สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว, ชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์, ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์, คนเบี้ยล่าง, ภาพแทน, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร, กาญจนบุรี, ภาคตะวันตก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โผล่ว
Author บัณฑิต ไกรวิจิตร
Title การเผชิญกับภาพแทนของกะเหรี่ยงโผล่ว ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
Document Type Ph.D. Dissertation Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 220 Year 2559
Source ดุษฎีนิพนธ์หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (สหวิทยาการ) วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

นับตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ข้อถกเถียงทางการเมืองสิ่งแวดล้อมนิยม ขององค์กรอนุรักษ์และหน่วยงานรัฐ ซึ่งวางอยู่บนแนวคิดความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) และมีวิธีวิทยาที่เน้นให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางของการศึกษา (anthropocentrism) ได้อธิบายชาวโผล่วด้วยภาพแทนที่หยุดนิ่ง มองว่าชาวโผล่วเป็นผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจการเผชิญหน้าระหว่างชีวิตป่าได้ ภาพแทนดังกล่าวได้เข้ามาปะทะแบบพัวพันกับปฏิบัติการระหว่างชาวโผล่วและชีวิตป่าของพวกเขา จนท้ายที่สุดกดให้ชาวโผล่วมีสถานะ “เบี้ยล่าง” (subaltern) เมื่อผ่านเวลาไป 30 ปี ชาวโผล่วได้สร้างสรรค์ภาพแทนผสม (hybrid representation) ที่รวมเอาภาพแทนทั้งจากองค์กรภายนอกและภาพแทนชีวิตป่าของพวกเขาเองไว้ด้วยกัน และยังทำให้ชีวิตป่าเข้าสู่การต่อรองทางการเมืองกับปฏิบัติการและการสร้างภาพแทนชีวิตป่า
จากการศึกษาผู้วิจัยพบว่า ภาพแทนชีวิตป่าของชาวโผล่วเองมีลักษณะเป็นการสื่อสารระหว่างกันของชาวโผล่ว สัตว์ พืช และวัตถุ สิ่งของ จากการเผชิญหน้าพบพาน (encounter) ระหว่างชาวโผล่วกับชีวิตป่าด้านต่าง ๆ    จักรวาลวิทยา (cosmologies) ของชาวโผล่วได้จัดให้สรรพสิ่งในชีวิตป่ามีตัวมีตนที่เหมือนกับคน นอกจากนั้น ผู้วิจัยพยายามตอบคำถามว่าชาวโผล่วพูดได้หรือไม่จากสถานะเบี้ยล่างในการเมืองของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ชาวโผล่วนำเสนอภาพแทนให้ผู้วิจัยได้รับรู้ สะท้อนการโต้เถียงกับวาทกรรมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ภาพแทนนั้นเข้ามาเก็บกดชาวโผล่วให้ยอมรับความรู้และเรียกร้องให้พวกเขาพัฒนาตัวตนขึ้นมาจากภาพแทนนั้น จนกระทั่งผนึกตัวตนพวกเขาเข้ากับภาพแทนชีวิตป่าแล้วสะท้อนออกไปสู่สังคม

Focus

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพแทน ที่ถูกสร้างขึ้นให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว ในพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี ได้แสดงให้เห็นจักรวาลวิทยา (cosmologies) ของชาวโผล่วว่าเป็นผู้สร้างความรู้เกี่ยวกับป่า โดยปรัมปรา นิทาน เรื่องเล่า การนับถือผีและธรรมชาติ ได้ถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องมือในกระบวนการสร้างความเป็นสังคมชาวโผล่ว ผู้วิจัยใช้การศึกษาชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์ (trans-species ethnography) หรือ ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์ (multi-species ethnography) โดยพิจารณาว่า สิ่งมีชีวิตอื่นมองเห็น/เข้าใจท่าทางของคน และชาวโผล่วได้นำความเข้าใจที่ได้จากสัตว์ ต้นไม้ สิ่งของ และวัตถุ ย้อนกลับมานิยามความเป็นตนเองอย่างไร ผู้วิจัยค้นพบว่าชาวโผล่วได้ย้ายมุมมองข้ามไปคิดจากจุดยืนของชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ (multi-species) ในป่า แล้วย้อนกลับมานิยามความเป็นมนุษย์ (beyond human) วัฒนธรรมของพวกเขา ภาพแทนของชาวโผล่วจึงถูกผสมจากภาพแทน และมุมมองที่สัมพันธ์กันหลากหลาย/ข้ามสายพันธุ์ (multi/trans-species) ท้ายที่สุดนำมาสู่ข้อเสนอให้เปลี่ยนวิธีวิทยาจากการศึกษาที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) จากมุมมองของชาวโผล่วให้เน้นศึกษามุมมองของ สัตว์ ต้นไม้ สิ่งของ เครื่องมือ ฯลฯ

Theoretical Issues

งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่วในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดยเน้นศึกษามุมมองของชาวโผล่วที่มีต่อป่าผ่านการสร้าง “ภาพแทน” (representation) ผู้วิจัยใช้การเดินป่าร่วมกับชาวโผล่ว เดินป่าโดยลำพัง พูดคุยสนทนาแบบส่วนตัวและกลุ่ม และสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวัน เพื่อทำความเข้าใจว่า ชาวโผล่วมีความสัมพันธ์กับป่าอย่างไรผ่านการสร้างภาพแทน ปรัมปรา เรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ ประวัติชีวิต และเหตุการณ์ทางการ การศึกษาชาติพันธุ์นิพนธ์ในลักษณะนี้เรียกว่า “ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์” (multi-species ethnography) และ ชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์ (trans-species ethnography) (Kohn, 2013 & Kirksey and Helmreich, 2010) (น.2)
         
งานวิจัยนี้ เสนอให้นักวิชาการกลับมาทบทวนกรอบความคิดในการศึกษาชาวโผล่วและกลุ่มชนอื่นที่อยู่อาศัยในป่า ธรรมชาติและสัตว์เลี้ยงเพื่อนคู่คิด โดยเสนอก้าวข้ามการมองโดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) ไปสู่การสื่อสารที่มนุษย์มีกับชีวิตอื่น อาจช่วยให้พบความเป็นไปได้ที่จะเข้าใจการมีสังคมร่วมกันระหว่างมนุษย์และชีวิตอื่นโดยผ่านการสื่อสารภาษาทางอ้อม ทำให้การสื่อสารและภาพแทนที่มาจากสัตว์ พันธุ์พืช และวัตถุกลายเป็นข้อมูลของการวิจัย ด้วยมุมมองที่หลากหลายจากวิธีคิดของชีวิตป่าหรือชีวิตอื่น (น.29) กล่าวได้ว่า สัตว์และมนุษย์มีสถานะความเป็นบุคคลที่ตอบโต้อย่างมีสำนึก และต่างสังเกตระหว่างกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสมาชิกสายพันธุ์อื่น (Descola, 2005, p. 22) (น.101)

