สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject การประกอบสร้างอัตลักษณ์, การศึกษา, การบูรณาการแห่งชาติ, ชุมชนชาติพันธุ์, ชุมชนก๊กมินตั๋ง, บ้านถ้ำสันติสุข, จีนยูนนาน, จีนฮ่อ, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Author Sachiko Nakayama
Title Education, Identity Construction and National Integration in an Ethnic Community: A Case Study of Yunnanese Chinese in Ban Tham Santisuk Village, Mae Sai District, Chiang Rai Province
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity จีนยูนนาน จีนฮ่อ มุสลิมยูนนาน, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Theses) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 124 Year 2546
Source Education, Identity Construction and National Integration in an Ethnic Community: A Case Study of Yunnanese Chinese in Ban Tham Santisuk Village, Mae Sai District, Chiang Rai Province. / Sachiko Nakayama.
Abstract

การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลผสมผสาน ได้แก่ การสัมภาษณ์แบบทางการ การสัมภาษณ์แบบไม่ทางการ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม รวมทั้งการศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการใช้แบบสอบถาม โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชื่อมโยงกันและใช้วิธีการอธิบายเชิงพรรณนา (น. vi)
ผลการศึกษาพบว่า นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อกลุ่มจีนยูนนานก๊กมินตั๋ง พัฒนาควบคู่มากับกิจกรรมทางทหารก๊กมินตั๋งในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นสมาชิกของหน่วยป้องกันพิเศษ ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยความมั่นคงของชาติ และร่วมต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้กองทัพก๊กมินตั๋งและชาวจีนยูนนานมีสิทธิพิเศษในการปกครองตนเอง และธำรงวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของกลุ่มชนได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ จนกระทั่งถึงตอนต้นของ ค.ศ. 1980เมื่อกองทัพก๊กมินตั๋งได้หมดบทบาทและความสำคัญในการร่วมรักษาอธิปไตยของชาติไทยลง รัฐบาลไทยจึงได้เริ่มใช้นโยบายรวมชาติต่อกลุ่มจีนยูนนานก๊กมินตั๋ง (น. vi-vii)
ซึ่งผลจากการส่งเสริมนโยบายรวมชาติตั้งแต่กลางปีคริสตทศวรรษ 1980โดยเฉพาะจากการศึกษาภาคบังคับของโรงเรียนไทย ได้ส่งผลให้ชุมชนก๊กมินตั๋งได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ภายนอกของตนเอง โดยมีความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมไทยและสามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงถือว่าตนเองคือ ชาวจีนยูนนาน ซึ่งระดับความเข้าใจเกี่ยวกับตนเองของกลุ่มจีนยูนนาน จะมีความแตกต่างกันไปตามความรู้สึกของคนแต่ละรุ่น (น. vii)
ภายใต้สถานการณ์ที่อยู่ท่ามกลางการกลืนกลาย ซึ่งทำให้ชุมชนจีนก๊กมินตั๋ง สามารถธำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ได้ก็คือ การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมที่เข้มแข็งภายในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนจีนที่ให้ความสำคัญและให้คุณค่าต่อการรักษาและส่งผลต่อวัฒนธรรม รวมทั้งการส่งเสริมให้เข้าศึกษาในโรงเรียนจีนดังกล่าว นอกจากความสำคัญของการได้เปรียบในเรื่องเศรษฐกิจแล้ว โรงเรียนจีนยังมีบทบาทอย่างยิ่งในฐานะเป็นสถาบันที่ส่งต่อและเสริมสร้างความมีศักดิ์ศรีในวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งเป็นแนวทางและยุทธวิธีสำคัญในการดำรงอยู่ในสังคมไทยในฐานะชนกลุ่มน้อยของประเทศ (น.vii)
จากการให้คุณค่ายึดมั่นและศรัทธาในโรงเรียนจีน ไม่ว่าด้วยเหตุผลทางด้านวัฒนธรรมหรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ กลุ่มชาวจีนยูนนานก๊กมินตั๋ง ยังจะคงสภาพความเป็นกลุ่มทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนเรียนรู้กระแสความเป็นไทยในไปในเวลาเดียวกัน

Focus

การศึกษาวิจัยต้องการทำความเข้าใจกระบวนการประกอบสร้างอัตลักษณ์กับการบูรณาการแห่งชาติในชุมชนชาติพันธุ์จีนฮ่อ (จีนยูนนาน) บ้านถ้ำสันติสุข อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยต้องการระบุความสัมพันธ์เชิงการเมืองและนโยบายระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มการเมืองก๊กมินตั๋งในอดีต และอธิบายกระบวนการและความซับซ้อนในการแสดงตัวตนของชาวจีนก๊กมินตั๋งท่ามกลางภาวการณ์กลืนกลายทางวัฒนธรรมภายในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคมไทย รวมทั้งเพื่อสำรวจคุณค่าและความคาดหวังของคนในหมู่บ้านถ้ำสันติสุขที่มีต่อระบบโรงเรียนจีนซึ่งเป็นสถาบันหลักของชุมชนอันมีบทบาทอย่างมากในเรื่องเศรษฐกิจและและการธำรงวัฒนธรรมจีนยูนนาน

Theoretical Issues

กรอบมโนทัศน์หลักที่ใช้ในการศึกษางานชิ้นนี้เพื่อวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการรวมชาติของรัฐที่มีผลต่อการปรับตัวของกลุ่มทางวัฒนธรรมภายใต้พรมแดนของรัฐ คือ แนวความคิดว่าด้วย ชุมชนจินตกรรม กับการระบุอัตลักษณ์แห่งตน

กลุ่มที่เล็กกว่าได้รับการกำหนดชื่อโดยกระบวนการจัดประเภทของรัฐ ทำให้วัฒนธรรมของกลุ่มเหล่านี้ก็มีลักษณะที่ด้อยกว่าวัฒนธรรมหลัก วิธีการเช่นนี้ทำให้สมาชิกของกลุ่มที่เล็กกว่าสูญเสียศักดิ์ศรีในวัฒนธรรมแห่งตนหรือแม้กระทั่งรู้สึกเชิงลบกับสภาวการณ์เป็น “กลุ่มชาติพันธุ์” ทั้งนี้ รัฐชาติได้ผนวกรวมผู้คนเข้าสู่กลุ่มทางสังคมระดับชาติด้วยการพยายามลบล้างวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่แตกต่าง (น. 25)

รัฐไทยได้รับเอากระบวนการภาวะเอกรูปด้วยการปลูกฝังสำนึกความเป็นเจ้าของแก่ “ชุมชนจิตกรรม” ผ่านการส่งเสริมโครงการพัฒนา การจัดประเภท และการควบคุมสถาบันสื่อและการศึกษา เอกลักษณ์แห่งชาติได้รับการปลูกฝังให้แก่ประชาชนในรัฐด้วยภาษาผ่านโรงเรียนหรือการศึกษาระดับชาติ และในท้ายที่สุดประชาชนในรัฐก็ได้อนุมานความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน (น. 25) อย่างไรก็ดี ยิ่งรัฐพยายามกำหนดอุดมการณ์แห่งชาติแก่กลุ่มชาติพันธุ์มากเท่าไร ก็ยิ่งให้เกิดการส่งเสริมอัตลักษณ์วัฒนธรรมภายในกลุ่มบนพื้นฐานของลักษณะทาง “วัฒนธรรม” อาทิ ศาสนา ภาษา และชาติ เพื่อที่จะไม่ซึบซับเอาระบบความเป็นไทยผ่านโรงเรียน กลุ่มชาติพันธุ์ได้จัดตั้งโรงเรียนตามค่านิยมทางวัฒนธรรมของตนเอง (น. 25-26) เพื่อแยกตนเองออกจากกลุ่มทางสังคมระดับชาติ

