|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กะเหรี่ยง, กะเหรี่ยงใน, กะเหรี่ยงนอก, ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์, ชายแดน, ชุมชนบ้องตี้, ไทรโยค, กาญจนบุรี |
Author |
คมลักษณ์ ไชยยะ |
Title |
กะเหรี่ยงใน/นอก: ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ ณ อาณาบริเวณชายแดน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดวังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร Call no. บค 2/08 2551 001
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
323 |
Year |
2551 |
Source |
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขามนุษยวิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551. |
Abstract |
การศึกษาปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ระหว่างกลุ่มชาวกะเหรี่ยง 2 กลุ่ม ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ชุมชนแถบ ชายแดนบ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้แก่ กะเหรี่ยงใน คือกลุ่มที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในฝั่งพรมแดนไทยมาแต่เดิม และกะเหรี่ยงนอก อันหมายถึงกลุ่มกะเหรี่ยงที่ย้ายข้ามมา จากพรมแดนพม่า หลังจากการก่อตัวของเส้นพรมแดนรัฐ-ชาติสมัยใหม่ ให้ความสำคัญกับการแบ่งอาณาเขต เพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวทำให้ความสัมพันธ์ของกะเหรี่ยงทั้งสองกลุ่ม ที่มีมาแต่ก่อนการขีดเส้นแบ่งอาณาเขตได้รับผลกระทบ กลุ่มกะเหรี่ยงนอกจึงไม่ได้รับสถานะความเป็นพลเมืองของรัฐไทยทำให้สูญเสียผลประโยชน์ ทั้งในด้านของความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ และการเมือง และเนื่องจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นทางด้านเครือญาติ กลุ่มกะเหรี่ยงในจึงใช้ช่องว่างนี้ในการเปิดโอกาสให้กลุ่มกะเหรี่ยงนอกข้ามพรมแดนเข้ามายังพรมแดนรัฐไทย เพื่อช่วยในการปรับตัวหลังถูกผลักให้ดำรงสถานะความเป็นอื่นของรัฐ-ชาติ ส่งผลให้การธำรงทางชาติพันธุ์ของกลุ่มกะเหรี่ยงนอก มีโอกาสที่จะเข้าไปแทนที่ความเป็นกะเหรี่ยงใน ที่กำลังกลายเป็นคนไทยอย่างสมบูรณ์ (หน้า ง) |
|
Focus |
การวิจัยนี้เน้นการศึกษาปรากฏการณ์ปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ และกระบวนการปรับตัวของกลุ่มกะเหรี่ยง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มกะเหรี่ยงในและกลุ่มกะเหรี่ยงนอก บริเวณชุมชนบ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี (น.6) |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดการธำรงชาติพันธุ์ (Ethnicity)
ผู้ศึกษาเลือกใช้กรอบแนวคิดการธำรงชาติพันธุ์นำมาอธิบายปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้องตี้ โดยได้อธิบายแนวคิดนี้ภายใต้การจัดประเภทอออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1) แนวคิดลักษณะพื้นฐานดั้งเดิม (Primodialism)
2) แนวคิดชาติพันธุ์เชิงสถานการณ์ (Situationalism)
3) แนวคิดชาติพันธุ์จากการสร้างทางสังคม (Constructivism) (น.8)
ภายใต้กรอบแนวคิดการธำรงชาติพันธุ์ทั้ง 3 กลุ่มข้างต้น ผู้ศึกษาได้ยกตัวอย่างการศึกษาของนักมานุษยวิทยาบางท่านมาอภิปรายประกอบ เช่น แนวคิดลักษณะพื้นฐานดั้งเดิม (Primordialism) ที่ปรากฏในงานของ Geertz Clifford ที่อธิบายคำว่าการธำรงชาติพันธุ์ว่า หมายถึงสิ่งที่ได้รับถ่ายทอดมาจากการเกิดเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ครอบครัว เครือญาติ ศาสนา มีการแสดงออกและกำหนดด้วย ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี และปัจจัยกำหนดทางวัฒนธรรมอื่น ๆ (น. 8)
แนวคิดดังกล่าว ถูกตั้งคำถามจากนักมานุษยวิทยาจำนวนหนึ่ง ที่โต้แย้งกรอบแนวคิดนี้ว่าขาดการมองปรากฏการณ์ชาติพันธุ์ในลักษณะที่เป็นพลวัต จึงทำให้นักมานุษยวิทยาบางกลุ่ม ใช้กรอบแนวคิดชาติพันธุ์เชิงสถานการณ์ (Situationalism) ที่มองว่าความเป็นชาติพันธุ์ คือสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนตามบริบททางสังคม และสถานการณ์ เพื่อการต่อรองเชิงอำนาจกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น หรือเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ บางประการในขณะปัจจุบัน (น. 9) กรอบแนวคิดชาติพันธุ์เชิงสถานการณ์ ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ดังที่พบในงานของ Edmund Leach ที่เกี่ยวกับกลุ่มกะฉิ่นในที่ราบสูงของพม่า (น. 10)
นอกจาก 2 กรอบแนวคิดที่ได้กล่าวมาข้างต้น มีนักมานุษยวิทยาบางกลุ่ม มองการธำรงชาติพันธุ์
กรอบแนวคิดกลุ่มที่ 3 คือแนวคิดชาติพันธุ์จากการสร้างทางสังคม (Constructivism) ดังเช่น คำอธิบายของ Keyes เกี่ยวกับกรอบแนวคิดนี้ว่า อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์เป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนไปตามเงื่อนไข คือการลดหรือเพิ่มขั้วตรงข้ามทางโครงสร้าง (Structural Opposition) ส่งผลให้บุคคลหนึ่งสามารถแสดงอัตลักษณ์ได้หลายแบบ ตามแต่บริบทในขณะนั้น
ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงให้ความเห็นว่า การเลือกใช้ทฤษฎีในการอภิปรายปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้จากภาคสนามควรคำนึงถึงตำแหน่งของผู้ศึกษากับประเด็นที่กำลังศึกษา ที่สอดคล้องเงื่อนไขของบริบททางสังคมนั้น
แนวคิดพื้นที่ชายแดน
Ananda Rajah ศึกษาความเป็นกะเหรี่ยงบริเวณชายแดนไทย-พม่า ในประเด็นความรู้สึกชาตินิยมของกะเหรี่ยงในการต่อต้านรัฐบาล จากการศึกษาพบว่า สำนึกชาตินิยมของกะเหรี่ยงจะเกิดขึ้นภายในกลุ่มคนกะเหรี่ยงที่อยู่ในเขตพื้นที่ชายแดนไทย-พม่าเท่านั้น การทำความเข้าใจงานของ Rajah จึงเข้ามาเติมเต็มเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการธำรงชาติพันธุ์ ของกะเหรี่ยงไทย-พม่า ที่ชุมชนบ้องตี้ (น.15)
ธงชัย วินิจฉัยกุล ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดพื้นที่ชายแดนในงาน Siam Mapped ว่า ตัวตนทางภูมิศาสตร์ (Geo-body) เกิดจากอำนาจในด้านความรู้และเทคโนโลยีการทำแผนที่ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแบ่งพรมแดน และก่อให้เกิดความสำนึกของความเป็นรัฐชาติ ที่สัมพันธ์กับอาณาเขตดินแดนสมัยใหม่ (Territory) แต่ในขณะเดียวกัน ในช่วงแรกที่มีการขีดเส้นแบ่งพรมแดนรัฐ ผู้คนยังคงธำรงวิถีชีวิตตามเดิม มีการอพยพโยกย้าย ข้ามไปมา ระหว่างพรมแดนดังกล่าว และยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับคนกลุ่มเดียวกัน โดยเฉพาะกลุ่มเครือญาติ ที่แม้จะอยู่คนละเส้นพรมแดน จึงส่งผลให้ไม่รู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งเดียวกับกลุ่มคนที่อยู่ในพรมแดนเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป พรมแดนทางภูมิศาสตร์ อาจกลับมามีอิทธิพลเหนือความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ได้ (น.16)
เดชา ตั้งสีฟ้า ยังได้กล่าวถึงภาพของพื้นที่ชายแดนว่า เป็นพื้นที่ที่มีพลังและมีการเคลื่อนไหว จากทั้งผู้คน วัฒนธรรมและทุนอยู่เสมอ การขีดแบ่งเขตเส้นพรมแดนจึงส่งผลให้เกิดภาระขาดเสถียรภาพของความเป็นพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะในด้านของวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยประวัติการย้ายถิ่นพลัดถิ่นข้ามรัฐชาติ ดังนั้น การพยายามแสดงให้เห็นถึง “วัฒนธรรมบ่งชี้” (signifies) จึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เช่นเดียวกับ ยศ สันตสมบัติ ที่กล่าวถึงลักษณะซับซ้อนของพื้นที่ชายแดนเช่นเดียวกัน ในมิติของ เพศสภาพ รัฐ-ชาติ การเมืองวัฒนธรรมแต่การอธิบายเรื่องดังกล่าว มีความแตกต่างกัน เพราะมีการพูดถึงพรมแดนทางสังคม (social boundaries) และพรมแดนทางวัฒนธรรม (cultural boundaries) (น.17) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงถือว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในประเทศไทยเมื่อเทียบกับชาวเขา (Hill Tribe) กลุ่มอื่น ๆ ในงานศึกษาชิ้นนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กะเหรี่ยงใน (Karen Nai - Insider Karen) แต่ผู้ศึกษาเลือกใช้คำว่า กะเหรี่ยงในบ้องตี้ หรือกะเหรี่ยงในท้องถิ่นดั้งเดิม ซึ่งมีความหมายเดียวกัน ในบริบทของพื้นที่ชายแดนบ้องตี้ และอีกกลุ่ม คือกะเหรี่ยงนอก (Karen Nok - Outsider Karen) ผู้ศึกษาเลือกแทนด้วยคำว่ากะเหรี่ยงพม่า เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการเคลื่อนตัวข้ามพรมแดน จากฝั่งเขตพม่า เข้ามายังพรมแดนรัฐไทย ณ เขตชายแดนบ้องตี้ (น. 20) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากลางที่คนในชุมชนบ้องตี้ใช้สื่อสารกันระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงนอกและกะเหรี่ยงในคือภาษาไทยกลาง ซึ่งทักษะในการใช้ภาษาไทยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ แต่เนื่องจากบ้านบ้องตี้ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ จึงปรากฏการใช้ภาษาที่หลากหลาย สามารถแสดงได้ถึงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนนั้นได้ เช่น ภาษากะเหรี่ยง ภาษาทวาย พม่า ภาษา มอญ (น.72-74) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้ศึกษาใช้ระยะเวลาในการศึกษาทั้งหมด 6 ปี ในระหว่าง พ.ศ. 2546 ถึง พ.ศ. 2551 |
|
History of the Group and Community |
คำว่าบ้องตี้สันนิษฐานว่ามาจากภาษามอญ แปลว่า แข้งขาอ่อนล้า แทนที่จะมาจากภาษากะเหรี่ยง ที่แปลว่าห้วยน้ำเหลือง และบ้านน้ำเหลือง เนื่องจากชุมชนของชาวมอญมีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้มาแต่เดิม และการออกเสียงและไวยากรณ์ ของภาษากะเหรี่ยงสะกอ ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวบ้องตี้ใช้นั้นไม่มีตัวสะกด และเมื่อนำคำว่าบ้องตี้ไปสื่อสารกับชาวมอญ ก็สามารถเข้าใจได้ทันที (น.23) |
|
Settlement Pattern |
ผู้ศึกษาให้ข้อมูลว่า ในปัจจุบันการตั้งถิ่นฐานของชาวชุมชนบ้องตี้ มีลักษณะกระจุกตัวกันเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ตามลักษณะพื้นที่ เช่น กลุ่มดงหมาก กลุ่มหลังโรงเรียน กลุ่มอนามัย กลุ่มต้นตาล กลุ่มบ้านวังคะโดะ เป็นต้น ส่วนใหญ่บ้านเรือนกระจุกตัวอยู่บริเวณกลางหมู่บ้าน และกระจายตัวออกไปยังพื้นที่เพาะปลูก ใกล้แนวลำห้วยบ้องตี้ ซึ่งต่างจากลักษณะการตั้งถิ่นฐานในอดีต ที่มีบ้านเรือนเพียงไม่กี่หลัง ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บ้านเรือนเพิ่มมากขึ้น เป็นผลจากจำนวนประชากรของคนในพื้นที่จะเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีกลุ่มคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในชุมชนบ้องตี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการก่อตั้งหมู่บ้านใหม่เพิ่มขึ้นมา
นอกจากนั้น จากข้อมูลที่ศึกษาแสดงให้เห็นว่า กะเหรี่ยงใน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านชุมชนบ้องตี้แต่เดิม ส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่กลุ่มดงหมากกลุ่มหลังอนามัย กลุ่มต้นตาล มีกะเหรี่ยงนอกและคนไทยที่อพยพเข้ามาปะปนอยู่จำนวนประปราย บริเวณพื้นที่ที่กลุ่มกะเหรี่ยงนอกอาศัยอยู่มากที่สุดคือพื้นที่บริเวณหลังโรงเรียน และบริเวณบ้านวังคะโดะ (น. 37) |
|
Demography |
จากลักษณะทางภูมิศาสตร์ของชุมชนบ้องตีที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ชายแดน ทำให้มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของประชากรแฝงที่อพยพเข้าและออกในพื้นที่อยู่เสมอ ทำให้การสำรวจข้อมูลประชากรภายในชุมชนมักไม่ตรงกับความเป็นจริง มีเพียงข้อมูลของกลุ่มที่มีการตั้งถิ่นฐานถาวรเท่านั้น เพราะกลุ่มประชากรแฝงส่วนมากไม่ได้ขึ้นทะเบียนประวัติ ทำให้ตกการสำรวจ (น. 40)
หน่วยงานรัฐที่เข้ามาสำรวจประชากรในชุมชนบ้องตี้ มักจำแนกสถานะบุคคลจากกฎหมายสัญชาติ แทนการจำแนกตามลักษณะของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น สำนักทะเบียนกรมการปกครอง ทำให้ข้อมูลจำนวนประชากรที่แต่ละหน่วยงานเข้ามาสำรวจในชุมชน ได้ผลที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของแต่ละหน่วยงาน (น. 40) อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาให้น้ำหนักกับข้อมูลที่สำรวจโดยผู้นำชุมชน คือ ผู้ใหญ่บ้าน และสารวัตรกำนันเป็นข้อมูลหลัก โดยอ้างถึงกระบวนการสำรวจที่ใช้วิธีการสำรวจรายชื่อ และถ่ายรูปผู้พลัดถิ่นไว้ทุกครัวเรือน และจัดประเภทข้อมูลสถานะบุคคลตามลักษณะทางชาติพันธุ์ รวมถึงบัตรสีต่าง ๆ ที่แต่ละคนถือตามการอ้างถึงฐานข้อมูลบุคคลของสำนักบริหารทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่แบ่งสถานะบุคคลออกเป็น 5 ประเภท (น. 41)
ผลการสำรวจในปี พ.ศ. 2548 ระบุว่า ผู้อาศัยที่มีทะเบียนบ้าน มีจำนวน 146 หลังคาเรือน คิดเป็นจำนวนประชากร 476 คน ประกอบด้วยกลุ่มคนไทย และกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งเป็นผลสำรวจโดยหน่วยงานของรัฐ และจำนวนประชากรแฝง จำแนกได้ตามกลุ่มชาติพันธุ์ คือ ทวายพม่า จำนวน 129 คน กลุ่มคน มอญ จำนวน 67 คน กลุ่มกะเหรี่ยงนอก จำนวน 530 คน รวมทั้งสิ้น 726 คน จากข้อมูลชุดนี้เห็นว่าจำนวน ประชากรส่วนใหญ่ในชุมชนบ้องตี้ก็คือกลุ่มกะเหรี่ยง ประกอบด้วยกะเหรี่ยงนอก และกะเหรี่ยงใน (น.42) |
|
Economy |
ชาวบ้องตี้ส่วนมาก ประกอบอาชีพในภาคเกษตรกรรม คือการทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้องตี้มีความสัมพันธ์กับฤดูกาล และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ พืชที่ปลูกส่วนใหญ่ ได้แก่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง ในกลุ่มชาวกะเหรี่ยงวัยหนุ่มสาว มีค่านิยมในการไปทำงานรับจ้างนอกพื้นที่แต่ไม่ไกลหมู่บ้านนัก (น.57) |
|
Social Organization |
สังคมหมู่บ้านบ้องตี้บนมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม กลุ่มคนต่างด้าวที่เดินทางมาจากประเทศพม่าได้แก่ กะเหรี่ยงนอก ทวายพม่า มอญ มุสลิมพม่า จะอยู่ในหมู่บ้านบ้องตี้บนในฐานะเป็นคนไม่มีสัญชาติมีความเป็นอยู่ที่ไม่เท่าเทียมกับกะเหรี่ยงในและคนไทยซึ่งมีบทบาททางการเมืองและฐานะที่ดีกว่าคนต่างด้าวจากพม่า (หน้า 74) ทั้งนี้คนต่างด้าวต้องขอความช่วยเหลือจากคนไทยและกะเหรี่ยงในเช่นเรื่องที่ทำกิน (หน้า 75) ส่วนข้าราชการ ผู้นำชุมชนและกลุ่มนายทุน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีฐานะดีเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านบ้องตี้บนเมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มนี้คนในหมู่บ้านจะให้ความเคารพมากกว่ากลุ่มอื่นๆ (หน้า 76) |
|
Political Organization |
ตำบลบ้องตี้แบ่งการปกครอบเป็น 4 หมู่บ้านได้แก่ บ้องตี้บน หมู่ 1 บ้องตี้ล่าง หมู่ 2 ท้ายเหมือง หมู่ 3 ทุ่งมะเซอย่อ หมู่ 4 ทั้งนี้หมู่บ้านบ้องตี้บน บ้องตี้ล่างกับท้ายเหมืองจะอยู่ติดต่อกัน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ทั้ง 3 หมู่บ้านเป็นชุมชนเดียวกันแต่ได้มาแยกการปกครองเมื่อชุมชนมีขนาดใหญ่ขึ้น สำหรับทุ่งมะเซอย่อ หมู่ 4 จะตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวต่างหาก ทั้งนี้หมู่ 1 หมู่ 2 หมู่ 3 ส่วนมากจะเป็นกะเหรี่ยงในและทุ่งมะเซอย่อ หมู่ 4 ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยที่ย้ายมาอยู่ใหม่ (หน้า 31) ทั้ง 4 หมู่บ้านมีกำนันเป็นผู้นำ และมีสารวัตรกำนัน อีก 1 คนมีหน้าที่ดูแลทะเบียนราษฎร หมู่บ้านต่างๆ จะมีผู้ใหญ่บ้าน1 คนกับผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 4 คน ส่วนการปกครองส่วนท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนตำบลหรือ อบต.เริ่มครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2540 (หน้า 51)
การปกครองในหมู่บ้านบ้องตี้เป็นการปกครองโดยผู้นำในท้องถิ่นตามโครงสร้างของรัฐไทย มีกำนัน และผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อย และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน จะมีการประชุมทุกวันที่ 7 ของเดือน โดยทุกครอบครัวต้องส่งตัวแทนมาร่วมประชุมอย่างน้อย 1 คน ซึ่งไม่ได้หมายถึงชาวบ้านที่มีชื่อตามทะเบียนบ้านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชาวกะเหรี่ยงนอกอีกด้วย (น.201)
|
|
Belief System |
ชุมชนบ้องตี้ ประกอบด้วยประชากรที่นับถือ ศาสนา 3 ศาสนาด้วยกัน ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม จากผลการศึกษา เราสามารถเห็นโครงสร้างของระบบความเชื่อของคนในชุมชนได้จากศาสนสถานของแต่ละศาสนา ผู้ศึกษาได้ให้ข้อมูลว่า วัดในชุมชนบ้องตี้มีจำนวน 40 แห่ง สัมพันธ์กับจำนวนประชากรที่นับถือศาสนาพุทธคิดเป็นร้อยละ 95 ของประชากรทั้งหมด โดยวัดแห่งแรกคือวัดบ้องตี้ล้วนพลูผลาราม ก่อตั้งช่วงทศวรรษที่ 2500 ตั้งอยู่ใจกลางบ้านบ้องตี้บนในหมู่ 1 เป็นศูนย์รวมของชาวพุทธในชุมชน โดยมีกลุ่มศาสนิกชนที่ประกอบด้วยประชากรกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงใน ไทย มอญ และทวายพม่า มักมารวมตัวกันในวันสำคัญทางศาสนา เช่น สงกรานต์ เข้าพรรษา และออกพรรษา เป็นต้น (น. 53)
ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่ประชากรในชุมชนบ้องตี้นับถือมากเป็นอันดับ 2 โดยส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงนอก ส่วนกะเหรี่ยงในที่นับถือศาสนาคริสต์นั้น มีลักษณะเป็นการเปลี่ยนศาสนาหลังจากแต่งงานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกกลุ่มของกะเหรี่ยงนอก จากข้อมูลในงานวิจัยระบุว่า ชุมชนบ้องตี้เป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางศาสนา มีโบสถ์จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ คริสตจักรบ้องตี้ ที่ตั้งอยู่ที่กลุ่มบ้านต้นตาล และ คริสตจักรตะนาวศรี อยู่บริเวณหลังโรงเรียน (ทีโพะวา) จึงทำให้เป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาสำหรับคนในชุมชน และหมู่บ้านใกล้เคียง (น. 54)นอกจากนั้น มีการก่อตั้งโรงเรียนโดยกลุ่มมิชชั่นนารีชาวตะวันตกนิกาย Seven Days Adventist โดยใช้ชื่อว่า Bamboo School สำหรับสอนศาสนาคริสต์และภาษาอังกฤษให้กับเด็กชาวกะเหรี่ยง พร้อมกับช่วยหาทุนสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก มีการสร้างอาคารเพื่อดำเนินกิจกรรม และจัดสร้างหอพักสำหรับนักเรียนประจำ (น. 55)
ศาสนาอิสลาม มีประชากรนับถือคิดเป็นร้อยละ 2 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ประมาณ 30 ครอบครัว คิดเป็นจำนวนประมาณ 200 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้พลัดถิ่นไร้สัญชาติ แต่ทั้งหมดนับถือศาสนา อิสลามในนิกายสุหนี่ และปลูกบ้านอาศัยอยู่บริเวณโดยรอบมัสยิด อัล-มูฮายีริน ที่สร้างจากการสนับสนุนโดยเครือข่ายทางศาสนาอิสลามภายนอกชุมชน และเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสอนศาสนาแก่นักเรียนทั้งในและนอกหมู่บ้าน (น. 55)
ถึงแม้ว่าชาวบ้องตี้จะไม่ได้สืบทอดความเชื่อจากศาสนาดั้งเดิม แต่ก็ยังปรากฏการประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับผีบรรพบุรุษ (น.131) |
|
Education and Socialization |
ชาวบ้องตี้ ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเมื่อปี พ.ศ. 2480 จากความร่วมมือของชาวบ้านบ้องตี้บน และหน่วยงานรัฐของไทย โดยมีนายเจียร ประชากุล เป็นครูคนแรกของโรงเรียนบ้านบ้องตี้ ทำให้เด็กและเยาวชนในหมู่บ้านบ้องตี้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานมากขึ้นในเวลาต่อมา สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้มากขึ้น (น.158) และเป็นหน่วยทางสังคมที่มีบทบาทในการปลูกฝังอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้กับชาวบ้องตี้ (น.160)
ในชุมชนมีโรงเรียน 1 แห่งชื่อโรงเรียนบ้องตี้บน เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีครู 15 คน และนักเรียนจำนวน 466 คน นักเรียนส่วนมากเป็นนักเรียนจาก บ้านบ้องตี้บนหมู่ 1 กับบ้านท้ายเหมืองหมู่ 3 ซึ่งประกอบด้วยคนไทยและต่างด้าว (หน้า 48) ดังนั้นครูจึงกำหนดให้พูดภาษาไทยในโรงเรียนไม่ให้พูดภาษาอื่น (หน้า 49) โรงเรียนบ้องตี้เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2479 โดยเปิดสอนในระดับประถมศึกษาปีที่1-4 (หน้า 158) กระทั่งพ.ศ.2543ได้เปิดสอนจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 (หน้า 159) สำหรับการเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมปลายจะมีน้อยส่วนมากจะเป็นกลุ่มคนไทยและกะเหรี่ยงใน ที่ส่งลูกหลานไปเรียนต่อที่โรงเรียนอำเภอไทรโยคหรือที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี (ภาพโรงเรียนหน้า 49) ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก มี 2 แห่ง ได้แก่ ที่วัดบ้องตี้กับที่บ้านท้ายเหมืองหมู่ 3 (หน้า 49) |
|
Health and Medicine |
หมู่บ้านบ้องตี้มีสถานีอนามัยตั้งอยู่ใจกลางบ้านบ้องตี้บน เป็นศูนย์กลางด้านการบริการสุขภาพ มีเจ้าหน้าที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานประจำอยู่ในพื้นที่ และมีอาสาสมัครสาธารณสุขที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่รณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุขอนามัยตามหลักการทางการแพทย์สมัยใหม่ (น.51.)
การรักษาพยาบาล ในหมู่บ้านบ้องตี้บน หมู่ 1 มีสถานีอนามัยหนึ่งแห่ง มีเจ้าหน้าที่ประจำ 3 คน คนในหมู่บ้านหากเป็นไข้ไม่สบายก็จะมารักษาที่นี่แต่ถ้าป่วยหนักก็จะไปรักษาที่โรงพยาบาลอำเภอไทรโยค กรณีที่ป่วยเป็นโรคมาลาเรีย ผู้ที่มีอาการไข้ก็จะไปเจาะตรวจเชื้อที่มาลาเรียคลินิคซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ สถานีอนามัยบ้องตี้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทำงาน 1 คน แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงก็จะส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลไทรโยคต่อไป อย่างไรก็ดีในพื้นที่ตำบลบ้องตี้มีการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียค่อนข้างมาก ซึ่งทุกๆ ปีจะพบผู้ป่วยกว่าร้อยคน และคนจะเป็นมากโดยเฉพาะในหน้าฝนเพราะเป็นช่วงที่ทำไร่และถางป่าบุกเบิกที่ทำกิน นอกจากนี้เนื่องจากการทำงานในไร่ที่อยู่ใกล้ป่าตลอดจนมีคนเดินข้ามพรมแดนเป็นประจำ จึงทำให้ไม่สามารถป้องกันอย่างได้ผล ส่วนโรคอื่นๆ ยังพบการระบาดของโรคเท้าช้าง และไข้เลือดออก ซึ่งในแต่ละปี หน่วยควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลง อำเภอไทรโยค (นคม.4) ก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาพ่นเคมีในแต่ละบ้านภายในตำบล สำหรับผู้ป่วยส่วนมากจะเป็นคนต่างด้าวที่มาจากพม่า อีกทั้งรอบๆ หมู่บ้านเป็นป่าไม้ รวมทั้งมีการอพยพข้ามพรมแดนบ่อยครั้ง (หน้า 50) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ชื่อหมู่บ้านบ้องตี้ สันนิษฐานว่า "บ้องตี้" มาจากคำว่า "บ้องตี่" ในภาษามอญ หมายถึงแข้งขาอ่อนล้า ซึ่งคาดว่ามอญเป็นกลุ่มแรกที่มาอยู่บริเวณนี้ก่อนกลุ่มอื่นๆ (หน้า 23) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่เด่นชัดระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงนอก และกะเหรี่ยงใน ได้แก่ ศาสนา โดยกะเหรี่ยงใน นับถือศาสนาพุทธและบางส่วนที่ยังนับถือศาสนาดั้งเดิม แต่ในส่วนของกะเหรี่ยงนอกที่อพยพเข้ามานั้นนับถือศาสนาคริสต์ (น.60) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ลักษณะสังคมของชุมชนบ้องตี้มีลักษณะพหุชาติพันธุ์ ตามที่ผู้ศึกษาได้อ้างถึงการศึกษาของฟอร์นิวัลล์ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย แต่ละกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์กันในบริบททางเศรษฐกิจและการเมือง สอดคล้องกับลักษณะในพื้นที่การศึกษา ด้านอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ที่มักแสดงออกเมื่ออยู่ในพื้นที่ทางสังคม เช่น งานพิธีกรรม พิธีทางศาสนา ผ่านเครื่องแต่งกาย ภาษาพูด
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด คือด้านระบบความเชื่อ ชาวกะเหรี่ยง ชาวบ้องตี้ มีการเปลี่ยนศาสนา จากเดิมที่นับถือผีบรรพบุรุษ กลายเป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว สาเหตุสำคัญ สืบเนื่องมาจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ทั้งระบบเศรษฐกิจ และ ลักษณะทางสังคม แต่ผู้ศึกษาให้น้ำหนักกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากที่สุด เพราะเมื่อคนในชุมชนต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกภายนอก คนวัยทำงานบางส่วน ต้องอพยพออกจากหมู่บ้านเพื่อหาช่องทางประกอบอาชีพ ทำให้ขาดการส่งต่อ และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับประกอบพิธีกรรม ตามขั้นตอนปฏิบัติแบบดั้งเดิม ในการนับถือผีบรรพบุรุษ อัตลักษณ์ในด้านนี้ จึงค่อย ๆ พร่าเลือนไปตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เข้ามากระทบ |
|
Critic Issues |
ปัจจัยที่ทำให้มีการปรับเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ ระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงนอก และกะเหรี่ยงในล้วนเกี่ยวข้องกับปัจจัยเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลาโดยเฉพาะสถานการณ์หลัง ค่ายกะเหรี่ยงแตก ส่งผลให้กะเหรี่ยงนอกจำนวนมากอพยพข้ามฝั่งมายังพรมแดนไทย ณ บ้านบ้องตี้ ดำรง สถานะผู้พลัดถิ่น บางส่วนก็มีสถานะเป็นผู้ถูกบังคับพลัดถิ่นไร้สัญชาติ ไม่มีบัตรต่างด้าว นับเป็นปัจจัยทางการเมือง เมื่อรัฐผู้มีสิทธิ์และอำนาจเข้ามาดำเนินการในกรณีนี้ กลุ่มกะเหรี่ยงนอกที่อพยพเข้ามาหลังค่าย กะเหรี่ยงแตก จึงถูกตรวจสอบและควบคุมจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวด และส่งผลให้กะเหรี่ยงกลุ่มนี้มีสถานะทางสังคม (social position) เป็นพลเมืองชั้นสอง (น.263) ถูกกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรทาง เศรษฐกิจ
แต่ในขณะเดียวกัน สำนึกทางชาติพันธุ์ที่ดูจะชัดเจน ในบริบทของเศรษฐกิจและการเมือง กลับพร่าเลือนเมื่ออยู่ในบริบททางสังคม คำว่ากะเหรี่ยงนอก/ ใน มีคำที่ระบุชัดเจนในทางภาษาไทยเท่านั้น กลับกันใน ภาษากะเหรี่ยง ไม่พบคำที่สามารถแปลตรงตัวดังเช่นภาษาไทย อีกทั้งการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกะเหรี่ยงทั้ง สองกลุ่มเมื่อมีกิจกรรมของชุมชน ยิ่งได้สร้างความผูกพัน และลดทอนความรู้สึกแบ่งแยก เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ ช่วยทำให้เส้นแบ่งพรมแดนชาติพันธุ์ของกะเหรี่ยงทั้งสองกลุ่มเบาบางลง (น.282) ประกอบกับประวัติศาสตร์ ของคนทั้งสองกลุ่ม ที่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติมาก่อนที่จะมีการขีดเส้นแบ่งพรมแดนทางภูมิศาสตร์ ทำให้มีการช่วยเหลือ เอื้อประโยชน์ให้กันและกัน ในการปรับตัวภายใต้สถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป (น.283)
ผู้ศึกษาให้ความเห็นในช่วงท้ายของการศึกษาว่า กะเหรี่ยงใน มีแนวโน้มจะละทิ้งอัตลักษณ์ความเป็นกะเหรี่ยง และสวมอัตลักษณ์ความเป็นคนไทยมากกว่ากลุ่มกะเหรี่ยงนอก ที่ยังคงรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงไว้ได้อยางดี สามารถเข้าไปแทนอัตลักษณ์ความเป็นกะเหรี่ยงในแทนที่กลุ่มกะเหรี่ยงในที่เป็นกลุ่มคนดั้งเดิม |
|
Other Issues |
เรื่องเล่าจากชายแดนการเดินทางข้ามพรมแดนของนักเรียนมานุษยวิทยา เป็นบันทึกเหตุการณ์ของผู้เขียนที่เดินทางพร้อมกับชาวบ้านบ้องตี้บนจำนวนหนึ่งข้ามไปที่บ้านกะชอวาหรือหลักช้างเผือกในเขตประเทศพม่า ซึ่งบริเวณนี้เคยอยู่ในการควบคุมของกองกำลังกะเหรี่ยงอิสระมาก่อนทุกวันนี้อยู่ในการควบคุมของกองกำลังทหารพม่า (หน้า 291-322) |
|
Google Map |
https://www.google.com/maps/place/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89/@14.0717293,98.9935658,20.21z/data=!4m8!1m2!2m1!1z4LiK4Li44Lih4LiK4LiZ4Lia4LmJ4Lit4LiH4LiV4Li14LmJIOC4rS7guYTguJfguKPguYLguKLguIQg4LiILuC4geC4suC4jeC4iOC4meC4muC4uOC4o-C4tQ!3m4!1s0x0:0xefbbfde5f6627a77!8m2!3d14.0716251!4d98.9936185 |
|
Map/Illustration |
ภาพ
- ภูมิทัศน์รอบบ้องตี้บน และเทือกเขาตะนาวศรี (น. 34)
- ถนนรพช. กลางบ้องตี้บน และสภาพบ้านเรือน (น. 36)
- ดงหมาก และลำห้วยบ้องตี้ (น. 37)
- การจัดทำบัตรบุคคลบนพื้นที่สูงล่าสุดที่ศาลาประชาคมบ้องตี้บน หมู่ 1 (น. 46)
- โรงเรียนบ้านบ้องตี้ (น. 49)
- พุทธศาสนิกชนในบ้องตี้บนทำบุญที่วัดบ้องตี้ล้วนพลูผลาราม (น. 53)
- คริสตจักรตะนาวศรีและคริสตจักรบ้องตี้ (น. 54)
- มัสยิดอัล-มูฮายีริน (น. 56)
- กะเหรี่ยงใน และกะเหรี่ยงนอก (น. 60)
- บริเวณกลุ่มบ้านผู้อพยพชาวทวายพม่าบ้านท้ายเหมือง หมู่ 3 (น. 62)
- ชาวทวายร่วมทำบุญวันสงกรานต์ที่วัดบ้องตี้บนและงานแต่งงานชาวทวายพม่า (น. 63)
- แขกมุสลิมพม่าร่วมละหมาดในมัสยิด และเด็กๆ กำลังเรียนศาสนาอิสลาม (น. 65)
- แขกมุสลิมพม่ากับกิจกรรมอื่น ๆ ในบ้องตี้บน (น. 66)
- ขวดเซ่นบรรพบุรุษของกลุ่มเครือญาติด้ายขาว (น. 134)
- กลุ่มเครือญาติด้ายขาวเตรียมเครื่องเซ่นในบ้าน (น. 140)
- กลุ่มเครือญาติด้ายขาวกำลังขึ้นไปทำพิธีบนเชิงเขา (น. 142)
- พิธีกรรมไหว้ลอสิข่อทิ (น. 144)
- กระท่อมทำพิธีบาโหล่มิโขะของกลุ่มเครือญาติด้ายเหลือง (น. 147)
- สะพานที่ใช้ในพิธีกรรมทอดสะพานแล้วขึ้นไปค้ำต้นโพธิ์บนเขา (น. 152)
- ไหว้เจดีย์พระทรายบริเวณหัวสะพาน (น. 155)
- พิธีทอดสะพานและค้ำต้นโพธิ์ (น. 156)
- การร่วมพิธีกรรมในโบสถ์คริสตจักรบ้องตี้ (น. 180)
- การร่วมพิธีกรรมในโบสถ์คริสตจักรตะนาวศรี (น. 181)
- นมัสการพระเจ้า ที่บ้านสมาชิก และเลี้ยงอาหารแก่ผู้ร่วมงาน (น. 185)
- บรรยากาศวันคริสต์มาสที่คริสตจักรบ้องตี้ปี พ.ศ. 2549 (น. 186)
- เด็ก ๆ ร่วมแสดงละคร กำเนิดพระเยซู ในวันคริสต์มาส (น. 188)
- การสอนหนังสือกะเหรี่ยงที่โรงเรียนสาละวิน (น. 191)
- ปฏิทินภาพชอบาอูยีและผู้นำคนสำคัญของกะเหรี่ยงอิสระในบ้านกะเหรี่ยงนอก (น. 192)
- การประชุมหมู่บ้านประจำเดือน (น. 203)
- การแบ่งใช้พื้นที่เพาะปลูกของกะเหรี่ยงในและกะเหรี่ยงนอก (น. 216)
- การแบ่งหน้าที่ในการทำไร่ข้าว, หญิงกะเหรี่ยงนอกกำลังหยอดเมล็ดข้าว (น. 221)
- สัญลักษณ์ บือโหม่ปัว ในไร่ข้าวของกะเหรี่ยงใน (น. 224)
- ตลาดนัดใหญ่ (น.226)
- หญิงทวายพม่าเก็บพืชผักมาวางขาย (น. 226)
- การแข่งขันฟุตบอลในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (น. 233)
- กิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุปี พ.ศ. 2550 และปี พ.ศ. 2551 (น. 235)
- กิจกรรมทอผ้าที่ศูนย์วัฒนธรรมกะเหรี่ยงบ้องตี้บน (น. 237)
- บรรยากาศค่ำที่ศาลาประชาคมและนักแสดงรำพม่า (น. 239)
- การแสดงกะเหรี่ยงกระทบไม้และผู้ชม (น. 241)
- ด่านตรวจ ต.ช.ด. ห้วยโมง และเส้นทางลงเขาด่านห้วยโมง (น. 295)
- ซ้ายไปบ้านห้วยโมง ตรงไปกะชอวาและป้ายเขตแดนไทย-พม่า (น. 296)
- บริเวณที่พักคนงานตัดไม้ไผ่รวกบริเวณชายแดนฝั่งพม่า (น. 298)
- หมูป่าที่ถูกหามออกมาจากป่า (น. 311)
- พรานกะเหรี่ยงกำลังย่างหมูป่าบริเวณกอมอเฮาะ (น. 312)
- เรือของพวกเราบริเวณจุดพักแรมริมแม่น้ำตะนาวศรีฝั่งพม่า (น. 315)
- ทำความสะอาดเนื้อหมูบนแก่งกลางแม่น้ำตะนาวศรีและการเดินทางยามรุ่งอรุณ (น. 316)
- แม่น้ำตะนาวศรีและตลิ่งริมน้ำที่มาของชื่อ กะชอวา (น. 317)
แผนผัง
- การใช้ภาษาติดต่อสื่อสารภายในและภายนอกกลุ่มชาติพันธุ์ (น. 74)
- เครือญาติกะเหรี่ยงใน (พีน่อตา) (น. 123)
- เครือญาติกะเหรี่ยงใน (พะตีบือพอ) (น. 125)
- เครือญาติกะเหรี่ยงใน (น่อเซอะเพียบอ) (น. 127)
- เครือญาติของกลุ่มด้ายขาว/ ลอสิข่อทิ (น. 136)
- เครือญาติของกลุ่มด้ายเหลือง/ บาโหล่มิโขะ (น. 149)
- เครือญาติกะเหรี่ยงนอก (พะตีซอซอช่วย) (น. 167)
- เครือญาติกะเหรี่ยงนอก (พะตีนิโพ) (น. 169)
- เครือญาติกะเหรี่ยงนอก (น่อพอบอ) (น. 172)
ตาราง
- จำนวนประชากรและครัวเรือน (น. 40)
- จำแนกลักษณะทางชาติพันธุ์ของประชากรบ้านบ้องตี้บน หมู่ 1 (น. 42)
- เปรียบเทียบคำเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ในภาษาต่างๆ (น. 72)
แผนที่
- ตำแหน่งที่ตั้งของจังหวัดกาญจนบุรี (น.30)
- อำเภอไทรโยค และที่ตั้งของตำบลบ้องตี้ ด่านบ้องตี้และด่านห้วยโมง (น. 32)
- ตำแหน่งที่ตั้งบ้านบ้องตี้บน หมู่ 1 (น. 38) |
|
|