|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทใหญ่, สตรีราชสำนัก, รัฐฉาน, พม่า, บทบาทของผู้หญิง, พื้นที่สาธารณะ, พื้นที่ส่วนตัว, การเมือง, ข้อตกลงปางหลวง, สังคม, วัฒนธรรม, ปิตาธิปไตย, สตรีนิยม |
Author |
จิราภรณ์ อัจฉริยะประสิทธิ์ |
Title |
สตรีราชสำนักไทใหญ่ในเรื่องเล่าของนักเขียนสตรีร่วมสมัย : การศึกษาบทบาทของผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัว |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
สำนักงานวิทยทรัพยากร หอสมุดกลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Total Pages |
169 |
Year |
2547 |
Source |
วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ ภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. |
Abstract |
วิทยานิพนธ์เรื่องสตรีราชสำนักไทใหญ่ในเรื่องเล่าของนักเขียนสตรีร่วมสมัย : การศึกษาบทบาทของผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัว ศึกษาเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบวรรณกรรม ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสตรีราชสำนักไทใหญ่ และบริบททางการเมือง สังคมและวัฒนธรรม ในเรื่องเล่าของนักเขียนสตรีร่วมสมัยจำนวน 3 เรื่อง Twilight over Burma: My Life as a Shan Princess ของ Inge Sargent ปีค.ศ. 1994, The White Umbrella ของ Patricia Elliott ปีค.ศ.1999 และ My Vanished World: The True of a Shan Princess ของ Nel Adam ปีค.ศ. 2000 ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประพันธ์เรื่องเล่าทั้ง 3 เรื่อง มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน มีทั้งสตรีไทใหญ่แท้ สตรีที่เข้ามาเป็นมหาเทวีในไทใหญ่และสตรีตะวันตก โดยมีแนวคิดสำคัญเหมือนกัน คือ การนำเสนอความรุนแรงจากการกวาดล้างทางการเมือง ต้นเหตุที่ทำให้สังคมไทใหญ่ล่มสลายลงและเรียกร้องความเป็นธรรมให้ไทใหญ่ เรื่องเล่าถูกเขียนขึ้นหลังจากผู้ประพันธ์ลี้ภัยมายังประเทศตะวันตก เล่าจากมุมมองผู้ถูกกระทำที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตทำให้เห็นรากเหง้าของเผ่าพันธุ์ สะท้อนบทบาทของสตรีราชสำนักไทใหญ่ โดยพบว่าบทบาทของสตรีราชสำนักไทใหญ่ในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เช่น การแต่งงานที่มีนัยยะทางการเมือง การเตรียมงานครัวในงานสมาคมรับแขกที่มีนัยยะเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหรือประเทศ บทบาทของสตรีราชสำนักได้มีการเปลี่ยนแปลงไปหลังจากไทใหญ่อยู่ภายใต้อาณานิคม อังกฤษเข้ามาจัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาการแก่บุตรของเจ้าฟ้าทั้งชายและหญิง สตรีราชสำนักไทใหญ่ได้เข้ารับการศึกษาอย่างจริงจัง ทำให้มีความกล้าแสดงออกทางความคิดและมีบทบาทในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ พื้นที่ส่วนตัว สตรีมีสิทธิที่จะคัดค้านและต่อรองในสิ่งที่ตนเองไม่เห็นด้วย สำหรับพื้นที่สาธารณะ สตรีมีบทบาททางสังคม เช่น การพัฒนาด้านการศึกษาและสาธารณะสุข มีบทบาททางการเมืองจากการประพันธ์เรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิตเชิงอัตชีวประวัติและเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชไทใหญ่ ทั้งนี้เรื่องเล่ายังเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และบทบาทสตรีที่มีประโยชน์ทางวิชาการต่อสังคมเป็นอย่างมาก
|
|
Focus |
เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบวรรณกรรม ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสตรีราชสำนักไทใหญ่ และบริบททางการเมือง สังคมและวัฒนธรรม ในเรื่องเล่าของนักเขียนสตรีร่วมสมัยจำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ Twilight over Burma: My Life as a Shan Princess ของ Inge Sargent ปีค.ศ. 1994, The White Umbrella ของ Patricia Elliott ปีค.ศ.1999 และ My Vanished World: The True of a Shan Princess ของ Nel Adam ปีค.ศ. 2000 (หน้า 5)
|
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาได้นำแนวคิดสตรีนิยมที่เกิดขึ้นในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมาซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในระดับสากลมาอธิบาย การเกิดนักคิดนักเขียนสตรีและการเคลื่อนไหวของสตรี ได้ตั้งสมมติฐานว่าสตรีราชสำนักไทใหญ่มีบทบาทในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ จากการทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวและร่วมต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราช เมื่อไทใหญ่เกิดวิกฤตทางการเมืองกับรัฐบาลพม่าช่วง ค.ศ.1945-1996 ซึ่งปรากฏในวรรณกรรมเรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิตของสตรีร่วมสมัย 3 เรื่องอย่างสอดคล้อง ดังนี้ สตรีราชสำนักมีบทบาทในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะที่ชัดเจนและได้รับการยอมรับมากขึ้น กล่าวคือ สตรีในพื้นที่ส่วนตัวหรือบทบาทลูก บทบาทภรรยาและบทบาทแม่ มีสิทธิในการคัดค้านสิ่งที่ตนเองไม่เห็นด้วย เช่น เจ้าเฮือนคำต่อต้านการอภิเษกด้วยการทำสัญญามาต่อรอง และสตรีในพื้นที่สาธารณะได้เข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาด้านการศึกษาด้านสาธารณสุขและการเรียกร้องเอกราชไทใหญ่ เช่น สุจันทรีได้ริเริ่มเปิดโรงเรียนอนุบาล พัฒนาสถานผดุงครรภ์และพัฒนาสวัสดิภาพแม่และเด็ก เจ้าเฮือนคำได้เป็นผู้นำเพื่อต่อสู้เรียกร้องเอกราชไทใหญ่ โดยเรื่องเล่าทั้งหมดนี้ถูกเขียนขึ้นหลังจากที่ผู้ประพันธ์ลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ประเทศตะวันตกซึ่งเป็นพื้นที่ของเสรีภาพ สตรีราชสำนักจึงได้เขียนเรื่องเล่าเพื่อถ่ายทอดความรู้สึก ประสบการณ์ชีวิต ความรุนแรงทางการเมือง รวมไปถึงเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อให้สังคมโลกหันมาสนใจปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับไทใหญ่ (หน้า 4-5,156-159)
|
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทใหญ่ เป็นชาติพันธุ์ที่คนไทยเรียกว่า“ไทใหญ่” คนต่างชาติเรียกว่า“ชาน”หรือ“ฉาน” แต่คนไทใหญ่จะเรียกตนเองว่า “ไต” (หน้า 8) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
การศึกษาจากงานเขียนเรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิตของสตรีจำนวน 3 เล่ม ได้แก่ Twilight over Barma : My Life as a Shan Princess ของ Inge Sargent ปีค.ศ. 1994, The White Umbrella ของ Patricia Elliott ปีค.ศ. 1999 และ My Vanished World : The True of a Shan Princess ของ Nel Adam ปีค.ศ. 2000 (หน้า 6)
|
|
History of the Group and Community |
ไทใหญ่เป็นชนชาติที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่าสองพันปี ชาวตะวันตกได้เริ่มศึกษาประวัติศาสตร์ของชาวไทใหญ่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 พบว่าชาวไทใหญ่มีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณมณฑลเสฉวนและทางตอนกลางของประเทศจีน หรืออีกแนวคิดเชื่อว่าอาศัยอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง กวางสี ตอนใต้ของประเทศจีนและตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ชาวไทใหญ่ได้อพยพลงมาเพราะถูกจีนรุกราน สำหรับนักวิชาการชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าชาวไทใหญ่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนใต้ของจีน มีความเห็นเป็น 2 ประการ ได้แก่ แนวคิดที่เชื่อว่ามณฑลยูนนาน รวมไปถึงเขตกุ้ยโจว กวางสี กวางตุ้งเป็นถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของชนชาติไท และชาวไทใหญ่ไม่มีการอพยพแต่อย่างใด หรืออีกแนวคิดเชื่อว่าถิ่นกำเนิดน่าจะอยู่บริเวณมณฑลกวางสี ตอนเหนือของเวียดนามและตอนเหนือของลาว โดยเคลื่อนย้ายไปทางตะวันตกจนถึงเขตแดนไทย-พม่า และวกกลับไปตามแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำโขงเข้าไปแถบตะวันตกของยูนนาน ทางใต้ของยูนนาน และทางเหนือของพม่า เมื่อเปรียบเทียบกับถิ่นฐานของชาวไทใหญ่ในปัจจุบัน พบว่าหากเป็นการอพยพลงมาแสดงว่าชาวไทใหญ่เดินทางอพยพข้ามแม่น้ำข้ามภูเขามาเป็นระยะทางไกล หรือหากชาวไทใหญ่อาศัยอยู่บริเวณตอนใต้ของจีนโดยไม่มีการอพยพย้ายถิ่นแสดงว่าอาณาเขตของคนไทแต่เดิมนั้นมีความกว้างขวางอย่างมาก
อาณาจักรไทใหญ่มีความรุ่งเรืองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซึ่งเป็นยุคแห่งอาณาจักรเมืองมาวหลวง หรือเมืองหมอกขาวมาวหลวง ในสมัยเจ้าเสือข่านฟ้า ค.ศ. 1833 ช่วงนี้ไทใหญ่มีอำนาจและมีความเข้มแข็งมาก มีเมืองขึ้นหลายเมือง เป็นครั้งแรกที่อาณาจักรไทใหญ่สามารถยึดครองดินแดนของชาติพันธุ์อื่นได้ ทั้งยังรุกเข้าไปในอาณาจักรจีน อาณาจักรพม่า จึงเป็นประวัติศาสตร์ที่ชาวไทใหญ่ภาคภูมิใจ เมื่อเจ้าเสือข่านฟ้าสิ้นพระชนม์ อาณาจักรเมืองมาวเกิดความระส่ำระสาย ทำให้ล่มสลายลงในสมัยเจ้าเสือหลู่ฟ้า ค.ศ.1992 รวมระยะเวลา 105 ปี ในขณะนั้นอาณาจักรแสนหวีได้แยกตัวออกมาจากอาณาจักรเมืองมาว ซึ่งต่อมาอาณาจักรแสนหวีเป็นเมืองสำคัญของชาวไทใหญ่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า
ต่อมาเกิดความขัดแย้งในอาณาจักรไทใหญ่ ประกอบกับความเข้มแข็งของกองกำลังทหารจีนและพม่า ในสมัยของบุเรงนองแห่งราชวงศ์ตองอูที่ได้ครอบครองอาณาจักรไทใหญ่ทางใต้ของลุ่มแม่น้ำคงทั้งหมด ซึ่งอาณาจักรไทใหญ่ขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นของจีน จึงเกิดสงครามระหว่างจีนกับพม่าระยะเวลายาวนานนับสิบปี ทำให้อาณาจักรไทใหญ่แยกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของจีนในบริเวณจังหวัดใต้คงหรือเห๋อตง มณฑลยูนนาน ประเทศจีนในปัจจุบัน และอีกส่วนเป็นของรัฐฉาน ประเทศพม่า พม่าและจีนที่เคยมีไทใหญ่เป็นรัฐกันชนกั้นกลางมาโดยตลอดจึงมีอาณาเขตติดต่อกันเป็นครั้งแรก สงครามยังคงมีมาอย่างต่อเนื่องจนถึง พ.ศ. 2203-2303 จีนได้ยอมรับกำลังอำนาจของพม่า ไทใหญ่สูญเสียเอกราชและสิทธิในการปกครองตนเอง เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์ตองอู ไทใหญ่และเมืองขึ้นต่าง ๆ พยายามต่อสู้จนได้รับอิสระภาพแต่เป็นระยะเวลาเพียงสั้น ๆ เมื่อถึงราชวงศ์คองบองหรืออลองพญา พ.ศ. 2295 - 2428 ยุคนี้ประสบความสำเร็จในการรวบรวมพม่าเป็นปึกแผ่นได้มากที่สุด ไทใหญ่จึงถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่า
เมื่อ พ.ศ. 2429 เกิดการล่าอาณานิคม อังกฤษเข้ายึดประเทศพม่าและยกเลิกระบอบกษัตริย์ เจ้าฟ้าไทใหญ่ยอมเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเดือนมีนาคม พ.ศ. 2433 โดยมีเมืองตองยีเป็นศูนย์ราชการ มีการจัดตั้งโรงเรียนเจ้าฟ้าเพื่ออบรมรัชทายาทที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไป ไทใหญ่ยังคงมีอิสระในการปกครองตนเองแต่ต้องทำตามสัญญากฎระเบียบที่อังกฤษเสนอ ต่อมากลุ่มชาตินิยมชาวพม่าและชาวไทใหญ่ได้มีการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษจนสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2491 แต่การที่พม่าได้รับเอกราชเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทใหญ่ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่า สูญเสียเอกราชและอำนาจการปกครองมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 9-12)
|
|
Settlement Pattern |
ปัจจุบันชาวไทใหญ่อาศัยอยู่ในหลายแห่ง เช่น ประเทศพม่า จีน อินเดีย ไทย และลาว แต่ถิ่นฐานที่ชัดเจนของคนไทใหญ่มี 2 แห่ง คือ จังหวัดใต้คง มณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีน และรัฐฉาน ประเทศพม่า บ้านเรือนมีลักษณะเป็นเรือนยกพื้นสูงทำด้วยไม้ เช่น ไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคา พื้นฟาก รั้วบ้านทำจากไม้ไผ่ และใต้ถุนจะเป็นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง (หน้า 7,17)
|
|
Economy |
รัฐฉานมีภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง มีเทือกเขาสลับซับซ้อน ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะป่าไม้และอัญมณี แม่น้ำสายสำคัญคือแม่น้ำสาละวิน (แม่น้ำคง) ที่ไหลผ่านตอนกลางของรัฐ เป็นแหล่งน้ำในการดำรงชีวิตและเกษตรกรรมของประชาชน ชาวไทใหญ่ที่เป็นชนชั้นสูงมักประกอบอาชีพค้าไม้ให้กับรัฐ เช่น ไม้สักเพราะสามารถสร้างรายได้อย่างมากในยุคการปกครองของอังกฤษ เจ้าฟ้าจะได้ค่าไม้และค่าสัมปทานจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีแหล่งรัตนชาติสำคัญอยู่ที่เมืองมีดและจากความชำนาญในการเจียระไนพลอยมาตั้งแต่โบราณก็สามารถสร้างรายได้ที่ดีอีกทางหนึ่ง
สำหรับชาวไทใหญ่สามัญชนทั่วไปมีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย อาชีพหลักคือการทำนา ทำนาดำ ทำสวน ทำไร่ ไร่ยาสูบ ไร่อ้อยและปลูกถั่วหลากหลายชนิดตามฤดูกาล ในสมัยการปกครองของอังกฤษจะถูกเก็บภาษีสินค้า ภาษีแร่ ภาษีไม้ ภาษีของป่า ภาษีการซื้อขายทั้งทางเรือและวัวต่างม้าต่าง โดยมีเจ้าฟ้าเป็นคนกลางในการเก็บภาษีให้อังกฤษ จากบันทึกของประวัติศาสตร์จีนแสดงให้เห็นว่าชาวไทใหญ่มีความสามารถในการค้าขายจากการที่มีประวัติศาสตร์ในการค้าขายมาอย่างยาวนาน โดยชาวไทใหญ่จะค้าขายโดยใช้ทองคำหรือเงินเป็นตัวกลางในการซื้อขายสินค้า และใช้เงินหรือทองเสียค่าส่วยให้เจ้าฟ้าแทนการเสียเป็นภาษีข้าวเปลือก ทั้งยังมีการตั้งสถานที่ค้าขายเรียกว่า “กาด” หรือตลาด (หน้า 16-17)
|
|
Social Organization |
เจ้าฟ้าไทใหญ่จะอภิเษกอัครมเหสีกับธิดาของเจ้าฟ้าไทใหญ่ด้วยกันเท่านั้น อาจเป็นพระขนิษฐาต่างมารดา หรือธิดาของเจ้าฟ้าไทใหญ่ต่างเมือง การอภิเษกกับสตรีสามัญชนไม่เป็นที่นิยม ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาสายเลือดบริสุทธิ์ ผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างเมืองต่าง ๆ ของไทใหญ่ ความมั่นคงของอาณาจักร และความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เป็นต้น การเลือกอัครมเหสีจึงสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองที่จะมีโอกาสช่วยเหลือพึ่งพากันในอนาคต การอภิเษกตั้งแต่โบราณมักเกิดจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายพิจารณาถึงความเหมาะสมทางด้านฐานะ ชาติตระกูล และผลประโยชน์ทางการเมือง ส่วนมากปราศจากความรัก และไม่มีการต่อต้านจากบุรุษและสตรีมากนัก สำหรับเจ้าฟ้าหลวงมักได้รับบรรณาการเป็นธิดาของเจ้าฟ้าเมืองต่าง ๆมาเป็นชายารองหลายพระองค์ โอรสที่เกิดจากอัครมเหสีจะมีโอกาสขึ้นครองราชย์มากที่สุด ยกเว้นกรณีที่โอรสเสียชีวิตหรืออัครมเหสีไม่มีโอรส โอกาสครองราชย์จะตกไปสู่โอรสของมเหสีรององค์อื่น ส่วนโอรสที่เกิดจากสตรีสามัญชนหรือสตรีที่ได้รับเป็นบรรณาการจะไม่มีโอกาสขึ้นครองราชย์
การเลือกคู่ครองตามขนบทำเนียมเดิมของเจ้าฟ้าได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงก่อนที่อาณาจักรไทใหญ่จะล่มสลาย เจ้าฟ้าไทใหญ่หลายพระองค์ได้อภิเษกกับชาวต่างชาติ เนื่องจากเจ้าฟ้าได้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศ ได้พบปะกับชาวต่างชาติ ได้เปิดโลกทัศน์และมีอิสระทางความคิดมากขึ้น เช่น เจ้าฟ้าจาแสง เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีป้อ ได้อภิเษกกับอิงเง่ที่เป็นชาวออสเตรีย ผู้เขียนเรื่องเล่า Twilight over Barma : My Life as a Shan Princessและเจ้านวล อู ผู้เขียนเรื่องเล่า My Vanished World : The True of a Shan Princessตัดสินใจแต่งงานกับเบรน อดัมส์ ชายชาวอังกฤษ แล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ประเทศอังกฤษโดยไม่กลับไทใหญ่ เพราะอาจเป็นอันตรายจากเหตุการณ์รัฐประหารและกวาดล้างชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1962 (หน้า 20-22, 94-102)
สำหรับสตรีราชสำนักไทใหญ่ ซึ่งมีสถานภาพเป็นสตรีชั้นสูงจะปลูกฝังและอบรมในบทบาทความเป็นลูกว่าต้องมีความกตัญญูเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ ต้องปฏิบัติตนให้สมฐานะที่เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ เช่น เจ้านวลอู ในเรื่อง My Vanished World : The True of a Shan Princess ที่เจ้าเว็น เคียวผู้เป็นพระมารดาสอนว่าให้ถ่อมตัว ไม่ดูถูกผู้อื่นและต้องให้ความเคารพผู้ที่อาวุโส สังคมไทใหญ่ถือว่าผู้ชายมีสถานะสูงกว่าผู้หญิง ตามธรรมเนียมกำหนดว่าสามีต้องอายุมากกว่า ในบทบาทของความเป็นภรรยาจึงต้องให้เกียรติและเคารพเชื่อฟังสามี ทำหน้าที่ปรนนิบัติสามี เลี้ยงดูลูกให้ดี และการเข้าสมาคมจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เช่น เจ้าเฮือนคำ ในเรื่อง The White Umbrella ที่มีหน้าที่ดูแลจัดการอาหารในการประชุมร่างสนธิสัญญาปางหลวง ซึ่งเป็นการประชุมที่ผู้นำเกือบทุกชนชาติในพม่ามาอยู่รวมกัน เจ้าเฮือนคำจึงต้องคำนึงถึงเชื้อชาติและถิ่นฐานของแต่ละบุคคลเพื่อให้จัดอาหารได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังทำหน้าที่ต้อนรับและพูดคุยกับภริยาของผู้นำต่าง ๆ ในบทบาทความเป็นแม่มีหน้าที่สำคัญคือการสืบทอดทายาท เจ้าฟ้าไทใหญ่นิยมสืบทอดบัลลังก์ตามสายเลือด โอรสองค์แรกที่ประสูติจากอัครมเหสีจะมีตำแหน่งเป็นรัชทายาท เจ้าฟ้ามักเลือกรัชทายาทที่เป็นบุรุษมากกว่าสตรี เช่น พระมารดาของเจ้านวล อู ในเรื่องเรื่อง My Vanished World : The True of a Shan Princess ที่ประสูติบุตรจำนวน 6 องค์ โดยองค์ที่ 1-4 เป็นธิดา และองค์ที่ 5-6 เป็นโอรส ดังนั้นผู้ที่ได้ตำแหน่งรัชทายาทคือ เดสมอน (Desmond) ซึ่งแม้จะเป็นบุตรองค์ที่ 5 แต่เป็นโอรสองค์แรก การมีลูกของสตรีราชสำนักจะทำให้ได้รับความเคารพจากประชาชนมากขึ้น เสมือนเป็นการเลื่อนสถานะทางสังคมให้สูงขึ้นกว่าเดิม บทบาทของสตรีราชสำนักดังกล่าวมานี้จึงเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเพื่อเป็นแบบอย่างให้ราษฎรปฏิบัติตามและจงรักภักดีต่อราชวงศ์ (หน้า 85-111)
|
|
Political Organization |
อาณาจักรไทใหญ่ที่อยู่ในประเทศพม่าปัจจุบันมี 33 เมือง มีเมืองสำคัญ เช่น ตองยี ยองห้วย แสนหวี สีป้อ การปกครองเป็น“ระบบเจ้าฟ้า” ผู้ปกครองชาวไทใหญ่คือเจ้าฟ้าหรือกษัตริย์จะมีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินที่ตนปกครอง เจ้าฟ้าเป็นเจ้าของทรัพยากรที่ดินทั้งหมดในเมือง โดยจะแต่งตั้งผู้แทนในการแบ่งพื้นที่ทำกินและเก็บรวบรวมภาษีที่ดินจากชาวบ้านเพื่อนำส่งให้เจ้าฟ้า ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองไทใหญ่ด้วยกันเองนั้นไม่ค่อยราบรื่นมากนัก เมื่อเจ้าฟ้าไทใหญ่เมืองใดมีอำนาจและความเข้มแข็งทางทหารมากกว่าก็จะเข้าปกครองเมืองไทใหญ่ด้วยกันเอง โดยส่งโอรสไปปกครองตามหัวเมืองและเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองจะต้องส่งบรรณาการแก่เมืองที่เป็นศูนย์กลางอำนาจ ก่อนที่อาณาจักรไทใหญ่จะล่มสลายเจ้าฟ้ายังปกครองเมืองเหมือนอย่างโบราณ และได้ร่วมกันแก้ไขวิกฤตทางการเมืองภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ (หน้า12-15)
การเมืองไทใหญ่ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับประเทศพม่า โดยในปี ค.ศ. 1885 พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และเมื่อค.ศ.1887 ไทใหญ่ได้อยู่ภายใต้ปกครองของอังกฤษ ต่อมา ค.ศ. 1922 อังกฤษได้สถาปนาเป็นสหพันธรัฐไทใหญ่ (Federation Shan States) เปลี่ยนระบอบการปกครองแต่ยังให้มีเจ้าฟ้าปกครองตามเดิม อังกฤษได้ร่วมกับเจ้าฟ้าไทใหญ่จัดตั้งสภารัฐฉาน (Shan State Council) มีข้าหลวงชาวอังกฤษเป็นประธาน เจ้าฟ้าแต่ละเมืองเป็นสมาชิก สภาทำหน้าที่วางนโยบายเกี่ยวกับการใช้งบประมาณและกิจการภายในรัฐฉานเท่านั้นโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพม่า ส่งผลให้เกิดความห่างเหินระหว่างพม่ากับไทใหญ่เพิ่มมากขึ้น
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ.1939 ผู้นำชาวพม่า เช่น อองซาน และผู้นำไทใหญ่ เช่น เจ้าฟ้าจ่ามทุน เจ้าฟ้าเมืองปอน ได้ร่วมกันเรียกร้องเอกราชจนสำเร็จเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1948 ก่อนที่พม่าและไทใหญ่จะได้รับเอกราช อังกฤษเสนอให้พม่ามีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อหาผู้แทนมาร่างรัฐธรรมนูญ และเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหากลุ่มชนต่าง ๆ ในพม่าก่อนเป็นอันดับแรก จึงเกิดเป็น “ข้อตกลงปางหลวง” ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1947 ที่เจ้านวล อูได้ให้รายละเอียดไว้ในเรื่อง My Vanished Worlm d : The True as a Shan Princessออง ซาน ผู้นำรัฐบาลพม่าอยู่ในขณะนั้นเห็นว่าควรรวมกลุ่มชนต่าง ๆ ในพม่าให้เป็นหนึ่งเดียว โดยเชิญชวนผู้นำกลุ่มชนต่าง ๆ เกือบทุกกลุ่ม เข้าร่วมประชุมที่เมืองปางหลวงในรัฐฉาน ผู้นำกลุ่มชนยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพพม่า ซึ่งจะมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน เจ้าฟ้าสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกรัฐสภา สำหรับไทใหญ่และคะยาห์มีสิทธิที่จะแยกตัวปกครองตนเองได้หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นเวลา 10 ปี หลังจากทำข้อตกลงปางหลวง ออง ซาน เจ้าฟ้าจ่ามทุนและเจ้าฟ้าเมืองปอนได้ถูกลอบสังหารระหว่างการประชุมร่างรัฐธรรมนูญ ดังที่ปรากฎในเรื่อง The White Umbrellaที่คนขับรถของเจ้าจ่ามทุนมารายงานเจ้าส่วยไตและเจ้าเฮือนคำถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (หน้า 28-35)
เมื่อได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1947 อู นุ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งเจ้าส่วยไต เจ้าฟ้าเมืองยองห้วยแห่งไทใหญ่เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหภาพพม่า แต่แท้จริงแล้วอำนาจสิทธิขาดก็ยังเป็นของอู นุ แม้เขาจะมีความเห็นต่อชนกลุ่มน้อยไปในทางบวกคล้ายกับออง ซาน แต่ไม่สนับสนุนการแยกตัวของกลุ่มต่าง ๆ เพราะต้องการให้เป็นรัฐเดียวและใช้รัฐธรรมนูญเดียว อู นุจึงพยายามขยายการศึกษาที่เป็นหลักสูตรเดียวกันไปในเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจเดียวกัน แต่กลับทำให้กลุ่มชนต่าง ๆ รู้สึกว่าเอกลักษณ์ของตนเองกำลังถูกกลืนเข้ากับวัฒนธรรมพม่า ทั้งยังขัดกับข้อตกลงปางหลวงที่เคยให้สิทธิในการแยกตัวออกจากสหภาพได้ เมื่อใกล้ครบกำหนด 10 ปี ตามข้อตกลงปางหลวง จึงเกิดกลุ่มเคลื่อนไหวของไทใหญ่ เช่น กลุ่มหนุ่มศึกหาญของเจ้าน้อยซอหยั่นต๊ะ ทั้งนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์กองกำลังก๊กมินตั๋งถูกกองกำลังจีนคอมมิวนิสต์เหมาเจ๋อตุงโจมตีจนถอยร่นเข้าไปอยู่ครอบคลุมหลายพื้นที่ในไทใหญ่ อู นุได้ประกาศกฏอัยการศึกโดยอ้างว่าเพื่อขับไล่กองกำลังก๊กมินตั๋ง แต่เมื่อกองกำลังก๊กมินตั๋งถอนกำลังออกไป กองทหารพม่ากลับไม่ยอมถอยทัพกลับออกจากไทใหญ่ ทั้งยังเพิ่มกองกำลังและอาวุธ เหตุการณ์นี้ได้สอดคล้องกับเรื่อง The White Umbrella ที่เจ้าเฮือนคำกล่าวถึงความเคลือบแคลงใจที่มีต่อรัฐบาลพม่า (หน้า 36-39)
ค.ศ. 1962 นายพลเนวินได้รัฐประหารนายกรัฐมนตรีอู นุ เนื่องจากบ้านเมืองในขณะนั้นเกิดความระส่ำระสายจากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาคอมมิวนิสต์ต่อต้านรัฐบาล ปัญหากลุ่มชนที่ต้องการแยกตัวเป็นรัฐอิสระทำให้เกิดการสู้รบมาโดยตลอด และเปลี่ยนระบอบการปกครองจากประชาธิปไตยมาเป็นระบอบสังคมนิยม แต่งตั้งตนเองขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศในลักษณะเผด็จการที่มีกองกำลังทหารสนับสนุน ทั้งยังยกเลิกระบบรัฐสภาและยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี ค.ศ. 1947 จากนั้นร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จัดตั้งสภาที่มีการบริหารและปกครองภายใต้อำนาจเด็ดขาดของตนเอง ปรับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศมาเป็นแบบสังคมนิยมวิถีพม่า ยึดกิจการภาคเอกชนมาเป็นของรัฐ ขับไล่ชาวต่างชาติซึ่งส่วนมากเป็นคนอินเดียที่เข้ามาช่วงอาณานิคม และประกาศปิดประเทศในที่สุด สำหรับกลุ่มชนต่าง ๆ นายพลเนวินได้ยกเลิกสิทธิของเจ้าฟ้า จัดระเบียบการปกครองให้เหมือนกัน บริหารกลุ่มชนให้อยู่ในอำนาจโดยตรงของรัฐบาล ปฏิเสธการแยกตัวเป็นอิสระของชนกลุ่มน้อย และปราบปรามผู้ที่ต่อต้านอย่างรุนแรง นโยบายนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเจ้าฟ้าไทใหญ่ โดยมีการปลดอาวุธและจับกุมเจ้าฟ้าไทใหญ่ที่มีท่าทีต่อต้านรัฐบาล ส่งผลให้ผู้นำไทใหญ่ถูกจับกุม ถูกทรมาน และถูกฆ่าจำนวนมาก เช่น เจ้าส่วยไตประธานาธิบดีของสหภาพพม่าคนแรก ซึ่งเป็นพระสวามีของมหาเทวีเฮือนคำถูกคุมขังจนสิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้าจาแสงเจ้าฟ้าเมืองสีป้อซึ่งเป็นพระสวามีของมหาเทวีอิงเง่ถูกจับกุมจนปัจจุบันก็ยังไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร และบางส่วนลี้ภัยเข้าสู่ประเทศไทย โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยที่มีนโยบายเป็นมิตรกับชนกลุ่มน้อย เหตุการณ์ครั้งนี้กล่าวได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายจนทำให้สังคมไทใหญ่ล่มสลายลง (หน้า 39-41)
สำหรับบทบาททางการเมืองของสตรีราชสำนักเด่นชัดขึ้นหลังไทใหญ่และพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ การปกครองเปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตย สตรีมีบทบาทในการเป็นที่ปรึกษาทางการเมือง เมื่อสามีของตนเองมีตำแหน่งทางการเมือง ภรรยาจะเข้าไปมีบทบาทในฐานะที่ปรึกษาไม่มากก็น้อย เช่น เจ้าเว็น เคียวเจ้าแม่ของเจ้านวล อู จากเรื่อง My Vanished World : The True of a Shan Princess มีบทบาทในการเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองของเจ้าขุนฟ้าผู้เป็นสามี เกี่ยวกับสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เลวร้ายลง แม้ว่าบุรุษจะยอมรับความคิดของสตรีในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายการตัดสินใจก็ยังคงเป็นของบุรุษอยู่ดี จากการที่เจ้าเฮือนคำและเจ้าเว็น เคียวไม่เชื่อใจพม่าและไม่เห็นด้วยที่ไทใหญ่ยอมทำข้อตกลงปางหลวง เจ้าเฮือนคำได้คัดค้านแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเจ้าส่วยไตได้ หรือเจ้าเว็น เคียว ที่ตั้งคำถามว่าหากพม่าไม่ทำตามข้อตกลงไทใหญ่จะเป็นอย่างไร แต่ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเจ้าขุนฟ้าพระสวามีได้ โดยหลังประกาศข้อตกลงปางหลวง เจ้าเว็น เคียวมีความวิตกกังวลเรื่องบ้านเมืองเป็นอย่างมากจนเกิดอาการทางประสาท (หน้า 133-139)
สตรีราชสำนักที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองและส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ คือ เจ้าเฮือนคำจากเรื่อง The White Umbrella เธอได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากการตัดสินใจลงเลือกตั้งเพราะไม่พอใจรัฐบาลที่แจกจ่ายงบประมาณอย่างไม่เป็นธรรม เจ้าเฮือนคำเคยเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งที่มีชื่อเสียงได้รับความเคารพยำเกรงจากประชาชนชาวแสนหวีเป็นอย่างมากเพราะเป็นคนมีเหตุผลและมีความคิดก้าวหน้า เมื่อเธอเข้าประชุมสภาได้ร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นและตั้งใจเรียนรู้ภาระงานของบ้านเมืองด้านต่าง ๆ เช่น งบประมาณ การร่างธรรมนูญ และแนวทางการพัฒนาไทใหญ่อยู่เสมอ เธอมีผลงานในการพัฒนาปรับปรุงถนนและสร้างรถไฟไปไทใหญ่ จนเมื่อเกิดรัฐประหาร ค.ศ. 1962 ทำให้เจ้าส่วยไตพระสวามีและมีบุตรชายสิ้นพระชนม์และไทใหญ่ล่มสลาย เจ้าเฮือนคำพาลูก ๆ ลี้ภัยออกจากพม่ามายังเชียงใหม่ เธอร่วมก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่คือ The Shan State Army ในปี ค.ศ. 1964 ได้รับเลือกเป็นประธานกลุ่มนโยบายและการสนับสนุนทางด้านการเงิน ส่วนเจ้าช้างบุตรชายได้เป็นกองกำลังทหารกู้ชาติไทใหญ่ซึ่งมีบทบาทคิดหาทางในการต่อสู้ในภาคสนาม ทั้งนี้เจ้าเฮือนคำได้เป็นประธานการประชุมสภาการกู้ชาติ ซึ่งมีผู้นำหลายคนตั้งแต่ทหารอาวุโสจนถึงกลุ่มวัยรุ่น เธอมีหน้าที่หลักคือหาปัจจัยในการสนับสนุนการรบ เธอจึงมีโอกาสเข้าพบเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา อังกฤษและไทยเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อเจ้าเฮือนคำได้ย้ายไปอยู่แคนาดายังได้ร่วมก่อนตั้งองค์กรรัฐฉานหรือ Shan State Organization (SSO) ซึ่งเป็นองค์กรชาวไทใหญ่โพ้นทะเล สำนักงานอยู่ประเทศแคนาดา เธอมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา มีเจ้าสิงหะเป็นประธาน เจ้าช้างเป็นรองประธาน องค์กรทำหน้าที่ประสานงานกับสมาคมชาวไทโพ้นทะเล (Shan Oversea Association) ในสหรัฐอเมริกาและชาวไทใหญ่ที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ เจ้าเฮือนคำยังคงมีบทบาทต่อชาติอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ดี สะท้อนให้เห็นพื้นที่สาธารณะของสตรีในการเมืองการปกครองมากขึ้น และสุดท้ายสตรีราชสำนักได้ประพันธ์เรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิต ได้แก่ เรื่อง Twilight over Barma : My Life as a Shan Princess , The White Umbrella และ My Vanished World : The True of a Shan Princessเรื่องเล่าดังกล่าวมีนัยยะในการใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและเอกราชไทใหญ่ (หน้า 130-133,140-144)
|
|
Belief System |
ชาวไทใหญ่แต่เดิมนับถือสิ่งเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์ ผีสาง ภายหลังในบริเวณประเทศพม่า จีน ไทย และลาวเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ ชาวไทใหญ่ในพม่านับถือศาสนาพุทธแบบพม่าเพราะเป็นเมืองขึ้นของพม่า ต่อมาได้ติดต่อกับอาณาจักรเชียงใหม่และอาณาจักรอยุธยา มีพระภิกษุจากเชียงใหม่เดินทางไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบล้านนา จึงเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนานิกายโยนหรือพุทธศาสนาแบบล้านนาแทน
ชาวไทใหญ่แต่ละเมืองจะมีวัดประจำเมืองมากกว่าหนึ่งวัดขึ้นไป มักมีชื่อว่า “จองแสง” “จองคำ” หรือ “จองเงิน” ซึ่งเป็นชื่อสิริมงคลสำหรับชาวไทใหญ่ ภายในบริเวณวัดมี “กองมู” หรือเจดีย์ ส่วนมากวัดจะสร้างขึ้นโดยเจ้าฟ้า เจ้าฟ้าก็จะนิยมให้โอรสบวชโดยการจัดงานใหญ่โตที่มีราษฎรมาร่วมอนุโมทนามากมาย แต่ละหมู่บ้านจะมีวัดประจำหมู่บ้านที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ
ชาวไทใหญ่ให้ความสำคัญต่อศาสนามาก โดยมีนิสัยชอบทำบุญทำทาน ชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่ ทั้งนี้ชาวไทใหญ่มีประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนาตลอดปี เช่น เข้าพรรษา ทอดกฐิน การเทศนาธรรมและชาดกต่าง ๆ โดยพระสงฆ์มีบทบาทสำคัญในการสืบทอดศาสนาและศิลปะวัฒนธรรมต่าง ๆ ของไทใหญ่ เช่น นักศึกษาหรือนักวิจัยสามารถศึกษาภาษาไทใหญ่จากคัมภีร์ศาสนาที่เขียนเป็นภาษาไทใหญ่ และมีบทบาทในการสืบสานงานประเพณีสำคัญที่แสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของชาวไทใหญ่ คืองานปอยที่เกี่ยวกับศาสนา เช่น ปอยกั่นโต เพื่อขอขมาหลังออกพรรษา ปอยโถ่โล้ เป็นงานเผาศพพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ ปอยสุมหลัว เพื่อหาฟืนมาก่อกองไฟให้พระพุทธรูปในฤดูหนาว ปอยพะก่า ให้ชาวบ้านมีโอกาสทำบุญเพื่อเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้ปฏิบัติตนตามศาสนาอย่าเคร่งครัดเพื่อไปสู่สวรรค์หรือนิพพาน ดังนั้นชาวไทใหญ่ที่มีฐานะจะนิยมจัดงานปอยเพราะเชื่อว่าเป็นการสร้างกุศล หากตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ เป็นการสร้างเกียรติและความเคารพยกย่องจากสมาชิกในหมู่บ้าน (หน้า 24-26)
|
|
Education and Socialization |
การศึกษาของชาวไทใหญ่ก่อนอังกฤษจะเข้ามาปกครอง มีค่านิยมให้สตรีราชสำนักเรียนรู้งานฝีมือและงานครัวเป็นหลัก เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีและสามารถเชิดหน้าชูตาให้กับสามี ทั้งยังเป็นแม่แบบให้สตรีทั่วไปได้ปฏิบัติตาม การเรียนรู้งานบ้านงานเรือนของสตรีราชสำนักจึงได้ปฏิบัติสืบต่อมายาวนาน ส่วนบุรุษจะให้ศึกษาด้านการเมืองการปกครองและความรู้ด้านอักษรศาสตร์
หลังอังกฤษเข้ามาปกครองประเทศพม่า อังกฤษนำรูปแบบการศึกษาใหม่เข้ามา จัดตั้งโรงเรียนหลายแห่งในไทใหญ่ สอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ เป็นต้น เปิดโอกาสให้ลูกเจ้าฟ้าและบุคคลสำคัญเข้าเรียนโดยไม่จำกัดเพศหญิงหรือชาย เช่น เรื่อง Twilight of Barma : My Life as a Shan Princess เจ้านางสุจันทรีได้ส่งบุตรสาวทั้งสองคนไปเรียน หรือเรื่อง My Vanished World : The True of a Shan Princessเจ้าเว็น เคียว ได้ส่งเจ้านวล อู และลูกทุกคนไปเรียน ทั้งยังสนับสนันสนุนให้เรียนจนถึงระดับสูง แต่เรื่อง The White Umbrella ยังคงมีความคิดเดิมเกี่ยวกับการปิดกั้นการศึกษาของสตรีว่าไม่ต้องเรียนสูง เก่งด้านการเรือนก็เพียงพอ จากการที่เจ้าห่มฟ้าผู้เป็นพระเชษฐาของเจ้าเฮือนคำ ต้องการให้เจ้าเฮือนคำออกจากโรงเรียนเพื่อแต่งงาน เจ้าเฮือนคำได้ต่อต้านและสร้างข้อต่อรองในการอภิเษก ซึ่งเป็นการสร้างพื้นที่และสิทธิของสตรีที่สมัยก่อนมักจะไม่เกิดขึ้น จนเมื่อแต่งานแล้วเจ้าเฮือนคำก็ต้องการจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่เจ้าส่วยไตพระสวามีไม่เห็นด้วย เมื่อเจ้าเฮือนคำลี้ภัยออกจากพม่าไปแคนาดาจึงไปลงทะเบียนศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ George Brown College สะท้อนให้เห็นสตรีไทใหญ่มีความคิดที่ก้าวหน้าและไม่ยึดติดกับความคิดเดิมของสังคมไทใหญ่
สตรีไทใหญ่ที่กล่าวมาข้างต้นยังได้สนับสนุนการศึกษาแก่บุตรชายหญิงของตนเอง และการศึกษาของราษฎรชาวไทใหญ่อีกด้วย ผู้ที่บทบาทสำคัญต่อการศึกษาของราษฎรไทใหญ่อย่างเด่นชัด คือ เจ้านางสุจันทรีที่ได้ริเริ่มเปิดโรงเรียนอนุบาลขึ้นบริเวณหอหลวง โดยเป็นโรงเรียนอนุบาลสามภาษา คือ ภาษาไทใหญ่ พม่า และอังกฤษ เปิดรับนักเรียนชายหญิงจากทุกที่ และได้รับความสนใจจากคนไทใหญ่ คนพม่า คนจีน และคนอินเดียส่งบุตรหลานมาเรียนจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทใหญ่ให้ความสำคัญกับการศึกษามากขึ้น (หน้า 88-89,151-154)
|
|
Health and Medicine |
เจ้านางสุจันทรี จากเรื่อง Twilight of Barma : My Life as a Shan Princess มีบทบาทด้านสาธารณสุขอย่างเด่นชัด เนื่องจากเธอเป็นสตรีตะวันตกที่ได้นำวิธีการแบบตะวันตกเข้ามาริเริ่มพัฒนาสวัสดิภาพและสุขอนามัยของแม่และเด็ก เธอได้รับเลือกเป็นประธานสมาคมแม่และเด็ก โดยให้ความสำคัญกับงานผดุงครรภ์เพื่อลดอัตราการตายของเด็กในครรภ์และหลังคลอด และได้เดินทางไปเก็บข้อมูลความเป็นอยู่ของสตรีในหมู่บ้านต่าง ๆ ในเมืองสีป้อ พบว่าแม่และเด็กมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เด็กที่เกิดมามักเสียชีวิตจากการขาดสารอาหารหรือเจ็บป่วย จึงพัฒนาสถานผดุงครรภ์เดิมให้มีความทันสมัย ครอบคลุมสตรีและเด็กตามหมู่บ้านอย่างทั่วถึงและเปลี่ยนชื่อเป็น “สถานผดุงครรภ์และอนามัยแม่และเด็ก” โดยมีกิจกรรมแนะนำการดูแลสุขภาพก่อนและหลังคลอดของแม่ จัดให้มีการฉีดวัคซีน หยดวิตามินให้เด็ก ตรวจสุขภาพแม่และเด็ก แนะนำให้เด็กที่หย่านมแล้วกินนมผงเป็นอาหารเสริม มีการจ้างพยาบาลผดุงครรภ์ และจัดอนามัยสัญจรเผยแพร่ความรู้ไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในเมืองสีป้อ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเห็นได้จากผลตอบรับจากสตรีที่ให้ความสนใจและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ทำให้มีสถานผดุงครรภ์และอนามัยเพิ่มมากขึ้น แม่และเด็กจึงมีสุขภาพดีและอัตราการเสียชีวิตของเด็กน้อยลง (หน้า 148-151)
|
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ให้ข้อมูลด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะการแสดง ดนตรี หัตถกรรม การแต่งกายที่ปรากฏในงานนั้น ๆ
การแต่งกายของชาวไทใหญ่ ผู้ชายจะสวมกางเกงทรงหลวมก้นหย่อนเรียกว่า “โก๋งโห่งโย่ง” เสื้อด้านในเป็นแขนสั้น ด้านนอกแขนยาวคอกลม ผ่าหน้า ติดกระดุมแบบจีน เสื้อผ้าเป็นสีขาว สีดำ น้ำตาลอ่อน หรือสีฝ้ายธรรมชาติ นิยมไว้ผมมวย เจาะหู และใช้ผ้าแพรสีอ่อนโพกศีรษะเพื่อแสดงถึงการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อย สำหรับผู้หญิงแต่เดิมจะนุ่งผ้าซิ่นสีดำ สีน้ำเงิน หรือสีขาว สวมเสื้อตัวสั้นเท่าเอวที่ทำจากผ้าทอสีขาวซึ่งทอด้วยตนเองผ่าด้านข้างหรือกลาง ติดกระดุมเป็นโลหะ ภายหลังเสื้อมีลักษณะคล้ายเสื้อราชสำนักของกษัตริย์พม่า คือ เสื้อชั้นนอกแขนยาว ตัวยาว ชายเสื้อบานงอนเล็กน้อย นิยมเกล้าผมเป็นมวยสูง มีผ้าโพกศีรษะเป็นสีคล้ำ มีลายตรงกลางและชายผืน สวมกุ๊บไตที่ตกแต่งด้วยดิ้นหรือแผ่นสลักลายบนยอดหมวก และสวมเครื่องประดับ เช่น กำไล แหวน ปิ่นปักผม ต่างหู ซึ่งทำด้วยทองคำหรือเงิน (หน้า 18-19)
|
|
Folklore |
เรื่อง “Twilight over Barma : My Life as a Shan Princess” ผู้ประพันธ์คืออิงเง่ ซาเจนท์หรือสุจันทรี เป็นสตรีชาวออสเตรียที่อภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าจาแสง ซึ่งเป็นเจ้าฟ้าแห่งเมืองสีป้อ รัฐไทใหญ่ ประเทศพม่า งานเขียนเป็นแบบบันเทิงคดีผสมกับอัตชีวประวัติ แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงโหดร้ายที่ทหารพม่ากระทำต่อชาวไทใหญ่ทั้งชนชั้นสูงและประชาชน หลังจากที่นายพลเนวินทำรัฐประหารนายกรัฐมนตรีอู นุ เหตุการณ์ครั้งนี้ยังทำให้การปกครองแบบประชาธิปไตยหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษล้มเหลวและส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องเล่านี้มีตัวเอกคือสุจันทรี ซึ่งเป็นชาวตะวันตกที่เป็นมหาเทวีแห่งเมืองสีป้อ มีโครงเรื่องหลักคือการหายตัวไปของเจ้าฟ้าจาแสงหลังนายพลเนวินทำรัฐประหารใน ค.ศ. 1962 เธอเชื่อว่าเจ้าฟ้าจาแสงถูกทางการพม่าจับตัวไปจากจดหมายที่เจ้าฟ้าจาแสงส่งมาให้ จึงพยายามตามหาและหาวิธีช่วยเจ้าฟ้าจาแสงออกมา แต่นายพลเนวินแถลงการณ์ว่าไม่ได้จับเจ้าฟ้าจาแสงและปฏิเสธความรับผิดชอบ เธอได้ถูกกักบริเวณ ถูกห้ามสื่อสาร ถูกขู่ฆ่า เมื่อเธอรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงพาลูกอพยพหนีออกจากพม่าไปยังออสเตรียบ้านเกิด ส่วนโครงเรื่องรองคือการที่เจ้าฟ้าจาแสงถูกจับไปคุมขังและถูกทรมานด้วยวิธีต่าง เพราะเขาไม่ยอมลงนามเป็นฝ่ายเดียวกับพม่า มีการปิดเรื่องแบบปลายเปิดโดยการที่เจ้าฟ้าจาแสงถูกทหารพาออกไปคุมขังที่ใหม่ ซึ่งทำให้ผู้อ่านคิดต่อว่าอาจจะเป็นการนำไปคุมขังที่ใหม่จริงหรืออาจเป็นการถูกนำไปฆ่า โดยการใช้โครงเรื่องซ้อนทำให้เห็นภาพการถูกจับกุมและการถูกทรมานของเจ้าฟ้าจาแสงและเห็นผลกระทบทางการเมืองและความโหดร้ายของพม่าที่ชัดเจนมากขึ้น (หน้า 49, 50, 58)
เรื่อง “The White Umbrella” ผู้ประพันธ์คือ Patricia Elliottเป็นนักหนังสือพิมพ์ชาวแคนาดาซึ่งสนใจงานด้านประวัติศาสตร์และงานเขียนส่วนมากอยู่ในแถบเอเชีย ผู้ประพันธ์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์เจ้าเฮือนคำและเจ้าช้างบุตรชายในด้านชีวประวัติกู้ชาติไทใหญ่ รวมไปถึงการค้นคว้าข้อมูลจากหนังสือ เอกสาร การสัมภาษณ์เพื่อประกอบงานเขียนจำนวนมาก เพื่อทำการรวบรวมประวัติศาสตร์ไทใหญ่ตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงการล่มสลาย เรื่องเล่านี้เป็นชีวประวัติของเจ้าเฮือนคำ มหาเทวีแห่งยองห้วย ซึ่งเป็นที่รู้จักได้รับความเคารพนับถือจากคนชั้นสูงและราษฎรชาวไทใหญ่ ในฐานะสตรีผู้นำในการต่อต้านรัฐบาลพม่าและเรียกร้องเอกราชให้กับชาวไทใหญ่ ดำเนินเรื่องแบบเรียงลำดับเวลาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา เริ่มตั้งแต่สมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครองจนถึงการที่พม่าได้รับเอกราช จากนั้นเจ้าเฮือนคำอภิเษกกับเจ้าส่วยไตและได้รับแต่งตั้งเป็นมหาเทวี ทั้งยังได้รับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของมืองแสนหวี ต่อมาเมื่อนายพลเนวินทำรัฐประหารและปราบปรามชนกลุ่มน้อย เจ้าเฮือนคำได้อพยพออกจากพม่าเข้ามายังประเทศไทย ได้เป็นประธานกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่ จากนั้นจึงย้ายไปอยู่แคนาดาแต่ยังคงมีส่วนร่วมกับการกู้ชาติ งานเขียนแสดงให้เห็นการเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มชาตินิยมและการปกครองในระบอบเผด็จการอย่างละเอียด ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหาสังคมและการเมืองของไทใหญ่และพม่าที่ยังส่งผลให้เกิดความขัดแย้งมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า53, 55, 59)
เรื่อง “My Vanished World: The True of a Shan Princess” ผู้ประพันธ์คือเนล อดัมส์ หรือเจ้านวล อู พระธิดาเจ้าฟ้าเมืองลอกจอก รัฐไทใหญ่ ผู้ประพันธ์เติบโตในเมืองลอกจอกซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ งานเขียนเป็นเชิงอัตชีวประวัติที่มีการสอดแทรกการวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถาม โดยนำเสนอถึงการล่มสลายของไทใหญ่ ซึ่งเกิดจากการกวาดล้างทางการเมืองโดยการทำรัฐประหารของนายพลเนวิน เป็นเรื่องราวของเจ้านวล อู พระธิดาเจ้าฟ้าเมืองลอกจอก รัฐไทใหญ่ บอกเล่าชีวิตในไทใหญ่ตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็กที่มีความสุขกับครอบครัวในยุคที่ไทใหญ่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ จนถึงช่วงที่นายพลเนวินเข้ายึดอำนาจการปกครองทำให้ไทใหญ่ล่มสลายลง พี่น้องครอบครัวต้องแตกแยกกัน เจ้านวล อูได้ย้ายถิ่นฐานมาอาศัยในประเทศอังกฤษ เรื่องเล่านำเสนอบทบาทความเป็นลูกและแม่ ความทุ่มเทและความเสียสละที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในบ้านเท่านั้น แต่ยังมีความคิดเพื่อสังคมไทใหญ่แม้จะไม่สามารถเข้าไปมีบทบาททางการเมืองได้ก็ตาม งานเขียนชิ้นนี้ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวของไทใหญ่ได้ง่าย ตั้งแต่ประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประวัติศาสตร์ช่วงร่างสนธิสัญญาปางหลวง จากประสบการณ์ตรงของเจ้าพ่อของเจ้านวล อู ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมที่ทำให้รับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับบรรยากาศและผู้เข้าร่วมงานซึ่งมักไม่ปรากฏในประวัติศาตร์ทั่วไป (หน้า 55-57,68)
|
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
องค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองทำให้เห็นถึงการธำรงชาติพันธุ์ของชาวไทใหญ่มี 2 องค์กร คือ องค์กรแรก องค์กรรัฐฉาน (Shan State Organization- SSO) เป็นองค์กรชาวไทใหญ่โพ้นทะเล สำนักงานอยู่ที่ประเทศแคนาดา มีเจ้าเฮือนคำเป็นที่ปรึกษา องค์กรรัฐฉานทำหน้าที่ประสานงานกับสมาคมชาวไตโพ้นทะเล (Shan Oversea Association-Soa) มีนโยบายหลัก คือ การดำเนินการเพื่อเอกราชของรัฐฉาน สร้างความเป็นเอกภาพของชาวไทใหญ่ ติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง ฟื้นฟูเผยแพร่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชาวไทใหญ่ ทั้งนี้ยังมีการจัดสัมมนาและเขียนบทวิเคราะห์วิจารณ์อนาคตของรัฐฉานและพม่าผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง องค์กรที่สอง พรรคสันนิบาตแห่งรัฐฉานเพื่อประชาธิปไตย (Shan Nation League for Democracy-SNLD) เป็นพรรคการเมืองของรัฐฉานที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนชาวไทใหญ่ ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิของชาวไทใหญ่ ทั้ง 2 องค์กรดำเนินงานโดยอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญของระบอบประชาธิปไตย เรียกร้องสิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียมกันทางกฎหมาย เสรีภาพที่จะดำรงชีวิตตามขนบธรรมเนียมของชาวไทใหญ่ และสิทธิอันชอบธรรมที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนารัฐฉาน ปัจจุบันการเรียกร้องยังไม่ประสบความสำเร็จและไทใหญ่ยังคงมีสถานะเป็นรัฐหนึ่งในสหภาพพม่า (หน้า 46-47)
|
|
Social Cultural and Identity Change |
บทบาทของสตรีราชสำนักไทใหญ่ในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะได้เปลี่ยนไปตามบริบททางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองของไทใหญ่ โดยอดีตสังคมไทใหญ่มีโครงสร้างสังคมแบบชายเป็นใหญ่ เพราะมีความเชื่อว่าผู้ชายมีศักยภาพด้านศีลธรรม สติปัญญา และจิตวิญญาณสูงกว่าสตรี ผู้ชายจึงมีบทบาทเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีอำนาจสูงสุดในบ้าน สตรีไทใหญ่มีบทบาทในการเป็นแม่ศรีเรือน การเป็นภรรยาที่ดี และถูกปิดกั้นทางความคิด
เมื่อพม่าตกอยู่ภายใต้อาณานิคม อังกฤษได้เข้ามาพัฒนาระบบการศึกษาโดยการเปิดโรงเรียนในไทใหญ่ เปิดโอกาสให้ทั้งชายและหญิงสามารถเข้าเรียนได้อย่างเท่าเทียม สตรีราชสำนักจึงได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนและมีความคิดที่ก้าวหน้ามากขึ้น ต่อมาพม่าและไทใหญ่ได้รับเอกราชจากอังกฤษและได้เปลี่ยนมาใช้ระบอบประชาธิปไตย สังคมไทใหญ่ได้เปิดโอกาสให้สตรีได้การแสดงศักยภาพทางความคิดและมีบทบาทในการพัฒนาบ้านเมืองมากขึ้น เช่น เจ้าเฮือนคำ จากเรื่อง The White Umbrella ที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราฎร และเจ้านางสุจันทรี จากเรื่อง Twilight over Barma : My Life as a Shan Princessที่ส่งเสริมพัฒนาด้านการศึกษาโดยการเปิดโรงเรียนอนุบาลและสร้างสถานผดุงครรภ์ในเมืองสีป้อ เมื่อไทใหญ่ล่มสลายลงสตรีราชสำนักยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัวและเข้าไปมีบทบาทการต่อสู้เรียกร้องเอกราช เช่น เจ้าเฮือนคำ จากเรื่อง The White Umbrellaที่ได้ร่วมก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่หรือ The Shan State Army (หน้า 3-4,154)
|
|
Critic Issues |
ผู้ประพันธ์เรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิตทั้ง 3 เรื่อง ได้วิพากษ์วิจารณ์ความรุนแรงต่าง ๆ จากการรัฐประหารและการกวาดล้างทางการเมืองของนายพลเนวิน เมื่อ ค.ศ 1962 นำเสนอความโหดร้ายของทหารพม่าจากมุมมองของผู้ถูกกระทำที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ เช่น การจับกุมผู้นำรัฐต่าง ๆ ในพม่าไปกักขังและทรมานจนเสียชีวิต การปกครองประเทศโดยระบอบเผด็จการ (หน้า 50,157)
|
|
Map/Illustration |
ภาพ
- เดสมอน น้องชายเจ้านวล อู (คนนั่ง) และเพื่อนในชุดไทใหญ่ (หน้า 18)
- เจ้านวล อู ในชุดไทใหญ่ (หน้า 19)
- เจ้านางเว็น เคียว เจ้าแม่ของเจ้านวล อู ในชุดไทใหญ่ (หน้า 19)
- เจ้าฟ้าจาแสงกับอิงเง่ในวันแต่งงาน (หน้า 21)
- งานปอยเมืองสีป้อ (หน้า 23)
- ออง ซาน (ซ้าย) กับเจ้าส่วยไต (ขวา) ในวันร่างสนธิสัญญาปางหลวง (หน้า 33)
- มหาเทวีเฮือนคำ (หน้า 36)
- นายพลเนวินกับอู่ถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ (หน้า 40)
- เจ้าช้าง ณ ยองห้วยขณะกล่าวแก่ชาวบ้านในไทใหญ่ที่มาประชุมในปี 1967 (หน้า 42)
- กองทัพ SSA (หน้า 43)
- ภาพเจ้านางสุจันทรี (เสื้อขาว คนกลาง) ไปร่วมประชุมกับชาวบ้าน (หน้า 79) |
|
Text Analyst |
ธัมมิกา รอดวัตร์ |
Date of Report |
01 ต.ค. 2564 |
TAG |
ไทใหญ่, สตรีราชสำนัก, รัฐฉาน, พม่า, บทบาทของผู้หญิง, พื้นที่สาธารณะ, พื้นที่ส่วนตัว, การเมือง, ข้อตกลงปางหลวง, สังคม, วัฒนธรรม, ปิตาธิปไตย, สตรีนิยม, |
Translator |
- |
|