ความท้าทายนี้เกิดขึ้นก็เพราะอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไม่ได้เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเพียงเท่านั้น แต่เป็นส่วนสำคัญของการระบุตัวตนซึ่งมีระดับเพิ่มขึ้นผ่านการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างรัฐและระหว่างกลุ่มอื่น ๆ เช่นเดียวกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนเดียวกัน ลักษณะทั้ง 3นี้ที่ประกอบสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์นี้ยังเป็นปัจจัยหลักในการก่อรูปของชุมชนจินตกรรม “กลุ่มทางวัฒนธรรม” “รัฐ” “และกลุ่มทางวัฒนธรรมอื่น” มีพื้นที่ร่วมกันสามารถข้ามพรมแดนระหว่างกัน แต่อาจไม่สามารถข้ามไปสู่พรมแดนของกลุ่มอื่นที่มิได้มีลักษณะอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ร่วมกัน (น. 26)

แม้ว่าจะเป็นสมาชิกของกลุ่มเดียวกัน ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเองอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ผู้คนในกลุ่มวัฒนธรรมเดียวกัน บางกลุ่มทางวัฒนธรรมอาจรู้สึกใกล้ชิดกับรัฐชาติมากกว่าชุมชนทางวัฒนธรรม บางกลุ่มอาจมีอัตลักษณ์ร่วมกับ “กลุ่มทางวัฒนธรรมอื่น”   (น. 26) ดังนั้น สิ่งที่ผู้คนใน “กลุ่มทางวัฒนธรรม” ซึ่งสามารถข้ามพรมแดนระหว่างกันได้มีร่วมกันนั้น กับสิ่งที่ผู้คนใน “ชุมชนจินตกรรม” (นั่นคือ กลุ่มทางวัฒนธรรม รัฐ และกลุ่มทางวัฒนธรรมอื่น) มีร่วมกันจริง ๆ ก็คือ การที่สมาชิกของ “ชุมชนจินตกรรม” นี้อาศัยอยู่ด้วยกันในอาณาเขตเดียวกัน ซึ่งเป็นลักษณะที่แต่ละกลุ่มมมีร่วมกันและแบ่งปันกัน

Ethnic Group in the Focus

จีนยูนนาน จีนก๊กมินตั๋ง หรือจีนฮ่อ เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้ถูกระบุถึงในการศึกษาครั้งนี้

“ฮ่อ” เป็นคำที่ใช้ในหมู่กลุ่มผู้พูดภาษาไท/ไตในภาคเหนือของไทย ลาว รัฐฉานในพม่า สิบสองปันนาในมณฑลยูนนาน เพื่อระบุถึงกลุ่มคนจีนยูนนาน ที่อาศัยอยู่ในเชียงใหม่และเชียงราย (น. 3) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนศาสนามุสลิมเชื้อสายตุรกีในดินแดนยูนนาน ในเชียงใหม่ ชุมชนจีนยูนนานเป็นที่รู้จักในเชียงใหม่ในฐานะชุมชนมุสลิม เรียกว่า บ้านฮ่อ 

ต่อมาช่วงคริสตศตวรรษที่ 20ภาพของชุมชนชาวฮ่อได้เปลี่ยนไปจากการเข้ามาของกองกำลังจีนชาตินิยมและผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากยูนนานในภาคเหนือของไทยที่ล่นมาจากบริเวณชายแดนพื้นที่สูงไทย-พม่า-ลาว แม้ว่าพวกเขาจะมิใช่ชาวมุสลิม “ฮ่อ” ในความหมายเดียวกันกลุ่มที่เข้ามาก่อนหน้านี้ แต่ก็ถูกเรียกว่า “ฮ่อ” โดยคนท้องถิ่น เนื่องจากลักษณะทางกายภาพที่คล้ายคลึงกันและจากภาษายูนนานนีส (น. 3) อย่างไรก็ดี เมื่อแรกเข้าตั้งถิ่นฐาน ชาวจีนยูนนานก๊กมินตั๋งกับชาวจีนท้องถิ่นหรือ “ฮ่อ” ในจังหวัดเชียงรายรับรู้ระหว่างกันว่าเป็นคนละกลุ่มคนด้วยเหตุผลทางการเมือง (น. 32)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาจีนแมนดารีน (น. 91-92) โรงเรียนสอนด้วยภาษาจีนแมนดารีนถูกตั้งขึ้นในหมู่บ้านถ้ำสันติสุข ชาวบ้านคนอื่น ๆ ต้องการส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนจีนเพื่อมิให้ลืมภาษาของตนเอง นอกจากนี้ ชาวบ้านอาวุโสที่ได้รับการศึกษายังมีบทบาทสอนภาษาและวัฒนธรรมจีนในโรงเรียน

ภาษาในหมู่บ้านคือ ภาษาจีนถิ่นยูนนาน (น. 110)

อ้างอิงจากข้อมูลของหมู่บ้านในปี 2001 เกี่ยวกับจำนวนนักเรียนในโรงเรียนภาษาจีนบ้านถ้ำสันติสุข (น. 95) นักเรียนส่วนใหญ่พูดภาษาจีนเป็นภาษาครอบครัว (ภาษาระดับครัวเรือนหรือภาษาแรก) รองลงมาคือ ภาษาไทย และภาษาอื่น ๆ

Study Period (Data Collection)

1 ปี 9 เดือน จากเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2000ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2002 (น. 11-12)

History of the Group and Community

ชาว “ฮ่อ” ที่ผู้วิจัยได้ศึกษา คือ กลุ่มจีนยูนนานที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังจีนชาตินิยม หรือ กลุ่ม “ก๊กมินตั๋ง” จากนั้นเชื้อสายของพวกเขาได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยต่อมากว่า 40ปี จำนวนประชากรในปี 1994มีจำนวนกว่า 889,018คน มีทั้งทหารแห่งชาติและผู้ติดตามในครอบครัวและผู้อพยพทางการเมืองชาวยูนนาน กระจัดกระจายอยู่ใน 77หมู่บ้านในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน (Chang, 1999) (น. 4) ซึ่งในการศึกษานี้ กลุ่มชาวจีนยูนนานหรือฮ่อ จะได้รับการเรียกว่า จีนยูนนานก๊กมินตั๋ง

กระแสอพยพของผู้ลี้ภัยชาวยูนนานดำเนินอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงคริสตศตวรรษ 1960และจำนวนของชาวยูนนานก๊กมินตั๋งบริเวณชายแดนที่สูงก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (น. 4)

ประวัติศาสตร์ของบ้านถ้ำสันติสุขสามารถแบ่งออกได้ 4ระยะ ตามช่วงเวลาทางการเมืองของหมู่บ้าน
ระยะที่ 1(1954-1964) อยู่ภายใต้การนำของนายพล Leeซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหมู่บ้าน ระยะนี้ครอบคลุมช่วงเวลานับแต่ชาวบ้านอพยพมาถึงบ้านถ้ำสันติสุขถึงการเข้ามากองกำลังชาตินิยมอีกสองกลุ่ม (น. 28) หลังจากปี 1949เมื่อรัฐบาลชาตินิยมในไต้หวันได้รับการสถาปนา สองกองกำลังทหารก๊กมินตั๋งได้หนีเข้าสู่รัฐฉาน พม่า ได้ก่อตั้งกองกำลังใต้ดินและกองกำลังปกป้องตนเอง กิจกรรมเคลื่อนไหวทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งองค์การสหประชาชาติได้เข้าแทรกแซงหน่วยของกำลังทั้งสอง ส่วนหนึ่งได้เคลื่อนย้ายสู่พื้นที่สูงชายแดนไทย-พม่าและตั้งฐานทัพทหารเพื่อรอโอกาสในการรวบรวมกำลังในประเทศจีนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง (น. 29) กลุ่มผู้อาศัยดั้งเดิมของหมู่บ้านถ้ำสันติสุขส่วนหนึ่งมาจากฐานทัพทหารดังกล่าว เมื่อกองทัพได้ให้ครอบครัวและผู้ติดตามของทหารสามารถเคลื่อนย้ายเข้าไปตั้งบ้านเรือนยังที่ราบของประเทศไทยได้ ซึ่งได้รับการอนุญาตจากทางการไทย บ้านถ้ำสันติสุขกลายมาเป็นแรก ๆ ในบรรดาหมู่บ้านก๊กมินตั๋ง อย่างเป็นทางการในห้วงปีทศวรรษ 1950(น. 31) การตอบสนองของรัฐบาลไทยขณะนั้นให้ความสนใจเพียง แทรกแซง และสนับสนุนเพียงเล็กน้อย หลังจากตั้งถิ่นฐานได้เพียงหนึ่งปี บ้านถ้ำสันติสุขอยู่ภายใต้การดูแลของทหารไทย ตำรวจตระเวนชายแดนได้เข้ามาตั้งสถานีตำรวจในหมู่บ้านเพื่อคอยสอดส่องชาวจีนก๊กมินตั๋ง ภายหลังนายพล Leeในฐานะผู้นำหมู่บ้านได้ขอให้ตำรวจตระเวนชายแดนออกเอกสารทางราชการชนิดชั่วคราวแก่ชาวจีนยูนนานก๊กมินตั๋งในหมู่บ้าน ทำให้สามารถออกจากหมู่บ้านและทำงานในช่วงเวลากลางวันได้ (SPACS, 1996) นายพล Lee ยังได้จัดการและพัฒนาสถาบันการศึกษาขึ้นในหมู่บ้านด้วย มีการสอนบทเรียนภาษาจีนถึงขั้นประถมศึกษา (น. 31) แม้ว่าจะมีความอยากลำบากในการติดต่อสื่อสารกับทางการไทย
การตั้งหมู่บ้านถ้ำสันติสุขยังเต็มไปด้วยความยากลำบากแม้ว่าจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ดีขึ้นกว่าตอนที่อยู่บนพื้นที่ภูเขา แม้ว่าจะได้รับบัตรทางราชการชั่วคราว แต่ความเสถียรหรือความปลอดภัยก็ยังไม่เกิดขึ้นในระยะนี้ ชาวบ้านทหารก๊กมินตั๋งยังคงต้องออกจากหมู่บ้านไปต่อสู้กับคอมมิวนิสต์บริเวณชายแดนไทยแล้วกลับเข้าหมู่บ้านมาเป็นครั้งคราวอย่างไม่แน่นอน ชาวบ้านยังกลัวการถูกปองร้ายและปล้นทรัพย์จากคนไทยท้องถิ่น บางครั้งคนไทยก็เข้ามาขโมยปศุสัตว์ที่เลี้ยงไว้โดยชาวบ้าน เงื่อนไขภายในหมู่บ้านมิได้เป็นไปด้วยความสะดวกสบาย ถนนเส้นทางเดียวของหมู่บ้านไม่สามารถสัญจรได้ในหน้าฝน ชาวบ้านต้องใช้ควายแทนการเดินเท้า (น. 33-34)

ระยะที่ 2(1964-1975) ช่วงเวลาแห่งการลงหลักปักฐาน หมู่บ้านอยู่ภายใต้การนำของนาย Wanเทียบได้กับช่วงเวลาตั้งแต่การเข้ามาของสองกลุ่มกองกำลังก๊กมินตั๋ง ถึงช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับรัฐบาลชาตินิยมในไต้หวันเริ่มเย็นชาขึ้นในปี 1975(น. 28) ช่วงเวลานี้ ผู้อพยพจากก๊กมินตั๋งจากกองทัพที่ 3 และ 5จำนวนมากที่ปฏิเสธการปลดอาวุธเคลื่อนย้ายจากพม่าเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนกว่า 2,600 คน เข้าสู่ภาคเหนือของไทยในปี 1962(น.34) สมาชิกก๊กมินตั๋งจำนวนหนึ่งได้รับอนุญาตชั่วคราวให้พักอาศัยเพื่อช่วยในการกำจัดคอมมิวนิสต์บริเวณชายแดนไทย อย่างไรก็ดี การดำเนินอยู่ของทหารก๊กมินตั๋งบริเวณชายแดนไทย-พม่าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติของไทย ก็เพราะกองกำลังชาตินิยมดังกล่าวเป็นเป้าหมายหลักในการโจมตีของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในขณะนั้น รัฐบาลไทยจึงขอให้รัฐบาลไต้หวันรับผิดชอบต่อกองกำลังก๊กมินตั๋ง ภายหลังจากการเจรจาผู้นำทหารของสองกองกำลังในไทยได้รับการส่งตัวกลับไต้หวันและปลดกองกำลังในไทย อย่างไรก็ดี 2ผู้นำได้ปฏิเสธและได้ร้องขอสถานะผู้รี้ภัยในไทย รวมถึงสัญญาว่าจะร่วมกับรัฐไทยในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย และจะปฏิบัติตนอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย (Chang, 1999) (น.35) รัฐบาลไทยตอบสนองโดยการให้สถานะชั่วคราวแก่ผู้นำทั้ง 2เนื่องจากในช่วงเวลานั้นประเทศไทยประสบปัญหาการกำจัดกลุ่มคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ การดำรงอยู่ของกลุ่มชาตินิยมก๊กมินตั๋งบริเวณชายแดนจึงมีความสำคัญต่อความมั่นคงภายในประเทศ

มีการสร้างอาคารสาธารณะ อาทิ ศูนย์สุขภาพ, ศูนย์สวัสดิการ, โรงเรียนภายในหมู่บ้านก๊กมินตั๋ง เด็กในหมู่บ้านได้รับการส่งเสริมให้เข้าเรียนในโรงเรียนไทย โดยรัฐบาลไทยคาดหวังว่าการสนับสนุนการศึกษาจะช่วยขจัดองค์ประกอบทางทหารให้หมดไปจากหมู่บ้าน โรงเรียนจีนทั้งหมดในหมู่บ้านก๊กมินตั๋งถูกสั่งให้ปิดตัวลงทั้งหมด มิฉะนั้นจะต้องจดทะเบียนอย่างถูกกฎหมายและดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติ (น.36) ในระยะนี้จึงจะเห็นนโยบายของรัฐไทยที่ปฏิบัติต่อกลุ่มกองกำลังก๊กมินตั๋งอย่างชัดเจน เมื่อรัฐไทยมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศเชิงทุนนิยม บริเวณดังกล่าวจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลลัทธิคอมมิวนิสต์ ยิ่งทำให้กองกำลังก๊กมินตั๋งทวีความสำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังสรรหาทหารก๊กมินตั๋งเพื่อต่อสู้กับรัฐคอมมิวนิสต์เหมาเจ๋อตุง ขณะที่รัฐไทยเองก็พยายามติดตั้งความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศจีน ในลักษณะเช่นนี้ นโยบายของรัฐบาลไทยที่มีต่อกลุ่มชาวจีนยูนนานก๊กมินตั๋งจึงไม่สอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศแต่อย่างไร (น.37)

เมื่อชายแดนไทยกับพม่าได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดจึงส่งผลต่อความฝันของชาวบ้านก๊กมินตั๋งที่จะกลับสู่ดินแดนจีนทำให้คนในหมู่บ้านเริ่มพัฒนาจากที่พักชั่วคราวเป็นหมู่บ้านถาวร หมู่บ้านก๊กมินตั๋งในไทยยังได้รับเงินสนับสนุนช่วยเหลือจากรัฐบาลไต้หวัน หมู่บ้านจึงสามารถพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคขึ้นมาได้ รวมถึงวัดจีนและโรงเรียนจีนด้วย รัฐบาลไต้หวันยังสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่เด็กเชื้อสายยูนนานในหมู่บ้านก๊กมินตั๋งเพื่อให้ศึกษาในประเทศไต้หวันจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น (น.37)

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้านมีความเสถียรมากขึ้น คนในหมู่บ้านจึงเริ่มวางแผนการอยู่อาศัยระยะยาวและขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น ผู้ชายในหมู่บ้านได้รับเงินเดือน ๆ ละ 20 บาทสำหรับกิจกรรมทางทหาร แม้จะไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายภายในครอบครัว พวกเขายังผันตัวมาเป็นแรงงาน เช่น ตัดต้นไม้, ส่งน้ำแข็งและสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย ส่วนผู้หญิงรับจ้างทำงานที่เบากว่าหรือทำงานบ้าน เด็กในหมู่บ้านเมื่อเติบโตขึ้นแล้วจำเป็นต้องออกจากหมู่บ้านเพื่อหางานทำ ส่วนงานที่ให้กำไรที่สุดคือการระหว่างชาวยูนนานในประเทศพม่าและลาว และระหว่างหมู่บ้านก๊กมินตั๋งอื่นๆ ในประเทศไทย สินค้าเหล่านั้น ได้แก่ อุปกรณ์การเรียน, ของเล่น, เสื้อผ้าและอื่น ๆ รวมไปถึงหยกและเพชร (น.38) อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเด็ก ๆ ชาวยูนนานจะเข้าศึกษาในหลักสูตรไทยแต่ก็ไม่มีผู้ใดบังคับให้เด็กในหมู่บ้านก๊กมินตั๋งพูดเฉพาะไทยหรือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของทหารไทย สิ่งที่ได้รับเน้นย้ำในโรงเรียนคือการเรียนรู้เกี่ยวกับคนไทยและวัฒนธรรมไทย (น.38) ในช่วงเวลานั้น รัฐบาลไทยเชื่อใจชาวยูนนานก๊กมินตั๋งในการปกป้องความมั่นคงของรัฐจากลัทธิคอมมิวนิสต์บริเวณชายแดน (น.39)

ระยะที่ 3(1975-1988) ช่วงเวลาแห่งเสถียรภาพ หมู่บ้านอยู่ภายใต้การนำของนาย Jenครอบคลุมช่วงเวลาจากการสิ้นสุดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันจนถึงช่วงปลดอาวุธของกองกำลังที่ 5ซึ่งเกิดจากการต่อรองระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลไต้หวัน (น. 28) ภายหลังรัฐบาลไต้หวันประกาศยุติความรับผิดชอบต่อชาวก๊กมินตั๋งในประเทศไทย รัฐบาลไทยให้การรับรองสถานะสาธารณรัฐประชาชนจีน ความสัมพันธ์รัฐไทยและรัฐบาลไต้หวันก็ได้เปลี่ยนไปด้วย ส่วนชาวก๊กมินตั๋งในไทยได้ถอนตัวจากภารกิจทหารและกลับมาใช้ชีวิตในหมู่บ้าน ควบคุมการค้าข้ามแดนระดับภูมิภาค ให้การคุ้มครองพ่อค้าชายแดนและสินค้าทำกำไรสูง นั่นคือ ฝิ่นดิบและหยก ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบบริเวณชายแดนและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในประเทศ ทหารก๊กมินตั๋งในหมู่บ้านก็ยังคงได้รับการเรียกใช้จากรัฐบาลไทยตลอดช่วงปีทศวรรษ 1970(น. 39-40) ความสำเร็จในการช่วยเหลือทางทหารของชาวจีนยูนนานก๊กมินตั๋ง ส่งผลให้คุณค่าและความภักดีที่มีต่อประเทศไทยของพวกเขาเป็นที่ยอมรับ และได้รับสัญชาติไทยในเวลาต่อมา  ส่วนผู้ที่เข้าเมืองหลังปี 1978ได้รับสถานะชั่วคราวในฐาน ชาวยูนนานอิสระ หรือ “ฮ่ออิสระ” (น. 40)

เมื่อสิ้นสุดการควบคุมทางการทหารที่มีต่อหมู่บ้านก๊กมินตั๋งในปี 1984เกิดการดำเนินงาน “โครงการสถานภาพทางกฎหมาย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการแห่งชาติ (น. 41) รัฐบาลไทยพยายามแนะนำแนวทางการอาศัยในประเทศไทยในฐานะพลเมืองด้วยการเรียนรู้ภาษาไทย วัฒนธรรมไทย มารยาทไทย ประเพณีและธรรมเนียมไทย ได้ชี้นำ “ความเป็นไทย” แก่ชาวก๊กมินตั๋งรุ่นหลัง ซึ่งมีศักยภาพสูงในการที่จะกลายมาเป็นคนไทยผ่านระบบการศึกษาไทย ส่วนโรงเรียนจีนได้รับการยกเลิก (น. 41) หากไม่รับเอาหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเข้าไว้ในการเรียนการสอนก็จะไม่สามารถสอนภาษาจีนในโรงเรียนได้ ซึ่งเป็นเวลา 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในเวลาต่อมามีผู้อพยพย้ายถิ่นกลุ่มอื่น เช่น ชาวยูนนานจากพม่า ชาวพม่า ชาวเขา (อาข่า) เข้า-ออกหมู่บ้านถ้ำสันติสุข

ในปี 1984กองตำรวจตระเวนชายแดนไทยถอนตัวออกหมู่บ้าน เมื่อหมู่บ้านถ้ำสันติสุขได้กลายมาเป็นหมู่บ้านไทยอย่างเป็นทางการ (น. 43) ทั้งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย 

อ้าง Chiang (1999) เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไต้หวันกับรัฐบาลไทยพัฒนาขึ้นอีกครั้ง คนในหมู่บ้านถ้ำสันติสุขจึงได้รับการช่วยเหลือทางการเงินและโครงการพัฒนาช่วยเหลืออีกครั้งจากไต้หวัน (น. 44) มีการสนับสนุนโครงการด้านเกษตรกรรม การศึกษา การดูแลทางการแพทย์ สาธารณูปโภค การก่อสร้าง และการอาชีพ จนถึงปี 1994ซึ่งทำให้คนในหมู่บ้านมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ระยะที่ 4(1988-ปัจจุบัน) ระยะการบูรณาการแห่งชาติของรัฐไทย  โดยนับจากการขจัดองค์ประกอบทั้งหมดของกองกำลังก๊กมินตั๋งในหมู่บ้าน ภายใต้การนำของนาย Huang (น. 28) ซึ่งพยายามผลักดันประเด็นเรื่องบัตรประชาชนสัญชาติไทย แม้ว่าจะมีการปรับปรุงระเบียบเมื่อปี 1991ให้ชาว “ฮ่ออิสระ” สามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ แต่ก็ยังอยู่สถานะผู้ลี้ภัยผิดกฎหมาย ซึ่งในจำนวนนี้รวไปถึงทหารยูนนานก๊กมินตั๋งที่ร่วมต่อสู่คอมมิวนิสต์ที่พลาดโอกาสในการขึ้นทะเบียนก่อนการประกาศลักษณะประเภท “ฮ่ออิสระ” ของรัฐในภายหลัง บ้างได้รับบัตรชาวเขาด้วยกระบวนการที่ผิดพลาด หรือไม่มีบัตรใด ๆ เลย ด้วยความพยายามของ นาย Huangในฐานะผู้นำ ในปี 1996ผู้ที่ถูกระบุว่าเป็น “ชาวฮ่ออิสระ” ได้รับบัตรต่างด้าว ออกโดยราชการไทย

Settlement Pattern

จากถนนเส้นหลัก เมื่อเดินทางเข้าสู่บ้านถ้ำสันติสุขจะผ่านหมู่บ้านคนไทยก่อน  เมื่อถึงบ้านถ้ำสันติสุขจะพบว่า ด้านหน้าและท้ายหมู่บ้านมีประตูหมู่บ้านแบบจีนเขียนว่า “ยินดีต้อนรับสู่บ้านถ้ำสันติสุข” ทั้งภาษาไทยและจีน บ้านเรือนมีลักษณะสองชั้น มีเสาสองต้นหน้าบ้าน ประดับแถบยาวสีแดงมีบทกลอนจีนเขียนโดยหัวหน้าครอบครัวติดไว้ ตัวบ้านมีระเบียงเปิด เกือบทุกหลังจะติดภาพของทหารก๊กมินตั๋งที่เป็นบรรพบุรุษของครอบครัวเอาไว้ ภายในบ้านมีชุดโต๊ะกินข้าวทำจากไม้ ผู้สูงอายุมักนั่งบนเก้าอี้ไม้เพื่อพักผ่อนช่วงกลางวันหน้าบ้านสูบยามวนยาว

เมื่อแรกเริ่มตั้งหมู่บ้านในปี 1954 ชาวบ้านได้ตั้งวัดจีน (น. 50) ขึ้นมาพร้อม ๆ กับหมู่บ้าน

Demography

อ้างอิง จากเอกสารราชการของอำเภอแม่สายเมื่อปี 2001(น. 55) จำนวนประชากรบ้านถ้ำสันติสุขที่ได้รับการสำรวจมีจำนวน 537คน เพศชาย 222คน เพศหญิง 315คน จำนวนหลังคาเรือน 195หลังคาเรือน มีครอบครัวคนไทย 10หลังคาเรือน ส่วนชาวจีนยูนนานที่ถือบัตรต่างด้าว มีจำนวน 83หลังคาเรือน

ผู้ที่อายุมากกว่า 50ปี คิดเป็นร้อยละ 32ประชากรตั้งแต่อายุ 18-49ปี คิดเป็นร้อยละ 22เด็กวัยมัธยมศึกษา อายุ 12-17ปี คิดเป็นร้อยละ 22

ประชากรจากจีนยูนนานจากทั้งเมียนมาและยูนนานมักอพยพเข้าออกหมู่บ้านในฐานะ “ฮ่ออิสระ” และพยายามระบุตัวตนว่าเป็นชาวเขาหรือลูกหลานของทหารก๊กมินตั๋งเพื่อร้องขอสถานะที่ถูกกฎหมายสำหรับพักอาศัยในประเทศไทย สำหรับชาวบ้านดั้งเดิมที่เคยออกจากหมู่บ้านก็ได้กลับเข้าสู่หมู่บ้านด้วยจุดประสงค์ให้ลูกหลานได้เรียนในโรงเรียนจีนหรือภาษาจีน และเติบโตในสภาพแวดล้อมอย่างจีน การเคลื่อนย้ายข้าวของชาวบ้านดั้งเดิมนั้นมีจำนวนที่มากขึ้นทุกปี (น. 56)

Economy

นับตั้งแต่การตั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านถ้ำสันติสุขเลี้ยงหมูและไก่ ส่วนเด็กที่โตพอทำงานได้จะออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน จำนวนหนึ่งทำงานเกี่ยวกับการค้าชายแดนระดับภูมิภาคและได้กลายมาเป็นพ่อค้าคนกลางที่ประสบความสำเร็จในจังหวัดเชียงใหม่ (น. 56)

ตลาดเช้าและร้านค้าเล็ก ๆ เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระดับชุมชน มีคนไทยหรือคนนอกชุมชนจำนวนหนึ่งเข้ามาค้าขาย และขับรถรับจ้างบริการในละแวก  

ข้อมูลจากผู้ใหญ่บ้านระบุว่า เพียงร้อยละ 10ของคนในหมู่บ้านเท่านั้นที่มีรายได้สูง ประกอบอาชีพพ่อค้า ธุรกิจส่วนตัว และเจ้าของที่ดิน ร้อยละ 90 ของคนในหมู่บ้านมีรายได้น้อย ประกอบอาชีพทางปศุสัตว์ แรงงานรายวัน ประกอบธุรกิจร้านเล็ก ๆ ขับรถรับจ้าง ครูสอนภาษาจีน มีรายได้ประมาณเดือนละ 3,000บาท (น. 56) ซึ่งไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัว แต่ละครัวเรือนจึงจำเป็นต้องพึ่งพาเงินกองทุนช่วยเหลือจากภายนอก ผู้ที่ทำงานนอกหมู่บ้านจำนวนหนึ่งประกอบอาชีพล่ามหรือไกด์ ประเทศไต้หวันและกรุงเทพฯ เป็นสถานที่ที่คนในหมู่บ้านมองหางาน (น. 57)

Social Organization

กล่าวถึงชาวจีนอพยพที่แต่งงานกับหญิงชาวไทยเพื่อการอาชีพและการเงิน (น. 22) สำหรับหัวหน้าหมู่บ้านคนปัจจุบันได้รับเลือกจากคนในหมู่บ้าน แม่ของเขาเป็นคนไทย และพ่อของเขาเป็นอดีตทหารก๊กมินตั๋ง (น.58)
อ้างถึง Skinner (1957:128) ทายาทรุ่นที่สามของชาวจีนอพยพ (หรือชาวจีนโพ้นทะเล) มีลักษณะทางวัฒนธรรมชาติพันธุ์อย่างไทย (น. 22)

สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าภายในหมู่บ้านจัดตั้งและสนับสนุนโดยหญิงชาวไต้หวันและรับสงเคราะห์เด็กจากพื้นที่อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับวัดจีนแห่งใหม่ที่มีแม่ชีรับเลี้ยงเด็กกำพร้า สงเคราะห์ที่พักอาศัยและส่งเสียเข้าโรงเรียน เด็กกลุ่มนี้เป็นประชากรกลุ่มหนึ่งของหมู่บ้านถ้ำสันติสุข

Political Organization

แม้ว่าบ้านถ้ำสันติสุขจะอยู่ภายใต้การบริหารการปกครองของไทย แต่การสื่อสารภายในหมู่บ้านนั้นใช้การประกาศและเขียนภาษาจีนเท่านั้น งานสำคัญในหมู่บ้านจะต้องมีคณะกรรมชาวจีนเป็นผู้ดำเนินงาน ประกอบด้วยผู้นำชาวจีน ผู้อาวุโส หัวหน้าหมู่บ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) และผู้ช่วย คณะกรรมการนี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1954 นับแต่การตั้งหมู่บ้าน มีการประชุมคณะกรรมการชาวจีนในหมู่บ้านทุกเดือนเพื่ออภิปรายเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกชุมชนชาวยูนนาน ประเด็นสำคัญ อาทิ การร้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชน การบริจาคเงินทุนเพื่อปรับปรุงโรงเรียน กำหนดการกิจกรรมในหมู่บ้าน การจัดสรรการเงิน และความปลอดภัยมั่นคงของหมู่บ้าน (น.57)

การบริหารหมู่บ้านเป็นหน้าที่ของหัวหน้า (ผู้ใหญ่บ้าน) ผู้ที่จะต้องมีสัญชาติไทย สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดี เนื่องจากต้องติดต่อสัมพันธ์กับทางการไทย ผู้นำชาวจีนและหัวหน้าหมู่บ้านทำงานร่วมมือบริหารกิจการของหมู่บ้านเป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม อำนาจเต็มของคณะกรรมการชาวจีนขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินของผู้หญิงและคนรุ่นเยาว์ ฐานะทางสังคมบางประการถูกควบคุมโดยคณะกรรมการ ชาวบ้านบางคนตั้งข้อสงสัยต่อคณะกรรมการเรื่องการบริหารเงินหมู่บ้าน

คณะกรรมการชาวจีนประกอบไปด้วยผู้อาวุโสและอดีตทหารก๊กมินตั๋ง ซึ่งได้รับการเคารพเป็นอย่างสูง มีความพยายามรวบรวมหมู่บ้านภายใต้วิธีคิดแบบประเพณีนิยม พวกเขาจัดพิธีและเทศกาลแบบยูนนาน ประดับรูปผู้นำนายซุน ยัตเซ็นและธงชาติไต้หวันบนเวที ควบคู่กับรูปพระมหากษัตริย์และธงชาติไทย (น. 58)

Belief System

กล่าวถึงสถานบันทางศาสนา ได้แก่ ศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ศาสนาอิสลาม

วัดจีนแห่งแรกสร้างเมื่อแรกตั้งหมู่บ้านในปี 1954 ส่วนวัดจีนแห่งที่สองสร้างในปี 1995 ข้อมูลภาคสนามอธิบายว่า เป็นไปตามความเชื่อท้องถิ่นและ “ความปรารถนาของหมู่บ้านที่จะมีวัดคู่กัน” (น. 50) วัดแห่งแรกตั้งอยู่หน้าโรงเรียนจีน การฉลองการกินเจและมนต์พิธีมักเกิดขึ้น ณ วัดแห่งใหม่ ในเทศกาลไหว้พระจันทร์  ถือโอกาสที่สมาชิกครอบครัวผู้ที่ออกไปทำงานนอกบ้านจะได้กลับมาพบกัน แม่และย่าชาวยูนนานจะทำขนมไข่และของหวานพิเศษสำหรับบูชาพระจันทร์ บรรดาแม่จะให้ลูกของตนเองไปเดินเล่นในหมู่บ้านเพื่อจะได้รับเชิญจากคนในหมู่บ้านให้รับประทานขนมไข่ตามแต่ละบ้าน เป็นที่สนุกสนานของเด็ก ๆ แต่ละครั้งในหนึ่งปี ส่วนพวกวัยรุ่นจะมีโอกาสเรียนรู้จากผู้สูงอายุเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในสังคม (น.89)

Education and Socialization

ปัจจัยที่สำคัญต่อความสืบเนื่องของอัตลักษณ์ชุมชนชาวยูนนานก็คือ การจัดการศึกษาโรงเรียนจีนในหมู่บ้าน (น.91) .ในหมู่บ้านถ้ำสันติสุข โรงเรียนจีนได้รับการใส่ใจจากหัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสเป็นอย่างมาก ระบบการศึกษาที่ดีของโรงเรียนจีนบ้านถ้ำสันติสุขดึงดูดเด็ก ๆ ชาวจีนยูนนานจากหมู่บ้านก๊กมินตั๋งที่อื่น รวมทั้งเด็กไทยและเด็กชาวเขาเข้ามาเรียนในหมู่บ้าน

โรงเรียนจีนบ้านถ้ำสันติสุขถือกำเนิดพร้อม ๆ กับการตั้งหมู่บ้านในปี 1954 เริ่มสอนบทเรียนภาษาจีนจนถึงชั้นประถม ด้วยภาษาจีนแมนดารีน ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของผู้อาศัยส่วนใหญ่ นายพล Lee ผู้นำและผู้ก่อตั้งหมู่บ้านเป็นครูใหญ่คนแรกและรับผิดชอบจัดการด้านการเงิน จ้างครู ระดมทุนมาใช้ในกิจการของโรงเรียน การจัดตั้งโรงเรียนจีนมีวัตถุประสงค์หลัก คือให้การศึกษาแก่เด็กในหมู่บ้านเพื่ออนุรักษ์มรดกจีน และเตรียมตัวให้พร้อมในการกลับไปใช้ชีวิตในประเทศจีนเมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติ

ชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างต้องการส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนจีน ในปี 1959 นายพล Leeพัฒนาหลักสูตรจีนจนถึงขั้นประถมศึกษา 6 ยิ่งไปกว่านั้น บทเรียนภาษาไทยและภาษาอังกฤษก็มีการเรียนการสอนในโรงเรียนด้วย โดยจ้างครูหญิงชาวไทยทำหน้าที่สอนภาษาไทยพื้นฐาน ส่วนตัวของนายพล Lee เองทำหน้าที่ครูภาษาอังกฤษ โดยร่ำเรียนจากหมอสอนศาสนาที่เข้ามาในหมู่บ้านเป็นครั้งคราว และตนเองก็ได้เดินทางไปศึกษาภาษาอังกฤษที่ฮ่องกงเป็นเวลา 5 เดือน เพื่อกลับมาสอนในโรงเรียน รัฐบาลแห่งชาติไต้หวันได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือ ตำราเรียนและหลักสูตรการศึกษาจากไต้หวัน รวมทั้งให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่ต้องการไปศึกษาต่อที่ไต้หวันในทุก ๆ ปีนับจากปี 1968  ไม่เพียงแต่การเรียนการสอนภาษาจีนแมนดารีนเท่านั้นที่ถูกสอนในโรงเรียน วรรณคดีจีน ปรัชญา คณิตศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคม ดนตรี และอื่น ๆ   ในช่วงปีคริสตทศวรรษ 1960 โรงเรียนดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อว่า “โรงเรียนแห่งเด็กผู้ลี้ภัย” (น. 92-93) เปิดสอนตั้งแต่อนุบาล (2ปี) จนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ในปี 1964 มีจำนวนนักเรียน 200 คน ครู 10 คน

ในปี 1985 เมื่อกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนถอนกำลังออกจากหมู่บ้าน โรงเรียนได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โรงเรียนจีนบ้านถ้ำสันติสุข” เพียงหนึ่งปีให้หลัง โรงเรียนจำต้องปิดทำการเป็นเวลา 2 ปี เนื่องจากนโนบายบูรณาการของทางการไทย มีการห้ามสอนบทเรียนภาษาจีน แต่ครูจีนหลายคนยังแอบสอนภาษาจีนในหมู่บ้าน โดยใช้สถานที่ศาลเจ้า มัสยิด ฟาร์มหมู-ไก่ บ้านผู้สูงอายุและที่อื่น ๆ แทน (น. 93)

ในปี 1988 เมื่อนโยบายของรัฐบาลไทยเริ่มผ่อนปรน นาย Huang ผู้นำหมู่บ้านในตอนนั้นได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง มีการเพิ่มเงินเดือนและโบนัสเพื่อจูงใจครู และเพื่อพัฒนาคุณภาพของครู นาย Huang ได้จัดการสัมมนาและอบรมประจำปีสำหรับครูรุ่นใหม่เพื่อให้เกิดการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้กำลังใจนักเรียน นาย Huang ยังได้คอยตรวจสอบชั้นเรียนและให้คำปรึกษาแก่เด็กที่มีปัญหา

ในปี 2001 มีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 612คน ในจำนวนนี้ นักเรียนกว่า 100 คน มาจากครอบครัวชาวเขา และประมาณ 30 คนมาจากครอบครัวคนไทย  ร้อยละ 12 ของนักเรียนทั้งหมดไม่มีสัญชาติไทย ส่วนใหญ่อพยพเข้ามาจากประเทศพม่า (น. 94)  อย่างไรก็ดี นักเรียนในโรงเรียนส่วนใหญ่นั้น เป็นนักเรียนชาวยูนนานจากหมู่บ้านก๊กมินต๋งที่อื่น นั่นคือ มิได้เกิดในหมู่บ้านถ้ำสันติสุข แต่ย้ายเข้ามาเพื่อการศึกษา ส่วนนักเรียนดั้งเดิมที่เกิดและโตในหมู่บ้านมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด นักเรียนจากที่อื่นมากจาก ดอยผาตั้ง จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดตาก
         
แม้ว่าจะมีนักเรียนจำนวนมาก แต่รัฐบาลไทยมิได้รับรองโรงเรียนจีนแห่งนี้ในฐานะสถานศึกษาของรัฐอย่างเป็นทางการ แต่ถูกจัดเป็นสถานบันการศึกษาเอกชนที่ดำเนินการโดยชุมชน และไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ จากทางการไทย  ส่วนหลักสูตร ระบบภาคการศึกษา ตำราและอุปกรณ์การเรียนได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลไต้หวัน รวมไปถึงระบบภาษาจีนแมนดารีนที่ใช้ในไต้หวันก็ถูกรับมาใช้ในโรงเรียนด้วยเช่นกัน (น.97) รวมถึงประเทศที่ใช้ภาษาจีนหลายประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง (ยกเว้น จีน) ก็สนับสนุนเงินทุนด้านการศึกษาแก่ชุมชนยูนนานก๊กมินตั๋นด้วยเช่นกัน (น. 98)
         
โดยพื้นฐานของกฎระเบียบโรงเรียน นักเรียนที่จะเข้าศึกษาในโรงเรียนจะต้องมีอายุอย่างน้อย 5 ปี และจะต้องเข้าสอบเพื่อวัดระดับความสามารถทางภาษาจีน จากนั้นโรงเรียนจะตัดสินใจว่าเด็กคนนั้นควรเริ่มต้นศึกษาในระดับใด นั่นคือนักเรียนที่มีอายุมากอาจเรียนร่วมชั้นกับนักเรียนที่อายุน้อยกว่าได้
         
ในโรงเรียนไม่มีกิจกรรมใด ๆ ยกเว้นเทศกาลการแข่งขันกีฬาประจำปีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยโรงเรียนจีนยูนนานในเชียงใหม่และเชียงรายจะรวมตัวกันเพื่อการแข่งขันกีฬา ส่วนกิจวัตรประจำวันที่เด็กจะต้องปฏิบัติคือรวมตัวกันหลังเลิกเรียนเพื่อร้องเพลงชาติไต้หวันก่อนกลับบ้าน (น. 98)
         

สำหรับการลงโทษนักเรียนที่ขาดเรียนหรือทำผิด ในขั้นแรกครูจะตักเตือนนักเรียนและปรับพฤติกรรม จากนั้นครูจะเยี่ยมบ้าน อภิปรายประเด็นและขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง แต่หากยังไม่มีการปรับปรุง โรงเรียนก็จะให้หยุดเรียนเป็นการชั่วคราว หรือให้ออกอย่างถาวร กฎเดียวกันนี้ยังใช้กับนักเรียนที่มีเรื่องชกต่อยมากกว่าสองครั้ง หรือกระทำการโกงข้อสอบ แต่การไล่ออกก็เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก เพราะปัญหาได้รับการแก้ไขตั้งแต่ขั้นตอนที่ครูเยี่ยมบ้านของนักเรียน (น. 98-99)
         
เพื่อที่จะพัฒนาความสามารถทางภาษาจีน โรงเรียนเคยใช้ข้อตกลง “ไม่มีการพูดภาษาไทย” แต่ก็ตระหนักว่า หากครูไม่ใช้ภาษาไทยในการอธิบาย นักเรียนจะไม่เข้าใจการบรรยายอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะวิชาประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ (น. 99)
         
ความคาดหวังของคนในหมู่บ้านที่มีต่อโรงเรียนจีนจากคนรุ่นแรกนั้นมีหลากหลาย ในกลุ่มคนรุ่นแรกของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดและเติบโตมาในประเทศจีน ถือว่าโรงเรียนเป็นสถาบันอย่างหนึ่ง ที่เด็กสามารถเรียนภาษาจีนและธำรงอัตลักษณ์จีนได้ ความห่วงใยเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนในระบบโรงเรียนจึงเป็นประเด็นหลักสำหรับคนรุ่นแรกของหมู่บ้าน และส่วนทางด้านเศรษฐกิจ การเข้าเรียนในโรงเรียนจีนสำหรับเด็กในหมู่บ้านส่งผลให้อาจได้รับโอกาสที่ดีเพื่อไปทำงานที่ไต้หวันต่อไปด้วย นอกจากนี้ยังมีความคาดหวังต่อระบบโรงเรียนจีนให้มีสมดุลที่ดีกับระบบการศึกษาไทย เนื่องจากภาษาไทยเป็นคุณสมบัติพื้นฐานในการปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่และใช้ชีวิตในประเทศไทย คนรุ่นแรกคาดหวังให้โรงเรียนไทยสั่งสอนเกี่ยวกับกฎบางอย่างของพฤติกรรมที่เหมาะสมในการอาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งตัวของพวกเขาเองไม่สามารถสอนเรื่องเหล่านี้ได้ (น. 101-102)
         
คนรุ่นที่สองและรุ่นที่สามของหมู่บ้านคาดหวังต่อโรงเรียนจีนในฐานะสถาบันทางเศรษฐกิจมากกว่าสถาบันทางวัฒนธรรมและประเพณี ที่จะเชื่อมโยงกับการอยู่อาศัยในประเทศไทย คนที่ไม่สามารถไปทำงานที่ไต้หวันได้ ใช้ภาษาและวัฒนธรรมจีนในการเลื่อนสถานภาพ ผู้ที่กลับมาจากไต้หวันก็ติดตั้งสถานภาพทางเศรษฐกิจและกลายมาเป็นพ่อค้าคนกลางที่ประสบความสำเร็จ (น. 102)  สำหรับคนกลุ่มนี้ โรงเรียนจีนมิได้เป็นก้าวแรกของการย้ายไปอาศัยหรือทำงานในไต้หวันอีกต่อไป เนื่องจากรัฐบาลได้หวันมิไต้สนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดอีกต่อไป ชาวยูนนานที่มีสัญชาติไทยที่เดินทางไปไต้หวันเองก็พบกับความยากลำบากในการหางานและการสื่อสาร ภาษาจีนจากการเติบโตในหมู่บ้านนั้นต่างจากที่ไต้หวัน การศึกษาในระบบก็เป็นเรื่องยากจึงออกมาใช้แรงงาน (น. 103) ชาวจีนก๊กมินตั๋งที่ไม่มีประกาศนียบัตรจากโรงเรียนไทยหรือไม่มีสัญชาติไทยอยู่ในฐานะ “ผู้อพยพชาวจีนที่ไม่รู้หนังสือ” คนรุ่นสองและรุ่นสามจึงตระหนักดีว่า การรู้ภาษาไทย เป็นหนทางแห่งอนาคต ทุกวันนี้ พ่อแม่รุ่นใหม่ไม่อนุญาตให้บุตรของตนไปโรงเรียนจีนและหากลูกตื่นสายและหลีกเลี่ยงสิ่งใด ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อบุตรของที่โรงเรียนไทย แลเกรงว่าบุตรจะไม่สามารถอุทิศเวลาให้แก่การศึกษาได้อย่างเต็มที่ เป็นที่ชัดเจนว่าลูกหลานของคนกลุ่มนี้ไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อน และคนจีนในประเทศอื่น ๆ  พ่อแม่นั้นส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนจีนเพียงแค่ระดับอนุบาล ก่อนจะหันมาเน้นการศึกษาในโรงเรียนไทย ในแง่เด็ก ๆ ของพวกคนรุ่นนี้ได้กลายมาเป็น กลุ่มชาติพันธุ์จีน/ชนกลุ่มน้อยชาวจีน ของประเทศไทย ที่สามารถพูดประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบแต่ไม่สามารถพูดภาษาจีนพื้นฐานได้ดี คนรุ่นนี้ออกเติบโตมาในฐานะผู้ลี้ภัย จำต้องออกไปทำงานเกื้อกูลครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก จึงหวังให้บุตรหลานของตนเข้าระบบโรงเรียนไทยเพื่อโอกาสที่ดี (น. 104-105) อย่างไรก็ดี ความคาดหวังต่อโรงเรียนจีนในฐานะสถาบันทางวัฒนธรรมของคนรุ่นดังกล่าว โรงเรียนทำหน้าที่สอนและเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณียูนนาน เนื่องจากเป็นสิ่งที่คนรุ่นที่สองและรุ่นที่สามไม่สามารถถ่ายทอดในครัวเรือนได้
         
สำหรับคนรุ่นที่สี่และรุ่นที่ห้า มีความคาดหวังต่อโรงเรียนจีนในฐานะแหล่งพบปะสังสรรค์ทางสังคมวัฒนธรรม พวกเขามักเริ่มต้นและสิ้นสุดกิจกรรมการศึกษาในแต่ละวันที่โรงเรียนจีน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเด็กในหมู่บ้านรุ่นหลังที่จะต้องเข้าเรียนทั้งสองโรงเรียนในแต่ละวัน แต่ก็มีบางคนที่หยุดไปโรงเรียนเนื่องจากไม่สามารถจัดการกับชั่วโมงเรียนที่ยาวนานได้ และอยากมุ่งเน้นการเรียนหลักที่โรงเรียนไทยมากกว่า การเรียนการสอนในโรงเรียนจีนค่อนข้างยากเนื่องจากยังใช้หลักสูตรของทางไต้หวัน อย่างไรก็ดี โรงเรียนก็ยังทำหน้าที่สำคัญในการแลกเปลี่ยน พบปะสังสรรค์ระหว่างกันของคนในหมู่บ้าน บทบาททางวัฒนธรรมของโรงเรียนจีนจึงเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะโรงเรียนไทยได้สอดแทรกมโนทัศน์ความเป็นชาติไทยซึ่งขัดแย้งต่อมโนทัศน์และค่านิยมของวัฒนธรรมชาวจีนยูนนานที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เด็ก ๆ เรียนรู้จากที่บ้านหรือโรงเรียนจีน (น.107-108)  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอธิบายความเป็น “ฮ่อ” ในลักษณะที่ “เป็นอนารยชน” และผู้อพยพชาวจีน อย่างไรก็ดี คนรุ่นหลังมิได้มีความคาดหวังหรือสนใจในการเคลื่อนย้ายสู่ไต้หวันอีกต่อไป เนื่องจากนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้นจากทางไต้หวัน และตัวอย่างของฝันที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนักของคนรุ่นก่อนหน้า ฉะนั้นความคาดหวังที่มีต่อโรงเรียนก็คือการรับรองความสามารถด้านภาษาจีนพื้นฐาน เพื่อการประกอบอาชีพ และการสื่อสารภายในกลุ่มของตนด้วยภาษาจีนถิ่นยูนนาน
         
ทัศนคติของเด็กนักเรียนจากหมู่บ้านก๊กมินตั๋งที่อื่น ๆ นั้นแตกต่างออกไป บ้างเข้ามาในบ้านถ้ำสันติสุขเพื่อเรียนภาษาจีน บ้างเข้ามเพื่อรับประกาศนียบัตรรับรองจากโรงเรียนจีนเพื่อนำไปสมัครงาน หรือลงทะเบียนบัตร “จีนฮ่อ” ที่ราชการรับรอง (น. 111) เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้อยู่ในพื้นที่สูงและยังห่างไกลจากสาธารณูปโภคและโครงการพัฒนา ยังมีลักษณะเป็นชุมชนผู้อพยพชาวยูนนาน เด็ก “ฮ่อ” เหล่านี้ไม่ได้ใส่ใจการเรียนทั้งระบบไทยหรือระบบจีนเท่าไรนัก บ้างยังคาดหวังกับโรงเรียนจีนในฐานะช่องทางในการไปเรียนและทำงานในไต้หวัน ทั้งนี้ก็เพราะโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในประเทศไทยนั้นมีน้อย อันเนื่องมาจากหมู่บ้านของเด็กเหล่านี้มิได้อยู่ใต้อิทธิพลเชิงการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของรัฐไทยโดยตรง

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ภาษาจีนถิ่นยูนนาน อันเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ทำให้กลุ่มของต้นแตกต่างคนไทย ไทยเชื้อสายจีน และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในประเทศไทย คนรุ่นหลังมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของบทบาททางวัฒนธรรมของโรงเรียนจีนในการก่อร่างสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ส่งเสริมศักดิ์ศรีในตนเอง และความภาคภูมิใจในการเป็น “ชาวจีนเชื้อสายยูนนาน” หรือ “ชาวฮ่อ” ในประเทศไทย

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Critic Issues

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่
- ภาคเหนือของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน (น. 2)
- ภาคเหนือของไทย (น. 5)
- จากทางหลวง 1149สู่ ถ้ำปลา (น. 46)
- ทัศนียภาพบ้านถ้ำสันติสุข (น. 49)
ภาพ
- ศาลเจ้าจีนด้านหน้าโรงเรียนจีน (น. 46)
- มัสยิดในหมู่บ้าน (น. 51)
- โบสถ์คริสต์ในหมู่บ้าน (น. 51)
- โรงเรียนอาชีวศึกษาแม่สาย (น. 53)
- ถังน้ำประปาในหมู่บ้าน (น. 54)
- การเฉลิมฉลองวันแห่งชาติไต้หวัน (น. 59)
- งานเลี้ยงวันเกิดนาย Yang (นาย Yang กับลูก ๆ) (น. 79)
- งานเลี้ยงวันเกิดนาย Yang(คนในหมู่บ้านมาเยี่ยมเยียน) (น. 79)
- ภาพปัจจุบันของผู้ใหญ่บ้านชาวจีนและพระไทย (ถ่ายเมื่อปี 1993) (น. 81)
- นักเรียนในเครื่องแบบเมื่อปี 1993(น. 94)
- ห้องเรียนประถมศึกษาปีที่ 4(น. 96)
- ห้องเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3(น. 96)
- หลังเลิกเรียน (น. 99)
- พิธีงานศพ (น. 121)
- พิธีแต่งงาน (น. 122)
- พิธีไหว้พระจันทร์ (น. 123)
- ถนนสายหลัก (ระหว่างการก่อสร้าง) และ ฟาร์มหมูในบ้านถ้ำสันติสุข (น. 124)
- กิจกรรมทัศนศึกษาที่เชียงรายกับเยาวชนจีนยูนนาน และงานวันเกิด (น.125)
- การเฉลิมฉลองวันแห่งชาติไต้หวันในอดีต (นักเรียนทำการแสดงอย่างจีน) (น.126-7)
- ภาพพระมหากษัตริย์ไทย (น.128)
- ภาพผู้นำการปฏิวัติไต้หวันซินไห่ นายซุน ยัตเซน (น.128)
- ภาพบ้านเรือน สนามบาสเก็ตบอล ศาลาประชาคม อาคารเรียน ห้องพักครู แผนที่ในห้องพักครู การเขีนนจีนและภาพจีน (น. 138-141)

Text Analyst อุรินธา เฉลิมช่วง Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG การประกอบสร้างอัตลักษณ์, การศึกษา, การบูรณาการแห่งชาติ, ชุมชนชาติพันธุ์, ชุมชนก๊กมินตั๋ง, บ้านถ้ำสันติสุข, จีนยูนนาน, จีนฮ่อ, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง