สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชนเผ่าไท,ศึกเดียนเบียนฟู,เวียดนาม
Author ชนัญชิดา ศิริจันโท
Title บทบาทของชนเผ่าไทในเวียดนามในศึกเดียนเบียนฟู (ค.ศ. 1946-1954)
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทใหญ่ ไต คนไต, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 
Total Pages 162 Year 2550
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์เอเชีย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Abstract

งานชิ้นนี้ศึกษาบทบาทของชนเผ่าไทในเวียดนาม ที่มีส่วนในสงครามเดียนเบียนฟูระหว่างกองกำลังเวียดมินห์กับกองทัพฝรั่งเศส ที่ถือว่าเป็นสงครามปลดแอกจากอาณานิคมฝรั่งเศสของชาวเวียดนาม สงครามสำคัญนี้เกิดขึ้นในเมืองแถง ซึ่งเป็นเมืองของชนเผ่าไท ในงานชิ้นนี้จึงมุ่งเน้นบทบาทของชนเผ่าไทว่ามีส่วนร่วมในสงครามครั้งใหญ่ที่รู้จักในศึกเดียนเบียนฟูอย่างไร โดยในงานมุ่งอธิบายบทบาทในการเข้าร่วมสงครามทั้งกับฝรั่งเศสและกับเวียดนาม ดังเช่น การเข้าร่วมรบ การคอยให้การช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ทั้งส่งเสบียง ยารักษาโรค ข่าวกรอง ในงานยังทำการวิเคราะห์ผลกระทบจากสงครามต่อชนเผ่าไท และศึกษาถึงผลและการเปลี่ยนแปลงภายใต้การปกครองของเวียดนาม
 
โดยในงานชิ้นนี้ได้เสนอข้อค้นพบว่า ชนเผ่าไทมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือกองทัพทั้งฝรั่งเศสและเวียดนาม ในด้านการข่าวกรอง และการเข้าร่วมรบ เนื่องจากชนเผ่าไทมีความรู้และเชี่ยวชาญในการใช้พื้นที่ ยุทธศาสตร์ทางทหารและการลำเลียงความสะดวก ด้วยเหตุนี้ ชนเผ่าไทจึงมีความสำคัญต่อชัยชนะของทั้งสองฝ่าย แต่สงครามจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเวียดนามและการนำมาซึ่งเอกราช ผลดังกล่าวนี้มีกระทบชนเผ่าไท  เช่น การต้องอพยพ แตกกระจายหนีภัยไปยังดินแดนใกล้เคียง และต่างประเทศ และภายใต้การปกครองของเวียดนามได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในชนเผ่าไท และโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ ที่ถูกนำเข้ามาแทนที่ด้วยชุดความคิดใหม่แบบคอมมิวนิสต์ และการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ

Focus

งานศึกษาชิ้นนี้มุ่งหมายศึกษาถึงปัจจัยที่ทำให้ชาวเผ่าไทเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามเดียนเบียนฟู และมุ่งอธิบายถึงบทบาทสำคัญต่าง ๆ ในช่วงสงคราม เช่น ด้านการบ การลำเลียงเสบียง อาวุธและการเป็นแรงงานให้กับกองทัพทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังวิเคราะห์ถึงผลกระทบจากสงครามในพื้นที่ที่มีต่อสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจของชนเผ่าไท

Theoretical Issues

ข้อเสนอและแนวคิดที่เชื่อมโยงในการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ ได้ใช้งานของภัททิยา ยิมเรวัต (2544) “ประวัติศาสตร์สิบสองจุไท” โดยกล่าวถึง ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนเผ่าไทโดยเฉพาะอย่างยิ่งไทดำในเวียดนามว่ามีความเป็นมา ความเชื่อ รวมทั้งแนวคิดในการดำรงชีวิต และสถานการณ์ของคนไทในช่วงสงครามเดียนเบียนฟู ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้ได้ใช้เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ เรื่องราวของชนเผ่าไทในศึกเดียนเบียนฟู นอกจากนี้ยังมีงานที่ศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์สงครามเวียดนาม และศึกเดียนเบียนฟู ของ Doan Cong (2004) และ Karnow Stanley (1983) งานของทั้งสองท่านนี้ ได้ให้ภาพของสงคราม และข้อมูลประวัติศาสตร์เวียดนามในสมัยสงคราม จากงานเหล่านี้ ได้นำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบและทำความเข้าใจมิติประวัติศาสตร์สงคราม อีกทั้งเพื่ออธิบายวิถีชีวิตของคนเผ่าไทในเวียดนามในช่วงสงคราม (หน้า ง-จ)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มเผ่าไท ที่อาศัยอยู่ในเวียดนาม โดยแยกออกเป็นสองกลุ่มด้วยกัน คือ หนึ่งกลุ่มไต่ หมายถึง ไทไต่ ไทหนุ่ง และกลุ่มที่สอง หมายถึง ไทดำ ไทแดง (หน้า ฉ)

Language and Linguistic Affiliations

ชาติพันธุ์เผ่าไท ในเวียดนาม จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาไทกะได (Thai-kadai Language Family) ที่ใช้ภาษาพูดไต่-ถาย โดยกลุ่มไทในเวียดนามสามารถแบ่งตามชื่อเรียกออกเป็น 8 กลุ่ม คือ ไต่ หนุ่ง ถาย ลาว ลื้อ ไซ๋ สานใจ โบ๋อี (หน้า 8)

Study Period (Data Collection)

งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาค้นคว้าจากหลักฐาน งานศึกษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ที่เป็นงานวิทยานิพนธ์ บทความ วารสาร และทำการสัมภาษณ์ผู้รู้ชาวไทในสาธารณรัฐเวียดนาม รวมถึงนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้มีการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข่าว สื่อ วิดีโอ ที่เกี่ยวข้อง โดยนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ในการศึกษาทางประวัติศาสตร์ (หน้า ช)

History of the Group and Community

ดินแดนสิบสองจุไท คือ ครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และบางส่วนของเวียดนามติดต่อกับเขตลาวที่แขวงพงศาลี หลวงพระบาง คนไทในสิบสองปันนาได้ครอบครองพื้นที่แห่งนี้มาอย่างยาวนาน มีการจัดระบบการปกครองตนเองอิสระ แต่ก็ยอมรับอำนาจทางการเมืองของเวียดนาม จีน และลาวอาณาจักรล้านช้าง ทำให้ดินแดนสิบสองปันนายอมรับอำนาจจากแว่นแคว้นที่เหนือกว่าทั้งหลาย โดยการส่งบรรณาการ จึงได้ชื่อว่าเป็นเมือง “สองฝ้ายฟ้า” แม้สิบสองปันนาจะต้องตกอยู่ภายใต้อาณาจักรอื่น แต่ดินแดนหรือรัฐนี้ยังสามารถปกครองตนเองได้อย่างอิสระโดยการส่งบรรณาการเป็นการตอบแทน นอกจากนี้ดินแดนแห่งนี้ยังสัมพันธ์กับอาณาจักรสยามในคราวที่ทางกรุงเทพขึ้นมากวาดต้อนชาวไทลงมาอาศัยในพื้นที่ของสยาม
 
พื้นที่สิบสองปันนา ถือว่าพื้นที่อาศัยของชนกลุ่มไทหลากหลายกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อาศัยอยู่รวมกัน ชาวเผ่าไท ถือว่าเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุดในเขตพื้นที่ โดยมีที่มาทางประวัติศาสตร์หรือพงศาวดารมีการระบุถึง เมืองไทดำ 8 เมือง เมืองไทขาว 4 เมือง จึงถูกเรียกว่า เมืองสิบสองจุไทหรือสิบสองผูไท อย่างไรก็ตาม แต่เดิมเคยมี 16 เมือง แต่เมื่อมีการทำสัญญาระหว่างเจ้าอาณานิคมกับจีน ทำให้ 6 เมืองของชาวไท ตกอยู่เขตแดนของจีน ปัจจุบันเมืองสิบสองจุไท ประกอบ เมืองสอ เมืองไล เมืองแถง (เดียนเบียนฟู) เมืองม่วย เมืองลา เมืองมัวะ เมืองวาด เมืองสาง เมืองกวาย เมืองเติ๊ก เมืองลอ และเมืองถาน พื้นที่ของเมืองดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ ในทางภูมิศาสตร์ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับชายแดนจีน มีภูเขาสลับซับซ้อนที่แหล่งกำเนิดต้นน้ำสำคัญ คือ แม่นำแดง (ซงหง) และแม่น้ำดำ (ซงดง)  (หน้า 2-4)

Settlement Pattern

ชนเผ่าไท ในสิบสองจุไท จะมีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่ราบหุบเขาหรือบริเวณที่ราบลุ่มใกล้แม่น้ำ ลำธาร เป็นทำแลที่เหมาะแก่การเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทำนา และมีลำน้ำที่เพียงพอ มีการทำระบบชลประทานเพื่อหมุนเวียนน้ำในการทำนาตลอดทั้งปี รวมทั้งเพื่อใช้อุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน (หน้า 40) ฉะนั้น แหล่งที่อยู่อาศัยของชนเผ่าไท จะมีการตั้งบ้านเรือนเป็นชุมชนรอบ ๆ บริเวณที่นา และใกล้กับแหล่งน้ำ ลักษณะการสร้างบ้านเรือนของชนเผ่าไท จะนิยมสร้างเรือนยกพื้น เสาสูง หลังคาทรงจั่ว มุงกระเบื้อง ฝาไม้กระดาน มีระเบียงหน้าบ้าน ในบ้านจะมีการแบ่งโซน หรือบางกลุ่มจะปล่อยโล่ง (หน้า 11) แต่สำหรับเผ่าไท กลุ่มโบ๋อีและกลุ่มไซ๋ จะนิยมสร้างบ้านติดพื้น สร้างผนังดิน และใช้ไม้ไผ่ ซึ่งแนวการสร้างบ้านของทั้งสองกลุ่มนี้จะได้รับอิทธิพลจากจีน เช่น จะมีการสร้างรั้วบ้าน และกั้นห้องนอน (หน้า 20-21)

Demography

ข้อมูลทางประชากรของชนเผ่าไทในเวียดนาม พบว่า มีประชากรไทราว 3 ล้านคน โดยสามารถจำแนกตามกลุ่มที่มีอยู่ทั้งหมด 8 กลุ่ม ออกมาดังนี้ คือ
1.ไต่ (Tay) มีประชากรมากที่สุด 1,477,514 คน 
2. ถาย มีประชากร 1,328,725 คน
3. หนุ่ง (Nung) มีประชากร 825,412 คน
4. สานใจ มีประชากร 147,315 คน
5. ไซ๋ มีประชากร 49,098 คน
6. ลาว มีประชากร 11,611 คน
7. ลื้อ มีประชากร 4,964 คน
8. โบ๋อี มีประชากร 1,864 คน (หน้า 9)

Economy

สิบสองจุไท เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่ราบระหว่างช่องเขา เหมาะแก่การทำนา ฉะนั้นแหล่งทรัพยากรของชนเผ่าไทอาศัยและใช้ในการบริโภคอุปโภค คือ การทำนาข้าว การปลูกผักเพื่อใช้ในครัวเรือน การทำสวนไร่ข้าวโพด มัน ถั่ว ผักกาด พืชผักชนิดอื่น ๆ และมีการหาของป่า เช่น ล่าสัตว์ป่า เห็ด หน่อไม้ไผ่  อีกทั้ง มีการเลี้ยงปศุสัตว์ จำพวก วัว ควาย หมู ไก่ ทรัพยากรและผลผลิตเหล่านี้ จะมีการค้าขายแลกเปลี่ยนในตลาดของชุมชนและมีการส่งขายระหว่างเมืองใกล้เคียงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน มีรัฐบาลมีการส่งเสริมการทำการเกษตรแบบใหม่ เพื่อส่งออกตามตลาดในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตในระดับกว้าง เช่น ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น มีการสร้างบ้านเรือนทรงสมัยใหม่ (หน้า15-21)

Social Organization

ชนเผ่าไทในสิบสองจุไทนั้น ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีการจัดระบบการปกครองตนเองมาอย่างช้านาน โดยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมไท ที่ให้ความสำคัญในการจัดการดูแลผู้คน โดยเริ่มต้นจากการตั้งเป็นหมู่บ้านในระดับตระกูลหรือในกลุ่มเล็ก ๆ  ที่เรียกว่า  จัวเฮือนจัวด้ำ และจากนั้นจะมีการจัดแบ่งสรรพื้นที่ทำนา และพื้นที่ปลูกบ้านสร้างเรือน และมีผู้อาวุโสปกครอง เรียกว่า “ท้าว” เป็นหัวหน้าในการตัดสินใจ ดูแลความเรียบร้อยในด้านต่าง ๆ จึงมีอำนาจในการปกครอง จนกระทั่งพัฒนาการมาเป็นขุนศึก ผู้นำกองทัพทำหน้าที่ขยายดินแดน จึงเรียกว่า “ท้าวกินเมือง” อย่างไรก็ตาม ในสิบสองจุไท จะพบว่ามีการปกครองตามเมืองต่าง ๆ ภายใต้การปกครองของเท้าหรือเจ้าเมือง และมีการสืบทอดเชื้อสายหรืออำนาจตามประเพณีไปสู่ลูกชายคนโต โดยที่เจ้าเมือง มีหน้าที่ในการจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนและเคยเก็บส่วย พร้อมกับดูแลความสงบและภัยจากภายนอก ฉะนั้นพวกเจ้าเมืองและบรรดาเชื้อสายเจ้า จึงมีตำแหน่งในชั้นสูงกว่าชาวบ้านหรือที่เรียกว่า “ไพร่” คนเหล่านี้จะถูกเกณฑ์ให้ทำกิจกรรม ประเพณีของเจ้า เป็นลักษณะระบบความสัมพันธ์เชิงตอบแทน ภายใต้ระบบที่เรียกว่า ศักดินา ที่มีการแบ่งแยกลำดับชั้น หน้าที่ สิทธิ และศักดิ์ที่แตกต่างกัน  (หน้า 5-6)
 
ทั้งนี้ ในระดับหมู่บ้านและระบบความสัมพันธ์ในครัวเรือน จะพบว่า แต่ละหมู่บ้านจะมีหัวหน้าหมู่บ้าน อีกทั้งกรรมการที่คอยดูแลกิจการและกิจกรรมประเพณี คอยประสานงานระหว่างหมู่บ้านหรือกับเจ้าหน้าที่รัฐ และมีผู้นำพิธีกรรมทางศาสนา คือ พระหรือผู้ทำพิธี ซึ่งมีบทบาทในด้านศรัทธาและคำสอน รวมทั้งยังดูแลในการจัดระเบียบสังคม ซึ่งชาวบ้านมักรวมตัวทำกิจกรรมทางสังคม ในงานสำคัญ ๆ เช่น งานพิธีแต่งงาน การกำเนิดทารก วันไหว้ผีบรรพบุรุษหรือวันฉลองประจำปี โดยประเพณีสำคัญของชนเผ่าไท จะเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางพุทธศาสนา ผีบรรพบุรุษ ลัทธิเต๋า ลัทธิเจ้าแม่กวนอิม (หน้า 11-16) นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ในครัวเรือนชนเผ่าไท จะให้ความสัมพันธ์กับฝ่ายชาย เป็นผู้สืบสายสกุลหรือตระกูลและเป็นผู้สืบทอดมรดกอีกด้วย และที่สำคัญ แต่ละกลุ่มจะให้ความสำคัญกับผู้อาวุโส ซึ่งมีหน้าที่ในการตัดสินว่าในแต่ละปีจะเริ่มทำนา ไถนาวันไหน และผู้ชายจะมีหน้าที่ในการไถนา และผู้หญิงจะมีหน้าที่ดำนาและเกี่ยวข้าว (หน้า 16)

Political Organization

กลุ่มชาวไท ในสิบสองจุไท มีการจัดระบบความสัมพันธ์ทางการเมืองที่เรียกว่า ระบบศักดินา มีการรวมศูนย์อำนาจภายใต้เจ้าเมือง ผู้ปกครองเป็นเจ้าจากสายตระกูล ลอ และคำ (สิงลอ สิงคำ) จะมีการสืบทอดราชทายาทสู่ลูกชายคนโต มีเมืองและคุ้มเจ้าเมืองที่เป็นพื้นที่กลางในการบริหารปกครอง เจ้าเมืองมีอำนาจในการตัดสินชี้ขาด บริหาร เก็บส่วยจากผลผลิตในอาณาเขต รวมทั้งการเกณฑ์แรงงานและทำสงคราม ในขณะเดียวกันเจ้าเมืองยังมีอำนาจในการแจกจ่ายที่ทำกินหรือปัจจัย และอาหารต่าง ๆ เผ่าไทจึงมีการตั้งถิ่นฐานที่มั่นคง มีการเพาะปลูก ระบบชลประทานเพื่อการผลิต นอกจากนี้เจ้าเมืองยังต้องรักษาธำรงวัฒนธรรมประเพณี พิธีกรรมบ้านเมืองให้สืบทอดต่อไป ในงานพิธีกรรมต่าง ๆ จะเห็นถึงระบบความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหรือท้าวที่มีสถานะเหนือกว่าและชาวบ้านราษฎรทั่วไป ที่มีฐานะเรียกว่า “ไป่” (ไพร่หรือผู้น้อย) ที่มีฐานะต่ำกว่าผู้ท้าว (หน้า 6)
 
ส่วนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างเมือง จะมีการสร้างสัมพันธ์ผ่านการส่งส่วยกับเมืองที่มีอำนาจมากกว่า เพื่อแลกเปลี่ยนการคุ้มครองต่อกัน หรือที่เรียกว่า “ระบบอุปถัมภ์” และในระหว่างเจ้าเมืองต่าง  ๆ ของไท ความสัมพันธ์จะเป็น “เมืองสองฝ่ายฟ้า” จะมีการแต่งงานระหว่างกันเป็นการสร้างเครือข่ายเชิงอำนาจ ระหว่างเมืองเล็กกับเมืองที่ใหญ่กว่า (หน้า 7) ทั้งนี้จะพบว่า เมืองของเผ่าไท ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นแคว้นหรือรัฐที่ใหญ่ได้ เนื่องจากมีนิเวศที่แวดล้อมตัวเทือกเขาสลับซับซ้อน จึงยากแก่การพัฒนาไปสู่รัฐที่มั่นคงได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางด้านการปกครองในเมืองชนเผ่าไท เกิดขึ้นเมื่อฝรั่งเศส เข้ามาจัดการกับพื้นที่และผู้คน โดยแบ่งเมืองสิบสองจุไท ออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นเซินลา และ ส่วนที่เป็นไลเจิว แต่การปกครองยังอยู่ภายใต้เจ้าเมืองหรือท้าว แต่จะขึ้นอยู่ภายใต้ข้าหลวงฝรั่งเศสอีกทอดหนึ่ง แต่ทั้งนี้ฝรั่งเศสพยายามลดบทบาทอำนาจของเจ้าเมือง โดยการกระจายอำนาจหน้าที่ไปอยู่ศูนย์กลาง คือ เมืองไล ซึ่งเจ้าเมืองไล อยู่ใต้อำนาจฝรั่งเศสเพื่อชี้ขาดในกิจการการเมือง (หน้า 83-86)
 
ต่อมาในช่วงการเปิดสงครามของเวียดมินห์และพรรคคอมมิวนิสต์ในการต่อต้านฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสได้ใช้พื้นที่เมืองไท เป็นศูนย์บัญชาการในทางภาคเหนือ สงครามต่อต้านเกิดอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดฝรั่งเศสได้จัดตั้งเมืองไท เป็นสหพันธรัฐไท ในปี ค.ศ. 1948 สหพันธรัฐไทที่ใช้ธงชาติฝรั่งเศสอยู่ตรงกลาง และให้ชาวเมืองไทเป็นเจ้าแผ่นดิน การตั้งสหพันธรัฐไทเป็นกังวลต่อฝ่ายเวียดนามที่นำโดยโฮจิมินห์ เพราะเกรงว่าหากมีการแยกรัฐเอกราชของชนเผ่าไท อาจจะส่งผลให้กลุ่มเผ่าอื่นต้องการแยกเอกราชด้วย นอกจากนี้เจ้าแผ่นดินเมืองไล ที่ชื่อ “แดววันลอง” (ไทขาว) กลับสร้างความไม่พอใจต่อชนเผ่าไทและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ เนื่องจากมีนิสัยของใช้อำนาจข่มขี่ข่มแหง และต้องการรวบอำนาจและเน้นผลประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป จนเกิดความขัดแย้งกับเจ้าเมืองแถง (ไทดำ) หรือ เมืองเดียนเบียนฟู คือ “ลอวันฮัก” โดยเฉพาะการใช้อำนาจของแดววันลองในการยึดอำนาจลอวันฮักและให้ลูกชายตนเองขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองแทน ด้วยเหตุนี้ทำให้ลอวันฮัก จึงหนีเข้าไปเข้าร่วมกับเวียดมินห์ จนถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศชาวไท

และในปี ค.ศ. 1953 เดียนเบียนฟู ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเวียดมินห์ ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ายึดครอง จะเห็นได้ว่ากลุ่มเผ่าไทดำได้เข้าร่วมกับเวียดมินห์ และกลุ่มไทขาว ได้เข้าร่วมกับฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามพื้นที่ เดียนเบียนฟู เป็นพื้นที่ของชนเผ่าไทดำ ความขัดแย้งระหว่างไทดำ ไทขาว ทำให้ฝรั่งเศสกังวลใจ เนื่องจากด้วยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ไทดำถือว่ามีความเชี่ยวชาญกว่าไทขาวที่อยู่ต่างเมือง อย่างไรก็ตามพื้นที่ส่วนใหญ่ของชนเผ่าไทยังอยู่ภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศส ทั้งนี้เมื่อเกิดสงครามระหว่างฝรั่งเศสและกลุ่มเวียดมินห์ ชนเผ่าไทในพื้นที่ได้ถูกเกณฑ์เป็นทหารรับจ้างเข้าร่วมในสงครามของทั้งสองฝ่าย โดยถูกใช้ให้เป็นกองหน้า กองเสบียง เนื่องจากเผ่าไทมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่และมีความว่องไว คล่องตัวในการจู่โจมและซุ่มโจมตีมีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดีกว่ากองทหารของฝรั่งเศสและเวียดมินห์ (หน้า 86-89)

Belief System

โดยส่วนใหญ่ของชนเผ่าไททั้ง 8 กลุ่ม มีความเชื่อและศาสนา ที่ผสมผสานระหว่างพุทธศาสนา ลัทธิขงจื้อ เต๋า บรรพบุรุษ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งภูตผีวิญญาณที่อยู่ในป่า เขา ลำน้ำและไฟ ความเชื่อและศรัทธาเหล่านี้จะพบจากประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีไหว้ผีบรรพบุรุษประจำปี  มีการบวงสรวงเซ่นไหว้ สัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น กลุ่ม กรณีกลุ่มไซ๋ โบ๋อี จะจัดทำโต๊ะเครื่องบูชาให้บรรพบุรุษในใจกลางบ้าน แต่สำหรับกลุ่มไทขาว ไทดำ ไทแดง นั้นยังนับถือเฉพาะผีบรรพบุรุษ และโลกทัศน์เกี่ยวกับผีดีและการผิดผี ซึ่งความเชื่อในเรื่องผิดผี ได้มีบทบาทสำคัญในการจัดระเบียบทางสังคมและจัดความสัมพันธ์ในชุมชน ดังที่กลุ่มไทเหล่านี้มีความเชื่อเรื่องผิดผี ที่เชื่อว่า หากผู้ใดกระทำผิดผีก็ส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสังคม ด้วยเหตุนี้ โลกทัศน์เรื่องผีจึงมีการถ่ายทอดและถูกแนะนำให้ปฏิบัติต่อ ๆ กัน จนกลายเป็นแบบแผนหรือกฎหมายในการดำเนินชีวิต (หน้า 30)

Education and Socialization

การส่งผ่านความรู้ โลกทัศน์ของชนเผ่าไทนั้น พบว่า มีการส่งผ่านหรือการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม เช่น กลุ่มไทดำ อาศัยความเชื่อเรื่องผีหรือผิดผี ในการกำหนดแบบแผนและการเรียนรู้ ผ่านผีดี ผีไม่ดี หรือในกลุ่มอื่น ๆ จะมีถ่ายทอดมารยาทหรือแบบแผนในการดำเนินชีวิตที่ดีผ่านประเพณี กิจกรรมในพิธีกรรมต่าง ๆ รวมทั้งคำทำนายทายทัก ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดแบบแผนชีวิตและความดี ความชั่ว นอกจากนี้ในระดับการถ่ายทอดความรู้เพื่อปฏิบัตินั้น จะพบว่าในแต่ละชุมชนจะมีกิจกรรม เช่น การทอผ้า การทำอาหาร การตีเหล็ก การทำเครื่องประดับ การประดิษฐ์เครื่องมือจักสาน การสร้างบ้าน งานไม้ การผลิตกระดาษ การทำกระเบื้อง หรือแม้แต่การทำนา ดำนา และการเพาะปลูกต่าง ๆ วิถีและกิจกรรมเหล่านี้ จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการขัดเกลาทางสังคมและเป็นการถ่ายทอดผ่านชีวิตประจำวันบนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่กับลูกหลานในสังคม เช่น การให้ลูกหลานเข้าร่วมช่วยเหลือกันสร้างบ้าน ทำนา ทอผ้า หรือร่วมในกิจกรรมบวงสรวง ฯลฯ (หน้า 12)

Health and Medicine

ไม่มี

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในงานชิ้นนี้ มีการระบุถึงลักษณะการแต่งกายของชนเผ่าไทในแต่ละกลุ่ม โดยสามารถแยกออกเป็น ดังนี้ คือ
 
1. กลุ่มไต่ ผู้ชายจะมีการแต่งกายที่คลายคลึงกับชาวเวียดนาม แต่ผู้หญิงจะสวมใส่กางเกงสีดำ สวมเสื้อกระบอกสีดำยาวถึงแขน มีผ้าโพกศีรษะ ขอบผ้าปักด้วยสีฟ้า มีกระดุมติดด้านข้างคล้ายเสื้อจีน และรัดเอวด้วยผ้าสีเขียวและสีแดง ส่วนในด้านหัตถกรรมจะมีการทอผ้าและการทำเครื่องประดับแบบดั้งเดิม
 
2. กลุ่มหนุ่ง การแต่งกายทั้งชายและหญิงจะนิยมสวมเสื้อผ้าเรียบ ๆ สีดำ หรือสีครามที่เป็นผ้าฝ้ายหยาบ ผู้ชายจะสวมเสื้อตัวนอกคอปกติดกระดุมผ่ากลางเป็นแถบยาว ส่วนผู้หญิงจะสวมเสื้อชั้นนอกตัวยาวลงมาคลุมใต้สะโพกและติดกระดุมยาวถึงรักแร้ ในด้านงานฝีมือ จะนิยมการทอผ้า ทำเครื่องจักสาน การหล่อโลหะ งานไม้ ผลิตกระดาษและผลิตกระเบื้องมุงหลังคา
 
3. กลุ่มสานใจ ผู้หญิงและชายจะนิยมสวมเสื้อผ้าที่มีสีคราม และสวมหมวกสีเข้ม มีผ้าคาดเอวที่ผูกไว้ด้านหน้าปล่อยยาวถึงเข่า แต่ในวาระงานสำคัญ พิธีงานบุญต่าง ๆ ชาวสานใจ จะนิยมสวมชุดใหม่ ที่เป็นผ้าไหมพร้อมกับการตกแต่งเพิ่มสีสัน นอกจากนี้สำหรับผู้ชายยังนิยมสวมเสื้อกล้ามหรือเสื้อเชิ้ต นอกจากนี้ กลุ่มสานใจยังมีความเชี่ยวชาญในด้านการทำเครื่องจักรสาน งานไม้ และงานตีเหล็ก มีการส่งขายไปยังพื้นที่ตลาดอื่น ๆ อีกด้วย
 
4. กลุ่มโบ๋อี จัดว่าเป็นกลุ่มที่มีการแต่งกายด้วยสีสัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง ที่นิยมใช้เครื่องประดับด้วยเงิน เช่น ต่างหู สร้อยคอ กำไล สำหรับกลุ่มผู้ชายจะสวมเครื่องประดับที่น้อยกว่ากลุ่มผู้หญิงเล็กน้อย แต่จะมีการแต่งกายเป็นพิเศษในงานสำคัญ เช่น งานแต่งงาน งานบวงสรวง ทั้งชายหญิงจะนำชุดตามประเพณี ที่มีผ้าหลากหลายสี สวมหมวกทรงสูง กลุ่มนี้จะมีความสามารถในการทำเครื่องอัญมณี เกาะสลักหิน ทำเครื่องปั้นดินเผา ผู้หญิงจะมีความสามรถในการทอผ้า เย็บและย้อมผ้า 
 
5. กลุ่มไซ๋ จะสวมเสื้อคอป้ายติดกระดุมและมีขอบแขนขลิบด้วยผ้าสีอื่นตัดกัน เช่น เสื้อสีชมพูจะตัดขอบด้วยสีเขียว จะมีการสวมหมวกด้วยผ้าไหมพรมลาย นอกจากนี้การสวมเสื้อผ้ายังบ่งบอกสถานภาพ เช่น ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะสวมเสื้อที่สั้นกว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว
 
6. กลุ่มถาย จะแบ่งย่อยออกเป็น ไทดำ ไทขาว ไทแดง คือ “ไทดำ” จะนิยมสวมเสื้อสีดำ และจะจำแนกได้ง่ายด้วยการสังเกตจากกลุ่มสตรี คือ การสวมเสื้อสีดำและผ้าซิ่นสีดำ หรือสีน้ำเงินเข้ม โดยเฉพาะในพิธีกรรมทั้งชายหญิงจะสวมเสื้อผ้าสีดำ กลุ่มนี้จะเชี่ยวชาญในงานจักรสานไผ่ หวาย ทอผ้า  “ไทขาว” การแต่งกายตามชุดประเพณีจะสังเกตได้จากกลุ่มผู้หญิง ที่นิยมสวมเสื้อสีขาว คอวีมีขลิบดำ ติดกระดุมผ่ากลางยาวถึงเอว และคาดเอวด้วยผ้าสีแดง และสวมกระโปรงซิ่นสีดำหรือสีครามเข้ม และในวันที่มีพิธีกรรมจะมีการสวมเสื้อคลุมสีดำ เรียกว่า “เสื้อฮี” กลุ่มนี้จะได้รับอิทธิพล วัฒนธรรมจากจีนเป็นส่วนใหญ่   “ไทแดง” จะนิยมสวมเสื้อสีแดงขลิบและตกแต่งเสื้อผ้า ผ้าซิ่นจะมีลวดลายสลับสีสัน ขอบซิ่นจะปักด้วยสีแดงและสีผ้าบริเวณเอวจะเป็นสีแดง ฉะนั้นการแต่งกายของชนเผ่าไท ในตระกูลที่พูดภาษาถาย จะเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่สามารถจำแนกแยกแยะระหว่างกลุ่ม
 
7. กลุ่มหลาว หรือลาว จะสวมชุดแต่งกายคล้าย ๆ ชาวลาว นิยมสวมผ้าซิ่นที่มีลวดหลายสวยงามที่แตกต่างกัน และมีความเชี่ยวชาญในด้านการทอผ้า ตีเหล็ก เป็นช่างไม้ ชนเผ่าลาวยังนิยมขับร้องหมอลำ ฟ้อนรำ และมีวรรณกรรมมากมายที่เขียนบนใบลาน
 
8. ลื้อ กรณีชาวลื้อ ผู้หญิงจะสวมเสื้อตัวสั้นผ่าข้างหน้า และมีการเติมแต่งด้วยเครื่องประดับทำจากเงิน พร้อมกับกระโปรงที่มีการปักด้วยลวดลายสีสัน สำหรับผู้ชายจะสวมกางเกงขายาวที่เย็บปักลวดลายเช่นกัน และสวมใส่เครื่องประดับเช่น สร้อยคอ กำไลข้อมือ นอกจากนี้ จะมีการไว้ผมยาว มีการสักตามร่างกาย ยังมีการเจาะหู ย้อมฟันให้เป็นสีดำ ส่วนในด้านการฝีมือ จะเชี่ยวชาญในด้านการปักผ้า ทอผ้า (หน้า 10-39)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และการธำรงชาติพันธุ์ของชาวเผ่าไท ในงานชิ้นนี้ได้ระบุถึงผลจากการที่ชาวเผ่าไทต้องอพยพย้ายถิ่นหลังจากชัยชนะของฝ่ายเวียดนามเหนือฝรั่งเศส ชาวไทส่วนหนึ่งได้เข้ามาในประเทศไทย เพื่อลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกา และทางการสหรัฐอนุญาตให้มีการตั้งชุมชนเผ่าไท ประมาณ 200 หลังคาเรือน มีโรงเรียนและสามารถทำงาน ปรับตัวเข้ากับสังคมอเมริกัน อย่างไรก็ตามในงานได้ระบุถึงการพยายามรักษาอัตลักษณ์ของเผ่าไท โดยเฉพาะตัวอย่างของการพยายามรวมตัวกันเป็นชุมชน มีการจัดทำกิจกรรมประจำปี และมีการสืบสานถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณี ผ่านบทเพลง การฟ้อนรำ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้อยู่ภายใต้การทำงานร่วมระหว่างชุมชนกับรัฐ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการธำรงอัตลักษณ์ของเผ่าไทในเอเมริกา กรณีนี้ให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น กลุ่มไทดำในรัฐไอโอวา มีโครงการสร้างหมู่บ้านคนไท ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสืบสานประเพณีและจัดกิจกรรมของคนเผ่าไท ดังนี้
 
1. การนำเสนอผ่านการสร้างซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นแนวคิดจากความเชื่อเดิมในเมืองเผ่าไทในสิบสองจุไท
2. การสร้างอาคาร สำนักงาน พิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก ห้องสมุด หนังสือภาษา วรรณกรรม และงานประจำปีที่แสดงการฟ้อนรำ ทำเพลง อาหารเป็นต้น
3. ในพื้นที่หมู่บ้านเผ่าไทดำ ยังมีการจำลองวิธีการทำนา เลี้ยงสัตว์ และจัดนิทรรศการปลูกข้าว งานแสดงดอกไม้เอเชีย
4. ชนเผ่าไทในอเมริกา ยังมีการรวมกลุ่มเพื่อระดมทุนจากเผ่าไททั่วโลก เพื่อพัฒนากิจกรรม ความรู้ และการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวกับชนเผ่าไท สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งการธำรงรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ เกิดการสานสัมพันธ์กันในกลุ่มที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกให้เกิดความแน่นเฟ้นมากขึ้น ซึ่งแนวทางหนึ่งของการรักษาอัตลักษณ์ของชนเผ่าไท (หน้า 109-112)

Social Cultural and Identity Change

การเข้ามาของอาณานิคมฝรั่งเศส มีผลกระทบต่อพื้นที่และผู้คนชนเผ่าไทอยู่มาก ในช่วงแรก ในปี ค.ศ. 1936 ฝรั่งเศสได้เข้าจัดระเบียบการปกครองใหม่ให้เป็นระบบเดียวกันกับที่ใช้กับการปกครองชาวเวียดนาม และบังคับให้ชนเผ่าไทเรียนหนังสือที่เป็นภาษาเวียดนามในโรงเรียน เพื่อง่ายต่อการปกครองของฝรั่งเศส และยังมีการแต่งตั้งผู้ปกครองที่เป็นชาวเวียดนามเข้ามาทำหน้าที่บริหารกิจการบ้านเมืองในเมืองไท สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเบื้องแรกของการเปลี่ยนแปลงต่อความเป็นชาติพันธุ์เผ่าไท โดยเฉพาะการเปลี่ยนการปกครองตามวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงภาษาของชนไท (หน้า 84)
 
แต่การเปลี่ยนแปลงที่มีต่อสังคม วัฒนธรรมของเผ่าไท เกิดขึ้นได้ชัดในช่วงที่ฝ่ายเวียดนามสามารถขับไล่ฝรั่งเศสและจัดตั้งระบบการปกครองใหม่ ทำให้ชนเผ่าไทต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อแลกกับการดำรงอยู่ของชีวิตของตนและลูกหลาน อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนในเบื้องต้น เกิดขึ้นด้วยการที่รัฐบาลเวียดนามเข้ามาบริหารจัดการปกครองใหม่และยุบระบบการปกครองแบบศักดินาเดิมของเผ่าไท และจัดการแบ่งสรรพื้นที่ปกครองใหม่ โดยแบ่งเป็น 2 เขต คือ เซินลา และไลเจิว ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางและมีการบริหารงานและตำแหน่งข้าราชการเป็นแบบเวียดนามทั้งหมด นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามได้เข้ามาบริหารจัดการทางด้านเศรษฐกิจ เปลี่ยนจากแบบเดิมที่เน้นการทำนา ส่งส่วยให้เจ้าเมืองมาสู่การจัดสรรพื้นที่ทำกินโดยรัฐเป็นเจ้าของ และชาวไทเช่าที่ได้ในสัดส่วนของจำนวนสมาชิกในครอบครัว มีการนำระบบสหกรณ์หรือคอมมูนลงในหมู่บ้านเพื่อนำผลผลิตในหมู่บ้านเข้าสู่รัฐ
 
ทั้งนี้ เกิดการเพาะปลูกพืชที่อิงกับการตลาดภายในประเทศและความต้องการของตลาดโลก แต่ปัจจุบันรัฐบาลได้ผ่อนพันให้ชาวบ้านสามารถซื้อที่ดินเป็นของตนเองได้ แต่เป็นเฉพาะใช้สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยเท่านั้น (หน้า 16-17) สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม เกิดขึ้นจากการอพยพเข้ามาของชาวเวียดนามในพื้นที่เผ่าไท ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของประชาชน สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างชาวเวียดนามกับเผ่าไท โดยเฉพาะทางด้านการแต่งกาย คนไทเริ่มรับเอาวัฒนธรรมบางอย่างที่คนเวียดนามนำเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การใส่หมวกงอบแบบชาวเวียดนาม หรือ เมนูอาหารจากชาวเวียดนาม อย่างไรก็ตาม คนไทยังคงรักษาวัฒนธรรมของตนเอง เช่น รูปแบบการสร้างบ้านเรือน กระนั้นก็มีชาวไทที่นำวิธีการปลูกบ้านติดพื้นแบบเวียดนามมาใช้
 
นอกจากนี้ ในด้านภาษา ชาวไทได้ภาษาเวียดนามมาใช้พูดในชีวิตประจำวันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อพื้นที่เดียนเบียนฟู เกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลเวียดนามได้ส่งเสริมพื้นที่ให้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวและประวัติศาสตร์การสู้รบที่มีชัยชนะเหนือฝรั่งเศสของชาวเวียดนาม และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 การเปลี่ยนสถานะเมืองเดียนเบียนฟูให้เป็นเพียงจังหวัด รัฐบาลได้นำโครงการพัฒนาหลายด้าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดนเฉพาะในการงานบริการที่มากับธุรกิจการท่องเที่ยว การทำป่าไม้ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม และผลิตภัณฑ์งานฝีมือ จากการส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ปรากฏพบว่า มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่หนึ่งแสนกว่าคนต่อปี การพัฒนาที่รวดเร็วได้เปลี่ยนแปลงในเชิงที่ มีประชาชนชาวเวียดนามจากพื้นที่อื่นเข้ามาปักหลักสร้างบ้าน สร้างธุรกิจ และมีการสร้างถนนหนทางที่รองรับจำนวนการจราจรที่มากขึ้น ทำให้พบว่ามีการขยายของตัวเมืองอย่างรวดเร็ว ทำให้คนเผ่าไทจำนวนมากเข้ามาทำงานในเมืองมากขึ้น การทำนาที่เป็นอาชีพดั้งเดิมเริ่มลดน้อยลง ฉะนั้นในงานชิ้นนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านการสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของชนเผ่าไทได้ในระดับหนึ่ง (หน้า 118-122)

Critic Issues

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนภูมิ
แผนภูมิแสดงจำนวนประชากรของชนเผ่าไท (หน้า 9)
 
รูปภาพ
ภาพที่ 1 แผนที่บริเวณสิบสองจุไทอยู่ในพื้นที่จังหวัด ไลเจิว เซินลา เอียนบ๋ายและบางส่วนในจังหวัดหล่าวกาย (หน้า 3)
ภาพที่ 2 การทำนาบริเวณที่ราบหุบเขาของชาวไท (หน้า 4)
ภาพที่ 3 การทอผ้าของชาวไต่ (หน้า 11)
ภาพที่ 4 การแต่งกายของสตรีชาวหนุ่ง (หน้า 12)
ภาพที่ 5 การทอผ้าของหญิงชาวหนุ่ง (หน้า 13)
ภาพที่ 6 การแต่งกายของหญิงสาวชาวสานใจ (หน้า 15)
ภาพที่ 7 การแต่งกายที่ใช้ในพิธีกรรมของชาวสานใจ (หน้า 16)
ภาพที่ 8 พิธีฌาปนกิจศพของชาวสานใจ (หน้า 17)
ภาพที่ 9 สตรีชาวโบ๋อี (หน้า 18)
ภาพที่ 10 บ้านของชาวโบ๋อี (หน้า 19)
ภาพที่ 11 หิ้งบูชาบรรพบุรุษชาวโบ๋อี (หน้า 20)
ภาพที่ 12 สตรีชาวไซ๋ (หน้า 22)
ภาพที่ 13 การแต่งกายของชายไซ๋ (หน้า 22)
ภาพที่ 14 ตัวอย่างอักษรหางหนู (หน้า 25)
ภาพที่ 15 การแต่งกายของสตรีชาวไทดำ (หน้า 27)
ภาพที่ 16 รูปแบบภายในบ้านของชาวไทดำ (หน้า 28)
ภาพที่ 17 บ้านชาวไทดำ (หน้า 29)
ภาพที่ 18 สตรีชาวไทขาว (หน้า 31)
ภาพที่ 19 การตั้งถิ่นฐานของชาวลาว (หน้า 34)
ภาพที่ 20 การทอผ้าของสตรีชาวลาว (หน้า 35)
ภาพที่ 21 ลวดลายผ้าของชาวลาว (หน้า 36)
ภาพที่ 22 การเล่นดนตรีในงานเทศกาล (หน้า 37)
ภาพที่ 23 การแต่งกายของสตรีลื้อ (หน้า 38)
ภาพที่ 24 ภาพความอดยากของประชาชนชาวเวียดนามในค.ศ. 1945 (หน้า 43)
ภาพที่ 25 ประชาชนจำนวนมากเสียชีวิตจากการขาดแคลนอาหาร (หน้า 51)
ภาพที่ 26 นายพลอองรี นาวาร์ คนสวมหมวกกำลังดูรายงานแผนการของพลร่มในการเข้ายึดครองพื้นที่เดียนเบียนฟู (หน้า 60)
ภาพที่ 27 นายพล เหวอ เงเวียน ซ๊าป ผู้บัญชาการรบแห่งกองกำลังเวียดมินห์ (หน้า 61)
ภาพที่ 28 ปฏิบัติการของพลร่มฝรั่งเศสในการยึดครองเมืองเดียนเบียนฟู (หน้า 63)
ภาพที่ 29 บริเวณที่ราบเมืองเดียนเบียนฟู (หน้า 65)
ภาพที่ 30 พันเอกปิโรต์ ผู้บังคับการทหารปืนใหญ่ (หน้า 66)
ภาพที่ 31 การใช้แรงงานขนส่งสิ่งของไปยังแนวหน้า (หน้า 67)
ภาพที่ 32 ชนกลุ่มน้อยช่วยการขนส่งทางน้ำ (หน้า 68)
ภาพที่ 33 การใช้แรงงานจากสัตว์ช่วยขนส่งสิ่งของ (หน้า 69)
ภาพที่ 34 การบุกโจมตีป้อมเอลิอาน 2 หรือ A1 โดยการขุดอุโมงค์และใช้ระเบิดเปิดทาง (หน้า 72)
ภาพที่ 35 สภาพเครื่องบินของฝ่ายฝรั่งเศสที่ถูกเวียดมินส์ยิงทำลาย (หน้า 73)
ภาพที่ 36 แผนที่ปฏิบัติการบุกโจมตีฝรั่งเศสที่ศึกเดียนเบียนฟู (หน้า 74)
ภาพที่ 37 กลุ่มทหารชาวไทที่รอดชีวิตเดินทางจากเมืองไลเจิวมายังเดียนเบียนฟู (หน้า 92)
ภาพที่ 38 สตรีชาวไททำหน้าที่เป็นแรงงานขนส่งเสบียง (หน้า 99)
ภาพที่ 39 บทบาทชนเผ่าไทในด้านการใช้แรงงานช่วยขนส่งยุทธปัจจัย (หน้า 100)
ภาพที่ 40 หญิงสาวไทกำลังฟ้อนรำในการเฉลิมฉลองชัยชนะศึกเดียนเบียนฟู (หน้า 101)
ภาพที่ 41 สตรีชาวไทดำภายในกองกำลังเวียดมินห์กำลังดูแลทหารยามพักรบ (หน้า 102)
ภาพที่ 42 การเฉลิมฉลองเนื่องในวันปีใหม่ของชาวไทดำในรัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา (หน้า 111)
ภาพที่ 43 หญิงสาวชาวไทดำในตลาดเช้าใจกลางเมืองเดียนเบียนฟู (หน้า 120)
ภาพที่ 44 ภาพแม่ค้าชาวเวียดนามในตลาดเช้าใจกลางเมืองเดียนเบียนฟู (หน้า 121)
ภาพที่ 45 อนุสาวรีย์ครบรอบ 50 ปี ศึกเดียนเบียนฟูเป็นรูปทหารอุ้มเด็กชนกลุ่มน้อยเผ่าไท (หน้า 123)
ภาพที่ 46 รูปปั้นหญิงสาวชาวเวียดนาม หญิงสาวชาวไทและเยาวชนแสดงถึงความร่วมมือร่วมใจ (หน้า 124)
ภาพที่ 47 ภาพชนเผ่าไทที่ช่วยขนส่งสัมภาระช่วยทหารเวียดมินห์ในศึกเดียนเบียนฟู (หน้า 125)
ภาพที่ 48 รูปปั้นจำลองบทบาทชนเผ่าไทในการลำเลียงยุทธปัจจัย (หน้า 125)

Text Analyst อัสรี มาหะมะ Date of Report 15 ม.ค. 2564
TAG ชนเผ่าไท, ศึกเดียนเบียนฟู, เวียดนาม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง