|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การศึกษาประสบการณ์ทางสังคม, เรื่องเล่าของความรู้สึกต่ำต้อย, ลาหู่, ลาหู่ดำ, ชุมชนลาหู่คริสเตียน, ชาวมูเซอ, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
Author |
Yoichi Nishimoto |
Title |
Northern Thai Christian Lahu Narratives of Inferiority: A Study of Social Experience |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Theses) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
173 |
Year |
2541 |
Source |
วิทยานิพนธ์ (สาขาการพัฒนาสังคม) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
วิทยานิพนธ์นี้ได้ศึกษาถึงวิถีทางที่ประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกประวัติศาสตร์ของชาวลาหู่คริสเตียนได้ก่อกำเนิดและซึมซาบเข้าสู่ประวัติศาสตร์ของการมีสัมพันธภาพกับชาวพื้นราบที่มีอำนาจเหนือกว่า และประสบการณ์อันยาวนานของการเปลี่ยนไปเป็นชาวคริสเตียน นอกจากนั้นยังได้ศึกษาวาทกรรมของชาวลาหู่คริสเตียนเกิดขึ้นได้อย่างไร จากปฏิสัมพันธ์ของการมีประสบการณ์ทางสังคม การบอกเล่าเรื่องราวของการเป็นคริสเตียนร่วมกัน โดยมองชาวบ้านในฐานะมนุษย์ที่เป็นผู้กระทำ วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้จึงมิใช่เพียงแค่ศึกษาถึงปรีชาญาณหรือความรู้เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญต่อความรู้สึกนึกคิดและความคาดหวังต่ออนาคตของชาวบ้านด้วย ในการทำความเข้าใจเรื่องราวของชาวลาหู่คริสเตียนนี้ ได้วิเคราะห์ผ่านถ้อยคำที่ชาวบ้านได้ถ่ายทอดและบอกเล่าจากประสบการณ์จริงของตนเอง (น. iv)
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการเผชิญหน้ากับอำนาจครอบงำของชาวพื้นราบซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ เรื่องเล่าที่มีลักษณะรูปแบบต่าง ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้น ซึ่งในที่นี้หมายความถึง “เรื่องเล่าว่าด้วยความรู้สึกต่ำต้อยของชาวบ้าน” ในการวิเคราะห์เรื่องเล่าของชาวบ้านนี้ ได้ทำให้ทราบว่าเบื้องหลังการนิยามตนเองว่าเป็นผู้ต่ำต้อยนั้น ได้มีความรับรู้ในแง่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิต่อตนเองของชาวบ้านแฝงอยู่ด้วย ความขัดแย้งกันเองของการนิยามตัวตนเช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกลักลั่นคลุมเครือขึ้นในประสบการณ์ทางสังคมของชาวลาหู่คริสเตียน (น. iv)
เรื่องเล่าของชาวบ้านเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “ภูมิปัญญา” มีใจความโดยย่อว่า การตกอยู่ภายใต้การชี้นำอันยาวนานให้เป็นอารยชนตามแบบอย่างของชาวคริสเตียนที่ดี ซึ่งแนวทางดังกล่าวให้ความสำคัญต่อการศึกษาในระบบโรงเรียน และความรู้ที่ถ่ายทอดผ่านภาษาเขียน ว่าอยู่เหนือกว่าระบบภูมิปัญญาเดิมของชาวลาหู่ ซึ่งถ่ายทอดผ่านภาษาพูด ได้ทำให้ชาวบ้านเห็นไปว่า “ความรู้” (ได้รับมาจากการศึกษาในระบบและปรากฏอยู่ในหนังสือ) กับ “ภูมิปัญญา” (ได้มาจากการผ่านประสบการณ์ในชีวิตจริงอย่างยาวนาน) เป็นเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “ภูมิปัญญา” รูปแบบอื่นที่ไม่ได้เป็นภาษาเขียนจะถูกละเลยไปจากวาทกรรมหลักของชาวลาหู่คริสเตียนมานาน (น. iv) แต่ชาวบ้านยังคงมีการกระทำเชิงตอบโต้อยู่ห่าง ๆ จากเวทีวาทกรรมหลัก โดยให้ความสำคัญต่อคุณค่าอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นชาวลาหู่ดั้งเดิมได้มากกว่า “ภูมิปัญญา” ที่อยู่ในภาษาเขียน (น. v)
ส่วนเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “รัฐล่าหู่” ซึ่งเนื้อหาได้บอกความรู้สึกเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตนเองอย่างมาก การวิเคราะห์เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “รัฐล่าหู่” นี้ มีข้อโต้แย้งว่า ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเป็นคริสเตียนของชาวลาหู่ ได้เกิดการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ซึ่งปรากฏอยู่ทั้งในตำนานในทัศนะเรื่องเวลาและประวัติศาสตร์ ตลอดจนความเชื่อในขบวนการเรื่องพระศรีอาริย์ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีสาเหตุจากการรับเอาวิธีการรับปฏิทินวันเดือนปีของชาวตะวันตก การยอมรับระบบการศึกษาในโรงเรียน ภาษาเขียน และพิธีกรรมประจำปีใหม่ ๆ ที่ศาสนจักรนำเข้ามาเป็นของตน การปรับแต่งตำนานเกี่ยวกับผู้นำทางความเชื่อของชาวลาหู่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการปรับเปลี่ยนนี้ ดังนั้น ถึงแม้ชาวลาหู่คริสเตียนจะตระหนักดีถึงความจริงที่เจ็บปวดนี้ หรืออันที่จริงแล้วเป็นเพราะความเป็นจริงอันนี้นี่เอง ที่ทำให้ชาวลาหู่คริสเตียนได้วาดหวังถึงอนาคตที่สวยงาม โดยมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดนการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการรื้อฟื้น “รัฐล่าหู่” ขึ้นใหม่ ซึ่งการวาดหวังนี้มีการผลิตซ้ำและตอกย้ำมาอย่างต่อเนื่อง ชาวลาหู่คริสเตียนที่รู้สึกผูกพันกับความรักของพระผู้เป็นเจ้าและภารดรภาพน้อยกว่าประวัติศาสตร์และชะตากรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง จึงได้ปรุงแต่งเนื้อหาของศาสนาหลักให้สอดคล้องกับสภาวะความเป็นชนพื้นเมือง (น. v) |
|
Focus |
การศึกษานี้พยายามสำรวจเรื่องเล่าเกี่ยวกับตนเองของชาวลาหู่คริสเตียน เรื่องเล่าที่วิเคราะห์ในงานชิ้นนี้มิได้หมายถึงรูปแบบที่ครอบคลุมถึงปรัมปรา ตำนาน เรื่องในอดีต การเทศน์ หนังสือ หรือเพลงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องราวและวลีสั้นที่ใช้ในการสนทนาในชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งเรื่องเล่าเหล่านี้เป็นตัวแทนของประสบการณ์ทางสังคมของชาวลาหู่คริสเตียนที่ก่อร่างผ่านการเล่าเรื่อง นอกจากนี้ยังศึกษาอิทธิพลของคริสต์ศาสนาที่มีผลต่อการก่อรูปของประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ของชาวลาหู่คริสเตียนอีกด้วย |
|
Theoretical Issues |
กรอบมโนทัศน์หลักที่ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์เรื่องเล่าและกระบวนการที่ซับซ้อนของการปฏิสัมพันธ์ของชาวลาหู่คริสเตียนมีแนวทาง 3ลักษณะ ได้แก่
1. การวิเคราะห์เรื่องเล่าในฐานะการห่อหุ้มประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ (น. 13) ในที่นี้ประสบการณ์ทางสังคมมิได้หมายถึงการรู้คิดของผู้คนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความรู้สึกและความคาดหวังต่อภาวะความจริง ขณะที่สำนึกทางประวัติศาสตร์ มีความหมายรวมไปถึง ทรรศนะ ความปรารถนา และความรู้สึกที่มีต่อประวัติศาสตร์
2. เรื่องเล่าในฐานะการอ้างถึง ที่ก่อร่างและปรับปรุงรูปแบบของประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มคน (น. 13) การเล่าเรื่องเป็นมากกว่าวิธีการส่งผ่านเนื้อหาเชิงภาษาศาสตร์ การเล่าเรื่องเป็นเสมือนพิธีกรรมที่ส่งผลต่อการรับรู้และอารมณ์อันหลากหลายของผู้คน
3. การเล่าเรื่องมิได้ยืนยันประสบการณ์ทางสังคมและสำนึกทางประวัติศาสตร์ของผู้คนเสมอไป บางครั้งเรื่องเล่ามีนัยสำคัญเชิงแผกแยกต่อภาวะความเป็นจริงของผู้เล่า วาทกรรมที่ขัดแย้งนี้แสดงถึงชีวิตที่ไม่ขึ้นอยู่กับการครอบงำของสิ่งที่ได้รับการเล่าถึง การศึกษาในครั้งนี้จึงรวมไปถึงวิธีการมองเรื่องเล่าในฐานวาทกรรมใช้อธิบายระยะที่มีต่อสิ่งที่ได้รับการเล่าถึง นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ของแรงขับทางสังคมของผู้กระทำอันหลากหลายที่ปฏิบัติการอยู่เบื้องหลังเรื่องและภาวะความเป็นจริง |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลาหู่ เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ถูกระบุถึงในการศึกษาครั้งนี้ ชุมชนในการศึกษาครั้งนี้เป็นหมู่บ้านชาวลาหู่คริสเตียนในตำบลแม่สาว อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ชาวลาหู่เรียกตนเองว่า “ลาหู่” แต่กลุ่มชาติพันธุ์อย่างคนฉานและคนไทยเรียกพวกเขาว่า “ชาวมูเซอ” ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นคำเรียกที่มาจากภาษาพม่าผ่านคนฉาน แปลว่า “นักล่า” (อ้างจากLewis and Lewis 1984: 172)
ชาวลาหู่อาศัยอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่ และตะวันตกเฉียงใต้ของจีน พบชุมชนชาวลาหู่อาศัยอยู่ในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว และเวียดนาม ผู้ลี้ภัยชาวลาหู่จากประเทศลาวมีชุมชนผู้ย้ายถิ่นอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาลาหู่จัดอยู่ในตระกูลภาษาธิเบต-พม่า มีหลายภาษาย่อย (ภาษาถิ่น) และสำเนียง ภาษาลาหู่ดำ (Black Lahu) ถือว่าเป็นภาษาลาหู่มาตรฐานและเป็นภาษากลางสื่อสารระหว่างกัน (linga franca) ภาษาลาหู่ มีตัวอักษรโรมันแทนตัวเขียน วรรณกรรมส่วนใหญ่ที่ได้รับการบันทึกเป็นภาษาลาหู่ดำ ขณะที่ชาวลาหู่คนอื่นๆ หรือกลุ่มอื่นที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่สามารถอ่านออกเขียนภาษาลาหู่ได้
ภาษาไทย ประชากรเรียนรู้จากการศึกษาขึ้นพื้นฐานและการสอนภาษาเบื้องต้นโดยทหารในพื้นที่ และภาษาพม่า |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามเป็นเวลา 8เดือน ครึ่ง จากกลางเดือนธันวาคม ค.ศ. 1996ถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1997(น. 15) |
|
History of the Group and Community |
แทบจะทุกคนในหมู่บ้านนี้ยกเว้นลูกหลานของพวกเขาหลบหนีสงครามที่ไม่หยุดหย่อนในพม่า และเคลื่อนย้ายเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อ 25 ปีที่ผ่านมา (น. 46) ในฐานะผู้ลี้ภัย |
|
Demography |
ในหมู่บ้านนี้ ซึ่งจัดว่าเป็นหมู่บ้านที่มีราษฎรบนพื้นที่สูง หรือบุคคลบนพื้นที่สูง หรือชาวเขา อาศัยอยู่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสถานภาพพลเมืองซับซ้อน
หมู่บ้าน PTมีประชากร 25หลังคาเรือน มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 162คน (น. 21) หมู่บ้านดังกล่าวมีประชากร 3ประเภท นั่นคือ (1) ผู้มีบัตรประจำตัวสีขาว/บัตรประชาชน (2) ผู้มีบัตรประจำตัวสีฟ้า/บัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง (3) ผู้ที่ไม่มีบัตร ซึ่งในปีที่ศึกษานั้น สถานภาพของคนในหมู่บ้านที่อายุมากกว่า 15ปี มีจำนวน 91คน เป็นผู้ที่มีบัตรประชาชน 30คน มีบัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง 44คน และเป็นผู้ที่ไม่มีบัตร 17คน (น. 26)
ครอบครัวชาวลาหู่ดำ (Black Lahu) ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้เป็นกลุ่มแรกคือ ครอบครัว Ca Bos ที่มีต้นทางอยู่ในยูนนาน ประเทศจีน เคลื่อนย้ายเข้าสู่บริเวณรัฐฉานของพม่า ก่อนอพยพอีกครั้งเข้ามาในประเทศไทย เมื่อปี 1974(น. 24) |
|
Economy |
ด้วยการเข้าถึงเพียงพื้นที่เพาะปลูกบนพื้นที่สูงที่ไม่สมบูรณ์มากนัก บวกกับการควบคุมที่เข้มงวดของทางการไทย ทำให้การทำการเกษตรแบบหมุนเวียนตามวิถีของชาวลาหู่เป็นไปอย่างยากลำบากและไม่เพียงพอต่อการยังชีพ การเติบโตของเศรษฐกิจการตลาดและเกษตรเชิงพาณิชย์โดยรอบนำมาซึ่งการขายทอดที่ดินของหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านหันมาพึ่งพารายได้รายวันจ้างการเป็นแรงงานมากยิ่งขึ้น
คนเมืองและคนไทยภาคกลางที่ทำการเกษตรอยู่ในพื้นที่มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจในแง่ของเศรษฐกิจมากกว่า (น. 46) |
|
Political Organization |
ในช่วงทศวรรษที่ 19พบรายงานของจีนและชาติตะวันตกเกี่ยวกับชาวลาหู่ เรื่องของการขัดขืนต่อจักรวรรดิของชาวจีนซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่อังกฤษมีสิทธิการปกครองเหนือเขตแดนประเทศพม่าตอนบน ราวปี 1886(น. 52) เมื่อสิ้นสุดทศวรรษดังกล่าว ชาวลาหู่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจีน แต่จำนวนหนึ่งหลบหนีเข้าสู่พม่าและลาว
ในพม่าชาวลาหู่ตั้งชุมชนอยู่ในเมืองเชียงตุงของรัฐฉาน ราวปีคริสต์ศตวรรษ 1830(Telford 1937: 93) ซึ่งได้สร้างสายสัมพันธ์กับกับผู้นำชาวพื้นราบและร่วมปกป้องที่ราบหุบเขาเชียงตุง พร้อมทั้งสนับสนุนผลผลิตและแรงงานต่อเจ้าฟ้าฉานผู้ปกครอง อย่างไรก็ดี ชาวลาหู่ยังคงมีอิสระในการปกครองกลุ่มของตนเอง จนกระทั่งเมื่อสถานการณ์การเมืองและสงครามในพม่ามีความรุนแรงมากขึ้น ชุมชนชาวลาหู่ส่วนหนึ่งจึงอพยพอีกครั้งหนึ่ง
ในช่วงปี 1989-1991มีค่ายทหารตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน หมู่บ้าน PT นี้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของทหารไทย (น. 21) ซึ่งได้สร้างโรงเรียนในหมู่บ้านและส่งครูสอนภาษาไทยเบื้องต้นเข้ามาสอน ก่อนที่คนในหมู่บ้านและทหารจะตกลงร่วมมือกันสร้างคริสตจักร (โบสถ์) ขึ้นในหมู่บ้าน ทุกวันนี้รัฐบาลไทยควบคุมสถานการณ์บริเวณชายแดนไทยได้ ชุมชนจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของทหารอีกต่อไป แต่ย้ายไปขึ้นอยู่กับระบบ “หมู่บ้าน” โดยมีคนเมืองเป็นผู้ใหญ่บ้าน ที่ดูแลหมู่บ้าน/ชุมชน/หย่อมบ้านย่อย ๆ อีกจำนวนหนึ่ง (น. 21) |
|
Belief System |
การปฏิบัติทางความเชื่อดั้งเดิมของชาวลาหู่ (น. 57) แตกต่างกันระหว่างกลุ่มชุมชนย่อยของชาวลาหู่ แต่หลายกลุ่ม รวมถึงชาวลาหู่คริสเตียนเชื่อในการมีอยู่ของวิญญาณหลากหลายที่เกี่ยวกับธรรมชาติและมนุษย์ที่ตายไปแล้ว (วิญญาณหรือ neในภาษาลาหู่)
คริสตจักรนิกายแบพติสต์ของชาวลาหู่ (น. 62) ระบุว่าเมื่อเดือนตุลาคม 1997Thailand Lahu Baptist Conventionมีสมาชิกที่เข้าสู่นิกายแล้ว 6,974คน และสมาชิกที่ยังไม่ผ่านพิธีแบพติสต์ 6,700คน สมาชิกของนิกายจำนวนมากเป็นกลุ่มที่เคลื่อนย้ายมาจากประเทศพม่า ซึ่งส่วนใหญ่เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทยภายหลัง 1960
ก่อนหน้านั้นชาวละหู่คริสเตียนในไทยมิได้มีการตั้งองค์กรคริสตจักร และคริสจักรประจำหมู่บ้านขึ้นอยู่กับองค์กรคริสตจักรแบพติสต์ของชาวกะเหรี่ยง (น. 62)
อย่างไรก็ตาม ความเป็นคริสตชนของชาวลาหู่นั้นเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์สัมพันธ์ (ethnicity) มากกว่าความเป็นสากลของคริสต์ศาสนา (น. 69) เช่นความเชื่อเรื่องวิญญาณและผู้สร้างสูงสุด (เรียกว่า G’uisha) ชาวลาหู่คริสเตียนตีความผู้สร้างในความเชื่อดั้งเดิมใหม่ มีความหมายถึงพระเจ้าในคริสต์ศาสนา (น. 70)
Telford (1937: 170-71) กล่าวว่า หมู่บ้านขนาดใหญ่ชาวลาหู่ดำในเชียงตุง รัฐฉาน มักประกอบไปด้วยผู้นำทางความเชื่อ 3บุคคล ได้แก่ พระหรือนักบวช (paw-hku), ผู้หยั่งรู้หรือคนทรง (maw-pa) และหมอรักษา (sheh-hpa) (อ้างใน Walker 1975:118-9) .ในหมู่บ้านหรือชุมชนของชาวลาหู่คริสเตียน ผู้นำทางความเชื่อทั้งสามนี้ถูกแทนที่ด้วยศาสนาจารย์ของหมู่บ้านและภรรยาของเขา ผู้ซึ่งเป็นผู้มีการศึกษาสูงและสามารถอ่านออกเขียนภาษาลาหู่ได้ (น.72) |
|
Education and Socialization |
ไม่มีโรงเรียนของรัฐบาลในหมู่บ้าน เด็กจะต้องเดินทางไปเรียนหนังสือที่ตั้งอยู่บริเวณถนนสายหลักร่วมกันลูกหลายคนเมือง โดยมีรถรับส่งนักเรียนของโรงเรียนรับ-ส่งนักเรียนในหมู่บ้าน (น.36)
แม้ว่าโบสถ์คริสต์จะให้ความสำคัญกับการศึกษา แต่มีเพียงเด็กไม่กี่คนที่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาและการศึกษาภาคบังคับ ส่วนหนึ่งต้องออกจากโรงเรียนไปช่วยพ่อแม่ทำงานการเกษตร หรือไปรับจ้างเป็นแรงงาน เด็กผู้หญิงบางคนก็ออกมาแต่งงาน
โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นตั้งอยู่ในอำเภอฝางและอำเภอแม่อาย มีเพียงลูกสาวของศาสนาจารย์เท่านั้นที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3ในอำเภอฝาง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับศึกษา ค่าเดินทาง ค่าหอพัก และการสูญเสียแรงงานเป็นภาระอย่างมากสำหรับครอบครัวชาวลาหู่คริสเตียนส่วนใหญ่ (น. 36)
สำหรับคนในชุมชนส่วนใหญ่ (ยกเว้นลูกของพวกเขา) ในอดีตเป็นผู้ย้ายถิ่นจากพม่า ผู้ใหญ่หลายคนจึงไม่สามารถอ่านออกเขียนภาษาไทยได้
นอกเหนือจากการศึกษาของรัฐบาลแล้ว คริสตจักรลาหู่คริสเตียนก็สนับสนุนการรู้หนังสือลาหู่ ชาวลาหู่ที่ไม่ใช่คริสเตียนทั่วไปจะไม่สามารถอ่านออกเขียนภาษาลาหู่ได้ ทว่าชาวลาหู่คริสเตียนมีตัวอักษรโรมันที่คิดค้นโดยผู้เผยแพร่ศาสนาใช้เป็นตัวอักษรเขียนของภาษาลาหู่ ที่ผ่านมามีการเขียนภาษาลาหู่ดังกล่าวในวันอาทิตย์ แต่โรงเรียนดังกล่าวถูกปิดไปเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากเด็ก ๆ สนใจเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนและต้องช่วยครอบครัวในวันอาทิตย์ หลายคนในหมู่บ้านอ่านออกเขียนภาษาพม่าและภาษาไทยได้มากกว่าภาษาลาหู่ (น. 38) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ปรัมปราของชาวลาหู่อธิบายลักษณะความหลากหลายของการสร้างโลก จุดเริ่มต้นบนโลก และเหตุผลว่าทำไมชาวลาหู่ถึงยากแค้นที่สุดในทุกวันนี้ ทำไมชาวลาหู่จึงยังชีพอย่างทุกวันนี้และไม่มีผู้ปกครองกลุ่มของตน รวมทั้งเหตุผลที่ว่าทำไมชาวลาหู่ไม่มีประเทศและตัวอักษรเป็นของตัวเอง ปรัมปราของชาวลาหู่มีแม่บทหรือแนวเรื่อง และลักษณะคล้ายคลึงกับปรัมปราของชาวกะเหรี่ยง ชาวม้ง ชาวอาข่า และกลุ่มชาติพันธุ์/ชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นแผ่นดินใหญ่
คติชนและเรื่องเล่าของชาวลาหู่ ได้แก่ ปรัมปราของการสูญเสียและเรื่องราวของย้อนคืน (น. 81) เรื่องเล่าของชาวลาหู่เกี่ยวกับความต่ำต้อยของตนเอง,ปรัมปราเรื่องการสูญเสียตัวอักษรเขียน เรื่องเล่าเกี่ยวกับภูมิปัญญาในชีวิตประจำวัน เรื่องเล่าเกี่ยวกับรัฐลาหู่ รวมไปถึงการประกอบสร้างเรื่องเล่าและสำนึกทางประวัติของศาสนดาของชาวลาหู่ที่ชื่อว่า A Sha Fu Cu(น. 126) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ศาสนาจารย์ชาวลาหู่ผู้หนึ่งระบุว่าชาวลาหู่มีกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยที่มีอัตลักษณ์แตกต่างกันกว่า 16กลุ่ม (น.54) รวมไปถึงกลุ่มคริสเตียนลาหู่ที่มีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ย่อยด้วย |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Critic Issues |
การศึกษาในครั้งนี้พบว่าประสบการณ์ทางสังคมของชาวลาหู่คริสเตียนในภาคเหนือของไทยเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางชาติพันธุ์ (ethnic power relations) แม้ว่าคริสตจักรในฐานะสถานบันทางสังคมจะปลูกฝังนำมาซึ่งค่านิยมและมาตรฐานสังคมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และความเป็นคริสเตียนลาหู่ และแม้ว่าชีวิตชาวลาหู่ปัจจุบันจะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น แต่ชาวลาหู่ยังคงรับรู้กระบวนการเข้าสู่เศรฐกิจสมัยใหม่และรัฐในมิติของความสัมพันธ์ชิงอำนาจทางชาติพันธุ์ โดยมองว่าชุมชนของตนนั้นยังด้อยชุมชนคนพื้นราบที่มีอำนาจมากกว่า |
|
Map/Illustration |
แผนที่
- ที่ตั้งของพื้นที่ศึกษาและบริเวณใกล้เคียง (น. 18)
- หมู่บ้านที่ศึกษา (น. 19)
ตาราง
- สถานภาพพลเมืองของคนในหมู่บ้านที่อายุมากกว่า 15ปี (น. 26)
- อาชีพของหมู่บ้าน PT(น. 30)
- ระดับการศึกษาของคนในหมู่บ้านที่อายุมากกว่า 15ปี (น. 37)
- รายนามผู้ใหญ่บ้าน (น. 39)
- กิจกรรมวันอาทิตย์ของคริสตจักรในหมู่บ้าน (น. 43)
- ประมาณการจำนวนประชากรลาหู่ (น. 51)
- งานเลี้ยงวันเกิดนาย Yang (นาย Yang กับลูก ๆ) (น. 79)
- งานเลี้ยงวันเกิดนาย Yang(คนในหมู่บ้านมาเยี่ยมเยียน) (น. 79)
- ภาพปัจจุบันของผู้ใหญ่บ้านชาวจีนและพระไทย (ถ่ายเมื่อปี 1993) (น. 81)
- นักเรียนในเครื่องแบบเมื่อปี 1993(น. 94)
- ห้องเรียนประถมศึกษาปีที่ 4(น. 96)
- ห้องเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3(น. 96)
- หลังเลิกเรียน (น. 99)
- พิธีงานศพ (น. 121)
- พิธีแต่งงาน (น. 122)
- พิธีไหว้พระจันทร์ (น. 123)
- ถนนสายหลัก (ระหว่างการก่อสร้าง) และ ฟาร์มหมูในบ้านถ้ำสันติสุข (น. 124)
- กิจกรรมทัศนศึกษาที่เชียงใหม่กับเยาวชนจีนยูนนาน และงานวันเกิด (น.125)
- การเฉลิมฉลองวันแห่งชาติไต้หวันในอดีต (นักเรียนทำการแสดงอย่างจีน) (น.126-7)
- ภาพพระมหากษัตริย์ไทย (น.128)
- ภาพผู้นำการปฏิวัติไต้หวันซินไห่ นายซุน ยัตเซน (น.128)
- ภาพบ้านเรือน สนามบาสเก็ตบอล ศาลาประชาคม อาคารเรียน ห้องพักครู แผนที่ในห้องพักครู การเขีนนจีนและภาพจีน (น. 138-141) |
|
Text Analyst |
อุรินธา เฉลิมช่วง |
Date of Report |
04 ต.ค. 2567 |
TAG |
การศึกษาประสบการณ์ทางสังคม, เรื่องเล่าของความรู้สึกต่ำต้อย, ลาหู่, ลาหู่ดำ, ชุมชนลาหู่คริสเตียน, ชาวมูเซอ, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, |
Translator |
- |
|