เลวี-สโทรสส์ (Claude Lévi-Strauss) เสนอว่าธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ในมโนทัศน์ของมนุษย์ได้แสดงผ่านการแปลความให้ปรากฏในรูปของสัญลักษณ์ โดยมีวัฒนธรรมแนบอยู่ในระดับสัญลักษณ์นั่นเอง (Descola, 2013b, pp. 27-28) ด้วยเหตุนี้วัฒนธรรมจึงเกิดขึ้นในพื้นที่ของการ “ตีความธรรมชาติ” อีกชั้นหนึ่ง โดยที่สถาบันทางสังคมเข้ามาตอบสนองต่อความต้องการทางชีววิทยาที่หลากหลายของมนุษย์ (Descola, 2013b, pp. 41-42) นอกเหนือจากมนุษย์ต้องการทางชีววิทยา ก็ยังต้องการสัญลักษณ์ด้วย ความต้องการในขั้นที่สองได้ส่งผลให้เกิดการจัดรูปองค์กรทางสังคมที่สร้างการปรับตัว (Descola, 2013b, pp. 42-43) “ธรรมชาติและวัฒนธรรมต่างก็มีความเป็นอิสระในการดำรงอยู่และต่างเข้ามากำหนดซึ่งกันและกัน” กรอบแนวคิดนี้มีส่วนช่วยออกจากกับดักเชิงโครงสร้างแบบคู่ตรงข้าม และหลีกเลี่ยงการลดทอนทั้งด้านสังคมมนุษย์และสังคมของชีววิทยา (น.37) รวมทั้งงานของโคฮ์นที่ยกตัวอย่างหญิงชาวรูนา ผู้สามารถใช้มุมมองของสัตว์เพื่อทำนายอนาคต เธอตีความความฝันและความปรารถนาของสุนัขล่าสัตว์ โดยเข้าถึงความเป็นตัวตนของของสุนัขได้ ชาวรูนาเรียนรู้วิธีการในการหลอมรวมตัวตนของตนเองให้มีมุมมองของสัตว์จากหลากหลายชนิดพันธุ์ การมีสำนึกข้ามสายพันธ์ทำให้เห็นสัญญะที่ดำรงอยู่ (Kohn, 2013, p. 132) (น.44)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่วเรียกตัวเองว่า “โผล่ว” ในดุษฎีนิพนธ์ ผู้วิจัยได้ใช้คำเรียกว่า “ชาวโผล่ว” โดยเป็นชื่อเรียกตามที่คนในใช้เรียกตัวเอง (น.4) มีผู้ให้ข้อมูลว่า “โผล่ว” ในภาษาของชาวโผล่วแปลว่า “คน” และชื่อเรียกที่ถูกต้องควรเป็น “ซู” และ “ส่อง” ทั้งนี้ ในปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่จะรื้อฟื้นให้ทั้งคนในและคนนอกหันกลับมาใช้คำว่า “ซู” และ “ส่อง” เพราะต่างเคยชินกับการใช้คำเรียกว่า “โผล่ว” และ “ปกากญอ” มีข้อมูลว่าคนสูงวัยนิยมให้ใช้คำเรียกว่า “โผล่ว” เรียกชื่อกลุ่มตัวเองได้โดยอนุโลมและยังเหมาะสมกว่าใช้คำว่า “กะเหรี่ยง” ซึ่งเป็นคำที่คนอื่นเรียกพวกเขาอย่างเหมารวม (น.5)

Study Period (Data Collection)

ผู้วิจัยเคยมีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่มาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2541ได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 สัปดาห์ ส่วนช่วงเวลาที่ทำวิจัยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เพื่อเก็บข้อมูลเขียนข้อเสนอดุษฎีนิพนธ์ หลังจากนั้นได้เข้าพื้นที่สลับกับการออกมาเขียนงานภายนอก ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลภาคสนามโดยครอบคลุมระหว่างปี พ.ศ. 2556-2558และเข้าทำงานสนามอีกครั้งในปี พ.ศ. 2559  เพื่อร่วมพิธีกรรมสำคัญในป่ากับชาวโผล่ว (น.41-42)

History of the Group and Community

นักวิชาการได้ให้ข้อมูลว่าชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายตามแนวชายแดนไทย-พม่าตั้งแต่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยคร่อมแนวชายแดน ไทย-พม่าทั้งสองฝั่ง บริเวณเทือกเขาตลอดแนวจากจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี (เทือกเขาถนนธงชัย) และตลอดจนถึงราชบุรี และเพชรบุรี (เทือกเขาตะนาวศรี) (Keyes, 1995, p. 31) (น.6) การกำหนดหรือคาดคะเนว่าชาวโผล่วตั้งถิ่นฐานมาเมื่อไหร่ ยาวนานเพียงใด เป็นเรื่องยาก เนื่องจากคนกะเหรี่ยงไม่นิยมจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีการบอกเล่าสืบทอดต่อกันมาหลายช่วงอายุคน จนข้อมูลส่วนนี้ได้เสื่อมหายไปตามกาลเวลา (ขวัญชีวัน บัวแดง, 2546, น.8)

ชาวโผล่วที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันกลายมาเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก ซึ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเมื่อปี พ.ศ. 2517 มีพื้นที่ทั้งหมด 3,200 ตารางกิโลเมตร คลอบคลุมพื้นที่ปกครองของ อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิของจังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งบริเวณนี้รับการเสนอให้ได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ (World Heritage Site) จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ชาวโผล่วได้รับผลกระทบจากการประกาศพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่ใช้ประโยชน์ เช่น หมู่บ้าน เส้นทางสัญจร พื้นที่ทำการเกษตร ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามหลักศาสนาและความเชื่อทางชาติพันธุ์ (น.11)

กรมป่าไม้ระบุว่าพื้นที่ไร่หมุนเวียนของชาวโผล่วเป็นไร่ร้างที่เสื่อมสภาพ จึงมีแผนเร่งฟื้นฟูป่าและหมู่บ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ตะวันออก จังหวัดตาก กรมป่าไม้ได้ย้ายชาวม้งออกจากป่า โดยมีเป้าหมายว่าจะย้ายชาวโผล่วทั้งหมดออก แล้ววางแผนป้องกันมิให้กลับเข้ามาตั้งหลักแหล่งในที่เดิม โดยมีเงื่อนไขว่าหากชาวโผล่วยังไม่ย้ายออกไปก็ให้ควบคุมไม่ให้มีการขยายหมู่บ้านและพื้นที่ทำกิน พร้อมทั้งกำหนดพื้นที่ทางกิจกรรมของชาวโผล่วไม่ให้ขยายตัว มุมมองของคนภายนอกโดยเฉพาะรัฐและองค์กรอนุรักษ์ ให้ข้อมูลว่าชาวโผล่วเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพป่ากลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ไร่ร้างในปัจจุบัน (มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, 2560) (น.12) ด้วยเหตุนี้ ชาวโผล่จึงได้ต่อสู้เพื่อสิทธิที่อยู่อาศัยในพื้นที่ และที่ผ่านมาชาวโผล่ยินดีสนับสนุนกิจกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ กิจกรรมด้านการอนุรักษ์ เช่น ร่วมงานกับนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จัดตระเวนและตรวจป่า ร่วมปราบปรามกรณีนักล่าสัตว์เพื่อการค้ามีอาวุธร้ายแรง รวมทั้งงานรื่นเริงและกิจกรรมทางด้านประเพณี (น.149)

Settlement Pattern

ในกรณีเส้นทางเก่าแก่ ชาวโผล่วจะเคารพเส้นทางนี้ และเตือนให้ผู้ติดตามระมัดระวังการใช้เส้นทางอยู่เสมอ เพราะเป็นทางผ่านของผี เจ้าพ่อ ที่ต่างไปมาหาสู่กันจากโลกหนึ่งไปยังอีกโลกหนึ่ง โดยเฉพาะเส้นทางที่ถูกใช้เป็นทางเชื่อมโป่งสัตว์ (salt lick) ชาวโผล่วไม่ตั้งหมู่บ้านขวางเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างโป่ง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทำที่พักอาศัยชั่วคราวบนเส้นทางเชื่อมระหว่างโป่งสัตว์ เพราะอาจสร้างอันตรายแก่ชีวิตสัตว์และทำให้เจ้าพ่อ/เจ้าแม่โป่งไม่พอใจ (น.64) การตั้งหมู่บ้านของชาวโผล่วจึงอยู่ห่างไกลจากโป่งพอสมควร

อย่างไรก็ตาม การตัดไม้ยืนต้นเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยมักสร้างข้อขัดแย้งเล็ก ๆ ระหว่างหน่วยงานรัฐและชาวโผล่วได้เสมอ ชาวโผล่วเชื่อว่าพวกเขาได้รับสิทธิตามธรรมชาติที่จะตัดไม้ใกล้ ๆ หมู่บ้านเพื่อใช้ตามความจำเป็น รวมทั้งชาวโผล่วยังสร้างกฎทางวัฒนธรรมในการห้ามและอนุญาตให้ใช้ไม้เพื่อปลูกสร้างบ้าน อาทิ การกำหนดข้อผ่อนปรนว่าสามารถตัดไม้ยืนต้นที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน เพื่อนำมาสร้างบ้านสำหรับแม่หม้ายและคนชราได้ (น.159)

Demography

มีชาวโผล่วที่อยู่นอกป่าเปลี่ยนแปลงไปเป็นใช้ชีวิตแบบคนส่วนใหญ่ ชาวโผล่วที่อยู่ภายนอกก็มีความสัมพันธ์กับชาวโผล่วที่อยู่ในป่าทุ่งใหญ่ ยังเป็นญาติที่ต่างไปมาหาสู่กัน (น.50)

Economy

พื้นที่ชาวโผล่วทั้ง 6หมู่บ้าน เป็นพื้นที่ทำไร่ข้าวประมาณ 4,993.58ไร่ (7.9ตารางกิโลเมตร) ร้อยละ 0.21ของพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่ และพื้นที่ป่าฟื้นฟูตามประเพณี เนื้อที่ประมาณ 100,561.01ไร่ (160ตารางกิโลเมตร) หรือร้อยละ 4.35ของพื้นป่าทุ่งใหญ่ทั้งหมด (มูลนิธิสืบนาคะเสถียร,2560) หากรวมพื้นที่ทั้งสองเข้าด้วยกัน ชาวโผล่วใช้พื้นที่ทั้งหมดเพียง 167.9ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 4.55ของพื้นที่ทั้งหมด

หากล่าสัตว์ตามประเพณี ชาวโผล่วไม่จำต้องกลัวเรื่องบาป พวกเขาเชื่อว่าการล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารได้รับการให้อภัย สิ่งสำคัญคือห้ามล่าเพื่อความโลภหวังร่ำรวย และต้องอยู่ในกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด การบัญญัติกฎข้อยกเว้นขึ้นมาเป็นไปตามความสัมพันธ์ระหว่างกฎของการอยู่รอดเพื่อการยังชีพ (น.116) ชาวโผล่วได้ผสมผสานความเชื่อและปรัมปราของพุทธศาสนา การล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร จะนำมาสู่การได้ไปเกิดในชาติภพที่ดีกว่า และกลายเป็นสัตว์ที่มีร่างกายใหญ่โต เช่น ช้าง ท้ายที่สุดก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ผู้สามารถหลุดพ้นได้โดยการบำเพ็ญ ถือศีลกินมังสวิรัติ ซึ่งแตกต่างจากความเชื่อเกี่ยวกับการล่าสัตว์ป่าแบบดั้งเดิมก่อนศาสนาพุทธ (น.117)

พรานชาวโผล่วในสมัยโบราณใช้แต่ธนู หน้าไม้ และการทำกับดัก ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้ปืนสำหรับล่าสัตว์ เรื่องเล่าในหลายหมู่บ้านชี้ว่าชาวโผล่วมีปืนมานานมากกว่า 100ปี (น.48) ชาวโผล่วเรียนรู้จากสัตว์ เช่น วิธีการหาอาหาร แหล่งหาอาหาร อาหารที่กินได้และอาหารเป็นพิษ ที่อยู่อาศัย อุทกภูมิศาสตร์ วาตภัย การอยู่อาศัยขณะเดินป่า การล่าเพื่อสร้างแนวอาณาเขต ฯลฯ (น.42) ภายใต้จักรวาลวิทยาของชาวโผล่ ทั้งสัตว์และคนอยู่ภายใต้กฎเดียวกัน เช่น ชาวโผล่จะไม่รบกวนชะนีด้วยการทำไร่ข้าวในพื้นที่ที่ชะนีอาศัยอยู่ (น.109)ชาวโผล่วอธิบายการใช้ชีวิตของตัวเองในลักษณะของการอยู่อาศัยป่า มากกว่าอ้างว่าเป็นคนป่า โดยทำการเกษตรไร่หมุนเวียน เริ่มต้นเมื่อเข้าหน้าแล้งใกล้ฝนก็จะฟันไร่ ระหว่างฟันไร่ก็ปลูกผักและดูแลสวนผลไม้ใกล้กับไร่ พวกเขาปลูกพืชหลาย ๆ อย่างในพื้นที่ (น.145) ชาวโผล่วมีทั้งประกอบอาชีพหาปลา ล่าสัตว์เพื่อยังชีพ มีรถยนต์ มีเครื่องอำนวยความสะดวกใช้ (น.22) สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลบางคนได้ใช้งบจากรัฐพัฒนาหมู่บ้าน จากองค์การบริหารส่วนตำบล มาสนับสนุนให้ชาวโผล่วทำไม้กวาดขาย (น.146) ในหน้าแล้งชาวโผล่วยังเตรียมเครื่องมือการเกษตร ทำจักสาน ท่องเที่ยวป่า ฯลฯ (น.147)

ชาวโผล่วมีชีวิตทางเศรษฐกิจด้วยการล่าสัตว์เก็บของป่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร (hunting and gathering) มีการทำการเกษตร แลกเปลี่ยนของป่าเพื่อสินค้าสำคัญ ชาวโผล่วมีระบบการเกษตรเรียกว่าระบบการทำไร่หมุนเวียน (swidden agriculture) ซึ่งพัฒนาต่อเนื่องมาหลายร้อยปี ที่สำคัญยังนำความรู้การเกษตรสมัยใหม่มาปรับใช้ ไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนาที่มาจากภายนอกแต่อย่างใด แต่ดำเนินภายใต้เงื่อนไขที่สังคมชาวโผล่วยอมรับได้ ปัจจุบันชาวโผล่วได้เริ่มทำสวนผลไม้โดยนำผลผลิตมาบริโภคและจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ นำมาสู่การแลกเปลี่ยนแรงงานและทรัพยากรทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน (น.50) 

นอกจากนั้น ชาวโผล่วได้รับการฝึกฝนทักษะการดำรงชีพทางเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน ชายชาวโผล่วจากสายตระกูลพรานมักสนใจเรียนรู้สังเกตการณ์เกี่ยวกับป่าและสัตว์ป่า แกะรอย ล่าสัตว์ป่า และเรียนรู้การสื่อสารของสัตว์มากกว่ากลุ่มคนที่อยู่ในตระกูลที่เชี่ยวชาญสัตว์น้ำ หรือมากกว่าชาวโผล่วสายตระกูลเก็บน้ำผึ้งป่า ในกรณีของผู้หญิง จะรู้จักอาหารพืชผักและสัตว์ป่าที่อยู่ในอาณาบริเวณหมู่บ้านมากกว่าผู้ชาย ผู้หญิงมักหาปลาและสัตว์เล็กใกล้หมู่บ้าน ส่วนผู้ชายมักรู้จักสัตว์ป่ามากกว่าผู้หญิง ผู้ชายเต็มวัยมักหาอาหารนอกหมู่บ้านหรือพื้นที่ที่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ที่สำคัญประสบการณ์การฝึกฝน เพศ และช่วงวัยที่แตกต่าง ทำให้ชาวโผล่วมีทักษะในการพยากรณ์สัญญาณและความรู้เกี่ยวกับสัตว์ป่าไม่เหมือนกัน (น.70) การเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นพรานมาจากความสมัครใจ โดยการถ่ายทอดความรู้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันจากพ่อ พี่ชาย ผู้เฒ่า และญาติ แม้ว่าจะมีความรู้เกี่ยวกับป่าที่สะสมมาจากพรานในหมู่บ้าน แต่การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองในชีวิตป่ากลับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด (น.111)

ชาวโผล่วมีศิลปะของการจำลองแบบ (mimesis) ตัวเองเข้าไปรับรู้เข้าใจในสิ่งที่สัตว์คิดโดยสลับ (switching) มุมมองของชาวโผล่วกับชีวิตอื่น จากนั้นได้นำมาประกอบรวมเข้าด้วยกัน (assemblage) ระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม มนุษย์ และสัตว์ ต่างอาศัยความรู้สำหรับการสื่อสาร เนื่องจากชาวโผล่วมีชีวิตอยู่ท่ามกลางชีวิตอื่น ๆ นับล้านชีวิต ตัวอย่างสำคัญในกรณีนี้คือต้นไม้ยืนต้นในป่าไผ่โดยส่วนใหญ่เป็นไม้โตเร็ว ชาวโผล่วจะตัดต้นไม้ให้เหลือตอไว้ให้สูงที่สุด ชาวโผล่วเชื่อว่าแม้รุกขจือจะถูกตัดลำต้นไปแต่รุกขจือยังไม่ตาย สามารถงอกทดแทนใหม่ได้ เมื่อตัดลำต้นแล้วมีกฎไม่ให้ทำร้ายลำต้น เช่น นำมีดไปสับ เพราะจะทำให้รุกขจือเจ็บปวดและอาจเสียชีวิตจริง ๆ (น.122) แสดงให้เห็นว่าชาวโผล่วมองรุกขจือว่ามีชีวิตเดียวกับคน (น.124) ส่วนต้นข้าว เป็นพืชที่มีชีวิตโดยมีหล่าประจำต้นข้าว ต้นข้าวถือว่ามีความผูกพันกับชีวิตชาวโผล่วมากกว่าพืชชนิดใด ๆ ชาวโผล่วนับถือต้นข้าวดุจยายแท้ ๆ (น.135)

Social Organization

ชาวโผล่วที่ป่าทุ่งใหญ่จำแนกออกได้เป็นหลายสายตระกูล โดยพบ 3สายตระกูลใหญ่ ได้แก่ 1) ฤษี 2) ปกครอง และ 3) พราน และมีกลุ่มย่อย ๆ เช่น กลุ่มหาน้ำผึ้งป่า กลุ่มขี่เสือ ฯลฯ บางกลุ่มเก่งในเรื่องการหาปลา หมอรักษาโรค (น.111)

การปกครองของชาวโผล่วมีลักษณะการดำรงอยู่ของตนเอง พร้อมทั้งจำแนกตัวเองโดยใช้ความแตกต่างที่มีกับกลุ่มอื่น รวมตัวเข้าเป็นสังคมทั้งระดับย่อย ๆ กลุ่มบ้าน หมู่บ้าน ตำบล เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร (น.132) ด้วยการที่ชาวโผล่วไม่ได้จำแนกสัตว์ออกมาจากมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ชาวโผล่วไม่มีวิธีคิดว่าสัตว์คือธรรมชาติและมนุษย์คือผู้มีวัฒนธรรม “ชีวิตป่า” ได้รวมพวกเขาไว้ในนั้น ด้วยเหตุนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในธรรมชาติ ไม่มีด้านตรงข้ามของธรรมชาติที่เป็นมนุษย์

Political Organization

ชาวโผล่วพยายามทำตัวให้อยู่ในกรอบที่รัฐต้องการ โดยสนับสนุนกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่รัฐขอแรงงาน อาทิ เข้าร่วมกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ ร่วมงานกับนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จัดตระเวนและตรวจป่า ร่วมปราบปรามกรณีนักล่าสัตว์เพื่อการค้ามีอาวุธร้ายแรง ประสานงานกับกลุ่มกองกำลังเพื่อนบ้านข้ามชายแดน เพื่อความมั่นคงของรัฐและการจัดการป่าในพื้นที่ร่วมระหว่าง ไทย-พม่า รวมถึงงานรื่นเริงและกิจกรรมทางด้านประเพณีต่าง ๆ ชาวโผล่วในพื้นที่ยังเชื่อมต่อความสัมพันธ์กับชาวโผล่วและปกากญอฝั่งพม่า จัดงาน “พิบือโย” ร่วมกัน เพื่อสร้างความสมัครสมานสามัคคีของคนที่อยู่ร่วมชายแดน (น.149) งานวิจัยนี้ยังได้ชี้ว่า การปรับตัวเองของชาวโผล่วเป็นกลยุทธ์เพื่อให้ดำรงอยู่ได้กับการเข้ามาของอำนาจทางราชการ ซึ่งควบคุมพื้นที่ความมั่นคง โดยเฉพาะแนวอาณาเขตชายแดน ไทย-พม่า และควบคุมพื้นที่อนุรักษ์เพื่อการพัฒนา ควบคุมศาสนาลัทธิและความเชื่อ และสร้างสำนึกเพื่อดึงประชากรเข้ามาเป็นพลเมืองของประเทศ (น.158)

Belief System

ศีลธรรมและกฎควบคุมชาวโผล่วยังรวมไปถึงการทำไร่ข้าว สัตว์ป่าบางชนิดเป็นตัวกลางสื่อสารจากเจ้าป่าถึงชาวโผล่ว ว่าพื้นที่นั้นได้รับอนุญาตให้เพาะปลูกได้หรือไม่ ชาวโผล่วจะทำพิธีกรรมเพื่อสื่อสาร หากมีเสียงร้องของสัตว์ เช่น เสียงเก้ง เสียงนกทุส่อง (นกขุนแผนดง) หมายถึงไม่อาจใช้พื้นที่นั้นได้ นอกจากนั้น นก เก้ง เต่า ชะนี คือตัวแทนของป่า ในกรณีที่สัตว์เหล่านี้ปรากฏตัวในพื้นที่ เท่ากับบอกว่าเจ้าป่าเจ้าที่ห้ามใช้พื้นที่นั้น ให้ย้ายไปพื้นที่อื่น (น.110)

ชาวโผล่วมีประสาทสัมผัส (senses) ค้นหาการสื่อสารจากสัตว์และพืช ชาวโผล่วเชื่อว่าที่ตั้งหมู่บ้าน ป่า และสัตว์ป่ามีเจ้าของ พวกเขาเป็นเพียงผู้ขอใช้โดยต้องอยู่ในกฎที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น กรณีทำผิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะส่งสัญญาณผ่านตัวแทนซึ่งเป็นสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น เสือ ชะนี สมเสร็จ อ้น เก้ง งูขาว นกเงือก ฯลฯ ชาวโผล่วจึงรอคอยฟังสัญญาณจากสัตว์เพื่อเข้าใจเจตนาเจ้าของป่า (น.62) ชาวโผล่วสนทนากับพวกสัตว์และผีเจ้าป่า เจ้าที่ เจ้าทาง ผีโป่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตีความธรรมชาติของชาวโผล่ว (น.38-39) ชาวโผล่วเชื่อว่า เสือ ชะนี สมเสร็จ อ้น เก้ง งูขาว นกเงือก ฯลฯ เป็นตัวแทนเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าที่ เจ้าทาง ฯลฯ ชาวโผล่วจึงได้สนใจเสียงสนทนาของสัตว์ (น.41) ชาวโผล่วมี “เจ้าป่า เจ้าเขา” ทำหน้าที่เป็นนายของป่า/ผู้ควบคุมป่า และทำหน้าที่สื่อสารกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่า ต้นไม้ ภูมิอากาศ ฯลฯ สำหรับชาวโผล่ว ธรรมชาติทั้งหมดมีเจ้าของและชาวโผล่วเป็นผู้ขอใช้ เจ้าของป่าอาจโกรธ ยินดี หรือทำสิ่งต้องประสงค์ใด ๆ ก็ได้ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชทั้งหมดถูกจัดระเบียบโดยนาย ธรรมชาติคือสิ่งที่ถูกสร้างและพวกเขาก็คือลูกของผู้สร้างที่เรียกว่า “ยฮวา” (น.39)

คน สัตว์ ธรรมชาติมี “หล่า” โดยเป็นสิ่งที่คล้ายวิญญาณหรือขวัญในวัฒนธรรมไทย สัตว์สามารถมองเห็นหล่าซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ชาวโผล่วไม่มี หากหล่าหนีออกจากร่างกายไปก็หมายความว่าหล่าได้ทิ้งร่างไป ชาวโผล่วจึงคอยสังเกตการส่งสัญญาณจากสัตว์ เพราะสัตว์คอยเตือนชาวโผล่วให้รู้ตัวเพื่อให้ชาวโผล่วเรียกหล่ากลับมาอยู่ในเรือนร่างเดิม ร่างกายจึงเป็นเพียงสถานที่อยู่อาศัยชั่วคราวของหล่า เมื่อหล่าอยู่ภายนอกก็จะล่องลอยจนในที่สุดสามารถเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ (น.103) ชาวโผล่วยังนับถือต้นไม้ใหญ่เหมือนราวกับว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ เพราะต้นไม้คือวงจรชีวิตที่ “หล่า” ต้องเวียนมาเกิดก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์ (น.117) สำหรับชาวโผล่ว สัตว์ ต้นไม้ สิ่งของ ฯลฯ จึงมีความเป็น “บุคคล” สะท้อนให้เห็นว่าชาวโผล่วและสัตว์ต่างขยายมโนทัศน์เข้าไปซ้อนกัน ไม่แบ่งแยกถาวรระหว่างสายพันธุ์ชีวิตและสิ่งของ (น.81)

ชาวโผล่วบูชาต้นข้าวเพราะมีนิทานกึ่งประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงทั้งชาวโผล่วและชาวปกากญอ และความเชื่อว่าหล่าของคนเชื่อมต่อกับหล่าของต้นข้าวเรียกว่า “พิบือโย” ชาวโผล่วมีพิธีกรรมต่าง ๆ มากมายที่รองรับการนำเข้าต้นข้าวเข้าสู่วัฒนธรรมชาวโผล่ว (น.82) ต้นไม้ใหญ่คือชีวิตที่มีอายุยืนยาวเหมือนกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ต้องเคารพ งานวิจัยชี้ว่างานพิธีกรรมพิบือโยไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธและคริสต์แต่อย่างใด แต่เมื่อชาวโผล่วนามาปฏิบัติที่บ้านตนเองได้เพิ่มงานพิธีการทางศาสนาพุทธ พร้อมทั้งทำให้เป็นงานพิธีการที่ดูยิ่งใหญ่ขึ้นผ่านการประดิษฐ์ประเพณีขึ้นใหม่ ด้วยการเพิ่มพิธีการทางศาสนาพุทธในวันงานทำบุญข้าวใหม่ ด้วยเหตุนี้งานบุญข้าวใหม่จึงแสดงให้เห็นการผสมผสานระหว่างพิบือโย พระแม่โพสพ และระหว่างผีและพุทธ (น.138) ชาวโผล่วยังประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาให้แก่หล่าบรรพบุรุษ (น.115)

พิธีกรรมในกรณีที่มีเด็กเกิด ชาวโผล่วจะนำมาฝากไว้กับต้นไม้ใหญ่ เด็กที่วัยใกล้เคียงกันหากนำรกมาแขวนต้นไม้เดียวกัน เขาจะกลายเป็นเสี่ยว (sole mate) อันหมายถึง เพื่อนที่ต่างดูแลกันและกัน พร้อมทั้งดูแลต้นไม้ต้นนั้นไปตลอดชีวิต (น.83)ภายใต้จักรวาลวิทยาของชาวโผล่ว ทั้งมนุษย์และสัตว์อยู่ภายใต้กฎเดียวกัน คนและสัตว์หมุนเวียนเปลี่ยนสถานะได้ โดยสัตว์ป่าสามารถถูกทำให้เชื่องจนเปลี่ยนเป็นสัตว์เลี้ยง ขณะที่เมื่อห่างจากคนก็กลายเป็นสัตว์ป่าได้ดังเดิม เช่น ควาย และ เสือ หรือในกรณีของชะนีที่เป็นสัตว์เตือนภัยร้ายแรง ชาวโผล่วดูแลชะนีรอบหมู่บ้านคล้ายสัตว์เลี้ยง ชาวโผล่วมีประเพณีว่าจะไม่รบกวนชะนี หากได้ยินเสียงชะนีร้องกลางคืนจะเป็นสัญลักษณ์ว่ามีภัยร้ายแรงในหมู่บ้าน ทุกคนจะต้องย้ายบ้านในคืนที่ได้ยินเสียงทันที (น.109) ในชีวิตประจำวันชาวโผล่วยังสื่อสารกับสัตว์และต้นไม้ เพื่อขอคำทำนายภูมิอากาศ โดยสัตว์แต่ละชนิดให้คำทำนายที่แม่นยำไม่เท่ากัน สัตว์แต่ละชนิดให้คำทำนายล่วงหน้าได้ภายในไม่กี่นาที เช่น ให้คำทำนายว่าฝนกำลังจะตก และสัตว์บางชนิดอาจให้คำทำนายเป็นช่วงฤดูกาลและข้ามปี (น.69)

ชาวโผล่วมีโลกทัศน์ด้วยว่าสัตว์เกือบทุกชนิดมีคุณธรรมประจำตัวที่ชาวโผล่วต้องฝึกฝน และใช้ความพยายามจึงจะปฏิบัติเช่นสัตว์ได้ เช่น การอธิบายว่าเสือโคร่งที่แม้จะสะสมอาหาร แต่ก็แบ่งปันอาหารให้แก่สัตว์อื่น ๆ ถึงเสือจะล่าชีวิตอื่นแต่ก็เพียงเพื่อการมีชีวิตรอด (น.130) ขณะเดียวกันสัตว์ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมอื่น ๆ ที่ชาวโผล่วมี สัตว์ไม่จำเป็นต้องยึดถือคุณธรรมชุดเดียวกับคน ชาวโผล่วอธิบายว่าเพราะคนก็มีคุณธรรมชั้นสูงที่สัตว์ไม่มี (น.131) ชาวโผล่วสามารถติดต่อกับชีวิตอื่นที่อยู่อีกโลกหนึ่งหลังความตายไปแล้วได้ ทั้งผ่านพิธีกรรม การสนทนาเป็นการส่วนตัว และการสนทนาในระดับพิธีกรรมทางสังคม (น.133) ชาวโผล่วมีโลกทัศน์ว่าสิ่งมีชีวิตต่างเชื่อมต่อกับความตาย ภายใต้พื้นที่ที่เรียกว่า “จักกะว่อง” ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำว่า “จักรวาล” ในภาษาบาลี หล่าที่อาศัยอยู่ในจักกะว่องต้องการสถานที่อยู่อาศัยใหม่ เมื่อคนตายลง หล่าก็จะออกจากร่าง ผ่านการอยู่อาศัยในจักกะว่องอาจจะยาวนานหลายปีก่อนมาเกิดใหม่ (น.126) กล่าวได้ว่า สิ่งมีชีวิตสามารถข้ามเปลี่ยนเป็นสายพันธุ์อื่นได้โดยผ่านการตายและเข้าสู่วงจรของการเวียนว่ายตายเกิด ความตายเข้ามาแบ่งแยกหล่าออกจากร่างกายของสิ่งมีชีวิต และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนบทบาทระหว่างสายพันธุ์ของคนและชีวิตที่หลากหลาย หล่าดำรงอยู่ในโลกเชิงซ้อนโดยซ้อนทับระหว่างโลกของผีหรือจิตวิญญาณของชีวิตป่าอันเป็นโลกศักดิ์สิทธิ์ (sacred world) และโลกสามัญ (profane world) (น.129)

Education and Socialization

กิจกรรมการล่าสัตว์ของชาวโผล่วใกล้เคียงกับที่ มอริส (Morris, 2000 [1998], p. 62) เสนอว่าสำหรับชนพื้นเมือง การล่าสัตว์ เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบยังชีพทั้งยังมีคุณค่าในเชิงสัญลักษณ์ ประเพณี วัฒนธรรม ในการสืบทอดความเป็นชาย (Morris, 2000 [1998], pp. 48-49) ผู้ชายชาวโผล่วสร้างคุณค่าความเป็นชาย ความยอมรับในสังคมผ่านกิจกรรมการล่าสัตว์ ทั้งยังต้องเป็นการล่าที่ถูกต้องตามคุณค่าดั้งเดิมซึ่งต้องถ่ายทอดความรู้จากพ่อ ญาติ พี่ชาย และจากผู้อาวุโสทั้งในหมู่บ้านและเดินทางไปขอความรู้ยังที่ห่างไกล ความสัมพันธ์ระหว่างการล่าสัตว์และความเป็นชายช่วยยกระดับให้มีสถานะทางสังคมสูงมากยิ่งขึ้น และตอกย้ำความสัมพันธ์ในเครือญาติฝ่ายชายด้วย (Morris, 2000 [1998], pp. 64-65) (น.46-47)

Health and Medicine

ชาวโผล่วในป่าทุ่งใหญ่เลือกใช้ยาสมัยใหม่ร่วมกับสมุนไพร โดยไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดว่ายาที่รับมาจากโรงพยาบาลจะเข้ามาทำลายความรู้ของตนเอง ชาวโผล่วสามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ (น.50)

ชาวโผล่วยังมีจักรวาลวิทยาที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อ คน สัตว์ และพืช ตายไปแล้ว ก็จะกลายเป็นพืชเซลล์เดียว หรือที่เรียกว่า “อีแงะ” (ไลเคน) จากนั้นจึงหมุนเวียนไปเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นในป่า นอกจากชาวโผล่วจะระวังไม่ให้ร่างกายเจ็บป่วย ชาวโผล่วมองว่าร่างกายเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวของหล่า (คล้ายกับ “วิญญาณ” ในพุทธศาสนา) และต้องระวังไม่ให้หล่าหนีออกจากร่าง สัตว์มีคุณสมบัติที่สามารถมองเห็นหล่าได้ ด้วยเหตุนี้ชาวโผล่วจึงมักสังเกตสัญญาณจากสัตว์ที่คอยเตือนเมื่อหล่าออกจากร่าง (น.171-172) 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชาวโผล่วมีโทรทัศน์ ดีวีดี วิทยุ ซึ่งสามารถเปิดชมเพลงและละครภาษากะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่า (น.48) 

Folklore

ชาวโผล่วมีคติชนสำคัญหนึ่งว่า หากเสือเข้าหมู่บ้านแสดงว่าขณะนั้นหญิงชายในหมู่บ้านกำลังมีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม เช่น แอบมีเพศสัมพันธ์ เป็นชู้ ผู้เฒ่าผู้แก่จะสืบให้ทราบว่าใครเป็นผู้ทำผิด และจะให้ทั้งคู่แต่งงาน ไม่จำเป็นต้องมีสินสอดมีข้าวเพียงจานเดียว โดยให้พ่อแม่ของหญิงและชายมาทำพิธี ที่สำคัญหากลอบเป็นชู้ ต้องมีการสอบสวน ขอขมา ทำพิธีกรรมล้างความผิด และการลงโทษ ชายหญิงที่มีเพศสัมพันธ์โดยการเป็นชู้ จะถูกลงโทษค่อนข้างรุนแรง โดยให้กินอาหารในรางข้าวหมาแล้วไล่ให้คลานเหมือนหมาลงจากบ้าน คู่ชู้จะต้องออกไปใช้ชีวิตกันนอกหมู่บ้าน โดยยังอยู่ในบริเวณที่ผู้คนเห็นได้ ยังมีกฎว่าห้ามทำอาหารกินเองเมื่อหิวให้เคาะฝาหม้อดัง ๆ จนมีคนนำอาหารมาให้ การลงโทษจะดำเนินไปจนกว่าเห็นพ้องว่าให้คู่ชู้กลับมาเข้าหมู่บ้านได้ เมื่อกลับมาคู่สามีภรรยาของชายและหญิงที่คบชู้ต้องยืนยันว่ายังยอมรับคู่สามีภรรยาของตนเองหรือไม่ หากไม่ยอมรับ คู่ชู้จะคบกันต่อหรือไม่ก็สามารถตัดสินใจได้ หากตัดสินใจว่าไม่มีความสัมพันธ์กันต่อไป ก็ให้แยกกันอยู่ หย่าร้าง และห้ามมีเพศสัมพันธ์ในคู่เดิม หากคู่สามีภรรยาเดิมต้องการครองเรือนก็จะต้องแต่งงานใหม่โดยมีพยานรับรู้ ไม่สามารถนอนด้วยกันได้ถึงแม้จะตกลงปลงใจกลับมาอยู่คู่กันก็ตาม (น.105)

ชาวโผล่ยังมีนิทานหลายเรื่องที่สอนด้านศีลธรรม และสะท้อนจักรวาลวิทยาของชาวโผล่ที่สลายเส้นแบ่งระหว่างคนกับสัตว์ลง เช่น นิทาน “เสือคน” (คี่สา) (น.107-108)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ชาวโผล่มีจักรวาลวิทยาที่แสดงให้เห็นว่าทุกชีวิตมีหน้าที่ และพร้อมจะดำรงไปสู่สายพันธุ์อื่น ชาวโผล่วมีกลยุทธ์ที่จะสร้างความหมายใหม่ให้แก่ภาพแทนที่คน/หน่วยงานภายนอกมอบให้ โดยใช้ความรู้ปรัมปรา เรื่องเล่า ฯลฯ เป็นเครื่องมือ ภาพแทนที่ชาวโผล่วสร้างขึ้นสะท้อนให้เห็นปฏิบัติการทางการเมืองของชาวโผล่วเพื่อสิทธิ์ด้านที่อยู่อาศัย ตลอด 4ทศวรรษที่ผ่านมา ชาวโผล่วได้ปรับตัวเพื่อดำรงอยู่กับอำนาจของราชการที่พยายามควบคุมพื้นที่และสร้างสำนึกด้วยการดึงกลุ่มชาติพันธุ์ให้เข้ามาเป็นพลเมือง ในด้านหนึ่งได้ตอกย้ำให้ชาวโผล่วเป็นพลเมืองชั้นสองและต้องถูกย้ายออกจากป่า
ทั้งนี้ แม้ว่าชีวิตทางเศรษฐกิจของชาวโผล่วจะผูกพันกับการล่าสัตว์ แต่มีชาวโผล่วจำนวนมากที่กินเจ (น.152)

Social Cultural and Identity Change

ชาวโผล่วเลือกที่จะสร้างการยอมรับ ด้วยการรับเครื่องมือ/ความรู้จากภายนอกเข้ามาประสานกับความรู้ภายใน เช่น การทำแผนที่สมัยใหม่ การวิจัยสัตว์ป่า การวิจัยทางการเกษตร ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการอยู่ร่วมกับภาพแทน (น.51)

Critic Issues

เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ (น.33) ที่วาทกรรมความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ได้สร้างเงื่อนไขกดดันให้ชาวโผล่วต้องมีวัฒนธรรมดั้งเดิมสวยงาม ชาวโผล่วมักถูกสร้างภาพแทนแบบลดทอนและผิดเพี้ยน โดยเฉพาะการตอกย้ำว่าชาวโผล่วเป็นผู้จัดการทรัพยากรธรรมชาติ หรือ กะเหรี่ยงนักอนุรักษ์ เป็นผู้อาศัยความรู้ด้านนิเวศน์วิทยาที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ในแง่หนึ่งการสร้างภาพแทนนี้แฝงไว้ด้วยวาระทางการเมืองที่เรียกร้องให้ชาวโผล่วร่วมมือกับองค์กรภายนอกบางแห่ง เพื่อใช้อ้างสิทธิในการอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าได้ต่อไป ขณะที่ภาพแทนนี้ได้ผูกมัดความรู้ชาวโผล่วไว้กับอดีตที่ยาวนาน โดยละเลยความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวผ่านความรู้ใหม่ (น.22-24) ชาวโผล่วสร้างความสัมพันธ์กับภาพแทนในเชิงการเมือง มากกว่าการยอมรับความหมายที่ผู้อื่นมอบให้อย่างง่ายดาย ชาวโผล่วใช้กลยุทธ์ด้วยการสร้างประเพณีประดิษฐ์ใหม่ เพื่อกลมกลืนภาพแทนความเป็นชาวโผล่วเข้าสู่การรับรู้ของคนไทย ขณะเดียวกันยังคงรักษาตัวตนภายในสังคมของชาวโผล่วไว้

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 2000กระแสการเคลื่อนไหวทางการเมืองชาติพันธุ์มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องเพื่อยกระดับสิทธิทางวัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวเสนอว่า ภูเขา แม่น้า พื้นดิน หรือธรรมชาติต่างก็มีความรู้สึก ไม่ได้เป็นแค่เพียงทรัพยากรธรรมชาติ ข้อเสนอนี้โต้แย้งแนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์มีอำนาจและมีเหตุผลจึงเป็นตัวแทนสิ่งอื่น ๆ ได้ กระแสดังกล่าวได้เสนอให้เพิ่มสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (nonhumans) เข้ามาเป็นผู้มีบทบาทในพื้นที่ทางการเมือง (Cadena, 2010, pp. 363-364) ชนพื้นเมืองที่มีชีวิตทางเศรษฐกิจด้วยการล่าสัตว์ ยังชีพในหลาย ๆ ที่ รู้จักชีวิตอื่นใน สถานะของบุคคล (persons) เช่น คุยกับสัตว์เหมือนกับว่ามันเป็นลูกหลานหรือบรรพบุรุษ (Tsing, 2015, pp.155-156) (น.47) กล่าวได้ว่าสัตว์และมนุษย์มีการสร้างเงื่อนไขความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง สัตว์เป็นส่วนหนึ่งในสังคมมนุษย์มากกว่าที่จะเป็นสัญลักษณ์ ในปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์จึงเป็นมากกว่าการลดทอนให้สัตว์เป็นเพียงภาพแทนที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง อันเป็นข้อเสนอที่นักวิชาการหลายคน (Castro 1992, Fausto 2007, Fuentes 2010, Ingold 1994, Sulkin 2005 and Vilaca 2000 อ้างถึงใน Shir-Vertesh, 2012) ได้โต้แย้งสมมติฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ (น.46)

ชาวโผล่วมีความรู้ทางจักรวาลวิทยาและความรู้ด้านนิเวศวิทยา อันมีความซับซ้อนและอยู่ในเครือข่ายที่สัมพันธ์กันระหว่าง มนุษย์ สัตว์ และพืช โดยซ้อนทับในอาณาบริเวณพื้นที่ สถานที่ ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ (habitat) ร่วมกัน จึงมีวัฒนธรรมและข้อห้ามที่ตกทอดและปรับปรนร่วมกัน (น.47) ชาวโผล่วสร้างภาพแทนจากนิเวศน์และชีวิตป่า (wildlife) อันหมายถึง สัตว์และพันธุ์พืช รา มอส ไลเคน ที่ดิน ก้อนหิน และคน (น.33) กล่าวได้ว่า ความรู้ทางนิเวศน์ของชาวโผล่วเป็นความรู้ที่ใหม่อยู่เสมอซึ่งเกิดจากความสนใจของปัจเจกที่ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญ ไม่มีองค์ความรู้ดั้งเดิมที่ชัดเจนหรือข้อสรุปใด ๆ ให้ชาวโผล่วเรียนรู้ ความรู้ได้รับการเก็บรักษาไว้ผ่านตัวแสดงต่าง ๆ

Map/Illustration

ตาราง
- รายการส่งออกของสยาม ในปี ค.ศ. 1852 (น.8)
ภาพ
- ภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (น.9)
- การจัดกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย (น.10)
- เส้นทางเดิน สามารถพบรอยสัตว์ป่าได้ตลอดเส้นทาง (น.63)
- เส้นทางเดินเล็ก ๆ ตามไหล่เขา (น.65)
- เส้นทางเดินในป่า ลัดเลาะตามที่ราบระหว่างภูเขา (น.66)
- สะพานไม้ไผ่ สำหรับฤดูฝนช่วยให้ข้ามลำห้วยสายน้ำเชี่ยว (น.67)
- เส้นทางในลำห้วย ในบางครั้งเส้นทางก็เลือนหาย (น.68)
- ต้นไม้ใหญ่คือชีวิตที่มีอายุยืนยาวเหมือนกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ต้องเคารพ (น.83)
- ชาวโผล่วผู้หาอาหารในป่า (gatherer) (น.95)
- ผู้หญิงโผล่วกำลังเดินทางไปตกปลาที่ลาห้วยใกล้หมู่บ้าน (น.97)
- ชาวโผล่วทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ ให้แก่ “หล่า” บรรพบุรุษ (น.115)
- ชาวโผล่วพร้อมใจกันในการสร้างประเพณีประดิษฐ์ การทำบุญให้แก่บรรพบุรุษ (น.115)
- ต้นไม้ในไร่ซากมีร่องรอยของการถูกตัดซ้ำหลายครั้ง (น.118)
- ต้นไม้ใหญ่ในไร่ซาก ต้นไม้ใหญ่จะไม่ถูกโค่นเพื่อใช้พื้นที่ (น.120)
- ต้นไม้คือบุคคล และบางครั้งก็เปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่ พี่น้อง และเพื่อนมิตร (น.121)
- หลังจากทำพิธีเลือกพื้นที่เสร็จแล้วก็ทำสัญลักษณ์ ว่าเจ้าที่อนุญาต (น.123)
- ไลเคน (lichen) หรือ อีแงะ ชาวโผล่วเชื่อว่าเมื่อตายไปหล่าจะไปเกิดเป็นสายพันธุ์อื่น (น.128)
- แม่บ้านทอผ้า (น.148)
- ต้นไผ่เริ่มงอกหลังจากชาวโผล่วตัด ฟัน และเผาได้ไม่นาน (น.156)
- ภาพเปรียบเทียบระหว่างป่าไผ่และพื้นที่ที่ถูกตัด ฟัน และเผา (น.157)

Text Analyst บัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ Date of Report 01 ต.ค. 2564
TAG กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว, ชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์, ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์, คนเบี้ยล่าง, ภาพแทน, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร, กาญจนบุรี, ภาคตะวันตก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โผล่ว, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง