้ครอบครองทุนได้เปรียบ และเกิดผลประโยชน์ตามมา
  3. ทุนทางวัฒนธรรม (Cultural Capital) สามารถแบ่งออกเป็นสามแบบ ได้แก่ การแสดงออกด้านร่างกายและจิตใจ ทุนแสดงออกเชิงวัตถุ เช่น หนังสือ รูปภาพที่ปัจเจกครอบครอง และทุนในรูปแบบของสถาบัน ชื่อเสียง และคุณภาพของสถาบัน
  4. ทุนทางสังคม (Social Capital) มีสองรูปแบบคือ ความสัมพันธ์กับสมาชิกของกลุ่ม และเครือข่ายทางสังคม ขึ้นอยู่กับขนาดของเครือข่าย และทุนการรับรู้ การยอมรับ สามารถเปลี่ยนให้เป็นทุนเชิงสัญลักษณ์ได้ จากการรับรู้ และยอมรับการมีอยู่ของบุคคล
        สุภางค์ จันทวานิช (2555) กล่าวว่าทุนทางสังคมรับมาจากกระบวนการหล่อหลอมทางสังคมจนกลายเป็นคุณสมบัติติดตัวที่สามารถเพิ่มพูนได้ ทุนประเภทนี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นทุนทางเศรษฐกิจ ทุนทางเศรษฐกิจสามารถเปลี่ยนเป็นทุนทางวัฒนธรรม และทุนทางสังคมได้ง่ายกว่า กลับกันทุนทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรมไม่สามารถเปลี่ยนเป็นทุนทางเศรษฐกิจได้เสมอไป

แนวคิดโครงสร้าง – ผู้กระทำการ (Structure – Agency)
        Anthony Giddens กล่าวว่า ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน และสังคมมีความซับซ้อนของเงื่อนไขที่แตกต่างกัน โครงสร้างจะเป็นตัวกำหนดการกระทำทางสังคม ขณะเดียวกันการกระทำทางสังคมก็มีส่วนในการกำหนดโครงสร้างเช่นเดียวกัน กล่าวคือ มนุษย์สร้างสังคมขณะเดียวกันมนุษย์ก็ถูกตีกรอบโดยสังคมด้วย (น. 23) นอกจากนี้ Giddens ได้อธิบายถึงโครงสร้างว่าเป็นปรากฏการณ์และทรัพยากรที่ผู้กระทำการใช้สร้างการกระทำในการผลิตและผลิตซ้ำทางสังคม กฎเกณฑ์และทรัพยากรช่วยให้มนุษย์มีความสามารถในการกระทำต่าง ๆ (น. 23) ความหลากหลาย และการเป็นพหุสังคม เป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ทำให้วิถีวัฒนธรรมของพื้นที่ชายแดนแม่สอด เอื้อให้ผู้คนจากต่างถิ่นได้เข้ามาอยู่อาศัย ทำงานเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว ทั้งนี้ ภายใต้การควบคุมจัดการของอำนาจรัฐและอำนาจท้องถิ่นโครงสร้างทางสังคมบีบรัดการดำรงชีวิตของผู้คนข้ามแดนทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายนั้นมีผลต่อการตัดสินใจในการดำรงชีวิต กิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือกิจกรรมทางสังคม ล้วนแล้วเพื่อตอบสนองความต้องการเติมเต็มจิตวิญญาณของคนห่างไกลบ้าน เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าตามอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของตน การจัดพิธีกรรมตามความเชื่อ ศาสนา นอกจากนี้ ยังมีการผสมผสานระหว่างอัตลักษณ์ และความทันสมัย รูปแบบเสื้อผ้าดั้งเดิมถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับยุคสมัย มีการปรับเปลี่ยนสีสัน ลวดลาย เนื้อผ้า การออกแบบ แต่ยังคงรูปแบบเดิมของการแต่งกายเอาไว้อยู่ เช่น การใส่เสื้อผ้าเข้ารูป และซิ่นยาวกรอมเท้าของผู้หญิงบะหม่า การปรับเปลี่ยนแปรความหมายใหม่ของการแต่งกายให้เข้ากันระหว่างหลักการทางศาสนา จารีต และความทันสมัย เหล่านี้ ส่งผลต่อความต้องการในรูปแบบเฉพาะของผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดน ทำให้เกิดอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านขึ้น
          เงื่อนไขในการเข้าสู่งานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านของผู้หญิงไม่ได้มาจากเงื่อนไขส่วนตัวเพียงเท่านั้น แต่ยังมีเงื่อนไขของครอบครัว นั่นคือ ความเป็นแม่ เมีย และลูกสาว และเงื่อนไขลักษณะสังคมชายแดนเข้ามาสัมพันธ์กัน แม้ว่าการย้ายเข้ามาทำงานในพื้นที่ชายแดนนั้นจะเป็นการมุ่งทำงานในสถานประกอบการ แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หญิงเหล่านี้จะใช้กลไกของความเป็นพื้นที่ชายแดนในผลักดันตนเองออกมาทำงานอิสระอยู่บ้านในที่สุด ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าแต่ละคนจะมีปฏิบัติการที่แตกต่างกันออกไปตามเงื่อนไขของชีวิต และปัญหาของแต่ละคน เพื่อผลักดันให้ตัวเองออกจากการเป็นลูกจ้าง หรือการขายแรงงานสู่การทำงานอิสระ จากการใช้ทุนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทุนความรู้ ทุนที่เป็นตัวเงิน การใช้เครือข่ายความสัมพันธ์เข้ามาสนับสนุนการทำงาน ทั้งการติดต่อกับกลุ่มลูกค้าเดิม การใช้ “นายจ้ารับจ้าง” เพื่อรองรับสถานะ การปฏิบัติการเช่นนี้นั้นอยู่บนฐานคิดของ “การไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร” เพื่ออิสรภาพในการทำงาน และการดำรงชีวิตของตนเอง (น. 149)

Study Period (Data Collection)

ระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 – เดือนมกราคม พ.ศ. 2560(น. 6)

History of the Group and Community

การเคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าสู่พื้นที่เขตชายแดนเมืองแม่สอด ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้ามีการตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ก่อนการเดินทาง บางคนตั้งใจว่าจะมา “ทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าบ้าน” และผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งต้องการทำงานอะไรก็ได้ ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าเกือบทุกคนจะสัมพันธ์กับการตัดเย็บมาก่อน หลายคนได้รับการเรียนอย่างเป็นระบบ สามารถเปิดร้านได้ ขณะที่หลายคนเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ สำหรับปัจจัยในการเคลื่อนย้ายจากพื้นที่ต้นทางมาจากสองปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยด้านความปลอดภัย

ประวัติศาสตร์และการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และสังคมเมืองแม่สอดที่มีมายาวนาน ทำให้เกิดการผสมผสานผู้คน และวัฒนธรรม และแม่สอดกลายมีลักษณะเป็นพหุสังคม อีกทั้งความหนาแน่นเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนย้ายเข้ามาของผู้คนจากประเทศพม่าเป็นจำนวนมาก การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนส่งผลให้ผู้คนแต่ละชุมชนมีการดำเนินวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะพื้นที่เทศบาล ผู้ศึกษาได้แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นหลักทางเศรษฐกิจ หรือ “พื้นที่ไข่แดง” ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง และส่วนที่สอง คือ “พื้นที่ไข่ขาว” แบ่งออกเป็นสองลักษณะส่วน ได้แก่ ลักษณะแรกเป็นที่อยู่อาศัย และย่านเศรษฐกิจรอง ลักษณะที่สองเป็นพื้นที่เกษตรกรรม (น. 73)

จักรพันธ์ ขัดชุ่มแสง (2543) จำแนกกลุ่มคนในเมืองแม่สอดออกเป็น 7 กลุ่ม ดังนี้
กะเหรี่ยง ถือเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่แม่สอด มีเอกสารระบุว่ามีชุมชนกะเหรี่ยงบ้านพะหน่อเกตั้งอยู่ใกล้วัดดอนแก้วทางด้านใต้กับบ้านหัวฝายทางด้านเหนือ กะเหรี่ยงได้ย้ายออกไปเมื่อมีคนกลุ่มอื่นย้ายเข้ามา ปัจจุบันแม่สอดมีคนกะเหรี่ยงสัญชาติพม่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากการอพยพเข้ามาเป็นแรงงาน และกะเหรี่ยงในศูนย์พักพิงชั่วคราว จากการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงคราม
ไทใหญ่ ชาวแม่สอดเรียกว่า “เงี้ยว” ในแม่สอดพบประชากรไทหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นได้จากวัดเงี้ยวถึงสามแห่ง จากการบันทึกของหนังสือ “แม่สอดร้อยปี” กล่าวว่า ในอดีตมีเจ้าฟ้าเชื้อสายไทใหญ่สองพี่น้องอพยพครอบครัวจากรัฐฉาน ประเทศพม่าเข้ามาตั้งรกรากที่เมืองแม่สอด และเกิดเป็นชุมชนเงี้ยว ปัจจุบันชุมชนเงี้ยวผสมกลมกลืนกับชุมชนไทแม่สอด แต่วัฒนธรรมประเพณีบางอย่างยังหลงเหลืออยู่ เช่น พิธีแห่ส่างลอง หรือรูปแบบของบ้านมีหิ้งพระยื่นออกมาด้านทิศตะวันออก หรือทิศเหนือ เป็นต้น
พม่า ชาวแม่สอดเรียกว่า “ม่าน” คนแม่สอดและพม่ามีความสัมพันธ์กันมายาวนาน เนื่องจากการเป็นเมืองชายแดน การสัญจรไปมาหาสู่ ชาวแม่สอดจำนวนมีเชื้อสายพม่า และปัจจุบันเป็นผู้อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่แม่สอด หลีกหนีภัยสงคราม และปัจจัยทางเศรษฐกิจ ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม รับจ้างทั่วไป อย่างไรก็ตาม ประเพณีของคนพม่า ไทใหญ่ และล้านนามีความคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะการทำบุญ ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
จีน ในแม่สอด คนจีนถือเป็นกลุ่มสำคัญที่ผลักดัน และควบคุมระบบเศรษฐกิจของเมืองแม่สอดสู่การค้าชายแดน และคนจีนกลุ่มหนึ่งมีบทบาททางการเมือง และองค์กรทางการค้า คนจีนในแม่สอดนั้นอพยพมาจาก ทั้งในพม่า จีนแผ่นดินใหญ่ และส่วนอื่นของประเทศไทย มีการรวมตัวกันเป็นสมาคมเพื่อดำเนินกิจกรรมตามความเชื่อทางศาสนา มี “ศาลเจ้าปู่เฒ่ากง” เป็นศูนย์กลาง
ไทยเหนือ หรือไทยล้านนา ส่วนใหญ่อพยพมาจากเมืองเถินลำปาง และลำพูน กระจายตัวอยู่บริเวณวัดดอนไชย วัดดอนแก้ว วัดบุญวาส วัดชุมพล และพื้นที่รอบนอก เช่น บ้านแม่ปะเหนือ บ้านแม่กุ แม่ตาว พะวอ ถือเป็นคนกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งในแม่สอด แม้มาจากต่างถิ่นแต่มีสิ่งที่สะท้อนความเป็นพื้นถิ่น คือ ภาษา “คำเมือง” และประเพณี เช่น ประเพณีรดน้ำดำหัว ประเพณีตานก๋วยสลาก เป็นต้น
ซิกข์ และฮินดู เข้ามาตั้งรกรากในแม่สอดตั้งแต่ยุคแรก เป็นกลุ่มพ่อค้าทางไกล ประกอบอาชีพค้าขาย มีฐานะทางเศรษฐกิจดี กลุ่มซิกข์ และฮินดูมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับคนกลุ่มอื่นในแม่สอด เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่สามารถรักษาเอกลักษณ์เฉพาะไว้ได้ โดยเฉพาะด้านการแต่งกาย
มุสลิม เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากในแม่สอด มาจากหลายถิ่นด้วยกัน เดินทางมาค้าขาย และชักชวนกันมาตามสายเครือญาติ สามารถแยกเป็นหกกลุ่ม คือ มุสลิมที่สืบเชื้อสายมาจากมุสลิมบังคลาเทศ มุสลิมอินเดีย มุสลิมปาทาน มุสลิมพม่า หรืออาระกัน มุสลิมมาเลย์ และมุสลิมกลุ่มอื่น ๆ อย่างไรก็ตามทั้งหกกลุ่มยังมีการรวมตัวกันภายใต้ความเชื่อ พิธีกรรม และหลักศาสนา
อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มใหม่ที่อพยพเข้ามาในแม่สอดช่วงระยะสิบปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากประเทศพม่า จากการหลบหนีภัยสงคราม และแสวงหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และจากการขยายตัวของเมือง โรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แม่สอดกลายเป็นพื้นที่รองรับกลุ่มคนย้ายถิ่นเป็นจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มคนต่างถิ่น และต่างชาติที่เข้ามาทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน ส่งผลให้เมืองแม่สอดมีความหลากหลายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น (น. 74)
ผู้ศึกษาได้แบ่งกลุ่มคนในแม่สอดออกเป็น สาม กลุ่ม โดยใช้เกณฑ์การอยู่อาศัย และการเข้ามาดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ ดังนี้
กลุ่มแรก คนท้องถิ่น คนท้องถิ่นดั้งเดิมส่วนใหญ่มีฐานะดี พอมีพอกิน ส่วนน้อยมีฐานะยากจน กลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวยมากจะมีจำนวนไม่มาก สามารถแบ่งออกเป็น สาม กลุ่ม คือ กลุ่มมีฐานะร่ำรวยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน และคนมุสลิมที่เข้ามาทำธุรกิจเป็นกลุ่มแรกๆ กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มมีฐานะปานกลาง หรือพอมีพอกิน ส่วนใหญ่จะเป็นคนท้องถิ่น คนพม่า ไทใหญ่ มุสลิม ไทยเหนือ และกลุ่มอื่น ๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากหลังจากคนจีน คนท้องถิ่นมักนิยมขายที่ดินในเขตเมืองเพื่อย้ายไปอยู่รอบนอก เนื่องจากการขยายตัวของพื้นที่เศรษฐกิจในเมือง กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มข้าราชการยุคแรกๆ ที่เข้ามาทำงานในแม่สอด และตัดสินใจตั้งรกรากเป็นคนท้องถิ่น ปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการบำนาญ เข้าสู่วัยชรา พักอาศัยอยู่ที่บ้านเป็นหลัก และไม่ค่อยมีลูกหลานคอยดูแล แต่จะกลับมาเยี่ยมเป็นบางช่วง
กลุ่มที่สอง คนไทยกลุ่มใหม่ เป็นกลุ่มนักธุรกิจจากต่างจังหวัดเข้ามาลงทุน ทำธุรกิจ ซื้อบ้าน และพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ มีทั้งข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานรัฐ เข้าหน้าที่องค์กรเข้ามาทำงานชั่วคราว ส่วนใหญ่จะไม่ได้อยู่ถาวร เทียวไปมา เป็นการพักอาศัยชั่วคราวเพื่อทำงานเพียงเท่านั้น
กลุ่มที่สาม คนต่างชาติ ชาวต่างชาติมีด้วยกันสองกลุ่มใหญ่ คือ หนึ่ง “คนจากประเทศพม่า” ผู้ศึกษารวมผู้เคลื่อนย้ายมาจากประเทศพม่าโดยไม่ได้จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนใหญ่เข้ามาพักที่แม่สอดในฐานะ “แรงงาน” ทั้งพื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่รอบนอก สอง คือ คนจากประเทศอื่นนอกเหนือจากประเทศพม่า “คนต่างชาติ” ส่วนใหญ่เข้ามาทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน มาจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สเปน อังกฤษ ส่วนใหญ่ตั้งสำนักงาน และพักย่านชุมชนแม่สอดวิลล่า (น. 76)

Economy

สำหรับการเดินทางมาที่ไทย นอกจากต้องพึ่งนายหน้า คนนำทางแล้วยังต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับผู้ดำเนินการ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความคุ้นเคย กลุ่มนายหน้า พื้นที่และระยะการเดินทาง และขึ้นกับนายหน้าจะเก็บเรียกได้มากเท่าไหร่ ตั้งแต่ 8,500บาท ถึง 15,000บาท หรือมากกว่านั้น การเดินทางมีหลายรูปแบบ รถตู้ เดินเท้า รถกระบะ หรือรถจากหน่วยงานราชการ ทว่าแรงงานส่วนใหญ่ไม่มีเงินจ่ายค่านายหน้า จึงมีการเรียกเก็บกับนายจ้าง หักออกจากค่าจ้างแรงงาน เช่นเดียวกับกระบวนการจัดทำบัตรแรงงาน และการจดทะเบียน นายจ้างจะเป็นผู้ดำเนินการให้แล้วเรียกเก็บเงินจากแรงงาน อาจมากกว่าหรือเท่ากับค่าใช้จ่ายจริง แรงงานจะไม่มีสิทธิเก็บเอกสารตัวจริงของตัวเอง แต่นายจ้างบางรายอาจให้ถือครองเฉพาะสำเนาเพื่อยืนยันกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเมื่อถูกจับ รูปแบบดังกล่าว วิทยากร บุญเรือง ได้ระบุว่าเป็นการจ้างงานแบบ “กึ่งบังคับ – กึ่งตัวประกัน” (น. 90)
แม่สอดเป็นเหมือนพื้นที่แรกของการรับแรงงานพม่า การปรับตัว เรียนรู้ภาษา ทักษะก่อนย้ายเข้าไปในเมืองชั้นใน ส่วนใหญ่คือกรุงเทพฯ เพราะค่าแรง และปัจจัยอื่นที่เอื้อต่อภาวะทางเศรษฐกิจมากกว่า แรงงานในแม่สอดจึงมีการไหลเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการยึดเอกสารโดยนายจ้างจึงเป็นกลไกเพื่อเก็บแรงงานไว้
การทำงานในแม่สอดมีหลายลักษณะดังนี้
แรงงานในโรงงาน ได้แก่ โรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป กระจายตัวอยู่ใกล้ชุมชนเมืองแม่สอด ริมแม่น้ำเมย และต่างอำเภอมากกว่าสามร้อยโรงงาน มีที่พัก และอาหาร แต่จะมีการเรียกเก็บเงินเป็นรายเดือนแตกต่างกันไป บางโรงงานมีการเรียกเก็บค่าอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ค่าความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมี โรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร แปรรูปเฟอร์นิเจอร์ไม้ ค่าจ้างมีสองลักษณะ คือ รายเดือน และแบบเหมาชิ้นงาน
แรงงานในภาคเกษตร อยู่พื้นที่รอบนอก และอำเภอตามแนวตะเข็บชายแดน เช่น ไร่กุหลาบ ไร่ข้าวโพด แรงงานเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้สร้างที่พักในพื้นที่เกษตร อาจเป็นครอบครัว หรือเครือญาติ เนื่องจากความต้องการแรงงานอยู่ประจำ เพื่อทำกิจกรรมการดูแลตลอดขั้นตอนการปลูก ส่วนใหญ่การจ้างงานเป็นลักษณะเหมารอบการผลิต
งานบริการ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเมือง ได้แก่ การขายของหน้าร้าน พนักงานเสริฟ แม่ครัว และคนงานในโรงแรม และสถานบริการ แม่บ้าน และพนักงานขายในห้างสรรพสินค้า แรงงานส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มแรงงานวัยรุ่น มีทักษะบางอย่าง เช่น การสื่อสารได้หลายภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ
งานรับจ้างทั่วไป หรืองานใช้แรงงาน เช่น งานก่อสร้าง งานขนอ้อย งานแบกหาม โดยเฉพาะกิจกรรมในพื้นที่ท่าเรือ ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานชาย กลุ่มนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะมากนอกจากความแข็งแรง และมีผู้เชี่ยวชาญคอยสั่งการอีกชั้นหนึ่ง
งานอิสระ มีหลากหลายประเภท เป็นกลุ่มงานทีต้องใช้ทักษะความสามารถ และเครือข่ายที่มีอยู่ค่อนข้างมาก เช่น งานค้าไม้เก่าของกลุ่มโรฮิงญา งานค้าพลอยของกลุ่มอพยพรุ่นแรกๆ ร้านอาหาร หรือกิจการค้าขายรายย่อย งานตัดเย็บเสื้อผ้าของกลุ่มแรงงานที่เคยทำงานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า และมีทุนพอสำหรับการออกมาทำงานอิสระของตัวเอง เหล่านี้ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงจำนวนของกิจกรรม ผู้ประกอบการ และพื้นที่ แต่มีให้เห็นอยู่ทั่วไปในเขตพื้นที่ชุมชน เขตเมือง และพื้นที่อยู่อาศัย (น. 92)
การทำงานอิสระของผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่า
การทำงานอิสระของผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่ามีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเปิดร้านเสริมสวย ตัดผม ค้าพลอย เปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ขายของชำ หาบเร่ แผงลอย โดยเฉพาะในเขตชุมชนที่มีชาวพม่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจหลัก ย่านตลาดพาเจริญเชื่อมต่อตลาดศรีมอย เชื่อมกับบริเวณของชุมชนอิสลาม ชุมชนบ้านทุ่ง ชุมชนบัวคูณ และชุมชนวัดหลวง การกระจุกตัวของประชากรพม่าอย่างหนาแน่น ส่งผลต่อความต้องการพื้นฐานของคนพม่า ทั้งอาหารจากประเทศต้นทาง รวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนพม่าด้วยกัน (น. 92)
การทำงานอิสระของคนพม่าจะเน้นการค้าขาย และงานบริการ โดยเฉพาะการค้าขายสินค้าและบริการตามความต้องการของคนพม่า ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยารักษาโรค ผัก ผลไม้ เครื่องนุ่งห่ม ที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ (น. 93)
ย่านโรงงาน พื้นที่ของงานอิสระที่สามารถพบเห็นได้ ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ตลาดเท่านั้น ย่านที่อยู่อาศัยของผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าจะมีร้านค้า มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้พบเห็น เช่น ชุมชนปู่แดงมีโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวนสองแห่ง ด้านหน้าโรงงานจะมีแผงลอย ซอยใกล้โรงงานมีร้านขายของชำ และอาหารสด ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า (น. 94)

Social Organization

ผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าในแม่สอด มีการอยู่อาศัยช่วงเกิดปัญหาความไม่สงบ ตั้งแต่ก่อนการขีดเส้นแบ่งรัฐชาติ ความเป็นพื้นเมืองชายแดน มีผู้คนหลากหลายโดยเฉพาะการเป็นเส้นทางการค้าสำคัญเชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ ทำให้เกิดการทำการค้า มีการเชื่อมสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น แต่งงานข้ามไปมา กลายเป็นสายสัมพันธ์เครือญาติแน่นแฟ้น รวมถึงกลุ่มคนจีน มุสลิม กลุ่มคนไทยพื้นเมืองต่างก็มีการแต่งงานข้ามไปมา ร่วมทำธุรกิจเชื่อมโยงกัน

จักรพันธ์ ขัดชุ่มแสง (2543) พบว่า ระบบความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่แม่สอดมีความทับซ้อนเชิงพื้นที่และชาติพันธุ์ สอดคล้องกับการศึกษาของ ไพรินทร์ มากเจริญ (2551) พบว่า การที่ผู้คนจากประเทศพม่าอพยพเข้ามาหลากหลายกลุ่ม ก่อให้เกิดการแบ่งแยกทางสังคมระหว่างคนในพื้นที่ กับกลุ่มแรงงานที่เคลื่อนย้ายเข้ามาใหม่ ทั้งในด้านเชื้อชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ ภูมิศาสตร์ ศาสนา เพศ (น. 95)

หลายชุมชนในพื้นที่เขตเทศบาลมีประชากรพม่ามากกว่าคนท้องถิ่น การอยู่ร่วมกันจึงต้องมีการปรับตัวหลายอย่าง เพื่อการเอื้อประโยชน์ต่อกัน เช่น การเข้าทำงานก่อสร้างของคนพม่าที่รับช่วงต่อจากผู้รับเหมาคนไทย ค่าแรงของคนพม่าจะถูกกว่าผู้รับเหมาคนไทยจึงมีการจ้าง จากการต่อรองเรื่องราคาที่ถูกกว่า ทำให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย (น. 97)

นอกจากบัตรแรงงาน และหนังสือเดินทาง คนพม่าจะต้องมี “นายจ้าง” เพื่อการันตีการทำงาน ลูกจ้างหลายรายเมื่อจดทะเบียนแรงงานมีนายจ้างชัดเจนแล้ว เมื่ออยากเปลี่ยนงานก็ลาออกไปทำงานกับนายจ้างคนใหม่ โดยมีทั้งจดและไม่จดทะเบียนนายจ้างใหม่ ทว่าลูกจ้างกลุ่มหนึ่งจะลาออกเพื่อทำงานอิสระโดยไม่มี “นายจ้างรับจ้าง” เป็นกลยุทธ์เอื้อการทำงานอิสระของตนเอง

งานอิสระของคนพม่าในแม่สอดมีความซับซ้อน ในแง่ของการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย การร่วมประโยชน์ระหว่างกัน การเอื้อประโยชน์ให้กัน รวมถึงการผ่อนผันเพื่อลดปัญหาในอนาคต รูปแบบงานอิสระสามารถทำได้เนื่องจากการ “จ่ายส่วย” ให้กับคนดูแลในพื้นที่ (น. 98)

เครือข่ายความสัมพันธ์ ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าส่วนใหญ่ผ่านการทำงาน ประสบการณ์ชีวิต และความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน นายจ้างหลากหลายรูปแบบ หลายคนรักษาความสัมพันธ์ไว้ เพื่อดึงมาเป็นกลุ่มลูกค้ามาตัดเย็บเสื้อผ้ากับพวกเธอ ผู้หญิงบางคนรับงานจากนายจ้างเดิมมาทำที่บ้าน บางคนมีการ “จ่ายเงิน” ให้นายจ้างเดิม เพื่อรองรับการเป็นลูกจ้าง “นายจ้างรับจ้าง” เป็นความสัมพันธ์ที่ถือว่าได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ขณะที่กลุ่มที่เคยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวจะใช้เครือข่ายความสัมพันธ์ ตัดเย็บเสื้อผ้าตามสั่งส่งไปให้ผู้เคลื่อนย้ายไปยังประเทศที่สาม และเป็นธุระจัดหาของใช้ตามความต้องการ (น.128)

ความสัมพันธ์ในครอบครัว แม้ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าจะมีศักยภาพในการทำงาน และหาเงินเพื่อใช้สอย ดูแลครอบครัว แต่อำนาจทางการเงินของพวกเธอไม่สามารถทำให้เกิดการต่อรองเชิงอำนาจในครอบครัวของผู้หญิงพม่าได้ เนื่องจากเงื่อนไขสองประการ ได้แก่ เงื่อนไขความเชื่อทางศาสนาอิสลามที่มีความเชื่อว่า ผู้ชายเป็นผู้ดูแลสมาชิกในครอบครัว ทำหน้าที่ในการดูแลปกปักรักษาอำนวยความเป็นอยู่ของสมาชิกครัวเรือน ผู้หญิงจะทำหน้าที่ดูแลบ้าน อาหารการกิน และเด็ก บทบาทของชายหญิงในศาสนาอิสลามถูกถ่ายทอดมาจนปัจจุบัน ขณะที่ความเชื่อศาสนาพุทธ โดยเฉพาะสังคมพม่า รศ. อุบลรัตน์ พันธุมินทร์ นักวิชาการด้านวัฒนธรรมพม่า อธิบายว่า สถานภาพของผู้หญิงพม่าด้อยกว่าเพศชาย โอกาสในการศึกษา ทำงาน และเลือกใช้ชีวิตจะน้อยกว่า ความเป็นหญิงถูกครอบให้อยู่ในกฎระเบียบทั้งจากสังคม และครอบครัว ผู้ชายจะเป็นใหญ่ มีอำนาจสูงสุดในครอบครัว ความเชื่อดังกล่าวส่งผลให้ผู้หญิงต้องให้ความเคารพผู้ชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว เชื่อฟังคำชี้แนะ และการตัดสินใจ เงื่อนไขต่อมาคือ การเผชิญชีวิตในพื้นที่ โดยส่วนใหญ่พบว่าเดินทางมากับสายสัมพันธ์ครอบครัว เครือญาติ และส่วนใหญ่มี “ผู้ชาย” เดินทางมาก่อน ลูกและภรรยาจะตามมาทีหลัง บางกรณีเข้ามากับเครือญาติ หรือกลุ่มเพื่อนบ้าน การเดินทางใช้ระยะเวลานาน ระหว่างทางรอนแรมทำให้ผู้หญิงต้องพึ่งพิงผู้ชายในด้านความปลอดภัย และการติดต่อสื่อสาร เมื่อเดินทางมาตั้งรกรากอยู่ในแม่สอดแล้วยังคงต้องติดต่อสัมพันธ์กับนายหน้า หรือกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางค้าขายเพื่อติดต่อกับบ้านเกิด เช่น การส่งเงิน หรือสิ่งของกลับบ้าน (น. 140)

Political Organization

การมีประชากรพม่าจำนวนมาก และการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าในพื้นที่เขตแม่สอด ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ของคนท้องถิ่น ได้แก่ ห้องแถว บ้านเช่า เพื่อรองรับคนพม่าโดยเฉพาะ และจากการสะท้อนของประธานชุมชนหลายท่าน ชี้ให้เห็นว่า การเคลื่อนย้ายเข้ามาของคนพม่าเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เพราะขาดการควบคุม และการจัดระบบที่ดี การเปลี่ยนงาน และย้ายเข้า - ออกตลอดเวลาไม่สามารถควบคุมจำนวนคนได้ และยังมีปัญหาเกี่ยวกับสุขอนามัย และโรคติดต่อ เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อมาจากต้นทาง ปัญหาเรื่องความสะอาด การทิ้งขยะมูลฝอยไม่เป็นที่ เป็นทาง หรือทิ้งตามพื้นที่ว่างเปล่า และแม่น้ำลำคลอง การเสื่อมโทรมของพื้นที่จากการอยู่อาศัยกันอย่างแออัด ชุมชนแออัดหลายพื้นที่เป็นสถานที่ซ่อนของอาชญากร บางพื้นที่เป็นแหล่งมั่วสุม และยาเสพติด ซึ่งยากสำหรับการเข้าไปควบคุมของหน่วยงานรัฐหรือเอกชนอย่างทั่วถึง

ปัญหาดังกล่าวมักเกิดในพื้นที่เศรษฐกิจหลักมากกว่ารอบนอก หลายชุมชนมีมาตรการจัดการชุมชนในลักษณะพิเศษ บางชุมชนแบ่งออกเป็นโซนแล้วมอบหมายให้ตัวแทนคนพม่าในชุมชนที่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้คล่องเข้ามาทำงานร่วมกับกรรมการชุมชนดูแลความเคลื่อนไหว บางชุมชนหากมีผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าไม่มาก จะสรรหาตัวแทนเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยมีรูปแบบการจัดการที่มีลักษณะพิเศษ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้ความแตกต่าง
ผู้ศึกษาได้จำแนกรูปแบบในการบริหารจัดการชุมชนตามความเข้าใจ จากการสัมภาษณ์ประธานชุมชน 20 ชุมชน ออกเป็นสามลักษณะ ดังนี้
ลักษณะที่หนึ่ง การดูแลปกครองเชิงโครงสร้าง ออกแบบโดยสำนักงานเทศบาล มีโครงสร้างการบริหารจัดการเป็นรูปแบบของคณะกรรมการชุมชน มีคณะกรรมการชุมชนฝ่ายต่าง ๆ ทำหน้าที่ดำเนินกิจกรรมตามโครงสร้างการสั่งงาน และแผนงานกิจกรรมประจำปี ประสานงานกับเจ้าหน้าที่โดยตรง พบในชุมชนขนาดเล็ก จำนวนประชากรท้องถิ่น และผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าไม่มาก
ลักษณะที่สอง การดูแลปกครองแบบยืมมือ เป็นการใช้กลไกการปกครองเชิงโครงสร้างที่มีอยู่แล้วเข้ามาทำงาน โดยจะทำงานร่วมกับผู้เคลื่อนย้ายมาจากประเทศพม่า มอบหมายบทบาทหน้าที่ให้เป็นครั้งคราวในการช่วยกันดูแลชุมชน เช่น การมอบหมายในทำหน้าที่ประกาศเสียงตามสายเป็นภาษาพม่า หรือการเข้าไปประชาสัมพันธ์ที่ทางการต้องการแจ้งให้ผู้เคลื่อนย้ายจากพม่าทราบ กลไกนี้มักพบในพื้นที่ที่มีผู้เคลื่อยย้ายจากประเทศพม่าเป็นจำนวนมาก และมีลักษณะเคลื่อนย้ายเร็ว ดังนั้น การยืมมือผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าเข้ามาช่วยจึงเป็นการพยายามปรับตัวของคณะบริหารชุมชนเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ และเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน เนื่องจากกรรมการชุมชนไม่สามารถพูดภาษาพม่าได้ในระดับดี
ลักษณะที่สาม การดูแลปกครองแบบร่วมมือ เป็นการบริการจัดการชุมชนภายใต้ลักษณะพิเศษ เป็นลักษณะของการแต่งตั้งมอบหน้าที่ให้ผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าในการประสานงานในพื้นที่ย่อย อาจมีการแบ่งโซนพื้นที่ออกเป็นหน่วยย่อย เพื่อง่ายต่อการจัดการ จากนั้นมอบหมายให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยเป็น “ผู้นำ” ในโซนนั้น บทบาทหน้าที่ดังกล่าวจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป บางชุมชนอาจเรียกว่า “ผู้ใหญ่บ้านพม่า” หรือ “ผู้ประสานงานโซน” อีกทั้งการออกแบบของแต่ละชุมชนจะแตกต่างกันออกไปตามลักษณะพื้นที่ แต่มีลักษณะร่วมคือการดึงเอาผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าเข้ามาทำงานร่วมกับกรรมการชุมชนที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เพื่อช่วยกันดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ ทั้งเรื่องคุณภาพชีวิต อาชญากรรม และการแจ้งข่าวสารต่าง ๆ (น. 89)

Belief System

พื้นที่เขตเทศบาลแม่สอดมีผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมอาศัยอยู่ร่วมกัน มีความเป็นพหุสังคม ชาวพม่านับถือศาสนาพุทธ อิสลาม และศาสนาคริสต์ มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น การจัดขบวนแห่กฐินของชาวพม่า มีทั้งชาวไทย และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเข้าร่วมทำบุญที่วัดด้วย และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามในมัสยิด เหล่านี้ เป็นการเชื่อมสัมพันธ์ของกลุ่มคนนับถือศาสนาเดียวกัน แม้จะมาจากต่างพื้นที่

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เสื้อผ้าตัดเย็บเองตามอัตลักษณ์ของคนพม่าสำหรับสวมใส่ในชีวิตประจำวัน หรือเข้าร่วมพิธีกรรมสำคัญ ได้แก่ ซิ่น หรือกระโปรงยาวมีลวดลายลุนตยายาวคลุมข้อเท้า และเสื้อรัดรูปของผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะเป็นเสื้อเชิ้ตหรือเสื้อยืดสีพื้นกับโสร่งลายตาราง ลักษณะของงานตัดเย็บเสื้อผ้าเองที่บ้าน จะเป็นการตัดเย็บตามความต้องการของลูกค้า ราคาจะขึ้นอยู่กับความประณีต และคุณภาพของผลงาน เสื้อผ้าที่สวมใส่ในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อเข้ารูป ชุดเซ็ต กระโปรงยาว ผ้าซิ่น หรือชุดสำหรับร่วมงานบุญประเพณีสำคัญ

          ลักษณะของเสื้อผ้าที่ตัดเย็บ
          ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มักจะซื้อผ้ามาเอง แล้วเลือกแบบที่ร้าน ช่างจะทำการวัดตัว ให้คำแนะนำ พูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียด ตกลงราคา และวันนัดรับ การตัดเย็บเสื้อผ้าแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้
          การตัดเย็บชุดเซ็ต หรือชุดเสื้อ และกระโปรงยาว อาจมีสีและลวดลายเดียวกัน หรือคนละสี ใช้เสื้อผ้าบางส่วนของกระโปรงมาตกแต่งเสื้อ หรือบางส่วนของเสื้อมาตกแต่งกระโปรงเพื่อให้เป็นไปในลักษณะเดียวกัน ซึ่งชุดเซ็ตลักษณะนี้เป็นที่นิยมของผู้หญิงพม่าในแม่สอด
          การตัดเย็บชิ้นเดียว เสื้อ กระโปรง หรือผ้าถุง ส่วนใหญ่เสื้อผ้าชิ้นเดียวจะเป็นแบบง่าย ๆ สำหรับสวมใส่ในชิวิตประจำวัน และผ้าถุงของคนพม่าต้องมีการตัดเย็บผ้าสีดำกว้างประมาณหนึ่งนิ้วต่อด้านบนหัวซิ่น เพราะเวลาสวมใส่จะได้ไม่ลุ่ยง่าย
          การตัดเย็บชุดยาว หรือชุดเดรส มักพบในกลุ่มผู้ตัดเย็บที่นับถือศาสนาอิสลาม เนื่องจากจะต้องแต่งกายให้ถูกกับหลักศาสนา เป็นชุดยาวตัวหลวมปกปิดร่างกายมิดชิด
          การซ่อมแซมทั่วไป พบมากในพื้นที่ตลาด เป็นการตัดกางเกง การเปลี่ยนซิป ปรับแก้พื้นฐาน เย็บให้เล็กหรือขยายเสื้อผ้า เหล่านี้เป็นงานเร็ว และค่าตอบแทนราคาสูงกว่าการตัดเย็บเป็นชุด โดยปรับตามรูปแบบของการซ่อมแซม (น. 117)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การแต่งกายและการดำรงอยู่ขอเสื้อผ้าตามวิถีคนพม่า

พื้นที่ชายแดนแม่สอดมีความหลากหลายของกลุ่มคน สะท้อนผ่านภาษา การแต่งกาย จากปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน ชีวิตทางเศรษฐกิจและการดำรงชีพแปรผันไปตามเงื่อนไขของพื้นที่ ทุน เครือข่ายความสัมพันธ์ และความรู้ของบุคคล ในส่วนอัตลักษณ์ด้านการแต่งกายของคนในพื้นที่ชายแดนแม่สอดที่เห็นในชีวิตประจำวัน มาจากความเชื่อ วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ซึ่งลักษณะพิเศษของพื้นที่ชายแดนมีส่วนในการธำรงไว้
ผู้คนที่เข้ามาปฏิสัมพันธ์ในพื้นที่แม่สอดยังมีการธำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนเอง ผู้หญิงพม่าสวมใส่ซิ่นยาวกับเสื้อรัดรูป ผู้ชายสวมโสร่ง รูปแบบการแต่งกายแบบนี้ยังคงมีให้พบเห็นอยู่ตามพื้นที่สาธารณะ แม้แฟชั่นของเสื้อผ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม ความหลากหลายทางชาติพันธุ์และความเป็นพหุสังคมของเมืองแม่สอด ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีความอิสระ เสรีในการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตนเอง กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งเจ็ดกลุ่มต่างมีลักษณะเฉพาะของตนเอง มีการแสดงอัตลักษณ์ผ่านการแต่งกายในพื้นที่ทางวัฒนธรรม เช่น การไปทำบุญที่วัด การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรืองานสำคัญต่าง ๆ
          พื้นที่พิธีกรรม พื้นที่ของอัตลักษณ์
          ขบวนแห่กฐินของคนบะหม่าในเมืองแม่สอดที่ตลาดพาเจริญ ลักษณะของชบวนประกอบไปด้วยสามส่วน คือ หัวขบวน มีป้ายผ้าภาษาพม่า คนถือพระพุทธรูป และฉัตรเดินนำ กลางขบวน เป็นกลุ่มหญิงสาวแต่งตัวสวยงามตามแบบพม่า สวมเสื้อเข้ารูป ผ้าซิ่นลายลุนตยา มีผ้าคลุมไหล่ สวมรองเท้าคีบ และแต่งหน้าสวยงาม ถือต้นกฐิน และเครื่องอัฐบริขารอื่น ๆ ท้ายขบวนมีสองส่วน คือ ส่วนของกลุ่มผู้ชายแบกหามผลไม้ และเครื่องอัฐบริขารสำหรับทำบุญ และส่วนของมโหรี มีการร่ายรำประกอบดนตรี นอกจากนี้ยังมีผู้สูงวัยถือบาตรเดินขนาบข้างเพื่อรับเงินสมทบทำบุญ ซึ่งคนพม่าในพื้นที่ตลาดได้ร่วมกันทำบุญด้วย จะเห็นได้ว่าพื้นที่ทางศาสนาจึงเป็นอีกพื้นที่หนึ่งสำหรับคนพม่าให้ได้แสดงออกถึงอัตลักษณ์ของตน ทั้งด้านการแต่งกาย บทบาทการทำนุบำรุงศาสนาตามความเชื่อ (น. 109)
          การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของคนพม่าใช้บทสวดเป็นภาษาบาลีสำเนียงพม่า ผู้หญิง และผู้ชายมีการแสดงตนตามอัตลักษณ์ชัดเจน หญิงสวมใส่เสื้อรัดรูป กระโกรงยาวลายลุนตยายาวคลุมข้อเท้า ผู้ชายสวมเสื้อเชิร์ต เสื้อยืดสีขาว หรือสีอื่น ๆ สวมโสร่งลายตารางสีดำ และสีน้ำตาล หญิงสูงวัยมีการแต่งกายสองแบบ กลุ่มที่หนึ่งใส่เสื้อลูกไม้สีอ่อน ผ้าซิ่นลายไทย มีผ้าสไบสีขาว หรือสีน้ำตาลพาดไหล่ กลุ่มที่สองใส่เสื้อแขนกระบอกสีขาว ผ้าซิ่นสีน้ำตาลไม่มีลวดลาย มีสไบสีน้ำตาลพาดไหล่ (น. 110)
          พื้นที่ทางศาสนาอิสลาม บริเวณมัสยิด ผู้ชายที่เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาแต่งตัวตามอัตลักษณ์ของตน ในพิธีกุรบาน พิธีเชือดสัตว์ถวายต่อพระเจ้าในวันอีดุลอัฎหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าฮารีคนากุรบาน งานเฉลิมฉลองวันอีด งานแต่ง พบว่า ผู้หญิงแต่งตัวสวยงามตามหลักศาสนาเช่นเดียวกัน (น. 111)
          พื้นที่ตลาด ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า หรือพื้นที่สาธารณะทั่วไป พบการแต่งกายตามความเชื่อของตนอยู่ตลอดเวลา จากการเข้าไปสำรวจของผู้ศึกษาโดยการแต่งกายแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัน พบว่า พนักงานขายจะจำแนกคนด้วยเครื่องแต่งกายว่าเป็นคนกลุ่มไหน เห็นได้จากการกล่าวทักทาย และเชิญชวนผู้ศึกษาในภาษาที่แตกต่างกันตามเครื่องแต่งกายที่สวมใส่ (น. 112)
          การมีแรงงานหญิงชาวพม่าเป็นจำนวนมากในเมืองแม่สอด และการมีอิสระเสรีในการแต่งกายหรือแสดงอัตลักษณ์ของตน ทำให้เกิดกิจกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการ เช่น กรณีของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านจากประเทศพม่า กลุ่มลูกค้าจากโรงงานนอกเมืองมักตัดเย็บเสื้อผ้าในย่านตลาดพาเจริญ หรือบางคนอาจใช้ราคาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ สำหรับเสื้อผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เสื้อเข้ารูป ชุดเซ็ต กระโปรงยาว ผ้าซิ่น ไม่จำเป็นต้องตัดกับช่างฝีมือที่มีความประณีตมาก ทว่าหากเป็นชุดสำหรับร่วมงานบุญ ประเพณี จะเลือกใช้บริการช่างมีฝีมือ (น. 113)
          รูปแบบการตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน พบว่ามี 5 รูปแบบ
          รูปแบบที่หนึ่ง ทำงานตัดเย็บอย่างเดียว กลุ่มนี้จะมีความประณีต เน้นรูปแบบเสื้อผ้าที่สวยงาม มีการปักเลื่อมลูกไม้ ตัดปะตกแต่งแบบละเอียด ใช้ทักษะชั้นสูง ชุดหนึ่งจะใช้เวลาในการตัดเย็บนาน ค่าตัดเย็บค่อนข้างสูงขึ้นอยู่กับจำนวนเลื่อมที่ปัก หรือการประดับตกแต่งละเอียดมากน้อยเพียงใด
          รูปแบบที่สอง งานตัดเย็บเสื้อผ้าร่วมกับงานซ่อมแซมเสื้อผ้าทั่วไป ไม่เน้นประณีตมากนัก ส่วนใหญ่เป็นชุดเซ็ต กระโปรงยาว เสื้อผ้าทั่วไป อาจมีการประดับ ตกแต่งบ้างแต่ไม่ละเอียดมาก พบได้ในชุมชนแออัด หรือห่างไกลจากพื้นที่เศรษฐกิจหลัก
          รูปแบบที่สาม ตัดเย็บเสื้อผ้าร่วมกับงานซ่อมแซมทั่วไปและรับงานจากร้านขายเสื้อผ้า หรือโรงงานร่วมด้วย เป็นการทำงานหลากหลายรูปแบบ มีเครือข่ายกว้าง ผู้หญิงบางคนอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ตลาดมากทำให้สะดวกต่อการรับงาน และเอางานมาส่งที่ร้าน ขณะเดียวก็สะดวกในการเดินทางสำหรับลูกค้า
          รูปแบบที่สี่ รับซ่อมแซมทั่วไป รับงานจากร้านขายเสื้อผ้า และโรงงานบ้าน กลุ่มนี้พบว่าไม่ได้มีทักษะในการออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้าสูงมาก ไม่สามารถตัดแบบสร้างแบบเสื้อผ้าเอง แต่สามารถตัดเย็บพื้นฐานในรูปแบบเสื้อผ้าที่ไม่ซับซ้อนมาก
          รูปแบบที่ห้า รับงานจากร้านขายเสื้อผ้า และโรงงานบ้าน เป็นกลุ่มที่มีทักษะการออกแบบ และตัดเย็บเสื้อผ้าไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นงานเย็บเฉพาะส่วนหรือเย็บทั้งตัวตามร้านค้า หรือโรงงานบ้านตัดชิ้นส่วนแยกมาให้แล้ว (น. 115)

Critic Issues

กระบวนการสะสมและการใช้ทุนเพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน

“ทุน” เป็นปัจจัยหลักในการทำงาน และการดำรงชีพของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน พวกเธอมีการใช้ทุนหลากหลายประเภทในการสนับสนุนการทำงาน แสดงให้เห็นว่าพวกเธอไม่ได้ยอมจำนนต่อความลำบากในพื้นที่ชายแดน หากมีช่องทางเอื้อต่อการดำรงชีวิตพวกเธอจะนำมาใช้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมฝึกอบรมทักษะกับองค์กรพัฒนาเอกชน ขอความช่วยเหลือทั้งด้านสุขภาพ และสิทธิแรงงาน
แนวคิด “ทุน” ตามทัศนะของ Bourdieu มาพิจารณาการทำงานของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน พบว่า มีความสอดคล้องกัน กล่าวคือ ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านมีการสะสมทุน นำมาใช้ เพื่อประกอบการทำงาน โดยจำแนกรูปแบบของการสะสมทุนได้ ห้า ประเภท ดังนี้
          - ทุนที่เป็นความรู้ เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติ ซึมซับเป็นทักษะ และความเชี่ยวชาญ กรณีศึกษา พบว่าทุกคนผ่าน “กระบวนการขัดเกลาและสะสมความรู้” ด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าเหมือนกัน แต่มีกระบวนการ ความเข้มข้น และรูปแบบที่แตกต่างกันออก ความรู้ด้านการตัดเย็บเสื้อผ้ามาจากสามด้านด้วยกัน คือ เรียนรู้จากบุคคลในครอบครัว เรียนรู้จากประเทศต้นทาง แต่ไม่ใช่กับบุคคลในครอบครัว เป็นการเรียนรู้จากการเข้าไปทำงานในร้านตัดเย็บเสื้อผ้า เรียนรู้จากนายจ้าง หรือเพื่อนร่วมงาน หรือการถูกส่งเข้าไปเรียนรู้ในสถานศึกษาจากพ่อแม่ และประการสุดท้าย คือ การเรียนรู้จากการทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแล้วมาทดลองปฏิบัติเอง จนมีความชำนาญ สามารถรับงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน
          - ทุนที่เป็นตัวเงิน ถือเป็นปัจจัยหลักในการทำงาน หลายคนไม่มีเงินทุนมากพอสำหรับเริ่มต้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ บางคนค่อย ๆ สะสมเงินทุนเพื่อซื้ออุปกรณ์ครั้งละชิ้น สองชิ้นตามความจำเป็น หรือซื้อแบบผ่อนจ่าย บางคนเลือกทำงานในโรงงาน รวมถึงทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เพื่อสะสมเงินทุนสำหรับการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจของตนเอง ทุนที่เป็นตัวเงินจึงสำคัญรองจากทุนความรู้ การตัดเย็บเสื้อผ้าต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ประสบการณ์ และใจรัก การมีเงินอย่างเดียวจึงไม่สามารถทำได้ดี อย่างไรก็ตาม เงินจะเป็นตัวช่วยในการหาซื้ออุปกรณ์
          - ทุนเครือข่ายความสัมพันธ์ ผู้หญิงเคลื่อนย้ายมาจากประเทศพม่าส่วนใหญ่จะเข้าทำงานในระบบอุตสาหกรรม เหล่านี้ ช่วยขัดเกลา บ่มเพาะทักษะการใช้ชีวิต การปรับตัวในด้านต่าง ๆ ทำให้พวกเธอมีเครือข่ายความสัมพันธ์ทั้งกับคนท้องถิ่น และผู้เคลื่อนย้ายจากพม่า เพื่อใช้ในการสนับสนุนการทำงานของพวกเธอ เช่น การรับงานมาทำที่บ้าน การเชื่อมสัมพันธ์กับนายหน้าเพื่อส่งเงินกลับบ้าน เป็นต้น
          - ทุนทางวัฒนธรรม การธำรงอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ชายแดนแม่สอด ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจขึ้น เพื่อตอบสนองการแสดงออกเหล่านั้น เช่น ประเพณีท้องถิ่น พิธีกรรมตามความเชื่อ หลักศาสนาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการธำรงอัตลักษณ์ผ่านการแต่งกาย
          - ทุนเชิงสัญลักษณ์ในนามของสถานะบุคคล เป็นสิ่งสำคัญในการกำหนด ตำแหน่งการทำงานของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน กล่าวคือ ผู้หญิงที่มีการถือหนังสือเดินทาง มีบัตรแรงงานตามกฎหมาย แม้จะเป็นในรูปแบบของนายจ้างรับจ้างก็ทำให้พวกเธอสามารถพาตัวเองออกมาทำกิจกรรมในพื้นที่เปิดได้อย่างอิสระมากกว่าคนที่ไร้สถานะ
          การที่ผู้หญิงพยายามหาหนทางเพื่อดำรงชีวิตในเขตเทศบาลแม่สอด ภายใต้เงื่อนไขของสังคม กฎหมาย กติกา และอำนาจมืดหลายด้าน การพาตัวเองออกจากระบบโรงงาน และการถูกขูดรีดของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านนั้นถือเป็นเรื่องยาก บางคนมีความต้องการเดินทางเพื่อมาทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าโดยตรง ต้องใช้กลไกต่าง ๆ ความสัมพันธ์ของคนในพื้นที่ เครือข่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายความเป็นคนพม่า หรือเครือข่ายชาติพันธุ์ การมีสถานะยืนยันตัวตนชัดเจน ขณะเดียวกันความรู้เฉพาะทางก็สำคัญในการตัดเย็บเสื้อผ้า พวกเธอจะต้องมีพื้นฐานความรู้ในด้านนี้ เพราะเป็นงานฝีมือ หากงานดีมีคุณภาพก็จะได้รับการให้ความสนใจ ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกครั้งหากเป็นที่พอใจ ความสัมพันธ์ของการสะสมหลากหลายรูปแบบ และนำทุนเหล่านั้นมาประกอบการสนับสนุนกันและกัน ทำให้เกิดการทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน ถือเป็นปฏิบัติการทางสังคมในฐานะผู้กระทำการที่นำทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์ต่าง ๆ ประกอบสร้าง เปลี่ยนผ่านตัวเองไปสู่ “การทำงานอิสระ”
          เงื่อนไขที่เอื้อต่อการใช้ทุนเพื่อดำรงชีพในพื้นที่ชายแดนของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน
          การอาศัยอยู่ในชุมชน หรือพื้นที่ของบ้านที่ใช้ในการทำงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในชุมชนแออัด หรือชุมชนเฉพาะกลุ่ม ภายใต้การคุ้มครองดูแลโดยชุมชน แม้จะไร้สถานะทางกฎหมาย แต่ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ กลุ่มคนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่สามารถพบเห็นได้ง่ายจะมีการจ่ายค่าดูแลให้กับผู้ดูแลพื้นที่ หรือใช้นายจ้างรับจ้าง ใช้ช่องว่างทางกฎหมายปรับความหมายของการทำงานในลักษณะของการเป็นลูกจ้างของนายจ้าง หรือการรับงานมาทำที่บ้าน เหล่านี้เป็นกลไก เงื่อนไขที่ทำให้พวกเธอสามารถทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน ซึ่งถือเป็นงานผิดกฎหมายได้

Other Issues

สถานะบุคคล เงื่อนไขหรือช่องทางในการดำรงชีวิตในพื้นที่ชายแดน

มิติของสังคมชายแดน หรือกลุ่มของผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ประเด็น “สถานะบุคคล” ถือเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาร่วม กล่าวคือ สังคมไทยให้ความสำคัญกับการเป็นสมาชิกของรัฐชาติ นำไปสู่การได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานของสมาชิก ผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าอยู่ในสถานะที่แตกต่างออกไป นั่นคือ “ผู้อาศัย” การไม่ได้เป็นพลเมืองเต็มตัวส่งผลต่อการดำรงชีวิต การศึกษา และการประกอบอาชีพด้วย
สถานะบุคคลสำหรับผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าในพื้นที่ชายแดนแม่สอดเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงนั้น มีผู้คนจำนวนมากที่อาศัยในพื้นที่โดยไม่มีสถานะทางกฎหมาย ขณะเดียวกันคนอีกจำนวนหนึ่งได้ถือบัตรแสดงสถานะบุคคลหลายใบ บัตรมีความสำคัญต่อผู้ที่ต้องการแสวงหาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การไม่มีสถานะจึงทำให้ดำรงชีพได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นช่องทางในการดำรงชีพด้วยเช่นกัน เนื่องจากระบบอุปถัมภ์ อำนาจท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการดำรงชีพของผู้เคลื่อนย้ายจากประเทศพม่า และจากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้าน ปัจจุบันใช้หนังสือเดินทาง และทำบัตรแรงงาน การได้มาของบัตรนั้นมีหลายขั้นตอน ผู้ศึกษาพบว่า การถือบัตรสิบปีมีผลต่อการทำงานในด้านบวก สามารถทำงานได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกจับ หรือถูกรีดไถจากผู้มีอิทธิพล มากกว่าการถือบัตรแรงงานที่ใช้นายจ้างรับจ้างรับรองให้ (น. 129)
          การประยุกต์ใช้ประสบการณ์สนับสนุนการทำงาน
          ประสบการณ์ทำงานหลากหลายของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านทำให้พวกเธอเข้าใจกลไกความเป็นเมืองชายแดน และนำมาใช้ในสนับสนุนการทำงาน เช่น การถูกโกงจากนายจ้าง การเข้าไปร่วมทำงานกับกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน ทำให้ผู้หญิงหลายคนตัดสินในเปลี่ยนจากการทำงานในระบบออกมาทำงานอิสระของตนเองที่บ้าน และใช้เครือข่ายขององค์กรพัฒนาเอกชนในการป้องกันตนเองจากการถูกเอาเปรียบจากนายจ้าง และผู้มีอิทธิพล (น. 132)
          ประสบการณ์ที่ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านนำมาประยุกต์ใช้สนับสนุนการทำงานมีห้าประประการ ดังนี้
  1. ประสบการณ์จากการเดินทาง การเดินทางโดยการอพยพเข้ามาพร้อมเครือญาติ เข้ามาพร้อมเพื่อน หรือการเข้ามาโดยมีนายจ้างเป็นคนพามา
  2. ประสบการณ์ของการผ่านงานหลายประเภทและหลายพื้นที่ เช่น งานแม่บ้าน งานขายของ งานค้าพลอย บริการร้านอาหาร หรือบางคนอาจมีการทำอาชีพอิสระมาก่อน
  3. ประสบการณ์ในค่ายพักพิงชั่วคราว หลายคนได้เดินทางมาในช่วงของความไม่สงบ เข้าสู่ค่ายพักพิง ทำให้พวกเธอได้รับรู้กระบวนการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งพวกเธอใช้ในการสานสัมพันธ์เพื่อพัฒนางานตัวเองในเวลาต่อมา
  4. ประสบการณ์การถูกโกงค่าจ้าง การเผชิญกับสถานการณ์นี้ บางคนก็ได้ทำการต่อสู้ ฟ้องร้อง ขอความช่วยเหลือจากองค์กรพัฒนาเอกชน แต่พวกเธอส่วนใหญ่เลือกที่จะเปลี่ยนงานมากกว่าการต่อสู้เพื่อให้ได้รับสิทธิ
  5. ประสบการณ์การถูกตรวจจับ การตรวจจับนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งในเมืองแม่สอด โดยเฉพาะก่อนออกมาตรการขึ้นทะเบียนแรงงาน หลายคนกลัวการถูกจับและส่งตัวกลับ ทำให้พวกเธอต้องเรียนรู้ในการอยู่อย่างมีหลักประกัน

แผนการเพื่อการดำเนินชิวิตในอนาคต

ผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าที่บ้านมีการต่อสู้กับเงื่อนไขหลากหลาย ไม่ได้จำนนต่อปัญหาที่เผชิญ พวกเธอพยายามปรับตัว ใช้กลไกและช่องทางของความเป็นพื้นที่ชายแดนในการทำงานเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในครอบครัว ขณะเดียวกันพวกเธอก็มีแผนการสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต บางคนมีการวางแผนซื้อบ้าน เพื่ออยู่อาศัยแบบถาวร บางคนต้องการเปิดร้านที่ดีกว่าการทำงานตัดเย็บที่บ้านในชุมชนแออัด ทั้งนี้ผู้ศึกษาได้จำแนกออกเป็นสามประการ ได้แก่ แผนการเกี่ยวกับการทำงานและการใช้ชีวิตในแม่สอด แผนการสำหรับพัฒนาทักษะและความรู้ และแผนการในการเดินทางกลับบ้าน

Map/Illustration

- สรุปย่อลักษณะของชุมชนในเขตเทศบาลนครแม่สอด (น. 53)
- แสดงประมาณการประชากรพม่าในเขตเทศบาลนครแม่สอดเทียบกับประชากรไทย (น. 85)
- การประเมินจำนวนของผู้หญิงตัดเย็บเสื้อผ้าในแต่ละชุมชนในเขตเทศบาล (น. 125)
- กรอบแนวคิดในการศึกษา (น. 26)
- ร้ายขายผ้าเมตร ย่านตลาดพาเจริญ (น. 46)
- ร้านขายเสื้อผ้า และผ้าเมตร ในบริเวณตลาดพาเจริญ (น. 47)
- ร้านค้าในตลาดพาเจริญ (น. 48)
- ตลาดนัดวันศุกร์ (น. 49)
- แผนที่เทศบาลนครแม่สอด และชุมชน 20 ชุมชน (น. 52)
- กระบวนการคัดกรอง ให้ความรู้ และส่งกลับ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สอด (น. 60)
- แผนที่ย่านเศรษฐกิจหลัก (น. 77)
- งานค้าขาย งานอิสระที่เป็นที่นิยมของคนพม่าในแม่สอด (น. 92)
- ย่านโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ในชุมชนประชารักษ์ (น. 99)
- ขบวนแห่กฐินของคนพม่าในแม่สอด ที่ตลาดพาเจริญ (น. 109)
- กลุ่มผู้มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ที่วัดแม่สอดหน้าด่าน (น. 110)
- เจ้าสาวสวมใส่ชุดแต่งงาน ที่ตัดเย็บโดยนีรดา (น. 111)
- หนังสือแบบเสื้อผ้า รูปแบบพม่า (น. 118)
- โปสเตอร์แบบเสื้อผ้ารูปแบบพม่า (น. 118)
- หนังสือแบบเสื้อผ้ารูปแบบสมัยใหม่ (น. 118)
- การเย็บต่อหัวซิ่นที่บ้านมานาบี (น. 119)
- การตัดเย็บเสื้อชิ้นเดียวที่บ้านมะโก (น. 119)
- ชุดเซตที่บ้านมะบี (น. 119)
- ชุดเดรสที่บ้านนีรดา (น. 119)
- เสื้อที่ลูกค้ามาตัดที่บ้านมะเม (น. 119)
- เสื้อที่ลูกค้ามาตัด ที่บ้านขิ่นมะเส่ (น. 119)
- ชุดยาวตามแบบอิสลามพร้อมผ้าคลุมหน้า ที่ซามาดา (น. 120)
- ชุดยาวตามแบบอิสลามที่บ้านเลเล (น. 120)
- แผนที่แสดงเมืองต่าง ๆ ในประเทศพม่า (น. 123)
- เพจ Everfine Fashion ของนีรดา (น. 160)
- เสื้อผ้าที่ลูกค้าจากออสเตรเลียสั่งตัดเย็บ (น. 160)
- เสื้อผ้าที่ลูกค้าจากอเมริกาสั่งตัดเย็บ (น. 160)
- เสื้อผ้าที่ลูกค้าจากออสเตรเลียสั่งตัดเย็บ (น. 161)
- เสื้อผ้าที่ลูกค้าในชุมชนบัวคูณมาตัดเย็บ (ชุดผู้หญิง) (น. 161)
- บ้านของมะบี (น. 166)
- บ้านของตัวญีดาซามาดา (น. 175)
- ยาญาดาและลูก ๆ ในบ้านเช่าของเธอ (น. 176)
- บ้านของอามีนา (น. 177)
- บ้านของมะโก (น. 177)
- บ้านของตื่นเทว (น. 178)

Text Analyst ดาริน จันดี Date of Report 01 ต.ค. 2564
TAG งานอิสระ, ผู้หญิงพม่า, ทำงานที่บ้าน, ตัดเย็บเสื้อผ้า, แม่สอด, เมียนมาร์, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง