|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทเขิน,การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม,เชียงใหม่,ภาคเหนือ,ประเทศไทย,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
Author |
อิสราภรณ์ พัฒนวรรณ |
Title |
กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวไทเขินในชุมชนนันทาราม ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทขึน ไตขึน ขึน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เลขเรียกหนังสือ ว/ภน 303.49536 อ387ก
ระบบฐานข้อมูลCMU Intellectual Repositoryมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
[เอกสารฉบับเต็ม]
ศูนย์ข้อมูลการวิจัย Digital “วช” URL: http://dric.nrct.go.th/Search/SearchDetail/218248 |
Total Pages |
149 |
Year |
2552 |
Source |
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ภูมิภาคศึกษา) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. |
Abstract |
การศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวไทเขิน กรณีศึกษาบ้านนันทาราม ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ มุ่งเน้นการอธิบายถึงผลของการปรับตัวจากการเป็นพลเมืองของเชียงใหม่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การอพยพเข้ามายังเชียงใหม่จากเมืองเชียงตุง ประเทศพม่าในปี พ.ศ. 2350 ในช่วงเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง เพื่อฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้ากาวิละ โดยเข้ามาในฐานะของ “เจ้านอกเมือง” ที่ไม่ใช่เชลยศึก อันสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายของเจ้าเมืองเชียงใหม่ที่ปกครองแบบผสมกลมกลืน เรื่อยมาจนถึงยุคสมัยที่เชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยาม และนโยบายหลังจากการผนวกเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติสยาม จนกระทั่ง พ.ศ. 2551
การศึกษาพบความเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ ชาวไทเขินต้องปรับตัวภายใต้กรอบของการเป็นพลเมืองของรัฐชาติและระบบเศรษฐกิจหลังทุนนิยม ในลักษณะการผสมกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรมโดยมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากการปฏิรูปการปกครอง ระบบทุนนิยม ระบบการศึกษาของรัฐ และนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของรัฐ
ทั้งนี้ พบว่ามีการปรับตัวในระดับแรก คือ การยอมรับวัฒนธรรมการแต่งกายล้านนา การใช้ภาษาคำเมือง (ภาษาไทยถิ่นเหนือ) แทนภาษาไทเขิน และในระดับที่สอง คือ การปรับตัวไปพร้อมกับชาวพื้นเมืองเชียงใหม่ในช่วงสยามผนวกล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติ ท้ายที่สุดมีการผสมกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวไทเขินกับคนในเชียงใหม่ คนในภาคกลาง ความเป็นไทยที่รัฐเป็นผู้กำหนดขึ้น และวัฒนธรรมตะวันตก
อย่างไรก็ดี ชาวไทเขินยังคงมีความพยายามในการรักษาอัตลักษณ์งานหัตถกรรม “เครื่องเขิน” และ “น้ำหนัง” ซึ่งเป็นอาหารที่ยึดถือการสืบทอดร่วมกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยมี “วัดนันทาราม” เป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม |
|
Focus |
งานวิจัยมุ่งเน้นการอธิบายความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวไทเขินบ้านนันทาราม ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยการศึกษาผลกระทบจากการย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของเชียงใหม่และรัฐไทย ทั้งนโยบายของเจ้าเมืองเชียงใหม่ที่ปกครองแบบผสมกลมกลืนในยุคสมัยที่เชียงใหม่เป็นประเทศราชของสยาม และนโยบายหลังจากการผนวกเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติสยาม โดยชาวไทเขินต้องปรับตัวภายใต้กรอบของการเป็นพลเมืองของรัฐชาติและระบบเศรษฐกิจหลังทุนนิยม รวมทั้งการธำรงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในปัจจุบัน |
|
Theoretical Issues |
ผู้วิจัยกำหนดกรอบแนวคิดในการศึกษาโดยการมอง “วัฒนธรรมไทเขิน” ในมิติของ “การเปลี่ยนแปลง” ทางวัฒนธรรมด้วย “การผสมกลมกลืน” โดยยังคงรักษา “อัตลักษณ์” ทางวัฒนธรรมบางประการ ผ่านการใช้แนวทางการศึกษากระบวนการผสมกลมกลืนของ Park, R. E. (อ้างถึงใน สุมน อยู่ลิน, 2527) ซึ่งแบ่งกระบวนเป็น 4 ขั้นตอนที่ความสัมพันธ์กัน คือ การติดต่อ การแข่งขัน การปรับตัว และการผสมกลมกลืน (น. 9-10) โดยใช้มุมมอง อ้างถึง สุเทพ สุนทรเภสัช (2515), ผ่องพันธุ์ มณีรัตน์ (2521) และเสาวนีย์ จิตหมวด (2531) ว่าการผสมผสานทางวัฒนธรรมมีลักษณะที่เป็นกระบวนการสองทาง (two way process) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายทอดลักษณะเด่นทางวัฒนธรรม แต่เป็นกระบวนการสังสรรค์ของกลุ่มคนต่างวัฒนธรรม ก่อให้เกิดการรับหรือยืมวัฒนธรรมต่างกลุ่มโดยอาจเป็นที่ยอมรับและรวมเข้ากับอีกวัฒนธรรมได้โดยสมบูรณ์โดยมักจะใช้ระยะเวลานาน ซึ่งโดยปกติชนกลุ่มน้อยมักมีแนวโน้มในการรับวัฒนธรรมของชนกลุ่มใหญ่ซึ่งเป็นวัฒนธรรมโดยรวมของชนในชาติ (น. 7-9)
งานวิจัยพยายามอธิบายความเปลี่ยนแปลงของชุมชนไทเขิน อ้างถึง ชยันต์ วรรธนะภูติ (2536) โดยพิจารณาในมิติประวัติศาสตร์ชุมชน ทรัพยากรและระบบการผลิต อำนาจและความสัมพันธ์ทางสังคม ความขัดแย้งและการคลี่คลายความขัดแย้งทางชุมชน รวมทั้งปัจจัยภายในและภายนอกชุมชน (น. 12-13) แต่ยังคงให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ของความเป็นชาวไทเขินที่แยกออกจากกลุ่มคนอื่น ซึ่งสัมพันธ์กับงานศึกษาของสุเทพ สุนทรเภสัช (2548) ที่อธิบายอัตลักษณ์ความเป็นคนเมืองของชาวไทยภาคเหนือที่มีการแบ่งแยกออกจากความไม่ใช่คนเมืองด้วยการให้ความสำคัญกับความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ภาษา และวัฒนธรรม อีกทั้ง งานวิจัยยังมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐ ซึ่งสัมพันธ์กับงานศึกษาความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เช่น งานของเข้ม มฤคพิทักษ์ (2530) ซึ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลงระบบการเกษตรสู่การค้าจากการปฏิรูปการปกครอง งานของไข่มุก อุทยาวลี (2537) ซึ่งอธิบายความเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาจากระบบจารีตภายในวัดสู่ระบบโรงเรียนของรัฐ (น. 23-26)
งานศึกษาวิจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชาวไทเขินมีจำนวนไม่มากนัก ส่วนมากมุ่งเน้นการศึกษาเครื่องเขินในฐานะวัตถุทางวัฒนธรรมซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ มีการรวบรวมข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับชาวไทเขินบ้านนันทารามในงานของ บุญศรี สุทธิมา (2547) และมีการกล่าวถึงความสำคัญของเครื่องเขินในฐานะของเครื่องบรรณาการสำหรับเจ้านายเชียงใหม่และเชียงตุง ในงานของลักขณา ปันวิชัย และศิริศักดิ์ คุ้มรักษา (2540) รวมทั้งกล่าวถึงเครื่องเขินในฐานะของเครื่องใช้ในวัด คุ้ม และบ้านในงานของ สมโชติ อ๋องสกุล (2546) (น. 16-17) ส่วนงานที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินนั้นมีการกล่าวถึงในทิศทางเดียวกันว่ามีถิ่นฐานเดิมในพื้นที่เชียงตุงหรือเขตสหรัฐไทใหญ่ มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับชาวไทใหญ่ โดยมีความสัมพันธ์กับการเป็นกลุ่มคนตระกูลเดียวกับไทลื้อ (น. 17-18) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาวไทเขิน หมายถึง กลุ่มคนไทที่อยู่ในเมืองเชียงตุงของพม่าที่ถูกเกลี้ยกล่อมให้มาตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านนันทาราม เชียงใหม่ ในสมัยของพระเจ้ากาวิละ พ.ศ. 2350 และรวมถึงผู้ที่เกิดในประเทศไทย แต่มีบรรพบุรุษเป็นชาวไทเขินบ้านนันทาราม (น. 5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาของชาวไทเขินมีสำเนียงที่แตกต่างจากชาวไทยวน มักลงท้ายด้วยคำว่า “แด้” ใช้ตัวอักษรธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาพม่า (น. 44) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยกำหนดขอบเขตการศึกษาตั้งแต่ระยะเวลาที่ชาวไทเขินบ้านนันทารามอพยพเข้ามายังเชียงใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2350 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2551รวมทั้งสิ้น 201ปี โดยไม่ได้ระบุช่วงระยะเวลาที่เก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัย |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์เมืองเชียงตุง
เมืองเชียงตุง ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่สหภาพพม่า เป็นรัฐฉานที่ใหญ่ที่สุดทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำคงหรือแม่น้ำสาละวิน (น. 33) มีลักษณะเป็นแอ่งก้นกระทะ มีหลายชื่อเรียก อาทิ “เมืองขืน” อ้างถึงในตุงครสีพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับไกรศรี นิมมานเหมินทร์ กล่าวถึงความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ในสมัยพญามังรายซึ่งรบชนะลัวะในเมืองเชียงตุง ได้กวาดต้อนไร่พลจากเมืองเชียงแสนและเชียงรายไปยังเมืองเชียงตุง แต่ได้มีการอพยพกลับมา พญามังรายทรงให้กลับไปอีก แต่ท้ายที่สุดไพร่พลก็หนีลงมาอีกครั้ง จึงได้เรียกชื่อเมืองว่าเมืองขืนซึ่งหมายถึงกลับคืน อีกทั้งยังสัมพันธ์กับลักษณะทางภูมิศาสตร์ซึ่งมีแม่น้ำที่ไหลขึ้นไปทางทิศเหนือซึ่งผิดธรรมชาติ มีการเรียกแม่น้ำสายน้ำว่าแม่น้ำขืน และเรียกคนที่อาศัยบนฝั่งแม่น้ำว่า “ไทขืน” (น. 35-36)
นอกจากนี้ยังพบชื่อ “เมืองเขิน” อ้างถึงในตำนานเมืองเขิน ซึ่งกล่าวถึงสมัยพระยาลวจังคราช (พญาเจือง) มีการนำบ่าวไปสร้างเมืองเชียงตุงจำนวน 70 คน และได้เสียชีวิตไป 1 คน ยัง “เขิน” หรือเหลืออยู่ 69 คน จึงเรียกชื่อเมืองว่าเมืองเขิน ส่วนชื่อ “เมืองเขมรัฐ” อ้างถึงในอรุณรัตน์ วิเชียรเขียว (2537) สันนิษฐานว่ามาจากชื่อเจ้าบุญนำ “รัตนภูมินทร์นรินทรา เขมาธิบดีราชา” แปลว่าเจ้าผู้ครองนครเขมรัฐพระองค์แรก หรืออาจจะมาจากชื่อที่พระสงฆ์ตั้งชื่อเมืองเชียงตุงให้ใหม่หลังจากชาวเมืองประสบภาวะโรคภัยชุกชุม (น. 36)
อ้างถึงในรัตนาพร เศรษฐกุล (2552) พ.ศ. 2345 หลังจากที่พระยาอุปราชธรรมลังกาเมืองเชียงใหม่ยกทัพไปปราบเมืองสาด จึงได้ยกกำลังไปยึดเมืองเชียงตุง แต่เจ้าศิริชัยโชติสารัมภยะได้อพยพไพร่พลหนีไปยังเมืองหลวง เมืองยาง และเมืองแลม จนกองทัพเชียงใหม่ยกทัพกลับจึงได้นำไพร่พลกลับไปยังเมืองเชียงตุงดังเดิม เมื่อผู้นำเชียงใหม่ขับไล่พม่าออกจากเชียงแสนได้ในพ.ศ. 2350 จึงสร้างความเชื่อมั่นให้เจ้าเมืองตามแนวชายแดนได้ เชียงใหม่จึงสามารถเกลี้ยกล่อมให้เจ้าฟ้าเชียงตุงนำไพร่พลซึ่งเป็นชาวไทเขินเข้ามายังเมืองเชียงใหม่ (น. 38) โดยสรัสวดี อ๋องสกุล (2544) กล่าวว่ามีลักษณะเป็นการเทครัวจนเมืองเชียงตุงกลายเป็นเมืองร้าง ในขณะที่รัตนาพร เศรษฐกุล (2552) ให้ข้อสังเกตว่าน่าจะมีเพียงกำลังไพร่พลของเจ้าศิริชัยโชติสารัมภยะเท่านั้น โดยปรากฏในตำนานป่าแดงว่าเมืองเชียงตุงยังคงมีเจ้ามหาขนานเชื้อสายเจ้าฟ้าเชียงตุงอยู่ที่เมืองยางเพื่อต้องการฟื้นฟูเมืองเชียงตุง (น. 39)
การอพยพของชาวไทเขินจากเชียงตุงสู่เชียงใหม่
ชาวไทเขินบ้านนันทารามอพยพมาจากเมืองเชียงตุงด้วยความจำเป็นทางการเมืองมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่เมืองเชียงใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2350 ในสมัยพระเจ้ากาวิละ โดยได้กลายมาเป็นพลเมืองของรัฐชาติสยามตามนโยบายการปกครองที่มีการผนวกเชียงใหม่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสยามตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา (น. 33) การอพยพเข้ามานั้นไม่ใช่ในฐานะของเชลยศึกแต่ถือเป็น “เจ้านอกเมือง” คือ เจ้าเชื้อสายพญามังรายเช่นเดียวกับเจ้าเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็น “เจ้าในเมือง” โดยบทบาทของเจ้าค่อย ๆ ลดลงในต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ด้วยการผสมกลมกลืนกับคนในท้องถิ่น (น. 41) กลุ่มคนที่อพยพเข้ามามีทั้งเจ้านายเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ข้าราชบริพาร และไพร่ (น. 142)
ชาวไทเขินเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่บ้านเขินหรือบ้านนันทาราม ก่อนการแยกย้ายถิ่นฐานไปตามที่ต่าง ๆ ในเมืองเชียงใหม่ โดยบ้านนันทารามมีประวัติยาวนานกว่า 200 ปี เป็นชาวไทเขินที่ถูกกวาดต้อนมาในสมัยของพระเจ้ากาวิละครองเมืองเชียงใหม่ ระหว่างปี พ.ศ. 2350 พระยาอุปราชธรรมลังกาได้เกลี้ยกล่อมให้เจ้ามหาสิริชัยสารัมพยะเจ้าเมืองเชียงตุงยอมสวามิภักดิ์และนำกำลังพลมายังเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการเห็นชอบนำเจ้านายและกำลังไพร่พลจำนวนหลายร้อยครอบครัวเข้ามายังเชียงใหม่ โดยให้ชาวไทเขินที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุงอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ระหว่างกำแพงชั้นในกับกำแพงชั้นนอกทางด้านทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่หรือบริเวณวัดนันทาราม ส่วนเจ้านายและเชื้อพระวงศ์ให้ตั้งคุ้มอยู่บริเวณเหนือวัดนันทาราม (น. 2)
อ้างถึง Michael Vitikiotis (อ้างใน สมพงศ์ วิทยาศักดิ์พันธุ์, 2541) ไทเขินตั้งถิ่นฐานบริเวณหายยา ประตูเชียงใหม่ บ้านนันทาราม โดยอพยพมาจากเมืองเชียงตุง ประกอบอาชีพทำเครื่องเขิน อ้างถึง Volker Grabowsky(2537) ชาวไทเขินที่ถูกกวาดต้อนมามีหลายชนชั้น หลายอาชีพ กลุ่มไพร่ชั้นดีตั้งถิ่นฐานใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ เช่น ไทเขินบ้านนันทารามตั้งถิ่นฐานบริเวณกำแพงเมืองชั้นนอก กลุ่มไพร่ที่ไม่เป็นช่างฝีมือตั้งถิ่นฐานอยู่นอกเมือง เช่น อำเภอสันทราย อำเภอสันป่าตอง (น. 2)
เมืองเชียงใหม่มีนโยบายในการจัดการกลุ่มชาวไทเขินโดยกำหนดให้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ระหว่างกำแพงเมืองชั้นในกับกำแพงเมืองชั้นนอกทางด้านทิศใต้บริเวณวัดนันทาราม มีการกำหนดให้เจ้านายเชียงตุงตั้งคุ้มบริเวณหน้าวัดนันทารามจำนวน 2 คุ้ม คือ คุ้มเหนือเป็นที่อยู่ของเจ้าแม่คำแดง ได้แก่ คนในสกุลเทพสุวรรณ เทพสิรินทร์ และเทพรัตน์ในปัจจุบัน ส่วนคุ้มใต้เป็นที่อยู่ของเจ้าแสนเมืองและเจ้าศิริชัยโชติสารัมภยะ บริเวณฝั่งตรงข้ามวัดนันทาราม ส่วนไพร่พลนั้นกระจายที่อยู่โดยรอบเพื่อรับใช้เจ้านาย (น. 40) |
|
Settlement Pattern |
ชุมชนนันทารามตั้งบ้านเรือนเรียงตามเส้นทางการคมนาคม มีทั้งบ้านตึกชั้นเดียว สองชั้น สามชั้น บ้านไม้ชั้นเดียว บ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ ตึกแถว และอาคารชุด (น. 53)
ในอดีตลักษณะบ้านเรือนมีลักษณะเป็นตูบ เรือนไม้ไผ่ เรือนไม้ตามฐานะของเจ้าของ สร้างด้วยไม้ไผ่ ไม้สัก ใบจาก ใบตองตึง ใบจาก ดินขอ มีลักษณะเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง การแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน แบ่งออกเป็นส่วนชานไว้สำหรับรับแขก ห้องนอน ห้องครัว ใต้ถุนใช้สำหรับเลี้ยงวัวและควาย ลักษณะพิเศษคือมีห้องปิดทึบด้านล่างสำหรับเก็บเครื่องเขินเพื่อป้องกันฝุ่นละอองที่อาจสร้างความเสียหายให้กับเครื่องเขิน สำหรับคุ้มเจ้ามีลักษณะเป็นเรือนไม้ทรงสูงขนาดใหญ่เป็นห้องยาวหลังเดียว ไม่มีเรือนข้าราชบริพาร (น. 95-97)
การตั้งบ้านเรือนตั้งห่างกัน ไม่มีการกั้นรั้วบ้าน เนื่องด้วยเป็นเครือญาติกันทั้งหมด (น. 97) |
|
Demography |
ประชากรในชุมชนบ้านนันทารามจากข้อมูสำนักงานแขวงเม็งราย เทศบาลนครเชียงใหม่ พ.ศ. 2551 เป็นเพศชาย 700 คน เพศหญิง 818 คน รวม 1,518 คน 142 หลังคาเรือน และ 184 ครอบครัว โดยเป็นชาวไทเขินประมาณ 40-50 ครัวเรือน (น. 52) |
|
Economy |
สังคมของชาวไทเขินเป็นสังคมเกษตรกรรม มีการทำนาบริเวณประตูก้อม ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่เรื่อยไปจนถึงถนนเส้นเชียงใหม่หางดงและบ้านป่ากล้วย และยังมีการทำเครื่องเขินในช่วงที่ว่างจากการทำนาเพื่อใช้ในครัวเรือนและจำหน่าย (น. 3)
จากนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ก่อให้เกิดการจัดตั้งกลุ่มอาชีพทำเครื่องเขินและน้ำหนังในปี พ.ศ. 2546 โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มหนุ่มสาว กองทุนชุมชน กลุ่มสตรีอาสาพัฒนาชุมชน กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่ม อสม. ชุมชน (น. 73-74)
ระบบการผลิตสัมพันธ์กับฤดูกาลทางธรรมชาติ หลังจากการทำไร่นาเข้าสู่ฤดูฝนจะมีการทำเครื่องเขินซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยางรักแห้งสนิทได้ดีที่สุด ส่วนฤดูหนาวจะเปลี่ยนเป็นการทำน้ำหนังซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้ำหนังแข็งตัวได้ดีที่สุด (น. 43) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัวของชาวไทเขินเป็นครอบครัวขยาย เมื่อแต่งงานฝ่ายชายนิยมย้ายไปอยู่กับครอบครัวฝ่ายหญิง ภาระการเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นของลูกสาวคนสุดท้อง มีการยึดมั่นในระบบอาวุโสและการนับถือผีบรรพบุรุษหรือฝีปู่ย่า (น. 99)
ชาวไทเขินยึดถือการมีผัวเดียวเมียเดียว การเลือกคู่ครองมีทั้งการเลือกตามความชอบพอและการเลือกแบบคลุมถุงชนโดยพ่อและแม่ โดยมีประเพณีแอ่วสาว เป็นการเลือกคู่ครองในรูปแบบหนึ่งโดยฝ่ายชายไปหาฝ่ายหญิงในช่วงกลางคืนหลังจากเสร็จการทำงานในช่วงกลางวัน ซึ่งชายที่มีมือสากจะแสดงให้เห็นว่ามีความอดทนสู้งานหนัก เมื่อตกลงเป็นสามีภรรยากันแล้ว ฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายสู่ขอฝ่ายหญิงโดยมีสินสอดตามฐานะเรียกว่าการมัดมือ จากนั้นฝ่ายหญิงจะนำข้าวตอกดอกไม้ไปขอฝ่ายชายมาอยู่บ้านฝ่ายหญิง ฝ่ายชายจะย้ายมาอยู่บ้านฝ่ายหญิงพร้อมแอ๋บใส่ผ้าใหม่ ของใช้ในชีวิตประจำวัน และเครื่องมือทำไร่ทำสวน เมื่ออยู่บ้านฝ่ายหญิงจนสามารถสร้างตัวได้แล้วก็จะแยกออกไปตั้งบ้านเรือนตามลำพัง (แอ๋บ / แอ่บ คือ หีบหรือกำปั่นที่ทำจากเครื่องเขิน) สำหรับฝ่ายหญิงที่นับถือผีปู่ย่าจะมีการนำข้าวปลาอาหารไปเซ่นไหว้เพื่อบอกกล่าวแก่ผีปู่ย่าเรียกว่าการเสียผี (น. 101-103)
การใช้นามสกุลของชาวไทเขินเริ่มมีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่6 เป็นต้นมาเช่นเดียวกับคนไทย โดยมีการใช้สกุล เทพรัตน์ เทพสุวรรณ เทพสิรินทร์ วิชัยกุล ไชยวงศ์ ศรีบุญเรือง สุวรรณชมภู เป็นต้น ซึ่งพบว่าสายสกุลเดียวกันมีการแยกใช้คนละนามสกุลตามความพอใจ (น. 100) |
|
Political Organization |
อ้างถึงในสรัสวดี อ๋องสกุล (2544) ชาวเขินมีฐานะเป็นไพร่ซึ่งหมายถึงสามัญชนที่ไม่ใช่มูลนายหรือทาส มีหน้าที่เข้าเวรรับราชการตามกฎหมายเรียกว่าไพร่เอาเมือง หรือหากไม่เข้าเวรจะต้องส่งเงินหรือสิ่งของตอบแทน สำหรับไพร่หญิงนั้นส่วนมากได้รับการยกเว้น แต่มีหลักฐานการติดตามรับใช้มูลนายหรือทำงานในคุ้มเจ้านาย โดยสันนิษฐานว่ามีการขึ้นสังกัดเช่นเดียวกับไพร่ล้านนา คือ ขึ้นสังกัดเป็นครอบครัวกับมูลนายคนเดียวกัน (น. 45)
ผู้นำชุมชนที่มีสถานะสูงและได้รับการยอมรับสืบทอดกันมา คือ เจ้าอาวาสวัดนันทาราม โดยสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพระสังฆราชาสารภังค์ซึ่งเป็นเจ้านายไทเขินที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุง (น. 46) |
|
Belief System |
ศาสนสถานหลัก คือ วัดนันทาราม เป็นศูนย์กลางของชาวไทเขิน สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ชื่อเดิมคือวัดเมืองลาบ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2040หลังการสร้างเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1838 แต่ก่อนการสร้างกำแพงเวียงชั้นนอก (กำแพงดิน) โดยเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของชาวลัวะ หลังจากที่ชาวไทเขินเข้ามาบูรณะวัดจึงได้นิยามว่าวัดนี้เป็น “นิกายเขิน” ซึ่งเรียกตามความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นศรัทธาวัด (น. 42, 55และ 60)
อดีตเจ้าอาวาสองค์สำคัญ คือ พระครูสารภังค์ (พ.ศ. 2403-2472) นามเดิม คือ เจ้าเทพวงศ์ ณ เชียงตุง เป็นพระครูเจ้าหมวดอุโบสถ หมวดอุโบสถ หมายถึง การที่พระสงฆ์ในเชียงใหม่ที่มีวัดอยู่ใกล้เคียงกันมาร่วมทำอุโบสถในวัดเดียวกัน โดยหมวดอุโบสถวัดนันทารามนิกายเขิน ได้แก่ วัดนันทาราม วัดกุฎีคำหรือวัดธาตุคำในปัจจุบัน วัดยางกวง และวัดดาวดึงส์ (น. 61)
ชาวไทเขินนับถือศาสนาพุทธ สืบทอดประเพณีปีใหม่เมือง การขนทรายเข้าวัด การแห่ไม้ค้ำสะหลี (ไม้ค้ำต้นโพธิ์) การบูชาสะเดาะเคราะห์ การสรงน้ำพระธาตุในเดือน 6 ค่ำ มีความเชื่อเรื่องผีเจ้านาย ผีปู่ย่า (ผีบรรพบุรุษ) ผีเสื้อวัด (ผีที่ปกปักรักษาวัด) โดยบ้านนันทารามไม่มีความเชื่อเรื่องผีเสื้อบ้าน (ผีที่ปกปักรักษาบ้าน) เนื่องด้วยบ้านอยู่ในขอบเขตของวัดจึงถือว่าผีเสื้อวัดปกปักคุ้มครองบ้านด้วย อีกทั้งยังมีความเชื่อเรื่องพระเจ้าดำซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อเรื่องผีปู่จันต๊ะ ซึ่งบ้างเชื่อว่าเป็นกบ บ้างเชื่อว่าเป็นคนที่อยู่บริเวณหนองบึงในวัดนันทาราม (น. 103-104)
การเลี้ยงผีปู่ย่าหรือผีบรรพบุรุษทำกันในช่วงเดือน 9 ของทางเหนือ หรือมิถุนายน (น. 105) |
|
Education and Socialization |
พระครูสารภังค์อดีตเจ้าอาวาสวัดนันทารามเป็นผู้จัดตั้งโรงเรียนภายในวัดเป็นวัดแรก ๆ จัดการสอนในระดับมูลศึกษาเน้นการเรียนตามแบบแผนภาษาไทยกลาง แต่ยังคงมีการถ่ายทอดอักขรวิธีแบบล้านนา (น. 65-66) |
|
Health and Medicine |
ตำรายาวัดนันทารามมีลักษณะเป็นพับสาโบราณได้รับการสืบทอดต่อกันมาจากเจ้าอาวาสวัดนันทาราม มีมาตั้งแต่สมัยพระสังฆราชาสารภังค์ พ.ศ. 2403-2472 ซึ่งเป็นเชื้อสายเจ้านายเชียงตุง (น. 44-45) มีวิธีการรักษาโดยการใช้ยาแผนโบราณ (น. 106)
“ยาตุ๊เจ้าวัดนันตา” เป็นยาที่มีชื่อเสียงของพระครูสิริรัตนสุนทร (อิ่นแก้ว) เจ้าอาวาสวัดนันทรามในช่วง พ.ศ. 2502-2539 ซึ่งได้ศึกษาวิชาการแพทย์แผนโบราณจากวัดช่างฆ้อง ตำบลช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และวัดพระเชตุพนวิลมังคลาราม กรุงเทพฯ โดยก่อนมรณภาพได้มอบตำรายาให้ญาติและเปิดเป็นร้านขายยาวิรัชโอสถโดยมีใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากท่านมรณภาพในปี พ.ศ. 2539 จึงไม่มีการสืบทอดยาแผนโบราณภายในวัดนันทารามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (น. 67) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
หัตถกรรมเครื่องเขิน
ชาวไทเขินเรียกเครื่องเขินว่า “คัวฮักคัวหาง” คัวฮักคือเครื่องใช้ที่เคลือบด้วยยางรักที่มีสีดำ ส่วนคัวหางคือเครื่องใช้ที่ทาด้วยผงชาดที่มีสีแดง เครื่องเขินเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน ของถวายพระสงฆ์เพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เครื่องถวายเจ้านายเชียงใหม่และเจ้านายเชียงตุง และสินค้าแลกเปลี่ยนกับชุมชนอื่น ประกอบด้วย ขันน้ำ โอ พาน ขันหมาก ขันโตก ถาด กล่อง ตลับ หีบ แอ๋บ (น. 42-43)
อ้างถึงใน ลักขณา ปันวิชัย และศิริศักดิ์ คุ้มรักษา (2540) เครื่องเขินเป็นงานหัตถกรรมที่ใช้ในครัวเรือนของชาวไทเขิน และสามารถใช้แลกเปลี่ยนสินค้า เช่น เกลือ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องเขินยังใช้เป็นเครื่องบรรณาการแก่เจ้านายทั้งเชียงใหม่และเชียงตุง โดยเครื่องเขินสำหรับเจ้านายมักลงรักปิดทองและมีลวดลายงดงามพิเศษแตกต่างกับเครื่องเขินของชาวบ้านซึ่งเป็นสีหางไร้ลวดลาย (น. 16)
เครื่องแต่งกาย
ชาวไทเขินผู้ชายนิยมนุ่งกางเกงขากว้าง สวมเสื้อแขนสั้นตัวยาวแบบพม่า โพกศีรษะด้วยผ้าทิ้งชายตั้งขึ้นด้านบน ผู้หญิงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด สวมเสื้อแขนกระบอกเข้ารูปคอป้ายเรียกว่าเสื้อปั๊ดหรือเสื้อป้าย นุ่งซิ่นยาวกรอมเท้า (น. 44, 107)
อ้างถึงใน บ.บุญค้ำ (2499) เสื้อผ้าของชาวไทเขินชั้นเจ้านายทำจากแพรจีนหรือไหมที่ชาวฮ่อนำมาจากเมืองจีน ส่วนชาวบ้านแต่งกายด้วยผ้าฝ้าย มีผ้าโพกศีรษะและผ้าคาดเอวสีต่าง ๆ เช่น สีเขียวเลื่อม สีแดงเลื่อม มีเชิงเป็นสีล้วนประดับด้วยลูกไม้หรือดิ้นทอง มักสวมใส่ในงานรื่นเริงต่าง ๆ ส่วนเวลาปกตินุ่งซิ่นผ้าดิบสีขาว ชาวไทเขินนิยมไว้ผมยาวมวยผมด้านหลัง เกล้าผมสูงกลางศีรษะ และขอดผมไว้ด้านหลัง ชาวบ้านผู้หญิงนิยมเคียนหัว ส่วนชนชั้นเจ้านายไม่เคียนหัว นิยมประดับมวยผมด้วยดอกไม้เงินดอกไม้ทอง (น. 107)
ชาวไทเขินมีการปรับเปลี่ยนการแต่งกายตามวัฒนธรรมล้านนา ผู้ชายนิยมนุ่งเตี่ยวสะดอหรือกางเกงสะดอ นุ่งผ้าขาวม้า สวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนยาวและแขนสั้นหรือเสื้อม่อฮ่อม หรือไม่สวมใส่เสื้อโดยเฉพาะผู้ที่สักยันต์ ผู้หญิงนิยมนุ่งซิ่น เช่น ซิ่นก่าน (ซิ่นที่ทอด้วยลวดลายมัดหมี่ มัดก่าน หรือคาดก่าน) มีลักษณะพื้นที่สีดำ ตีนซิ่นสีแดงหรือสีเขียว โดยไม่มีการโพกหัวแบบเชียงตุง (น. 108)
อาหาร
น้ำหนังเป็นอาหารกับแกล้มหรือเครื่องเคียงทำจากหนังควาย มีลักษณะเป็นแผ่นกลมบางขนาดประมาณ 6-8 นิ้ว คล้ายหนังพองของชาวไทใหญ่หรือแคบหมู นิยมรับประทานคู่กับอาหารทุกชนิด (น. 109) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในระยะแรกของการอพยพมายังเชียงใหม่ ชาวไทเขินยึดถือความสัมพันธ์แบบเดิมตามที่เคยปฏิบัติเมื่อครั้งอยู่เชียงตุงแต่มีมูลนายสูงสุดคือพระเจ้ากาวิละ ไม่ใช่เจ้ามหาสิริชัยสารัมพยะ ยึดถือการใช้ภาษาไทเขิน การแต่งกาย การผลิตน้ำหนังตามวิธีจำเพาะ การผลิตสิ่งของเครื่องใช้ที่เรียกว่าเครื่องเขิน และการสืบทอดตำรายาพื้นบ้าน (น. 142)
ไทเขินมีการยอมรับวัฒนธรรมคนเมืองทั้งด้านภาษา การแต่งกาย วัฒนธรรมจากส่วนกลาง มีสำนึกของความเป็นคนไทยที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ท้องถิ่นเชียงใหม่หรือคนเมือง โดยกล่าวได้ว่าเป็น “คนเมืองเชื้อสายเขิน” มีค่านิยมแบบตะวันตกในด้านการศึกษา การแต่งกาย การใช้ชีวิต รูปแบบบ้านเรือน และการบริโภค (น. 143)
การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมไทเขินเป็นไปตามทฤษฎีของ Park R. E. (อ้างถึงใน สุมน อยู่ลิน, 2527) 3 ขั้นตอน ไม่พบขั้นตอนการแข่งขัน โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนการติดต่อ ชาวไทเขินมีการติดต่อกับคนเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในลักษณะผู้อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองเชียงใหม่ เข้าสู่ขั้นตอนการปรับตัวในระดับแรก คือ การยอมรับวัฒนธรรมการแต่งกายล้านนา การใช้ภาษาคำเมือง (ภาษาไทยถิ่นเหนือ) แทนภาษาไทเขิน และในระดับที่สอง คือ การปรับตัวไปพร้อมกับชาวพื้นเมืองเชียงใหม่ในช่วงสยามผนวกล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติโดยมีลักษณะการปกครองแบบรวมศูนย์ พัฒนาประเทศตามแบบตะวันตก ยอมรับทุนนิยมเสรี และปฏิรูปการศึกษา ท้ายที่สุดเป็นขั้นตอนการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของชาวไทเขินร่วมกับคนเมือง คนภาคกลาง และค่านิยมตะวันตก (น. 145)
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในลักษณะของการผสมกลมกลืนนำมาสู่การธำรงอัตลักษณ์ไทเขิน โดยการสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมของชุมชนผ่านการส่งเสริมกิจกรรมประเพณีในศาสนาพุทธโดยมีวัดนันทารามเป็นศูนย์กลาง การส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมเครื่องเขินด้วยการตั้งกลุ่มและการรับการสนับสนุนจากภาครัฐ และการหยิบยกน้ำหนังซึ่งเป็นอาหารที่มีวิธีการเฉพาะในการผลิตเป็นเอกลักษณ์ เพื่อกำหนดอัตลักษณ์ของตนในรูปแบบที่ไม่ได้แยกออกจากคนเมือง แต่มีนัยการต่อรองเชิงอำนาจ ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการระบุความมีตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามปรับตัวเพื่อสืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษในด้านอาชีพหัตถกรรมเครื่องเขิน โดยพบว่ามีการปรับเปลี่ยนกรรมวิธี ลวดลาย และวัตถุดิบการผลิตตามยุคสมัยและความต้องการของตลาด (น. 147-148)
ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทเขินชุมชนนันทารามก่อให้เกิดการผสมกลมกลืนทางด้านภาษา ซึ่งทำให้ภาษาไทเขินได้สูญหายไปจากชุมชน โดยคงเหลือลักษณะพิเศษของคำลงท้ายคำว่า “แด้” (น. 130) และก่อให้เกิดการธำรงอัตลักษณ์ โดยชาวบ้านมีความรู้สึกร่วมจากสำนึกร่วมกันทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเป็นผู้สืบเชื้อสายจากเมืองเชียงตุง ซึ่งพวกเขาได้รับการยกย่องจากคนภายนอกเกี่ยวกับความสามารถในการทำเครื่องเขิน ยาแผนโบราณ การทำน้ำหนัง และบุคคลที่มีชื่อเสียงของชุมชน (น. 130)
การธำรงอัตลักษณ์ผ่าน “เครื่องเขิน” มีผู้สืบทอดหลักคือนางจันทร์เป็ง วิชัยกุล ซึ่งมีความสามารถเฉพาะตนและได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทำให้กิจการเครื่องเขินสามารถดำเนินได้เรื่อยมา (น. 135) ส่วน “วัดนันทาราม” ได้มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เครื่องเขินชุมชนวัดนันทารามขึ้น โดยนางประเทือง สมศักดิ์ มีการส่งผู้มีความรู้ไปช่วยสอนและช่วยทำการตลาดให้กับคนในชุมชน ซึ่งเป็นความร่วมมือภายในชุมชน (น. 139) สำหรับ “น้ำหนัง” นั้น ชาวบ้านพยายามอนุรักษ์ แต่ยังคงพบข้อจำกัดในการหาวัตถุดิบ คือ หนังควาย ซึ่งหายากและมีราคาสูง และข้อจำกัดทางด้านสภาพอากาศรวมทั้งสถานที่ในการตากน้ำหนัง (น. 140) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงเริ่มเห็นได้ชัดตั้งแต่รัฐบาลสยามผนวกล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐชาติสยามโดยเมื่อ พ.ศ. 2500 มีการเปลี่ยนแปลงการถือครองที่ดินโดยมีการขายที่นาให้กับคนต่างพื้นที่รวมทั้งรัฐเพื่อสร้างสนามบิน มีการเปลี่ยนแปลงการประกอบอาชีพโดยยกเลิกการทำนา (น. 3-4)
ธุรกิจในย่านตัวเมืองเดิมเชียงใหม่คือย่านถนนวัวลาย-นันทาราม ซบเซาลงตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมาอันเนื่องมาจากผลกระทบจากการขยายเมืองหลักและเมืองรองแห่งภาคเหนือ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4-5 (พ.ศ. 2520-2529) ซึ่งได้มีการส่งเสริมเมืองเชียงใหม่ให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ขยายศูนย์กลางรถโดยสารจากสถานีขนส่งช้างเผือกไปยังสถานีขนส่งอาเขต และขยายย่านธุรกิจแห่งใหม่เช่นย่านถนนเชียงใหม่-สันกำแพง (น. 92) อย่างไรก็ดีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2549) ได้กลับมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งผลให้ชุมชนนันทาราม เกิดการสร้างอัตลักษณ์ผ่านวัตถุทางวัฒนธรรมอย่าง “เครื่องเขิน” ซึ่งเป็นงานหัตถกรรมที่ยังคงมีการสืบทอดเรื่อยมา (น. 94)
ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทเขิน คือ การปฏิรูปการปกครองในล้านนา การเข้ามาของทุนนิยมและวัฒนธรรมตะวันตก นโยบายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาแบบแผนใหม่ (น. 95)
การเปลี่ยนแปลงช่วง พ.ศ. 2450-2463
การเปลี่ยนแปลงช่วง พ.ศ. 2450-2463 มีลักษณะเป็นการผสมกลมกลืนกับคนเมืองหรือไทยวนเนื่องด้วยสภาพที่ตั้งชุมชนอยู่ใกล้ตัวเมือง สิ่งที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงหลัก คือ ภาษาและเครื่องแต่งกาย (น. 111) ชาวไทเขินเปลี่ยนมาพูดภาษาคำเมือง (ภาษาไทยถิ่นเหนือ) เป็นหลักตั้งแต่ พ.ศ. 2462 เป็นต้นมา ส่วนการแต่งกายทั้งกลุ่มเจ้านายและสามัญชนก็มีการผสมกลมกลืนกับคนเมืองเช่นกัน (น. 112)
การเปลี่ยนแปลงช่วง พ.ศ. 2464-2489
ตั้งแต่ พ.ศ. 2449 เป็นต้นมา มีการสอนภูมิปัญญาท้องถิ่นทั้งด้านโหราศาสตร์ การทำนาย แพทยศาสตร์ ไสยศาสตร์ และพิธีกรรม รวมทั้งการถ่ายทอดอักขรวิธีล้านนาและปริยัติธรรมโดยพระสงฆ์ให้กับเฉพาะผู้ชายภายในวัดนันทาราม แต่เมื่อเชียงใหม่ได้รับอิทธิพลทางด้านการศึกษาจากรัฐสยาม จึงได้มีการตั้งโรงเรียนที่มีการสอนภาษาไทยในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยจัดให้มีการสอนในวัดตำบลละ 2-3 โรง และในตำบลหายยามีการตั้งโรงเรียนภายในวัดศรีสุพรรณและวัดนันทาราม จึงก่อให้เกิดการเรียนการสอนในรูปแบบการศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ อย่างไรก็ดีในระยะนี้ ด้วยความจำเป็นในการใช้แรงงานของครอบครัวชาวไทเขินยังคงผูกติดกับจารีตที่เด็กหญิงต้องทำงานบ้านและรับภาระเลี้ยงดูน้องที่ยังเล็ก จึงพบการผ่อนผันการเข้าเรียนโดยให้บุตรคนใดคนหนึ่งเข้าเรียน ภายใต้เหตุผลว่าเด็กหญิงต้องเป็นผู้ถ่ายทอดงานช่างด้านการจักสานและการวาดลวดลายบนเครื่องเขินซึ่งเป็นงานหัตถกรรมของหมู่บ้าน ส่วนเด็กชายส่วนมากมักจะจบการศึกษาระดับประถมศึกษาเท่านั้น (น. 112-114) ระบบการสอนของโรงเรียนใช้ภาษาไทยกลางซึ่งส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาไทเขิน (น. 115)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการสร้างเส้นทางรถไฟมายังเชียงใหม่ เกิดการเข้ามาของคนจีนเพื่อทำการค้า เกิดการขยายตัวของย่านการค้าทั้งตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไย รวมทั้งเกิดการขยายตัวของตลาดเครื่องเขินซึ่งเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2476 บางครอบครัวมีการผลิตเครื่องเขินขายเพียงอย่างเดียวไม่มีการทำนา หรือบางครอบครัวก็ยังมีการทำนาและน้ำหนังควบคู่กับการผลิตเครื่องเขินจำหน่าย โดยในปี พ.ศ. 2478 จากการทำเครื่องเขินภายในครอบครัว เริ่มมีการแบ่งงานกันทำในละแวกหมู่บ้านโดยมีการว่าจ้างทำลวดลาย แหล่งขายเครื่องเขินและน้ำหนังที่สำคัญ คือ ตลาดวโรรสและตลาดต้นลำไย (น. 116-117)
การทำเครื่องเขินหยุดชะงักลงไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2พ.ศ. 2484 แต่ชาวไทเขินก็ได้กลับมาทำอีกครั้ง โดยใช้หลุมหลบภัยเป็นขุม (หลุม) อบเครื่องเขินซึ่งภายในมีสภาพอากาศที่เย็นช่วยทำให้รักแห้งเร็ว สามารถผลิตได้จำนวนมากขึ้นและมีการส่งไปขายยังกรุงเทพฯ เป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้านเรือน (น. 117-118)
การเปลี่ยนแปลงช่วง พ.ศ. 2490-2519
ในช่วงก่อนการยุติสงครามโลกครั้งที่ 2กองทัพญี่ปุ่นต้องการใช้พื้นที่บริเวณป่ากล้วยสร้างสนามบิน จึงมีการเวนคืนที่ดินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ของชาวไทเขินบ้านนันทาราม ชาวบ้านจึงต้องขายที่ดินในราคาถูกแก่ทางการรวมทั้งนายทุนธุรกิจ ส่วนการทำเครื่องเขินมีลักษณะเป็นการทำอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองระบบตลาดโดยมีตระกูลวิชัยกุลเป็นตระกูลสำคัญที่สืบทอดการทำเครื่องเขิน (น. 120-121) รวมทั้งระหว่างปี พ.ศ. 2500-2520 ชาวไทเขินบ้านนันทารามเริ่มมีการขายที่นาอีกจำนวนมาก เกิดหมู่บ้านจัดสรร พร้อม ๆ กับการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวของชุมชนนันทาราม (น. 122)
พ.ศ. 2500 ภาครัฐมีการส่งเสริมการผลิตศิลปหัตถกรรมสู่ระบบการค้า จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการผลิตแบบยังชีพสู่การผลิตเพื่อการค้า เกิดร้านขายเครื่องเขินภายในชุมชนและมีการรับเครื่องเขินจากครัวเรือนต่าง ๆ หรือว่าจ้างการผลิตมาจำหน่ายภายในร้านของคนในชุมชน (น. 121) แต่ระบบการศึกษาที่ขยายตัวก็ส่งผลให้ลูกหลานของชาวไทเขินหันไปประกอบอาชีพที่มีรายได้สูงกว่า เช่น ครู อาจารย์ พ่อค้า หมอ พยาบาล มากกว่าการทำเครื่องเขิน ก่อให้เกิดปัญหาด้านการสืบทอด (น. 122) เช่นเดียวกับน้ำหนัง ที่ประสบปัญหาระบบนิเวศน์ที่เปลี่ยนไปทำให้หาวัตถุดิบเช่นกาบไผ่ได้ยากขึ้น การทำน้ำหนังเป็นอาชีพเริ่มลดลงสวนทางกับความต้องการบริโภคที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง (น. 122)
ระบบสาธารณูปโภคของบ้านนันทารามมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไฟฟ้าเข้ามาในปี พ.ศ. 2496 มีการขยายถนน มีการสร้างโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ แต่การรักษาพยาบาลของชาวไทเขินยังคงพึ่งพายาของวัดนันทาราม ส่วนโรงเรียนวัดนันทารามได้ปิดการสอนลงตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้ การแต่งกายมีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบตะวันตกตั้งแต่ พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา แต่ผู้หญิงชาวไทเขินยังคงนิยมนุ่งซิ่นเมื่อมีงานประเพณีต่าง ๆ (น. 123)
การเปลี่ยนแปลงช่วง พ.ศ. 2520-2551
ช่วงเวลา พ.ศ. 2520-2551 เป็นช่วงเวลาแห่งความเป็น “สมัยใหม่” ในทุกด้านของชุมชนนันทาราม โดยด้านภาษา ชาวไทเขินมีการพูดทั้งภาษาคำเมือง (ภาษาไทยถิ่นเหนือ) และภาษาไทยกลาง โดยนิยมเขียนตัวอักษรไทยกลางเป็นหลัก (น. 123) ด้านประชากร มีการอพยพของคนต่างถิ่นทั้งปัจจัยด้านอาชีพและครอบครัว ตั้งแต่พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา (น. 123) รูปแบบความสัมพันธ์มีความเปลี่ยนแปลงจากครอบครัวขยายสู่ลักษณะของครอบครัวเดี่ยว (น. 124-125)
ชุมชนนันทารามมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและระบบนิเวศน์ โดยสภาพคุ้มเจ้าที่เคยบ่งบอกความเป็นมาของชุมชนมีการเปลี่ยนเจ้าของและถูกรื้อถอนเป็นสิ่งปลูกสร้างสมัยใหม่ (น. 143) สภาพบ้านเรือนปัจจุบัน (พ.ศ. 2551) มีเพียงบ้านเลขที่ 56/2 ถนนนันทาราม ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ที่ยังคงมีลักษณะเป็นบ้านไทเขินในรูปแบบคงเดิม (น. 97)
ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2521 เป็นต้นมาเมื่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ประกาศให้เขตพื้นที่สันกำแพงเป็นเขตพื้นที่ส่งเสริมการลงทุน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตเครื่องเขิน คือ เกิดการเคลื่อนย้ายฝีมือแรงงานไปยังร้านเครื่องเขินในพื้นที่อำเภอสันกำแพงซึ่งมีค่าตอบแทนที่สูงกว่า อีกทั้งยังเกิดระบบผูกขาดกับบริษัททัวร์ที่ทำให้บทบาทของแหล่งผลิตเครื่องเขินในชุมชนนันทารามซบเซาลงเหลือเพียงร้านประเทืองเครื่องเขินและวิชัยกุลเครื่องเขินเท่านั้น (น. 125-126)
การเข้ามาของไฟฟ้าก่อให้เกิดความสะดวกสบายและทำให้ชาวไทเขินสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากยิ่งขึ้นเกิดการติดต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสังคมภายนอก เกิดการนิยมบริโภคอาหารแบบภาคกลางและต่างชาติ ส่งผลให้น้ำหนังเกือบจะไม่เป็นที่รู้จักของคนรุ่นใหม่ (น. 126) ส่วนการแต่งกายเปลี่ยนไปตามความนิยมการแต่งกายพื้นเมืองและการแต่งกายแบบตะวันตก ชาวไทเขินได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นในระดับอุดมศึกษา มีช่องทางการประกอบอาชีพที่หลากหลาย อาชีพการทำเครื่องเขินและน้ำหนังประสบภาวะขาดแคลนวัตถุดิบและผู้สืบทอด (น. 127) โรงพยาบาลเป็นสถานพยาบาลหลัก โดยวัดนันทารามซึ่งเคยเป็นศูนย์ยาสมุนไพรพื้นบ้านได้ลดบทบาทลง (น. 128) “ยาตุ๊เจ้าวัดนันตา” เป็นยาที่มีชื่อเสียงของพระครูสิริรัตนสุนทร (อิ่นแก้ว) เจ้าอาวาสวัดนันทรามในช่วง พ.ศ. 2502-2539 ได้รับการสืบทอดโดยญาติและเปิดเป็นร้านขายยาวิรัชโอสถซึ่งมีใบประกอบวิชาชีพอย่างถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา (น. 67) |
|
Google Map |
https://www.google.co.th/maps/place/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1/@18.7744491,98.9840534,17z/data=!3m1!4b1!4m5!3m4!1s0x30da3073f1e5fea7:0x264fd03b3b25e951!8m2!3d18.7744491!4d98.9862421?hl=th |
|
Map/Illustration |
แผนภาพ
- แผนที่แสดงการตั้งถิ่นฐานของชาวไทเขินบ้านนันทาราม (น. 40)
- แผนที่แสดงที่ตั้งคุ้มเหนือและคุ้มใต้ของเจ้านายเชียงตุงในพื้นที่ชุมชนนันทาราม
- แผนผังชุมชนนันทาราม (น. 57)
รูปภาพ
- เปรียบเทียบอักษรไทเขินและไทยวน (น. 44)
- บ้านแบบโบราณของชาวไทเขินที่ยังคงหลงเหลือในชุมชนนันทาราม (น. 97)
- ผีเสื้อวัด (น. 103)
- พระเจ้าดำ (น. 104)
- ศาลผีปู่จันต๊ะ (น. 105)
- ขุมอบเครื่องเขิน (น. 118) |
|
|