สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject การศึกษาประสบการณ์ทางสังคม, เรื่องเล่าของความรู้สึกต่ำต้อย, ลาหู่, ลาหู่ดำ, ชุมชนลาหู่คริสเตียน, ชาวมูเซอ, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Author Yoichi Nishimoto
Title Northern Thai Christian Lahu Narratives of Inferiority: A Study of Social Experience
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Theses) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 173 Year 2541
Source วิทยานิพนธ์ (สาขาการพัฒนาสังคม) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

วิทยานิพนธ์นี้ได้ศึกษาถึงวิถีทางที่ประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกประวัติศาสตร์ของชาวลาหู่คริสเตียนได้ก่อกำเนิดและซึมซาบเข้าสู่ประวัติศาสตร์ของการมีสัมพันธภาพกับชาวพื้นราบที่มีอำนาจเหนือกว่า และประสบการณ์อันยาวนานของการเปลี่ยนไปเป็นชาวคริสเตียน นอกจากนั้นยังได้ศึกษาวาทกรรมของชาวลาหู่คริสเตียนเกิดขึ้นได้อย่างไร จากปฏิสัมพันธ์ของการมีประสบการณ์ทางสังคม การบอกเล่าเรื่องราวของการเป็นคริสเตียนร่วมกัน โดยมองชาวบ้านในฐานะมนุษย์ที่เป็นผู้กระทำ วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้จึงมิใช่เพียงแค่ศึกษาถึงปรีชาญาณหรือความรู้เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญต่อความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังต่ออนาคตของชาวบ้านด้วย ในการทำความเข้าใจเรื่องราวของชาวลาหู่คริสเตียนนี้ ได้วิเคราะห์ผ่านถ้อยคำที่ชาวบ้านได้ถ่ายทอดและบอกเล่าจากประสบการณ์จริงของตนเอง (น. iv)
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการเผชิญหน้ากับอำนาจครอบงำของชาวพื้นราบซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ เรื่องเล่าที่มีลักษณะรูปแบบต่าง ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้น ซึ่งในที่นี้หมายความถึง “เรื่องเล่าว่าด้วยความรู้สึกต่ำต้อยของชาวบ้าน” ในการวิเคราะห์เรื่องเล่าของชาวบ้านนี้ ได้ทำให้ทราบว่าเบื้องหลังการนิยามตนเองว่าเป็นผู้ต่ำต้อยนั้น ได้มีความรับรู้ในแง่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิต่อตนเองของชาวบ้านแฝงอยู่ด้วย ความขัดแย้งกันเองของการนิยามตัวตนเช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกลักลั่นคลุมเครือขึ้นในประสบการณ์ทางสังคมของชาวลาหู่คริสเตียน (น. iv)
เรื่องเล่าของชาวบ้านเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “ภูมิปัญญา” มีใจความโดยย่อว่า การตกอยู่ภายใต้การชี้นำอันยาวนานให้เป็นอารยชนตามแบบอย่างของชาวคริสเตียนที่ดี ซึ่งแนวทางดังกล่าวให้ความสำคัญต่อการศึกษาในระบบโรงเรียน และความรู้ที่ถ่ายทอดผ่านภาษาเขียน ว่าอยู่เหนือกว่าระบบภูมิปัญญาเดิมของชาวลาหู่ ซึ่งถ่ายทอดผ่านภาษาพูด ได้ทำให้ชาวบ้านเห็นไปว่า “ความรู้” (ได้รับมาจากการศึกษาในระบบและปรากฏอยู่ในหนังสือ) กับ “ภูมิปัญญา” (ได้มาจากการผ่านประสบการณ์ในชีวิตจริงอย่างยาวนาน) เป็นเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “ภูมิปัญญา” รูปแบบอื่นที่ไม่ได้เป็นภาษาเขียนจะถูกละเลยไปจากวาทกรรมหลักของชาวลาหู่คริสเตียนมานาน (น. iv) แต่ชาวบ้านยังคงมีการกระทำเชิงตอบโต้อยู่ห่าง ๆ จากเวทีวาทกรรมหลัก โดยให้ความสำคัญต่อคุณค่าอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นชาวลาหู่ดั้งเดิมได้มากกว่า “ภูมิปัญญา” ที่อยู่ในภาษาเขียน (น. v)
ส่วนเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “รัฐล่าหู่” ซึ่งเนื้อหาได้บอกความรู้สึกเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตนเองอย่างมาก การวิเคราะห์เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “รัฐล่าหู่” นี้ มีข้อโต้แย้งว่า ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเป็นคริสเตียนของชาวลาหู่ ได้เกิดการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ซึ่งปรากฏอยู่ทั้งในตำนานในทัศนะเรื่องเวลาและประวัติศาสตร์ ตลอดจนความเชื่อในขบวนการเรื่องพระศรีอาริย์ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีสาเหตุจากการรับเอาวิธีการรับปฏิทินวันเดือนปีของชาวตะวันตก การยอมรับระบบการศึกษาในโรงเรียน ภาษาเขียน และพิธีกรรมประจำปีใหม่ ๆ ที่ศาสนจักรนำเข้ามาเป็นของตน การปรับแต่งตำนานเกี่ยวกับผู้นำทางความเชื่อของชาวลาหู่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการปรับเปลี่ยนนี้ ดังนั้น ถึงแม้ชาวลาหู่คริสเตียนจะตระหนักดีถึงความจริงที่เจ็บปวดนี้ หรืออันที่จริงแล้วเป็นเพราะความเป็นจริงอันนี้นี่เอง ที่ทำให้ชาวลาหู่คริสเตียนได้วาดหวังถึงอนาคตที่สวยงาม โดยมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดนการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการรื้อฟื้น “รัฐล่าหู่” ขึ้นใหม่  ซึ่งการวาดหวังนี้มีการผลิตซ้ำและตอกย้ำมาอย่างต่อเนื่อง ชาวลาหู่คริสเตียนที่รู้สึกผูกพันกับความรักของพระผู้เป็นเจ้าและภารดรภาพน้อยกว่าประวัติศาสตร์และชะตากรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง จึงได้ปรุงแต่งเนื้อหาของศาสนาหลักให้สอดคล้องกับสภาวะความเป็นชนพื้นเมือง (น. v)

Focus

          การศึกษานี้พยายามสำรวจเรื่องเล่าเกี่ยวกับตนเองของชาวลาหู่คริสเตียน เรื่องเล่าที่วิเคราะห์ในงานชิ้นนี้มิได้หมายถึงรูปแบบที่ครอบคลุมถึงปรัมปรา ตำนาน เรื่องในอดีต การเทศน์ หนังสือ หรือเพลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องราวและวลีสั้นที่ใช้ในการสนทนาในชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งเรื่องเล่าเหล่านี้เป็นตัวแทนของประสบการณ์ทางสังคมของชาวลาหู่คริสเตียนที่ก่อร่างผ่านการเล่าเรื่อง นอกจากนี้ยังศึกษาอิทธิพลของคริสต์ศาสนาที่มีผลต่อการก่อรูปของประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ของชาวลาหู่คริสเตียนอีกด้วย

Theoretical Issues

          กรอบมโนทัศน์หลักที่ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์เรื่องเล่าและกระบวนการที่ซับซ้อนของการปฏิสัมพันธ์ของชาวลาหู่คริสเตียนมีแนวทาง 3ลักษณะ ได้แก่

1. การวิเคราะห์เรื่องเล่าในฐานะการห่อหุ้มประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ (น. 13) ในที่นี้ประสบการณ์ทางสังคมมิได้หมายถึงการรู้คิดของผู้คนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความรู้สึกและความคาดหวังต่อภาวะความจริง ขณะที่สำนึกทางประวัติศาสตร์ มีความหมายรวมไปถึง ทรรศนะ ความปรารถนา และความรู้สึกที่มีต่อประวัติศาสตร์

2. เรื่องเล่าในฐานะการอ้างถึง ที่ก่อร่างและปรับปรุงรูปแบบของประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มคน (น. 13) การเล่าเรื่องเป็นมากกว่าวิธีการส่งผ่านเนื้อหาเชิงภาษาศาสตร์ การเล่าเรื่องเป็นเสมือนพิธีกรรมที่ส่งผลต่อการรับรู้และอารมณ์อันหลากหลายของผู้คน

3. การเล่าเรื่องมิได้ยืนยันประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ของผู้คนเสมอไป บางครั้งเรื่องเล่ามีนัยสำคัญเชิงแผกแยกต่อภาวะความเป็นจริงของผู้เล่า วาทกรรมที่ขัดแย้งนี้แสดงถึงชีวิตที่ไม่ขึ้นอยู่กับการครอบงำของสิ่งที่ได้รับการเล่าถึง การศึกษาในครั้งนี้จึงรวมไปถึงวิธีการมองเรื่องเล่าในฐานวาทกรรมใช้อธิบายระยะที่มีต่อสิ่งที่ได้รับการเล่าถึง นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ของแรงขับทางสังคมของผู้กระทำอันหลากหลายที่ปฏิบัติการอยู่เบื้องหลังเรื่องและภาวะความเป็นจริง

Ethnic Group in the Focus

          ลาหู่ เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ถูกระบุถึงในการศึกษาครั้งนี้ ชุมชนในการศึกษาครั้งนี้เป็นหมู่บ้านชาวลาหู่คริสเตียนในตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ชาวลาหู่เรียกตนเองว่า “ลาหู่” แต่กลุ่มชาติพันธุ์อย่างคนฉานและคนไทยเรียกพวกเขาว่า “ชาวมูเซอ” ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นคำเรียกที่มาจากภาษาพม่าผ่านคนฉาน แปลว่า “นักล่า” (อ้างจากLewis and Lewis 1984: 172)

          ชาวลาหู่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ และตะวันตกเฉียงใต้ของจีน พบชุมชนชาวลาหู่อาศัยอยู่ในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว และเวียดนาม  ผู้ลี้ภัยชาวลาหู่จากประเทศลาวมีชุมชนผู้ย้ายถิ่นอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

Language and Linguistic Affiliations

          ภาษาลาหู่จัดอยู่ในตระกูลภาษาธิเบต-พม่า มีหลายภาษาย่อย (ภาษาถิ่น) และสำเนียง ภาษาลาหู่ดำ (Black Lahu) ถือว่าเป็นภาษาลาหู่มาตรฐานและเป็นภาษากลางสื่อสารระหว่างกัน (linga franca) ภาษาลาหู่ มีตัวอักษรโรมันแทนตัวเขียน วรรณกรรมส่วนใหญ่ที่ได้รับการบันทึกเป็นภาษาลาหู่ดำ ขณะที่ชาวลาหู่คนอื่นๆ หรือกลุ่มอื่นที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่สามารถอ่านออกเขียนภาษาลาหู่ได้

          ภาษาไทย ประชากรเรียนรู้จากการศึกษาขึ้นพื้นฐานและการสอนภาษาเบื้องต้นโดยทหารในพื้นที่ และภาษาพม่า

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามเป็นเวลา 8เดือน ครึ่ง จากกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 1996ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1997(น. 15)

History of the Group and Community

          แทบจะทุกคนในหมู่บ้านนี้ยกเว้นลูกหลานของพวกเขาหลบหนีสงครามที่ไม่หยุดหย่อนในพม่า และเคลื่อนย้ายเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา (น. 46) ในฐานะผู้ลี้ภัย

Settlement Pattern

ไม่มี

Demography

          ในหมู่บ้านนี้ ซึ่งจัดว่าเป็นหมู่บ้านที่มีราษฎรบนพื้นที่สูง หรือบุคคลบนพื้นที่สูง หรือชาวเขา อาศัยอยู่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสถานภาพพลเมืองซับซ้อน

หมู่บ้าน PTมีประชากร 25หลังคาเรือน มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 162คน (น. 21) หมู่บ้านดังกล่าวมีประชากร 3ประเภท นั่นคือ (1) ผู้มีบัตรประจำตัวสีขาว/บัตรประชาชน (2) ผู้มีบัตรประจำตัวสีฟ้า/บัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง (3) ผู้ที่ไม่มีบัตร ซึ่งในปีที่ศึกษานั้น สถานภาพของคนในหมู่บ้านที่อายุมากกว่า 15ปี มีจำนวน 91คน เป็นผู้ที่มีบัตรประชาชน 30คน มีบัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง 44คน และเป็นผู้ที่ไม่มีบัตร 17คน (น. 26)

          ครอบครัวชาวลาหู่ดำ (Black Lahu) ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้เป็นกลุ่มแรกคือ ครอบครัว Ca Bos ที่มีต้นทางอยู่ในยูนนาน ประเทศจีน เคลื่อนย้ายเข้าสู่บริเวณรัฐฉานของพม่า ก่อนอพยพอีกครั้งเข้ามาในประเทศไทย เมื่อปี 1974(น. 24)

Economy

          ด้วยการเข้าถึงเพียงพื้นที่เพาะปลูกบนพื้นที่สูงที่ไม่สมบูรณ์มากนัก บวกกับการควบคุมที่เข้มงวดของทางการไทย ทำให้การทำการเกษตรแบบหมุนเวียนตามวิถีของชาวลาหู่เป็นไปอย่างยากลำบากและไม่เพียงพอต่อการยังชีพ การเติบโตของเศรษฐกิจการตลาดและเกษตรเชิงพาณิชย์โดยรอบนำมาซึ่งการขายทอดที่ดินของหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านหันมาพึ่งพารายได้รายวันจ้างการเป็นแรงงานมากยิ่งขึ้น

            คนเมืองและคนไทยภาคกลางที่ทำการเกษตรอยู่ในพื้นที่มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจในแง่ของเศรษฐกิจมากกว่า (น. 46)

Political Organization

          ในช่วงทศวรรษที่ 19พบรายงานของจีนและชาติตะวันตกเกี่ยวกับชาวลาหู่ เรื่องของการขัดขืนต่อจักรวรรดิของชาวจีนซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่อังกฤษมีสิทธิการปกครองเหนือเขตแดนประเทศพม่าตอนบน ราวปี 1886(น. 52) เมื่อสิ้นสุดทศวรรษดังกล่าว ชาวลาหู่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจีน แต่จำนวนหนึ่งหลบหนีเข้าสู่พม่าและลาว

          ในพม่าชาวลาหู่ตั้งชุมชนอยู่ในเมืองเชียงตุงของรัฐฉาน ราวปีคริสต์ศตวรรษ 1830(Telford 1937: 93) ซึ่งได้สร้างสายสัมพันธ์กับกับผู้นำชาวพื้นราบและร่วมปกป้องที่ราบหุบเขาเชียงตุง พร้อมทั้งสนับสนุนผลผลิตและแรงงานต่อเจ้าฟ้าฉานผู้ปกครอง อย่างไรก็ดี ชาวลาหู่ยังคงมีอิสระในการปกครองกลุ่มของตนเอง จนกระทั่งเมื่อสถานการณ์การเมืองและสงครามในพม่ามีความรุนแรงมากขึ้น ชุมชนชาวลาหู่ส่วนหนึ่งจึงอพยพอีกครั้งหนึ่ง

          ในช่วงปี 1989-1991มีค่ายทหารตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน หมู่บ้าน PT นี้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของทหารไทย (น. 21) ซึ่งได้สร้างโรงเรียนในหมู่บ้านและส่งครูสอนภาษาไทยเบื้องต้นเข้ามาสอน ก่อนที่คนในหมู่บ้านและทหารจะตกลงร่วมมือกันสร้างคริสตจักร (โบสถ์) ขึ้นในหมู่บ้าน ทุกวันนี้รัฐบาลไทยควบคุมสถานการณ์บริเวณชายแดนไทยได้ ชุมชนจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทหารอีกต่อไป แต่ย้ายไปขึ้นอยู่กับระบบ “หมู่บ้าน” โดยมีคนเมืองเป็นผู้ใหญ่บ้าน ที่ดูแลหมู่บ้าน/ชุมชน/หย่อมบ้านย่อย ๆ อีกจำนวนหนึ่ง (น. 21)

Belief System

          การปฏิบัติทางความเชื่อดั้งเดิมของชาวลาหู่ (น. 57) แตกต่างกันระหว่างกลุ่มชุมชนย่อยของชาวลาหู่ แต่หลายกลุ่ม รวมถึงชาวลาหู่คริสเตียนเชื่อในการมีอยู่ของวิญญาณหลากหลายที่เกี่ยวกับธรรมชาติและมนุษย์ที่ตายไปแล้ว (วิญญาณหรือ neในภาษาลาหู่)

            คริสตจักรนิกายแบพติสต์ของชาวลาหู่ (น. 62) ระบุว่าเมื่อเดือนตุลาคม 1997Thailand Lahu Baptist Conventionมีสมาชิกที่เข้าสู่นิกายแล้ว 6,974คน และสมาชิกที่ยังไม่ผ่านพิธีแบพติสต์ 6,700คน สมาชิกของนิกายจำนวนมากเป็นกลุ่มที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศพม่า ซึ่งส่วนใหญ่เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยภายหลัง 1960
ก่อนหน้านั้นชาวละหู่คริสเตียนในไทยมิได้มีการตั้งองค์กรคริสตจักร และคริสจักรประจำหมู่บ้านขึ้นอยู่กับองค์กรคริสตจักรแบพติสต์ของชาวกะเหรี่ยง (น. 62)

          อย่างไรก็ตาม ความเป็นคริสตชนของชาวลาหู่นั้นเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์สัมพันธ์ (ethnicity) มากกว่าความเป็นสากลของคริสต์ศาสนา (น. 69) เช่นความเชื่อเรื่องวิญญาณและผู้สร้างสูงสุด (เรียกว่า G’uisha) ชาวลาหู่คริสเตียนตีความผู้สร้างในความเชื่อดั้งเดิมใหม่ มีความหมายถึงพระเจ้าในคริสต์ศาสนา (น. 70)
 
          Telford (1937: 170-71) กล่าวว่า หมู่บ้านขนาดใหญ่ชาวลาหู่ดำในเชียงตุง รัฐฉาน มักประกอบไปด้วยผู้นำทางความเชื่อ 3บุคคล ได้แก่ พระหรือนักบวช (paw-hku), ผู้หยั่งรู้หรือคนทรง (maw-pa) และหมอรักษา (sheh-hpa) (อ้างใน Walker 1975:118-9) .ในหมู่บ้านหรือชุมชนของชาวลาหู่คริสเตียน ผู้นำทางความเชื่อทั้งสามนี้ถูกแทนที่ด้วยศาสนาจารย์ของหมู่บ้านและภรรยาของเขา ผู้ซึ่งเป็นผู้มีการศึกษาสูงและสามารถอ่านออกเขียนภาษาลาหู่ได้ (น.72)

Education and Socialization

          ไม่มีโรงเรียนของรัฐบาลในหมู่บ้าน เด็กจะต้องเดินทางไปเรียนหนังสือที่ตั้งอยู่บริเวณถนนสายหลักร่วมกันลูกหลายคนเมือง โดยมีรถรับส่งนักเรียนของโรงเรียนรับ-ส่งนักเรียนในหมู่บ้าน (น.36)

          แม้ว่าโบสถ์คริสต์จะให้ความสำคัญกับการศึกษา แต่มีเพียงเด็กไม่กี่คนที่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาและการศึกษาภาคบังคับ ส่วนหนึ่งต้องออกจากโรงเรียนไปช่วยพ่อแม่ทำงานการเกษตร หรือไปรับจ้างเป็นแรงงาน เด็กผู้หญิงบางคนก็ออกมาแต่งงาน

          โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นตั้งอยู่ในอำเภอฝางและอำเภอแม่อาย มีเพียงลูกสาวของศาสนาจารย์เท่านั้นที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3ในอำเภอฝาง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับศึกษา ค่าเดินทาง ค่าหอพัก และการสูญเสียแรงงานเป็นภาระอย่างมากสำหรับครอบครัวชาวลาหู่คริสเตียนส่วนใหญ่ (น. 36)
สำหรับคนในชุมชนส่วนใหญ่ (ยกเว้นลูกของพวกเขา) ในอดีตเป็นผู้ย้ายถิ่นจากพม่า ผู้ใหญ่หลายคนจึงไม่สามารถอ่านออกเขียนภาษาไทยได้

          นอกเหนือจากการศึกษาของรัฐบาลแล้ว คริสตจักรลาหู่คริสเตียนก็สนับสนุนการรู้หนังสือลาหู่ ชาวลาหู่ที่ไม่ใช่คริสเตียนทั่วไปจะไม่สามารถอ่านออกเขียนภาษาลาหู่ได้ ทว่าชาวลาหู่คริสเตียนมีตัวอักษรโรมันที่คิดค้นโดยผู้เผยแพร่ศาสนาใช้เป็นตัวอักษรเขียนของภาษาลาหู่ ที่ผ่านมามีการเขียนภาษาลาหู่ดังกล่าวในวันอาทิตย์ แต่โรงเรียนดังกล่าวถูกปิดไปเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากเด็ก ๆ สนใจเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนและต้องช่วยครอบครัวในวันอาทิตย์ หลายคนในหมู่บ้านอ่านออกเขียนภาษาพม่าและภาษาไทยได้มากกว่าภาษาลาหู่ (น. 38)

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

          ปรัมปราของชาวลาหู่อธิบายลักษณะความหลากหลายของการสร้างโลก จุดเริ่มต้นบนโลก และเหตุผลว่าทำไมชาวลาหู่ถึงยากแค้นที่สุดในทุกวันนี้ ทำไมชาวลาหู่จึงยังชีพอย่างทุกวันนี้และไม่มีผู้ปกครองกลุ่มของตน รวมทั้งเหตุผลที่ว่าทำไมชาวลาหู่ไม่มีประเทศและตัวอักษรเป็นของตัวเอง ปรัมปราของชาวลาหู่มีแม่บทหรือแนวเรื่อง และลักษณะคล้ายคลึงกับปรัมปราของชาวกะเหรี่ยง ชาวม้ง ชาวอาข่า และกลุ่มชาติพันธุ์/ชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่

          คติชนและเรื่องเล่าของชาวลาหู่ ได้แก่ ปรัมปราของการสูญเสียและเรื่องราวของย้อนคืน (น. 81)  เรื่องเล่าของชาวลาหู่เกี่ยวกับความต่ำต้อยของตนเอง,ปรัมปราเรื่องการสูญเสียตัวอักษรเขียน เรื่องเล่าเกี่ยวกับภูมิปัญญาในชีวิตประจำวัน เรื่องเล่าเกี่ยวกับรัฐลาหู่ รวมไปถึงการประกอบสร้างเรื่องเล่าและสำนึกทางประวัติของศาสนดาของชาวลาหู่ที่ชื่อว่า A Sha Fu Cu(น. 126)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          ศาสนาจารย์ชาวลาหู่ผู้หนึ่งระบุว่าชาวลาหู่มีกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกันกว่า 16กลุ่ม (น.54) รวมไปถึงกลุ่มคริสเตียนลาหู่ที่มีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ย่อยด้วย

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Critic Issues

          การศึกษาในครั้งนี้พบว่าประสบการณ์ทางสังคมของชาวลาหู่คริสเตียนในภาคเหนือของไทยเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางชาติพันธุ์ (ethnic power relations) แม้ว่าคริสตจักรในฐานะสถานบันทางสังคมจะปลูกฝังนำมาซึ่งค่านิยมและมาตรฐานสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และความเป็นคริสเตียนลาหู่ และแม้ว่าชีวิตชาวลาหู่ปัจจุบันจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น แต่ชาวลาหู่ยังคงรับรู้กระบวนการเข้าสู่เศรฐกิจสมัยใหม่และรัฐในมิติของความสัมพันธ์ชิงอำนาจทางชาติพันธุ์ โดยมองว่าชุมชนของตนนั้นยังด้อยชุมชนคนพื้นราบที่มีอำนาจมากกว่า

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่
- ที่ตั้งของพื้นที่ศึกษาและบริเวณใกล้เคียง (น. 18)
- หมู่บ้านที่ศึกษา (น. 19)
ตาราง
- สถานภาพพลเมืองของคนในหมู่บ้านที่อายุมากกว่า 15ปี (น. 26)
- อาชีพของหมู่บ้าน PT(น. 30)
- ระดับการศึกษาของคนในหมู่บ้านที่อายุมากกว่า 15ปี (น. 37)
- รายนามผู้ใหญ่บ้าน (น. 39)
- กิจกรรมวันอาทิตย์ของคริสตจักรในหมู่บ้าน (น. 43)
- ประมาณการจำนวนประชากรลาหู่ (น. 51)
- งานเลี้ยงวันเกิดนาย Yang (นาย Yang กับลูก ๆ) (น. 79)
- งานเลี้ยงวันเกิดนาย Yang(คนในหมู่บ้านมาเยี่ยมเยียน) (น. 79)
- ภาพปัจจุบันของผู้ใหญ่บ้านชาวจีนและพระไทย (ถ่ายเมื่อปี 1993) (น. 81)
- นักเรียนในเครื่องแบบเมื่อปี 1993(น. 94)
- ห้องเรียนประถมศึกษาปีที่ 4(น. 96)
- ห้องเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3(น. 96)
- หลังเลิกเรียน (น. 99)
- พิธีงานศพ (น. 121)
- พิธีแต่งงาน (น. 122)
- พิธีไหว้พระจันทร์ (น. 123)
- ถนนสายหลัก (ระหว่างการก่อสร้าง) และ ฟาร์มหมูในบ้านถ้ำสันติสุข (น. 124)
- กิจกรรมทัศนศึกษาที่เชียงใหม่กับเยาวชนจีนยูนนาน และงานวันเกิด (น.125)
- การเฉลิมฉลองวันแห่งชาติไต้หวันในอดีต (นักเรียนทำการแสดงอย่างจีน) (น.126-7)
- ภาพพระมหากษัตริย์ไทย (น.128)
- ภาพผู้นำการปฏิวัติไต้หวันซินไห่ นายซุน ยัตเซน (น.128)
- ภาพบ้านเรือน สนามบาสเก็ตบอล ศาลาประชาคม อาคารเรียน ห้องพักครู แผนที่ในห้องพักครู การเขีนนจีนและภาพจีน (น. 138-141)

Text Analyst อุรินธา เฉลิมช่วง Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG การศึกษาประสบการณ์ทางสังคม, เรื่องเล่าของความรู้สึกต่ำต้อย, ลาหู่, ลาหู่ดำ, ชุมชนลาหู่คริสเตียน, ชาวมูเซอ, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง