|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การช่วงชิงความทรงจำ, ชาติพันธุ์ม้ง, ดอยยาว-ดอยผาหม่น |
Author |
อุไร ยังชีพสุจริต |
Title |
การช่วงชิงความทรงจำทางสังคมในชุมชนม้งดอยยาว-ดอยผาหม่น |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสังคมศาสตร์และหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
188 |
Year |
2558 |
Source |
หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาชาติพันธุ์สัมพันธ์และการพัฒนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การศึกษาปรากฏการณ์การช่วงชิง และการสร้างนิยามความหมายผ่านความทรงจำของกลุ่มชาวม้งนั้น ในงานได้เสนอว่า หลังจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์และต่อสู้ด้วยอาวุธในพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่นได้ยุติลง ประมาณสามทศวรรษดอยยาว-ผาหม่นได้เกิดปรากฏการณ์การช่วงชิงการสร้างความทรงจำทางสังคมระหว่างชาวม้งด้วยกันเองหรือกับคนภายนอก รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามเข้าไปสร้างนิยามความให้กับพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น
การช่วงชิง สร้างความหมายบนพื้นที่ดังกล่าวนั้น ในงานได้เสนอว่า เป็นการต่อสู้รูปแบบใหม่ เพื่อกำหนดสร้างพื้นที่ให้เป็นไปตามความรู้ ความเข้าใจของตน ฉะนั้นในการต่อสู้เพื่อนิยามต่อพื้นที่ได้นำเครื่องมือสำคัญในการต่อรอง คือ ความทรงจำ ประสบการณ์และความรู้ ดังที่ในงานได้เสนอว่า แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐได้เข้ามีส่วนช่วงชิงพื้นที่ด้วยการนิยามว่ารัฐไทยเป็น “ผู้เสียสละ” เป็นผู้สร้างความสันติสุขให้กับพื้นที่หลังจากสามารถกำชัยชนะต่อพรรคคอมมิวนิสต์ได้ และให้ภาพต่อชาวม้งในพื้นที่ว่าเป็นกลุ่มคนที่เสี่ยงและเป็นภัย เช่น นิยามคำว่า “แม้วแดง” ซึ่งเป็นการลดคุณค่าและกีดกั้นชาวม้งหรือลดความสำคัญของคนม้งในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ชาวม้งที่เคยร่วมช่วยเหลือทหารไทยในการรบกับคอมมิวนิสต์ ได้แสวงหาหาจุดร่วมในกลุ่มม้ง เช่น รวมญาติพี่น้องที่เป็นทั้งสหายที่เข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์และม้งฝ่ายช่วยไทย กลับมาสร้างความทรงจำต่อพื้นที่ “ในฐานะผู้อยู่ก่อน” และความทรงจำในประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เคยมีผู้นำมาก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์มาเป็นจุดร่วมของตน ทั้งนี้ยังมีเยาวชนรุ่นใหม่ที่พยายามนำเสนอความเป็นม้งให้เข้ากับยุคทันสมัยหรือบริบทสังคมปัจจุบัน
ปฏิบัติการณ์ช่วงชิงดอยยาว-ผาหม่น ได้ถูกแสดงออกมาผ่าน กิจกรรมและอนุสรณ์สถาน อนุสาวรี เพื่อระลึกเรื่องราวในอดีตและเป็นสถานที่ไว้อาลัยวีรกรรมของชาวม้งและของรัฐ แต่สำหรับชาวม้งนั้นได้ผลิตสร้างความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ชาวม้งขึ้นมาบนพื้นที่ ในฐานะผู้อยู่ก่อน เพื่อเป็นพลังในการต่อรองให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรี สิทธิต่าง ๆ รวมถึงการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ แต่ถึงแม้ว่าการปฏิบัติการทางความทรงจำดังกล่าวจะถูกรัฐและคนนอกเพ็งเล็งและแสดงคติ นินทา ดูถูกชาวม้งอยู่ แต่การต่อรอง ช่วงชิงของชาวม้งยังอาศัยช่องทางอื่น ๆ เช่น การท่องเที่ยว ที่มีกิจกรรมการแสดง ดนตรีม้ง ขายสินค้าเสื้อผ้าในวัฒนธรรมม้ง หรือแม้แต่งานวิชาการ สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นพื้นที่หนึ่งที่ทำให้ชาวม้งสามารถนำเสนอตัวตนและประวัติศาสตร์ของตนเองขึ้นมาบนพื้นที่สาธารณะและให้กับนักท่องเที่ยวหรือคนภายนอกได้รับรู้ |
|
Focus |
ศึกษาการประกอบสร้างความทรงจำทางสังคม เพื่อนำมาช่วงชิงความหมายของกลุ่มม้งบนดอยยาว-ผาหม่น การช่วงชิงเหล่านี้เกิดขึ้นจากกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มภายในชาวม้ง และระหว่างชาวม้งกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยงานชิ้นนี้มีจุดเน้นว่าคนเหล่านี้มีการช่วงชิงการนิยามสร้างความหมายผ่านพื้นที่ ประสบการณ์ที่เป็นความทรงจำของตนอย่างไร และการใช้ความทรงจำ เรื่องราวเหล่านั้นว่ามีนัยยะอย่างไร ที่นำไปสู่การให้ความหมายของพื้นที่และตัวตนชาวม้ง บนดอยยาว-ผาหม่น
ในการศึกษาของงานชิ้นนี้ จึงเน้นอธิบายและวิเคราะห์การช่วงชิงกันระหว่างกลุ่มม้ง สามกลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มอาวุโสในพื้นที่ ซึ่งเป็นอดีตอาสาสมัครม้งช่วยทหารไทยในการรบกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ คนกลุ่มนี้พยายามสร้างอัตลักษณ์และให้ความหมายต่อพื้นที่ เป็นไปตามความทรงจำของตนในอดีต เช่น การพยายามสร้างอนุสรณ์สถานเกี่ยวกับการรบ หรือการใส่หมวกสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงกลุ่มผู้กล้า กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มเยาวชนที่ได้รับการศึกษาและทำวิจัยหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และตัวตน ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีข้อมูลและชุดความรู้หนึ่งที่แตกต่างไปจากกลุ่มอาวุโส กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจในการจัดการตามระเบียบข้อกฎหมายและคนจากต่างอำเภอ ต่างพื้นที่ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้จึงพยายามช่วงชิง ต่อรองผ่านชุดความรู้ที่ตนมีต่อดอยยาว-ผาหม่น ที่แตกต่างกันจนกลายเป็นประเด็นต่อการสร้างความหมายบนพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น (น.23-25) |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดและทฤษฎีของงานศึกษาชิ้นนี้ ได้ใช้แนวคิดทั้งหมดสามทฤษฎีด้วยกัน คือ แนวคิดว่าด้วยความทรงจำ แนวคิดอัตลักษณ์ และแนวคิดพื้นที่ สามแนวคิดดังกล่าวนำมาใช้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์การช่วงชิง สร้างความหมายผ่านความทรงจำของชุมชนชาวม้งบนดอยยาว-ผาหม่น
แนวคิดความทรงจำทางสังคม โดยความหมายแล้วเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ พื้นที่และบุคคลที่เกิดขึ้นทั้งในระดับชุมชนและชาติ Halbwachs (1952) เรียกสิ่งเหล่านี้ “ความทรงจำร่วม” (collective memory) หรือคลังความรู้ร่วม ซึ่งเป็นฐานในการรู้จักตัวตนหรืออัตลักษณ์ ส่วน Berliner (2005) มองว่า ความทรงจำเป็นสิ่งที่ประกอบสร้างขึ้น แต่ก็เสนอว่าจำเป็นต้องรื้อถอนและตั้งคำถามต่อสิ่งที่ทำให้จดจำและสิ่งที่ให้ถูกลืม
ความทรงจำทางสังคม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2ตามที่ Gill (1966) ชี้ว่าหลังสงครามที่เกิดสูญเสียจากสงคราม การเกิดของรัฐชาติใหม่ จึงจำเป็นต้องสร้างความทรงจำร่วมเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างสำนึก จินตนาการของคนในชาติ เช่น การสร้างอนุสรณ์และรูปปั้นต่าง ๆ เกี่ยวกับวีรบุรุษของชาติ เพลงชาติ วันหยุดวันเฉลิมฉลอง หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่นเดียวกัน ชุมชนท้องถิ่น กลับสร้างความทรงจำกับสิ่งพวกเขาถูกกดทับ จึงมีการสร้างสัญลักษณ์ของครอบครัว บุคคล ชุมชน ท้องถิ่น
ในการศึกษาความทรงจำในงานศึกษาครั้งนี้ ได้ใช้ความทรงจำในสองระดับ คือ ระดับเนื้อหาหรือเรื่องเล่า และระดับปฏิบัติการณ์ของผู้คนในสังคม สำหรับระดับ เนื้อหาของเรื่องราวและสัญลักษณ์ เช่น การสร้างความทรงจำผ่านเรื่องราวพ่อพญาสี่เขี้ยว (พัฒนาและสุริยา (2544) งานของอนุสรณ์ถังแดง ของจุฬารัตน์ (2552) สำหรับระดับปฏิบัติการณ์ เช่น งานแสดงดนตรี งานสมโภชรูปหล่อ งานวันเด็ก ค่ายเยาวชน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนเข้ามาเชื่อมโยงรับรู้ความทรงจำ
ประสิทธิ์ ลีปรีชา (2547) ได้ชี้ว่า กลไกและรูปแบบถ่ายทอดความทรงจำทางสังคมของชาวม้ง คือ พิธีกรรม บทสวด บทขัยลำนำกลอน เรื่องเล่า นิทาน สุภาษิต บทเพลง หรือแม้แต่หมอทรง สิ่งเหล่านี้คือ สื่อที่มีบทบาทในการประกอบสร้างความหมายและความทรงจำ
สำหรับแนวคิดอัตลักษณ์ที่นำมาใช้ในการศึกษาของงานชิ้นนี้ คือ อัตลักษณ์เป็นสิ่งที่บอกว่าเราเป็นใคร คือใครและแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร รวมทั้งการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม อัตลักษณ์จึงถูกนิยามภายใต้กรอบความคิดขั้วตรงข้าม เช่น การนิยามความเป็นชาติ-ชาติพันธุ์ คนนอกคนใน ดำ-ขาว ดี-ชั่ว แต่อัตลักษณ์ยังรวมถึงสำนึกทางประวัติศาสตร์หรือสิ่งเป็นตัวตนที่เป็นนามธรรม นอกจากนี้ในการศึกษาทางด้านมานุษยวิทยา การศึกษาอัตลักษณ์ถูกมาอธิบายศึกษาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม เช่น งานของ Leach (1954) Moerman (1965) และของ Keyes (1992) ที่อธิบายความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ที่มีการหล่อหลอมและสร้างความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในแต่ละพื้นที่ ปัจจุบันได้มีรัฐชาติเป็นตัวหลักในการสร้างความเป็นชาติพันธุ์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาอัตลักษณ์ มีสามมโนทัศน์หลักในการทำความเข้าใจอัตลักษณ์ คือ ระดับแรกมองว่าอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่สารัตถะ เป็นสิ่งที่ติดตัวมาจากพ่อแม่ ครอบครัว ศาสนา ภาษาวัฒนธรรม ระดับที่สอง มองว่าเป็นเครื่องมือ (instrument) ที่กลุ่มคนนำมาใช้เป็นเครื่องมือในสร้างประโยชน์ต่อกลุ่มหรือต่อตนเอง ฉะนั้นการนิยามว่าตนสังกัดอัตลักษณ์ใด ๆ ขึ้นอยู่กับบริบทที่ทำให้ตัวเองได้ประโยชน์ ระดับที่สาม คือ อัตลักษณ์ในฐานะเป็นสิ่งประกอบสร้าง (construction) เป็นสิ่งสร้างและลื่นไหลไปตามบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป หรือสามารถสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เช่น รัฐไทยกับการสร้างอุดมการณ์ชาตินิยม นำไปสู่การสร้างอัตลักษณ์ชาติไทย หรือแม้แต่กลุ่มคน ก็สามารถประกอบสร้างอัตลักษณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น คนเมือง
สำหรับแนวคิดพื้นที่ ในงานศึกษาชิ้นนี้ ได้ใช้แนวคิดของ Lefebve (1991) โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นพื้นที่ที่สองหรือพื้นที่ทางความคิด กับพื้นที่ที่สามที่เป็นพื้นที่ทางสังคม พื้นที่ทางความคิดจะอธิบายห้วงคำนึง ความทรงจำ ความรู้ทางปัญญา หรือสิ่งที่เรียกว่าเรื่องราว เรื่องเล่าต่าง ๆ สำหรับพื้นที่ที่สาม คือ พื้นที่ที่สามารถมองเห็นจับต้องได้ เช่น พื้นที่สาธารณะ พื้นที่สื่อ สื่อออนไลน์ต่าง ๆ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างอำนาจเพื่อปฏิบัติการณ์บางอย่าง ทั้งนี้ Foulcault อ้างในไชยรัตน์ (2542) ชี้ว่า พื้นที่ทางกายภาพ คือเป็น พื้นที่ทางการเมืองทั้งนั้น ในพื้นที่จะมีกฎเกณฑ์ การควบคุม ตรวจตรา ให้คุณค่า และให้ประโยชน์ และมีความเฉพาะ จึงกลายเป็นพื้นที่ที่สามารถกำหนดพฤติกรรมของคนอีกที อย่างไรก็ตาม คนที่ถูกกดทับจะมีเทคนิคหรือปฏิบัติการณ์เพื่อต่อรองและช่วงชิงในการให้ความหมาย ฉะนั้นพื้นที่ จึงเป็นการเมืองของพื้นที่หรือพื้นที่ของการเมือง เช่นเดียวกับ ชยันต์ (2549) ที่กล่าวว่าการศึกษาเรื่องพื้นที่ทำให้ได้รับรู้และเข้าใจอัตลักษณ์ที่แตกต่างและความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ซับซ้อน และยศ (2547) ชี้ว่า พื้นที่กลายเป็นเวทีของการต้อสู้ว่าด้วยเรื่องของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ฉะนั้น งานชิ้นนี้จึงใช้พื้นที่เพื่อทำความเข้าใจความหมายของพื้นที่ที่กลุ่มต่าง ๆ นิยามและช่วงชิงสร้างความหมาย (น.8-22) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ในพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น จังหวัดเชียงราย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มตระกูลที่ใช้ภาษาม้ง แม้ว เหมียว เป็นอารยะชนในภาคใต้ของจีน และอพยพเข้าสู่พื้นที่ทางเหนือของประเทศเวียดนาม ลาว ไทย พม่า |
|
Study Period (Data Collection) |
งานชิ้นนี้พัฒนาโครงร่างวิทยานิพนธ์ได้โดยใช้เวลาระหว่างเดือน มิถุนายน 2555- กุมภาพันธ์ 2556 โดยใช้เวลาทั้งหมด 7 เดือน |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์ชาวม้ง มีพบจากตำนาน เรื่องเล่า บันทึก และจากความเชื่อ พิธีกรรม สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความเป็นมาของชาวม้งและได้สืบทอดรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน ในเรื่องเล่า สัญลักษณ์ บทสวดพิธีกรรม มีการกล่าวถึงจุดกำเนิดของชาวม้ง คือมีแหล่งที่อยู่อาศัยทางตอนใต้ของมองโกเลียหรือพื้นที่ตอนกลางของประเทศจีนปัจจุบัน และเชื่อว่าคนเหล่านี้มาจากมองโกเลีย เนื่องจากมีตำนานเรื่องเล่าเด็กม้งชื่อ “เม่าเก้าเลีย” และด้วยลักษณะหน้าตา สีผม ผิวพันธุ์จึงเชื่อว่าชาวม้งเป็นแขนงหนึ่งของชาวมองโกเลีย นอกจากนี้ยังมีข้อสันนิฐานที่ว่าชาวม้งมาจากบริเวณแม่น้ำเหลือง แม่น้ำฮวงโห แต่ต้องอพยพจากการรุกรานแย่งชิงทรัพยากร จนต้องถอยร่นลงมาอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ของจีน จากนั้นต้องอพยพอีกครั้งหลังจีนปราบปรามกบฏในยูนนาน จึงทยอยเดินทางเข้าสู่พื้นที่อินโดจีน จึงพบชุมชนของคนเหล่านี้ในแถบพื้นที่สูงตั้งแต่พม่า ลาว ไทยและเวียดนาม และมีกลุ่มม้งบางกลุ่มได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงมายังเชียงของและขึ้นมาตั้งชุมชนบนดอยยาว-ผาหม่น |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของชาวม้งบนดอยยาว-ผาหม่น มีขึ้นมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษและมีกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เช่น จีนฮ่อ เมี่ยน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เพาะปลูกฝิ่น นำฝิ่นไปขายไปยังเมืองต่าง ๆ หมู่บ้านชาวม้งตั้งชุมชนกระจายตามยอดดอย และเรียกหมู่บ้านว่า “หย่อ”(Zog/Zos) ในหมู่บ้านจะประกอบด้วยบ้านมากกว่า 10 ครัวเรือน แต่ละหมู่บ้านจะเป็นหมู่บ้านของสายกลุ่มตระกูล และจะสร้างบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อสะดวกในการรวมกลุ่มดูแลกัน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมในการตั้งชุมชนแบบเดิม หรือ จะมีการตั้งชื่อหมู่บ้านตามชื่อของผู้นำ เช่น บ้านพญาพิพักษ์ โดยที่ชุมชนชาวม้งจะมีระยะห่างกันไปตามยอดดอยและมีการแบ่งโซนอาณาเขตของชุมชนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร |
|
Economy |
ก่อนหน้าปี 2500 ชาวม้งมีระบบเศรษฐกิจของตนเองแบบพอยังชีพ มีการเพาะปลูกพืชสวนครัวเพียงใช้ในครัวเรือน และส่วนหนึ่งดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่า ล่าสัตว์ ทั้งนี้ชาวม้งมีความสามารถในการเพาะปลูกสินค้าหรือยาที่สำคัญ คือ ฝิ่น เป็นสินค้าที่มีความสำคัญในตลาดโลกและมีราคาที่สามารถส่งขายไปยังต่างประเทศ สินค้าฝิ่นของชาวม้งจะถูกกระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ผ่านพ่อค้าชาวจีนฮ่อ
สินค้าฝิ่นของชาวม้ง ได้สร้างความมั่งคั่งให้เจ้าเมือง เช่น เจ้าเมืองน่าน พะเยา หลวงพระบาง และยังเป็นรายได้สำคัญของประเทศสยามอีกด้วย ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสเข้ามาอิทธิพลทางฝั่งลาวและพื้นที่สูงทางอีสาน ทำให้ฝรั่งเศสเข้ามีผลประโยชน์และผูกขาดสินค้าฝิ่นทางฝั่งลาว กระทั่งต่อมาในช่วงสงครามเย็น CIA จากสหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนให้ชาวม้งเพาะปลูกฝิ่นและคนเหล่านี้นำสินค้าไปยังโลกตะวันตก จนมาถึงยุคปี 2500 ที่ประเทศไทยประกาศชัดเจนถึงภัยต่อการขายฝิ่น รัฐมีนโยบายปราบปราม ห้ามปลูก ห้ามค้าฝิ่น และเป็นสิ่งผิดกฎหมาย สร้างผลกระทบต่อด้านรายได้ของชาวม้ง จากผลกระทบดังกล่าวเป็นเหตุให้ชาวม้งบางส่วนหันเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ภายหลังรัฐบาลได้เข้าควบคุมพื้นที่สูงและเอาชนะฝ่ายคอมมิวนิสต์ รัฐบาลได้ทำการปิดพื้นที่ ห้ามการเพาะปลูกข้าวตามพื้นที่ของไร่หมุนเวียน ทำให้ชาวม้งได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีพ และให้ข้อหาว่าเป็นผู้ทำลายป่า ค้ายา และเป็นม้งแดง
ต่อมาในช่วงหลังปี 2525 รัฐบาลและในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เข้ามายังพื้นที่และกระจายการพัฒนาให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งและอื่น ๆ ด้วยการให้อาชีพใหม่ที่เหมาะสม เช่น การส่งเสริมให้ปลูกพืชเศรษฐกิจ จำพวกกะหล่ำปลี กาแฟ สาลี่ สตรอว์เบอร์รี่ เป็นต้น การทำเกษตรในวิถีใหม่ได้ทำให้ชาวม้งมีรายได้มากขึ้น สามารถทดแทนจากการสูญเสียอาชีพปลูกฝิ่น อย่างไรก็ตาม การทำเกษตรแบบใหม่ต้องลงทุนด้านรายจ่ายจำนวนมาก เช่น ค่าปุ๋ย ยาเคมี ค่าน้ำมันรถไถ และความผันผวนของราคาสินค้าที่มีขึ้นลง ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ไม่แน่นอน จึงพบว่า ในช่วงหลัง การทำเกษตรกรรมทำให้เกิดภาวะยากจน มีหนี้สิน จากสภาพเช่นนี้ทำให้ชาวม้งรุ่นใหม่ ต้องทยอยลงมาทำงานในเมืองมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังปี 2530 เขตภาคเหนือได้กลายเป็นพื้นที่ของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ วัฒนธรรม ทำให้ชาวม้งกลุ่มหนึ่งได้นำความเป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์มาเป็นจุดขาย และสามารถต่อยอดมาเป็นสินค้า ประเภทหัตถกรรม เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า ฯลฯ ปัจจุบันจากกระแสการท่องเที่ยวทำให้ดอยยาว-ผาหม่น กลายเป็นตลาด ขายสินค้าของชาวม้ง มีทั้งสินค้าเกษตรและงานหัตถกรรม จึงพบว่า ชาวม้งในพื้นที่ สามารถสร้างกำไรและรายได้ที่ดีจากการท่องเที่ยว (น.44-45) |
|
Social Organization |
ชุมชนชาวม้งมีโครงสร้างการปกครอง โดยใช้ระบบแซ่หรือตระกูล ผู้นำในสายตระกูลที่อาวุโสสุดจะได้รับการเคารพนับถือจากเครือญาติต่าง ๆ โดยที่ผู้นำตระกูลมักจะมีความสามารถ ความเชี่ยวชาญหรือรอบรู้กฎจารีต ประเพณี ความเชื่อ และการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ภายใต้ระบบเครือญาติ จะเป็นลักษณะการรวมกลุ่มเพื่อการช่วยเหลือเกื้อกูลในด้านต่าง ๆ ซึ่งชาวม้งมักจะให้ความสำคัญกับสายตระกูลเป็นลำดับแรก ต่อมา เมื่ออิทธิพลของรัฐจากพื้นที่ราบ หรือในช่วงที่สยามเข้าไปจัดตั้งผู้ปกครองท้องถิ่นใน อ.เมืองเชียงราย อ.เทิง เมืองพะเยา จึงมีการแต่งตั้งผู้นำม้งตามสายตระกุลเดิมในตำแหน่งพญาหรือแสนหลวง เพื่อดูแลชุมชนม้งด้วยกันเอง ในช่วงการปกครองดังกล่าวถือว่า ชุมชนท้องถิ่นมีอิสรภาพในการจัดการดูแลชุมชนด้วยตนเองและระบบนี้ได้สืบทอดจนถึงปี 2500 แต่หลังจากนั้นระบบการปกครองท้องถิ่นของประเทศไทย ได้เชื่อมโยงกับศูนย์กลางกรุงเทพ มีการแต่งตั้งผู้นำ เจ้าหน้าที่จากศูนย์กลางเข้ามาปกครองเมือง อำเภอ ตำบล ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำม้งตามสายตระกูลหรือการปกครองในระบบจารีตเริ่มสั่นคลอนและเปลี่ยนแปลง ดังเช่น เดิมทีหากมีกรณีพิพาทหรือเป็นคดีความ ผู้ที่มีอำนาจไกล่เกลี่ยและตัดสินความคือ ผู้นำชุมชนม้ง แต่เมื่อรัฐเข้ามามีอำนาจและดูแลผู้คนในพื้นที่ ทำให้บทบาทหน้าที่ดังกล่าวนั้น มาขึ้นตรงกับเจ้าหน้าที่ราชการ
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างชาวม้งกับรัฐไทย เริ่มมีปัญหาเมื่อชาวม้งในพื้นที่ไม่ได้การยอมรับให้เป็นพลเมืองไทย แต่ทางเจ้าหน้าที่ไทยยังคงขึ้นไปเก็บภาษีอย่างหนัก และใส่กำลังในการบังคับ จนทำให้ชาวม้งบางกลุ่มต้องอพยพหลบหนีจากพื้นที่ จนกระทั่งในปลายปี 2500 คนเหล่านี้จึงมีปฏิกิริยาต่อต้านรัฐไทย และบางส่วนเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันชาวม้งที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐไทย ได้มีการจัดตั้งผู้ใหญ่บ้าน และกรรมการหมู่บ้านและสร้างคนเหล่านี้ให้เป็นอาสาสมัครกองร้อยชาวเขา เพื่อทำการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์
ชาวม้งในพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น รัฐได้ให้สิทธิเป็นพลเมืองไทยและเข้าสู่ระบบการศึกษาไทย ผู้นำสายตระกูลบางกลุ่มได้ขึ้นมาเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทหน้าที่ในการดูแลชุมชนตามกฎหมายไทย ทำให้ผู้นำสายตระกูลอื่น ๆ ต้องเป็นลูกบ้าน แต่ก็ยังคงมีอำนาจในทางพิธีกรรม จารีตบางอย่างในตระกูลตนเอง ทั้งนี้เมื่อรัฐนำการพัฒนา เช่น การสร้างถนน โรงเรียน สถานีอนามัย วัดและโบสถ์ เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่และคนไปสู่วิถีทันสมัย ทำให้ปัจจุบันชาวม้งมีความสะดวกต่อการใช้ชีวิตในด้านต่าง ๆ สามารถเข้ามามีบทบาททางการเมืองในชุมชนท้องถิ่นมากขึ้น เช่น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จึงมีอำนาจในการจัดการดูแลชุมชนหรือพื้นที่ตามวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชาวม้ง
ถึงแม้การมีตำแหน่งผู้นำที่มาจากรัฐ ตำแหน่งเหล่านี้ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือกระทบกับผู้นำทางพิธีกรรมที่อยู่ในอำนาจของผู้อาวุโสตามสายตระกูล การปกครองในชุมชนชาวม้งจึงมีการแบ่งหน้าที่และเกื้อกูลกันอยู่ โดยเฉพาะในด้านการดูแลและจัดการ มีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ เช่น ตำแหน่งทางการมีหน้าที่ติดต่อกับรัฐหรืออำนวยความสะดวกในการประสานผลประโยชน์ การพัฒนามายังชุมชน ในขณะที่ตำแหน่งทางพิธีกรรม มีหน้าที่ในการทำพิธีเซ่นไหว้ ติดต่อกับบรรพบุรุษตามความเชื่อของชาวม้ง ด้วยเหตุนี้ทั้งสองระบบจึงสามารถดำรงอยู่ในสังคมม้งและต่างช่วยขับเคลื่อนสังคมให้ดำเนินไปได้ทั้งระดับสังคมและความเชื่อ (น.40-44) |
|
Political Organization |
ชาวม้งเข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น ช่วงที่รัฐสยามมีอิทธิพลต่อดินแดนล้านนาในฐานะหัวเมืองประเทศราช เชียงของภายใต้เจ้าเมืองน่านทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางอำนาจที่เข้ามายังพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น อย่างไรก็ตามในช่วงดังกล่าว บริเวณรอยต่อดินแดนล้านช้างมีเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลช่วงชิงและจับจองพื้นที่ จนมีการแบ่งเขตอิทธิพลขึ้น โดยอาศัยแม่น้ำโขงเป็นเขตแดน ทำให้ชาวม้งในฝั่งสยามจึงขึ้นตรงกับเจ้าเมืองน่าน และมีการปกครองในท้องถิ่น โดยแต่งตั้งตำแหน่ง “พญา” หรือ พระยา ดูแลจัดการตนเอง ทำให้ในชุมชนม้งมีพญาต่าง ๆ เป็นผู้นำที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญ เช่น ติดต่อราชการ ส่งส่วยให้กับเจ้าเมือง ดูแลและผูกขาดการค้าและการทำเกษตร มีอำนาจในการลงโทษ ตัดสินคดี สามารถล่ามโซ่คนกระทำผิด และสามารถประหารชีวิตผู้กระทำผิดที่รุนแรง
ต่อมาเมื่อรัฐสยามได้ปรับการปกครองเป็นระบบเทศาภิบาลในช่วงปี 2440 ทำให้ผู้นำท้องถิ่นเดิม สูญเสียอำนาจในการตัดสินคดีหรือทางการศาล ทำให้ระบบของ “พญา” ในชุมชนจึงถูกยุบ กลายสถานะเป็นเพียง “ผู้อาวุโส” ที่รัฐใช้เพื่อประสานงานไปยังชาวบ้าน ภายหลังรัฐได้ใช้คนจากศูนย์กลางไปปกครองท้องถิ่น อำนาจของพญาเดิมจึงไม่มีอำนาจในทางกฎหมายและหมดบทบาทไป แต่ขณะที่ผู้นำในสายตระกูล ยังมีอำนาจในการทำพิธีกรรม สืบทอดวัฒนธรรมและให้การตัดสินใจบางอย่างต่อชาวม้ง จนกระทั้งปัจจุบันสามารถรักษาสถานะผู้นำธรรมชาติและยังคงได้รับความเคารพ นับถือจากคนในชุมชน (น.51-52) |
|
Belief System |
ความเชื่อของชาวม้งในพื้นที่ภาคเหนือปัจจุบัน พบว่ามีความเชื่อทางศาสนาที่หลากหลายตามพัฒนาการและการเผชิญกับศาสนาใหญ่ ๆ เช่น พุทธ คริสต์ ทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนศาสนาเพื่อปรับตัวให้เข้ากับบริบทใหม่ ในงานชิ้นนี้ได้อธิบายว่า เดิมทีชาวม้งนับถือเทวดา ดิน ฟ้า อากาศที่เกี่ยวข้องกับแหล่งที่ทำกิน และเทพต่าง ๆ ที่ช่วยในการรักษา พิทักษ์มนุษย์และโลก รวมทั้งเชื่อในวิญญาณบรรพบุรุษ และภูตผีสางนางไม้ ซึ่งความเชื่อเหล่านี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดระเบียบทางสังคม มีกฎเกณฑ์ว่าด้วยเรื่องผิดผี การเซ่นไหว้ขออภัย และการขอคำชี้นำให้รอดพ้นจากภัยต่าง ๆ
ในช่วงราวปี 2449 การเข้ามาของกลุ่มมิชชันนารี ได้ทำการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไปยังพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ รวมถึงในกลุ่มชาวม้ง ช่วงดังกล่าว เป็นช่วงที่ชาวม้งบางกลุ่มได้หันเข้ารับนับถือศาสนาคริสต์ เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น เนื่องจากต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ และต้องการหลีกหนีจากพิธีกรรมเดิมที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น พิธีเซ่นไหว้บูชา จึงเป็นเหตุผลหนึ่งของเข้ารับศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ศาสนาคริสต์เชื่อเรื่องพระเยซูคืนชีพมายังโลกมนุษย์ ซึ่งมีความสอดคล้องชุดความเชื่อเดิมของชาวม้งที่เชื่อเรื่องพระศรีอาริย์กษัตริย์ม้งจะกลับคืนชีพมาปลดปล่อยชาวม้ง ฉะนั้นจาก สองกรณีข้างต้น ทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจและความเชื่อที่คล้ายกันกับคำสอนทางศาสนาคริสต์ ทำให้ชาวม้งหันมารับนับถือศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก และเปลี่ยนสร้างตัวตนใหม่ที่ทันสมัย โดยยังคงดำรงอัตลักษณ์บางอย่างไว้ เช่น ภาษาหรือวัฒนธรรมการแต่งกาย และพยายามผสมผสานระหว่างศาสนากับชาติพันธุ์ให้เข้าด้วยกันผ่านกระบวนการสร้างและเรียนรู้จากโบสถ์คริสต์
สำหรับรัฐไทยได้เข้าไปเผยแพร่ศาสนาพุทธ ในช่วงทศวรรษ 2500 โดยจัดทำเป็นโครงการธรรมจาริก ที่มีพระสงฆ์เดินทางเข้าไปยังพื้นที่ชุมชนชาติพันธุ์ พร้อมกับนำการพัฒนาแนวใหม่ตามนโยบายของรัฐ โครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีและมีการเข้านับถือศาสนาพุทธจำนวนมาก มีการเข้าบรรพชาเป็นสามเณรและบางชุมชนต้องการให้มีพระเข้ามาอยู่ประจำ มีการสร้างวัดขึ้นมา ทั้งนี้ทางพระธรรมจาริก นอกจากการเผยแพร่ศาสนาแล้วยังได้พยายามดึงชาวม้งให้เข้ามาเป็นไทย หรือการหล่อหลอมการสร้างพลเมืองเพื่อให้เกิดการกลมกลืนเป็นไทย
ปัจจุบัน ชาวม้งได้มีปฏิสัมพันธ์กับความเชื่อท้องถิ่นล้านนา เช่น ในเมืองเชียงใหม่ที่คนเมืองมีความเชื่อในหมอทรง เครื่องรางของขลัง ทำให้ชาวม้งเริ่มรับสิ่งบูชาเหล่านี้มาผสมผสานกับความเชื่อที่ตนมี จนกลายเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวและสร้างความมั่นคงทางใจของชาวม้งบางคนในปัจจุบัน |
|
Education and Socialization |
ระบบการศึกษาสมัยใหม่ในเขตพื้นที่สูงนั้นเกิดขึ้นมาจากการเข้ามาของกลุ่มมิชชันนารี ที่นำความรู้ ศาสนามายังกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ และต่อมารัฐไทยภายหลังปี 2500 ได้ขยายระบบการศึกษาโรงเรียนรัฐมายังชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ โดยมีเหตุปัจจัยสองประการ คือ ประการแรก ต้องการสกัดกั้นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ที่เข้ามาช่วงชิงผู้คนในชุมชน ประการที่สอง คือ เกิดจากนโยบายการผสมกลมกลืนให้เป็นไทย และทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐ โรงเรียนเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของตำรวจตระเวนชายแดน มีหน้าที่ทำการสอนควบคู่กับการเผยแพร่อุดมการณ์รัฐไทยและรักษาความมั่นคงในพื้นที่
นอกจากโรงเรียนรัฐแล้ว ยังมีการศึกษาขององค์กรอื่น ๆ เช่น หลักสูตรจากกรมประชาสงเคราะห์ และหลักสูตรการศึกษาของพระธรรมจาริก ที่เน้นสอนในเรื่องศาสนาและเกี่ยวกับรัฐไทย ซึ่งทั้งโรงเรียนและการศึกษาจากกลุ่มศาสนาพุทธ มาจากนโยบายของรัฐไทยที่มีเป้าประสงค์ในการกลมกลืนและขจัดภัยคอมมิวนิสต์
ในอีกด้านหนึ่ง ชาวม้งในพื้นที่สูงบางส่วนที่เป็นเขตอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์ คนกลุ่มนี้ถูกดึงเข้าระบบการศึกษาของคอมมิวนิสต์ ทำให้ชาวม้งได้รับโอกาสในการศึกษาในหลักสูตรประเภท เช่น แพทย์แผนจีน งานโทรเลข และวิชาการเมือง การทหาร ศิลป์และดนตรี เป็นต้น แต่เมื่อทางเจ้าหน้าที่ไทยสามารถเข้าควบคุมพื้นที่และทำให้ชาวม้งรุ่นหลังได้เข้าสู่ระบบการศึกษาไทย จนซึมซับความเป็นไทยและปัจจุบันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งการพัฒนาประเทศไทย (น.49-50) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ม้ง เป็นกลุ่มที่รู้จักในชื่อแตกต่าง ๆ กันไป ตามบริบทของพื้นที่และการปฏิสัมพันธ์กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในประเทศจีนชาวม้งถูกนิยามอัตลักษณ์ที่มีความหมายเชิงลบ คือชาวจีนเรียกชาวม้งว่า “เหมียว” (Mioa) โดยมีความหมายถึง วัชพืช หน่อ ต้นข้าวอ่อน หรือกลุ่มคนที่มาจากลูกหลานชาวนาในพื้นที่ลุ่มน้ำฮวงโหและแยงซีเกียง แต่เมื่อคนเหล่านี้ต้องอพยพเข้ามาอยู่พื้นที่สูงในลาว พม่า ไทย เวียดนาม ได้ถูกนิยามชื่อเรียกว่า แม้ว ที่เพี้ยนมาจากชื่อเหมียวที่เรียกในจีน อย่างไรก็ตามชื่อดังกล่าว คนเหล่านี้ไม่ชอบให้เรียกเนื่องจากมีความคล้ายกับชื่อแมว แต่ชื่นชอบให้เรียกชื่อแทนว่า “ชาวม้ง” ชื่อนี้ได้นิยมใช้ประเทศไทยเป็นหลัก นอกจากนี้สำหรับชาวม้งในอเมริกา หลังจากต้องอพยพหนีสงครามในเวียดนาม ลาวและไทย คนม้งจะนิยามความเป็นม้ง ที่หมายถึง “อิสระ หรือ อิสระชน แต่สำหรับคนเหล่านี้ คำว่าม้ง หมายถึง “คน” หรือกลุ่มคน (น.36-37) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ชุมชนชาวม้งบนพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น โดยส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีการยังชีพด้วยระบบเศรษฐกิจพึ่งพากันเองในชุมชน มีการเพาะปลูกข้าว พืช และมีวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่ด้วยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและรัฐบาลไทย ทำให้ชาวม้งในพื้นที่ได้รับผลของการต่อสู้และถูกดึงเข้าร่วมในแต่ละฝ่าย ชาวม้งในพื้นที่ดอยยาว-ผ่าหม่น จึงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ ตลอดจนความเป็นชาติพันธุ์ม้ง
งานชิ้นนี้ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคมม้งดอยยาว-ผาหม่นอยู่ 2 มิติด้วยกัน คือ หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อพื้นที่ทางกายภาพ และสอง ต่อพื้นที่ทางวัฒนธรรม วิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาวม้ง
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการเข้ามาของการพัฒนาจากรัฐไทยในช่วงปี 2500-2525 โดยเริ่มจากพื้นที่ทางกายภาพ คือ รัฐมีโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ถนน ประปา โรงเรียน สถานบริการสาธารณสุข และโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่นำพืชเศรษฐกิจเข้ามาแทนการปลูกฝิ่นของชาวม้ง นอกจากนี้รัฐไทยได้ปรับย้ายหมู่บ้านเดินมาอยู่ในพื้นที่จัดสรรใหม่ มีการสร้างหมู่บ้านใหม่ให้กับทหารผ่านศึกไทย และนำชาวไทยจากที่อื่นเข้ามาอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งตั้งชื่อบ้านชาวม้งให้เป็นชื่อไทย
การเปลี่ยนแปลงในมิติทางกายภาพดังกล่าวส่งผลต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวม้ง คนเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับสภาวะใหม่ ที่มีความสะดวกมากขึ้น มีระบบสาธารณสุขคอยดูแลบริการด้านสุขภาพ และมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความรู้ในการทำการเกษตรและการเพาะปลูกพืชอย่างใกล้ชิด สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งใหม่สำหรับชาวม้ง ทำให้วิถีวัฒนธรรมเดิมถูกท้าทายและเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด โดยเฉพาะในด้านกายภาพได้ ถูกลบภาพความทรงจำเดิมต่อภูมิทัศน์ หรือภาพจำต่าง ๆ ของชาวม้งไป และถูกสร้างภาพจำต่อพื้นที่ใหม่ขึ้น
นอกจากการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์เดิมและถูกสร้างใหม่แล้ว การเปลี่ยนที่สำคัญคือ การสร้างความเป็นไทยต่อเยาวชนชาวม้ง โดยกระทำผ่านระบบโรงเรียน และหลักสูตรต่าง ๆ จากรัฐ โดยมีเป้าหมาย เพื่อดึงเด็กชาวม้งมาสู่การเป็นพลเมืองไทย ในพื้นที่แห่งนี้ได้ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่หล่อหลอมสร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทย สร้างสำนึกต่อความเป็นไทย ผ่านอุดมการณ์หลัก คือ ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้พื้นที่โรงเรียนได้ตัดขาดจากสังคมท้องถิ่น คือ การสร้างความรู้ใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้ในท้องถิ่น ทำให้เยาวชนรุ่นใหม่ถูกตัดขาดจากวิถีของสังคมท้องถิ่นชาวม้ง และเห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปลงเมื่อคนเหล่านี้ได้ซึมซับความเป็นไทยอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปลี่ยนชื่อสกุลให้เป็นไทย ใช้ภาษาไทย และได้รับซึมซับความทันสมัย ค่านิยมและวิถีชีวิตใหม่ ๆ ตามกระแสสังคมปัจจุบัน
สำหรับในด้านเศรษฐกิจ ชาวม้งปัจจุบันได้ขยายและพัฒนาการทำเกษตรเชิงเดี่ยวมากขึ้นคือ การปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น กะหล่ำปลี สตรอว์เบอร์รี่ มันเทศ และอื่น ๆ เพื่อตอบสนองให้ตลาด แต่อย่างไรก็ตาม การทำเกษตรแผนใหม่ไม่ได้สร้างให้ชาวม้งมีความมั่นคงในชีวิตเท่าที่ควร เนื่องจากกลไกของราคาพืชหรือสินค้าเกษตรขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลาง และการทำเกษตรยังต้องอาศัยต้นทุนสูงเพื่อดูแลและจัดการต่อพื้นที่ดังกล่าว เช่น ค่าใช้จ่ายต่อยาเคมี ปุ๋ย และค่าไถ่และเก็บเกี่ยว ทำให้ในบางช่วงฤดูมีการขาดทุน ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวม้งบางส่วนเดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่เมือง โดยมากยึดอาชีพรับจ้าง พนักงานเป็นต้น อย่างไรก็ตาม
เมื่อพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีการโฆษณาดึงดูดนักท่องเที่ยวจากภูมิทัศน์ที่สวยงามของยอดเขา ทำให้การมาของนักท่องเที่ยวได้สร้างอาชีพใหม่ให้กับชาวม้ง คือ การขายของที่ระลึก สินค้าที่เป็นจุดเด่นของชาวม้ง คือ เสื้อผ้า กระเป๋า ที่เป็นงานหัตถกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวม้งถนัดและเป็นอัตลักษณ์ของชาวม้ง สิ่งเหล่านี้จึงเป็นจุดขายและกลับสร้างให้ชาวม้งได้หวนถึงความสำคัญของอัตลักษณ์อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ ชาวม้งในพื้นที่ดอยยาว-ผาหม่น จึงกลับสร้างความทรงจำเดิมและอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ขึ้นมาอีกครั้งภายใต้ภาวะของการเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาและการท่องเที่ยว |
|
Google Map |
https://www.google.com/maps/search/%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%87+%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7+%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99/@19.8222392,100.371767,12z/data=!3m1!4b1 |
|
Map/Illustration |
ภาพ
1.1 แผนที่แสดงพื้นที่วิจัย (น.28)
3.1 ชุมชนดอยยาว-ดอยผาหม่นยุคตั้งถิ่นฐาน (น.59)
3.2 ชุมชนดอยยาว-ดอยผาหม่นยุคเสียงปืนแตก (น.61)
3.3 แผนที่แสดงดอยยาว-ผาหม่นในยุคการพัฒนา (น.62)
3.4 อนุสาวรีย์เสียสละในทหารชุดรบท่าเตรียมประจัญบาน (ร.17 พ.3)
3.5 อนุสรณ์ผู้เสียสละ พตท.2324 ในรูปทรง 5 เหลี่ยม 3.7(น.80)
3.6 รอยประทับพระบาทของรัชกาลที่ 9 (น.82)
3.7 พิพิธภัณฑ์ดอยยาว-ผาหม่น สถานที่รวบรวมภาพถ่ายยุคสงครามเย็น (น.87)
3.8 ศาลารำลึกวีรกรรมดอยยาว-ผาหม่นของทหารไทย (น.88)
3.9 พระพุทธชนะมาร ณ พระธาตุภูชี้ฟ้า (น.90)
3.10 สถูปของพันเอกวิโรจน์ ทองมิตร ณ ดอยตรงข้ามภูชี้ฟ้า (น.96)
3.11 อนุสาวรีย์วีรชนกระทิงแดงรำลึก โดยกลุ่มทหารรับจ้างชาวจีนฮ่อ (น.99)
4.1 รูปประกอบสร้างพ่อเลาเจอ (น.114)
4.2 ศาลเจ้าพญาเลาอูในสภาพปัจจุบัน (น.117)
4.3 รูปของบล้าเหยี่และภรรยาที่ติดไว้ที่หิ้งบูชา (น.118)
4.4 ภาพจำลองพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่สร้างเป็นสถาปัตยกรรมแบบบ้านม้ง (เครือข่ายอนุรักษ์วัฒนธรรมภูชี้ฟ้า ดอยยาว-ดอยผาหม่น 2554) (น.125)
4.5 โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์งานคอนเสิร์ตเดินภูชี้ฟ้า (น. 131)
4.6 บรรยากาศงานครบรอบ 32 ปี บ้านห้วยหานในวันที่ 14 ม.ค. 2557 (น.134)
4.7 สหายรพีกับการบอกเล่าความทรงจำผ่านหมวกคอมมิวนิสต์ (น. 138)
5.1 บรรยากาศการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของนักเรียนม้ง (น.158)
5.2 ชาวบ้านกำลังประกอบสร้างเสาหลักกิโลเมตรหมู่บ้าน (น.163) |
|
|