|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทเขิน, ภูมิปัญญาการแพทย์, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
Author |
ศิรานุช อ่อนอ้น |
Title |
กระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาการรักษาสุขภาพของชาวไทเขิน: กรณีศึกษาบ้านป่าไผ่ หมู่ที่ 4 ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทขึน ไตขึน ขึน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
-
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ชั้น 6 เลขเรียกหนังสือ วพ 613.04 ศ372ก
-
ระบบฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ URL:http://www.graduate.cmru.ac.th/index2.php?ge=is_view&gen_lang=170715052357&kmt_id=24&km_topic=กระบวนการเรียนรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาการรักษาสุขภาพ%20ของชาวไทเขิน%20:%20กรณีศึกษาบ้านป่าไผ่%20%20หมู่ที่%20%204%20%20ตำบลช่อแล%20อำเภอแม่แตง%20%20จังหวัดเชียงใหม่
-
โครงการเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย (ThaiLIS – Thai Library Intehgrated System) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา URL:http://tdc.thailis.or.th/tdc/browse.php?option=show&browse_type=title&titleid=21646&query=%C8%D4%C3%D2%B9%D8%AA%20%CD%E8%CD%B9%CD%E9%B9&s_mode=any&d_field=&d_start=0000-00-00&d_end=2561-12-30&limit_lang=&limited_lang_code=&order=&order_by=&order_type=&result_id=1&maxid=1
|
Total Pages |
121 |
Year |
2547 |
Source |
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (วิจัยและพัฒนาท้องถิ่น). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. |
Abstract |
การศึกษาภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของชาวไทเขินมุ่งเน้นประเด็นเรื่อง “การถ่ายทอด” และ “กระบวนการเรียนรู้” โดยมีพื้นที่บ้านป่าไผ่ หมู่ที่ 4 ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่เป็นกรณีศึกษาด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ
ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของชาวไทเขินมีลักษณะเป็นการรักษาโดยหมอพื้นบ้านด้วยวิธีการประกอบพิธีกรรม การนวด และการใช้ยาสมุนไพร มีการถ่ายทอดความรู้ตามแบบเดิมจากบรรพบุรุษตามสายตระกูล รวมทั้งนอกสายตระกูลจากผู้อาวุโสในชุมชนและชุมชนใกล้เคียง และพระสงฆ์ นอกจากนี้ ยังพบการถ่ายทอดในรูปแบบใหม่ คือ การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหมอพื้นบ้านในชุมชน และการเรียนรู้ผ่านการจัดกระบวนการจากหน่วยงานภายนอกชุมชน เช่น การศึกษาดูงาน การฝึกอบรม การจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนระหว่างหมอพื้นบ้านและนักวิชาการ
กระบวนการเรียนรู้เป็นแบบปัจเจกบุคคล การเรียนรู้ผ่านการเข้าร่วมพิธีกรรม และการเรียนรู้เป็นกลุ่มในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปด้วยวิธีผู้ใหญ่สั่งสอนผู้น้อยที่ยังคงมีความสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อทางพระพุทธศาสนา โดยมีพิธีและขั้นตอนในรับใช้หมอพื้นบ้านเพื่อทดสอบความอดทน ความตั้งใจ ก่อนการได้รับความรู้ควบคู่การฝึกคุณธรรม ผ่านมุขปาฐะและอมุขปาฐะจากการเรียนรู้ผ่านตำรายาจากปั๊บสาใบลาน |
|
Focus |
งานวิจัยมุ่งเน้นการศึกษากระบวนการเรียนรู้และการถ่ายทอดภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านของหมอพื้นบ้านชาวไทเขิน ซึ่งมีการเรียนรู้และการถ่ายทอดที่กว้างขวางมากขึ้นจากอดีตที่มีเพียงการถ่ายทอดภายในเครือญาติเท่านั้นสู่การเรียนรู้และถ่ายทอดนอกเครือญาติ รวมทั้งการมีแลกเปลี่ยนความรู้ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านจากคนต่างกลุ่ม และแลกเปลี่ยนความรู้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนปัจจุบันจากเครือข่ายและหน่วยงานต่าง ๆ โดยยังคงมีความสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อในพระพุทธศาสนา |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยกำหนดนิยามความหมายว่า “หมอพื้นบ้าน” ในงานวิจัยหมายถึง ผู้ที่มีความสามารถทางด้านภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ซึ่งใช้ในการรักษาโรคด้วยความจำเป็นและการยอมรับของชุมชนแต่ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ (น. 7) โดยสามารถจำแนกเป็น 3 ประเภท คือ หมอพื้นบ้านที่รักษาโดยการประกอบพิธีกรรม หมอพื้นบ้านที่รักษาโดยการนวด และหมอพื้นบ้านที่รักษาโดยการใช้สมุนไพร (น. 9)
แนวคิดเกี่ยวกับภูมิปัญญาพื้นบ้าน
ภูมิปัญญามีทั้งที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม สังคม และสิ่งเหนือธรรมชาติ (สามารถ จันทรสูรย์, 2536) ภูมิปัญญาพื้นบ้านมีลักษณะที่มีวัฒนธรรมเป็นฐาน มีการบูรณาการสูง มีการเชื่อมโยงไปสู่นามธรรม และให้ความสำคัญกับจริยธรรม (ประเวศ วะสี, 2536) (น. 9) โดยเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ทางวัฒนธรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาในการดำเนินชีวิต (สุรเชษฐ์ เวชชพิทักษ์, 2533; โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2531) (น. 10) อีกทั้ง ภูมิปัญญาด้านการรักษาสุขภาพของหมอพื้นบ้าน ยังมีความสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องกรรมและการทำบุญในพระพุทธศาสนา (สมบูรณ์ ทิพย์นุ้ย และคณะ, 2546) (น. 12-13) สำหรับกระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาด้านการรักษาสุขภาพของหมอพื้นบ้าน เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ผ่านบุคคล เช่น บรรพบุรุษและเครือญาติ หมอพื้นบ้าน พระสงฆ์ รวมทั้งเรียนรู้ผ่านเอกสาร เช่นปั๊บสาใบลาน การเรียนในระบบและนอกระบบโรงเรียน (น. 23-25)
กรอบแนวคิดในการศึกษาภูมิปัญญาพื้นบ้าน ประกอบด้วย ความรู้และระบบความรู้ การสั่งสมและกระจายความรู้ การถ่ายทอด และการสร้างสรรค์และปรับปรุงระบบความรู้ (อ้างถึง นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2536; อเนก นาคะบุตร, 2536;สหัทยา วิเศษ, 2540;สามารถ จันทรสูรย์, 2536; สุรเชษฐ์ เวชชพิทักษ์, 2536) (น. 11)
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์พื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ปรากฏงานศึกษาในกลุ่มม้งและมูเซอ พบว่ามีวิธีการใช้เหล็กกลมดูดบริเวณที่มีอาการให้เกิดสูญญากาศ การใช้สมุนไพร และการประกอบพิธีกรรม (วิชัย โปษยจินดา, 2530), กลุ่มม้ง ในพื้นที่บ้านหนองหอยเก่า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีการทำพิธีเรียกขวัญและเลี้ยงผี (เชิดชัย อริยานุชิตกุล, 2534), กลุ่มอีก้อ ในอดีตมีการทำพิธีเลี้ยงผีเพื่อเรียกขวัญ และได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับพิธีกรรมและการใช้สมุนไพร (อุไรวรรณ แสงศร, 2541) และกลุ่มม้ง เย้า ลีซอ มูเซอดำ และอาข่า มีการทำพิธีเลี้ยงผีและใช้สมุนไพรในการรักษาโรค (ธงชัย สาระกูล, 2540) (น. 29-31) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของชาวไทเขินมีสำเนียงคล้ายคลึงกับชาวยองในพื้นที่จังหวัดลำพูน ปัจจุบันส่วนมากผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปในพื้นที่บ้านป่าไผ่ยังคงพูดภาษาไทเขิน ส่วนกลุ่มอื่น ๆ นิยมพูดภาษาไทยถิ่นเหนือ (น. 37) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2544 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2546 (น. 4, 33) |
|
History of the Group and Community |
อ้างถึง อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และนฤมล เรืองรังสี (2537) บรรพบุรุษของชาวไทเขินมีถิ่นฐานเดิมในแถบมณฑลยูนนาน ประเทศจีน และรัฐฉาน ประเทศพม่า (น. 2) |
|
Settlement Pattern |
ชื่อเดิมของบ้านป่าไผ่ คือ โหล่งเมืองแกน เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีต้นไผ่และต้นไม้ห้าซึ่งมีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ใบคล้ายต้นลิ้นจี่ขึ้นเป็นจำนวนมาก การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกของชุมชนเริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2311 ลุงแสนคำและลุงขุนหมื่นได้นำวัวและควายเดินทางผ่านมาและพักแรมในพื้นที่บ้านป่าไผ่ เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์จึงได้บุกเบิกพื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำกิน ต่อมาได้มีชาวไทเขินในพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ บ้านปง บ้านช่อแล บ้านม่วงคำ บ้านหนองบัว อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย (น. 37)
สภาพบ้านเรือนสะท้อนถึงฐานะที่ดีของชาวบ้าน โดยนิยมสร้างบ้านด้วยปูนมุงหลังคากระเบื้องลอนคู่ สร้างรั้วบ้านมิดชิด ในพ.ศ. 2546 พบว่ามีจำนวน 104 หลังคาเรือน (น. 38-39) |
|
Demography |
จำนวนประชากรมีทั้งสิ้นประมาณ 415 คน แบ่งเป็นกลุ่มเยาวชน ประมาณ 35 คน กลุ่มอายุระหว่าง 25-40ปี ประมาณ 200 คน และกลุ่มอายุระหว่าง 40-90 ปี ประมาณ 180 คน (น. 39-40) |
|
Economy |
อาชีพหลักของชาวไทเขินในพื้นที่บ้านป่าไผ่ คือ เกษตรกรรม ในอดีตเน้นการทำการเกษตรแบบยังชีพ แต่ปัจจุบันเน้นเพื่อเศรษฐกิจ โดยปลูกข้าวเหนียวเป็นหลัก (น. 38, 42)
กลุ่มชาวบ้านที่มีอายุระหว่าง 40-90 ปี ส่วนมากทำการเกษตรเพาะปลูกถั่วลิสง พืชผักสวนครัว รับจ้างเกี่ยวกับการเกษตร และรับจ้างทั่วไปในอำเภอ
กลุ่มชาวบ้านที่มีอายุระหว่าง 25-40 ปี ส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรเช่นเดียวกับกลุ่มแรก และยังนิยมเลี้ยงสัตว์ อาทิ ไก่ โค สุกร ปลา กบ บางส่วนประกอบอาชีพรับจ้างทั้งการเกษตร รับจ้างในโรงงาน ขับรถ และค้าขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ บางส่วนรับราชการและเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ
กลุ่มเยาวชน ส่วนมากกำลังศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษา (น. 39-40)
ความเปลี่ยนแปลงด้านวิถีการเกษตรเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2528 เนื่องด้วยได้รับน้ำชลประทานจากโครงการชลประทานเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จึงทำให้สามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี และได้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการเกษตรแบบผสมผสานเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 60 พรรษา ซึ่งส่งผลให้ความเป็นอยู่และฐานะของชาวบ้านดีขึ้น (น. 42-43) |
|
Political Organization |
ในปี พ.ศ. 2517 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสุขาภิบาล ถัดมาเปลี่ยนแปลงเป็นเทศบาลในปี พ.ศ. 2545 โดยอยู่ภายใต้ความดูแลของเทศบาลเมืองแกนพัฒนา แบ่งการปกครองออกเป็นฝ่ายปกครอง ฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ ฝ่ายการศึกษาและวัฒนธรรม ฝ่ายการคลัง ฝ่ายสวัสดิการและสังคม และฝ่ายสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการกลางหมู่บ้าน ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีบทบาทในกิจกรรมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน และการรับคำสั่งการดำเนินการจากราชการ (น. 48)
องค์กรที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการในชุมชน ประกอบด้วย คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ซึ่งขึ้นตรงกับคณะกรรมการเทศบาลเมืองแกนพัมนา อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่, ศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) มีหน้าที่ในการรับผิดชอบด้านสาธารณสุขของชุมชน, กลุ่มยุวเกษตรกร เป็นกลุ่มที่ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ประเภท โค ไก่ สุกร ปลา กบ และการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์เล็ก คือ เครื่องสูบน้ำและรถจักรยานยนต์, กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร มีหน้าที่ในการส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร, กลุ่มออมทรัพย์ มีหน้าที่ในการจัดการเงินออมเพื่อการเกษตร และกลุ่มเลี้ยงสัตว์ประเภทต่าง ๆ ได้แก่ ไก่ สุกร ปลา โค กบ นกกระทา มีหน้าที่ในการจัดหาพันธุ์สัตว์สำหรับเกษตรกรในราคาถูก (น. 48-51) |
|
Belief System |
ชาวไทเขินนับถือผีบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ร่วมกับการนับถือศาสนาพุทธ โดยมีศาลเสื้อบ้านเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาหมู่บ้าน และมีวัดป่าไผ่ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2409 เป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
สำหรับความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับผีบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านนั้น ในการทำพิธีจะมีตั้งขาวหรือผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือจากชาวบ้านเป็นผู้สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละพิธี อาทิ พิธีเลี้ยงผี ตั้งขาวจะต้องเป็นผู้ชายซึ่งเป็นมัคนายก พิธีเลี้ยงผีปู่ย่า ตั้งขาวจะต้องเป็นผู้หญิงอาวุโสในหมู่บ้าน (น. 38) อีกทั้งยังมีความเชื่อเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
- ความเชื่อเรื่องเสื้อบ้าน ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาและขจัดภัยพิบัติแก่หมู่บ้าน มีการเลี้ยงเสื้อบ้านในเดือน 9 เหนือของทุกปี
- ความเชื่อเรื่องผีปู่ย่า ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วซึ่งคอยดูแลให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มีการเลี้ยงผีปู่ย่าในช่วงเดือน 9 เหนือ
- ความเชื่อเรื่องผีขุนน้ำ เชื่อว่าเป็นผู้ปกปักรักษาแม่น้ำที่ชาวบ้านในการเกษตร ชาวบ้านจะมีพิธีเลี้ยงผีขุนน้ำที่ห้วยออกรูทางด้านทิศตะวันออกของเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลในเดือนมิถุนายนของทุกปี
- ความเชื่อเรื่องผีไร่ผีนา เชื่อว่าจะต้องทำพิธีขออนุญาตเจ้าที่ก่อนการเพาะปลูกเพื่อให้ช่วยดูแลผลผลิตให้เจริญงอกงาม โดยมีการทำพิธี 2 ครั้ง คือ ก่อนทำการเกษตรและก่อนการเก็บเกี่ยวผลผลิต
- ความเชื่อเรื่องผีต้นข้าว ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลต้นข้าวที่ออกรวงให้มีผลผลิตที่งอกงามสมบูรณ์ (น. 44-45)
ส่วนประเพณีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนานั้น ชาวไทเขินเข้าร่วมงานโดยมีวัดป่าไผ่เป็นศูนย์กลาง อาทิ
- ประเพณีกินข้าวใหม่ จัดขึ้นหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยชาวบ้านจะนำข้าวที่เก็บเกี่ยวผลผลิตใหม่มาทำบุญร่วมกันที่วัด
- ประเพณีกินข้าวใหม่ จัดขึ้นหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร เป็นการนำข้าวเปลือกมาทำบุญร่วมกันที่วัด โดยมีความเชื่อว่าเป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปยังเทวบุตร เทวดา เจ้ากรรมนายเวร และผู้ล่วงลับ อีกทั้งยังเป็นการตอบแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ช่วยให้ผลผลิตเจริญงอกงามดี
- ประเพณีส่งผี จะทำเมื่อมีผู้เจ็บป่วย โดยชาวบ้านเชื่อว่าอาจเกิดจากผีต่าง ๆ มารบกวน การทำพิธีจะขอให้หมอพื้นบ้านทำพิธีส่งผีเพื่อให้อาการทุเลาลง
- ประเพณีสู่ขวัญ เป็นประเพณีที่ทำขึ้นหลังหายจากอาการเจ็บป่วย โดยเชื่อว่าเป็นการเรียกขวัญกลับคืนมา และจะทำขึ้นในกรณีที่คนในครอบครัวจะต้องเดินทางห่างบ้านไปไกล เพื่อให้ขวัญอยู่กับเนื้อกับตัว (น. 43-46) |
|
Education and Socialization |
ในอดีตพื้นที่บ้านป่าไผ่ มีการจัดตั้งโรงเรียนวัดป่าไผ่สำเริงราชกิจวิทยาขึ้นโดยนายหมื่น ตรากิจ เพื่อเปิดสอนนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ซึ่งในปี พ.ศ. 2527ได้มีประกาศ สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอแม่แตง สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติให้ยุบโรงเรียน (น. 41)
ปัจจุบันได้มีการศึกษานอกระบบจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาให้ความรู้และอบรมชาวบ้านเกี่ยวกับการเกษตร การปศุสัตว์ และการดูแลสุขภาพ ประกอบด้วย สํานักงานปศุสัตว์อําเภอ สํานักงานประมงอําเภอ สํานักงานพัฒนาที่ดิน สำนักงานเกษตรอําเภอ และสํานักงานสาธารณสุข (น. 41-42) |
|
Health and Medicine |
“พ่อหมอ” คือ หมอพื้นบ้านชาวไทเขิน (น. 2) โดยเป็นผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนด้านการแพทย์พื้นบ้าน (น. 5)
หน่วยงานที่ดูแลเรื่องการรักษาสุขภาพในพื้นที่บ้านป่าไผ่ ประกอบด้วย สถานีอนามัยตำบลช่อแล เปิดให้บริการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2496 คลินิกจำนวน 2 แห่ง และร้านขายยาจำนวน 2 แห่ง (น. 46-47) ในอดีตการรักษาด้วยหมอพื้นบ้านเป็นที่นิยมเนื่องด้วยโรงพยาบาลและสถานีอนามัยตั้งอยู่ภายในอำเภอซึ่งไกลจากหมู่บ้าน ปัจจุบันมีการรักษาในสถานพยาบาลแพทย์แผนปัจจุบันมากยิ่งขึ้น (น. 52) แม้ว่าการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันจะเข้ามามีบทบาทต่อชาวไทเขิน แต่การรักษาโดยหมอพื้นบ้านยังคงมีบทบาททางด้านจิตใจ (น. 79)
ชาวไทเขินในพื้นที่บ้านป่าไผ่ได้มีการจัดตั้งกลุ่มหมอพื้นบ้านขึ้นภายในชุมชนเพื่อถ่ายทอดการเป็นหมอพื้นบ้าน โดยมีวิธีการรักษาด้วยการประกอบพิธีกรรม การนวด และการใช้ยาสมุนไพร โดยทางกลุ่มมีความกังวลการผิดต่อกฎหมาย จึงได้มีการไปสอบใบประกอบโรคศิลป์แผนโบราณเพื่อให้สามารถรักษาโรคถูกต้องตามกฎหมาย (น. 51) โดยปัจจุบันมีหมอพื้นบ้านเพียง 8 คนเท่านั้น (น. 56) อ้างถึง ยงยุทธ ตรีนุชกร (2531) สาเหตุที่ก่อให้เกิดการลดลงของการสืบทอดภูมิปัญญาการแพทย์ไทเขิน คือ ความนิยมของการแพทย์แผนตะวันตก และการออกกฎหมายควบคุมหมอพื้นบ้านของรัฐบาล ส่งผลให้ชาวบ้านไม่นิยมรักษาด้วยการแพทย์พื้นบ้าน และก่อให้เกิดการเผาทำลายตำราการแพทย์พื้นบ้านของหมอพื้นบ้าน (น. 2-3)
วิธีการรักษาด้วยหมอพื้นบ้าน
การรักษาด้วยหมอพื้นบ้านไทเขินเป็นการรักษาด้วยการเสกหรือเป่ามนต์คาถา การนวด ร่วมกับการใช้และการรับประทานสมุนไพร สำหรับสมุนไพรที่ใช้ในการรักษา ได้แก่
- หมากพลู รากหญ้าตีนกา มะพร้าวห้าว มีสรรพคุณแก้บวม ฟกช้ำ
- น้ำมันมะพร้าว ยาดำ เกลือ หัวไพล มีสรรพคุณในการรักษาโรคอัมพฤกษ์
- เหง้าสับปะรด ดินประสิว รากหญ้าคา มีสรรพคุณในการรักษาโรคนิ่ว
- ขมิ้นแกง ขิง กระเทียม กระชายดำ-ขาว ขมิ้นอ้อย บอระเพ็ด พริกไทย ใบชะดัด เพ็ดสังฆาต มีสรรพคุณในการรักษาโรคริดสีดวงลำไส้
- ฟ้าทะลายโจร สังกะระณี มีสรรพคุณในการรักษาโรคภูมิแพ้ (น. 52-53)
นอกจากนี้ยังมีการเข้าทรงเพื่อสอบถามผีปู่ย่า จากนั้นรักษาตามที่หมอพื้นบ้านบอก หรือมีการทำกระทงใส่อาหาร ขนม รูปปั้น ดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อเป็นการส่งเคราะห์ โดยปัจจุบันยังคงทำนิยมควบคู่กับการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน (น. 54)
ผู้ถ่ายทอดและผู้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน
ผู้ถ่ายทอดภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน ประกอบด้วย กลุ่มบรรพบุรุษและเครือญาติ เนื่องด้วยในชุมชนมีความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งของ 3 ตระกูลหลักซึ่งเป็นชาวไทเขิน ทำให้ยังคงมีการสืบทอดการถ่ายทอดตามสายตระกูล รวมทั้งในปัจจุบันมีการสืบทอดนอกสายตระกูลจากผู้อาวุโสทั้งในและนอกชุมชน (น. 56), พระสงฆ์ เป็นผู้นำทางศาสนาที่มีความรู้ในการอ่านปั๊บสาใบลานซึ่งมีการบันทึกตำรายา (น. 56) และชาวพม่าซึ่งเป็นผู้มีความรู้ทางด้านการแพทย์ที่อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง (น. 57) โดยกลุ่มผู้รับการถ่ายทอดนั้น ส่วนมากเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ (น. 75)
วิธีการถ่ายทอดภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน
ในอดีตส่วนมากเป็นการถ่ายทอดความรู้การแพทย์พื้นบ้านภายในสายตระกูลหรือเครือญาติเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีการถ่ายทอดสู่บุคคลภายนอกตระกูลมากขึ้นโดยมีพิธีและขั้นตอนในรับใช้หมอพื้นบ้านเพื่อทดสอบความอดทน ความตั้งใจ ก่อนการได้รับความรู้ควบคู่การฝึกคุณธรรม (น. 57, 62) ผ่านการบอกเล่าแล้วจดจำ (น. 56) และการฝึกปฏิบัติ โดยการติดตามหมอพื้นบ้านเข้าป่าเพื่อหาสมุนไพร เพื่อจดจำลักษณะรวม ทั้งแหล่งที่มา (น. 56) อีกทั้ง ยังพบการถ่ายทอดจากพระสงฆ์ด้วยการบอกเล่าตำรายาจากปั๊บสาใบลาน โดยมีการให้จดจำด้วยภาษาไทยถิ่นเหนือ (น. 57)
นอกจากนี้ ยังพบการถ่ายทอดในรูปแบบใหม่ คือ การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหมอพื้นบ้านด้วยกัน (น. 57) และการเรียนรู้ผ่านการจัดกระบวนการจากหน่วยงานภายนอกชุมชน อาทิ การศึกษาดูงาน การฝึกอบรม การจัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนระหว่างหมอพื้นบ้านและนักวิชาการ (น. 61, 65)
วิธีการเรียนรู้ภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน
วิธีการเรียนรู้ มีทั้งการเรียนรู้รายบุคคล ทั้งเพื่อเป็นหมอพื้นบ้านและเพียงเพื่อให้มีความรู้ติดตัวในเบื้องต้น (น. 58) การเรียนรู้ร่วมกับชุมชน ผ่านการเข้าร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ (น. 58) และการเรียนรู้เป็นกลุ่ม ทั้งภายในครอบครัว และภายนอกครอบครัว (น. 59) โดยการเรียนรู้เป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เป็นการเรียนรู้โดยธรรมชาติ (น. 67) ด้วยวิธีผู้ใหญ่สั่งสอนผู้น้อย (น. 73)
ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน
ผู้ถ่ายทอดมีความเชื่อเรื่องศิษย์ล้างครู และความเชื่อเรื่องอายุของผู้ถ่ายทอดจะสั้นลง จึงนิยมถ่ายทอดความรู้เมื่อมีอายุมากแล้ว (น. 56) ทั้งนี้ พบความเชื่อในการถ่ายทอดที่สัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยก่อนการถ่ายทอดจะต้องมีการตั้งขันครู บูชาดอกไม้ ธูป เทียน และกล่าวคำประกาศิตในพระเวทย์ คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หากทำชั่วจะส่งผลให้วิชาความรู้เสื่อมลง (น. 65) อีกทั้ง หากผู้ถ่ายทอดเป็นพระสงฆ์ จะมีพิธีกรรมในการถ่ายทอดที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธ โดยมีการไหว้พระพุทธรูปและการกล่าวคำสาบานเพื่อรักษาสัจจะ และกระทำความดี ละเว้นความชั่ว ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์และมีคุณธรรม (น. 59) และมีความเชื่อเรื่องการได้รับบาปหากลูกศิษย์นำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิดศีลธรรม (น. 60)
ในกระบวนการเรียนรู้ ปรากฏความเชื่อเรื่องการเรียนตามตำรา โดยวันจันทร์เรียนความรู้ทางเมตตา วันอังคารเรียนคาถาอาคม วันพฤหัสบดีเรียนเกี่ยวกับยา (น. 65) อีกทั้งยังมีความเชื่อเรื่องการเก็บสมุนไพรตามวันและเวลา (ตารางที่ 1 น. 55) การเก็บตามฤดูกาล คือ เก็บรากและแก่นในฤดูร้อน เก็บลูกและดอกในฤดูฝน เก็บเปลือก กระพี้ และเนื้อไม้ในฤดูหนาว อีกทั้ง ยังมีการเก็บตามทิศ โดยทิศเหนือเก็บในวันพฤหัสบดี ทิศตะวันออกเก็บในวันอังคารและวันอาทิตย์ ทิศตะวันตกเก็บในวันจันทร์และวันเสาร์ ทิศใต้เก็บในวันพุธและวันศุกร์ (น. 55)
สำหรับข้อกำหนดและข้อห้ามของผู้รับการถ่ายทอดนั้น มีข้อห้ามรับประทานอาหารในงานศพ ต้องมีสมาธิและตัดความกำหนัดระหว่างรักษาผู้ป่วย (น. 65) อีกทั้ง ยังมีข้อจำกัดในการถ่ายทอดวิชาคาถาอาคมให้ผู้รับการถ่ายทอดที่สัมพันธ์กับวันเกิด ดวงเกิด สภาพจิตใจ และการปฏิบัติตน (น. 66)
ความเปลี่ยนแปลงของภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้าน
ความเปลี่ยนแปลงด้านการหาวัตถุดิบ ในอดีตป่ามีความอุดมสมบูรณ์สามารถหาสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาทั้งหมดได้จากป่า แต่ปัจจุบันสมุนไพรบางอย่างไม่สามารถหาได้แล้ว อีกทั้งสืบเนื่องจากมีการแลกเปลี่ยนความรู้กับชาวพม่า ทำให้ต้องสั่งซื้อสมุนไพรบางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากในชุมชนจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจากชาวไทใหญ่ (น. 57)
ในอดีตมีการหวงวิชาความรู้ซึ่งเป็นของบรรพบุรุษ ปัจจุบันมีการถ่ายทอดความรู้ให้กับคนนอกครอบครัวมากยิ่งขึ้น (น. 59) และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ในลักษณะเครือข่ายการเรียนรู้ (น. 76)
ปัจจุบันมีกฎหมายในการควบคุมการรักษาโรค โดยมีข้อกำหนดเรื่องใบประกอบโรคศิลป์แผนโบราณ กระทรวงสาธารณสุข ส่งผลให้หมอพื้นบ้านชาวไทเขินต้องเข้ารับการอบรมจากสมาคมผู้ประกอบโรคศิลป์แผนโบราณภาคเหนือใน 2 สาขาวิชา คือ เภสัชกรรมแผนโบราณและเวชกรรมแผนโบราณ และเข้ารับการทดสอบเพื่อให้สามารถเปิดรักษาโรคได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีเพียงหมอพื้นบ้านชาวไทเขินในพื้นที่บ้านป่าไผ่จำนวน 1 คนเท่านั้น ที่ผ่านการทดสอบและได้รับใบประกอบโรคศิลป์แผนโบราณ (น. 66-67) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวไทเขินในบ้านป่าไผ่มีเครือญาติหลัก 3 ตระกูล คือ ตระกูลมูลแฝง ตระกูลพรมปัญญา และตระกูลยานะ (น. 39) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- ภูมิปัญญาการเก็บยาตามวันและเวลา (น. 55)
แผนผัง
- เครือข่ายการเรียนรู้ในการดูแลรักษาสุขภาพของชุมชนบ้านป่าไผ่ (น. 71)
- การถ่ายทอดการเรียนรู้ของหมอพื้นบ้านในชุมชนและนอกชุมชนบ้านป่าไผ่ (น. 63)
- เครือข่ายการเรียนรู้ของหมอพื้นบ้านบ้านป่าไผ่และนอกชุมชนบ้านป่าไผ่ (น. 64)
แผนที่
- ที่ตั้งและแผนที่ชุมชนหมู่บ้านป่าไผ่ (น. 99-102)
ภาพถ่าย
- หอเจ้าบ้านป่าไผ่ (น. 104)
- แท่นบูชาครูของหมอพื้นบ้านชาวไทเขิน (น. 105-107)
- สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคของชาวไทเขิน (น. 111-112, 114, 116)
- พิธีกรรมการเลี้ยงผี (น. 118) |
|
|