|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว, ชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์, ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์, คนเบี้ยล่าง, ภาพแทน, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร, กาญจนบุรี, ภาคตะวันตก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โผล่ว |
Author |
บัณฑิต ไกรวิจิตร |
Title |
การเผชิญกับภาพแทนของกะเหรี่ยงโผล่ว ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร |
Document Type |
Ph.D. Dissertation |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
220 |
Year |
2559 |
Source |
ดุษฎีนิพนธ์หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (สหวิทยาการ) วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
นับตั้งแต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ข้อถกเถียงทางการเมืองสิ่งแวดล้อมนิยม ขององค์กรอนุรักษ์และหน่วยงานรัฐ ซึ่งวางอยู่บนแนวคิดความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) และมีวิธีวิทยาที่เน้นให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางของการศึกษา (anthropocentrism) ได้อธิบายชาวโผล่วด้วยภาพแทนที่หยุดนิ่ง มองว่าชาวโผล่วเป็นผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจการเผชิญหน้าระหว่างชีวิตป่าได้ ภาพแทนดังกล่าวได้เข้ามาปะทะแบบพัวพันกับปฏิบัติการระหว่างชาวโผล่วและชีวิตป่าของพวกเขา จนท้ายที่สุดกดให้ชาวโผล่วมีสถานะ “เบี้ยล่าง” (subaltern) เมื่อผ่านเวลาไป 30 ปี ชาวโผล่วได้สร้างสรรค์ภาพแทนผสม (hybrid representation) ที่รวมเอาภาพแทนทั้งจากองค์กรภายนอกและภาพแทนชีวิตป่าของพวกเขาเองไว้ด้วยกัน และยังทำให้ชีวิตป่าเข้าสู่การต่อรองทางการเมืองกับปฏิบัติการและการสร้างภาพแทนชีวิตป่า
จากการศึกษาผู้วิจัยพบว่า ภาพแทนชีวิตป่าของชาวโผล่วเองมีลักษณะเป็นการสื่อสารระหว่างกันของชาวโผล่ว สัตว์ พืช และวัตถุ สิ่งของ จากการเผชิญหน้าพบพาน (encounter) ระหว่างชาวโผล่วกับชีวิตป่าด้านต่าง ๆ จักรวาลวิทยา (cosmologies) ของชาวโผล่วได้จัดให้สรรพสิ่งในชีวิตป่ามีตัวมีตนที่เหมือนกับคน นอกจากนั้น ผู้วิจัยพยายามตอบคำถามว่าชาวโผล่วพูดได้หรือไม่จากสถานะเบี้ยล่างในการเมืองของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ชาวโผล่วนำเสนอภาพแทนให้ผู้วิจัยได้รับรู้ สะท้อนการโต้เถียงกับวาทกรรมการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ภาพแทนนั้นเข้ามาเก็บกดชาวโผล่วให้ยอมรับความรู้และเรียกร้องให้พวกเขาพัฒนาตัวตนขึ้นมาจากภาพแทนนั้น จนกระทั่งผนึกตัวตนพวกเขาเข้ากับภาพแทนชีวิตป่าแล้วสะท้อนออกไปสู่สังคม
|
|
Focus |
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพแทน ที่ถูกสร้างขึ้นให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว ในพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี ได้แสดงให้เห็นจักรวาลวิทยา (cosmologies) ของชาวโผล่วว่าเป็นผู้สร้างความรู้เกี่ยวกับป่า โดยปรัมปรา นิทาน เรื่องเล่า การนับถือผีและธรรมชาติ ได้ถูกดึงเข้ามาเป็นเครื่องมือในกระบวนการสร้างความเป็นสังคมชาวโผล่ว ผู้วิจัยใช้การศึกษาชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์ (trans-species ethnography) หรือ ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์ (multi-species ethnography) โดยพิจารณาว่า สิ่งมีชีวิตอื่นมองเห็น/เข้าใจท่าทางของคน และชาวโผล่วได้นำความเข้าใจที่ได้จากสัตว์ ต้นไม้ สิ่งของ และวัตถุ ย้อนกลับมานิยามความเป็นตนเองอย่างไร ผู้วิจัยค้นพบว่าชาวโผล่วได้ย้ายมุมมองข้ามไปคิดจากจุดยืนของชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ (multi-species) ในป่า แล้วย้อนกลับมานิยามความเป็นมนุษย์ (beyond human) วัฒนธรรมของพวกเขา ภาพแทนของชาวโผล่วจึงถูกผสมจากภาพแทน และมุมมองที่สัมพันธ์กันหลากหลาย/ข้ามสายพันธุ์ (multi/trans-species) ท้ายที่สุดนำมาสู่ข้อเสนอให้เปลี่ยนวิธีวิทยาจากการศึกษาที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) จากมุมมองของชาวโผล่วให้เน้นศึกษามุมมองของ สัตว์ ต้นไม้ สิ่งของ เครื่องมือ ฯลฯ
|
|
Theoretical Issues |
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่วในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี โดยเน้นศึกษามุมมองของชาวโผล่วที่มีต่อป่าผ่านการสร้าง “ภาพแทน” (representation) ผู้วิจัยใช้การเดินป่าร่วมกับชาวโผล่ว เดินป่าโดยลำพัง พูดคุยสนทนาแบบส่วนตัวและกลุ่ม และสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวัน เพื่อทำความเข้าใจว่า ชาวโผล่วมีความสัมพันธ์กับป่าอย่างไรผ่านการสร้างภาพแทน ปรัมปรา เรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ ประวัติชีวิต และเหตุการณ์ทางการ การศึกษาชาติพันธุ์นิพนธ์ในลักษณะนี้เรียกว่า “ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์” (multi-species ethnography) และ ชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์ (trans-species ethnography) (Kohn, 2013 & Kirksey and Helmreich, 2010) (น.2)
งานวิจัยนี้ เสนอให้นักวิชาการกลับมาทบทวนกรอบความคิดในการศึกษาชาวโผล่วและกลุ่มชนอื่นที่อยู่อาศัยในป่า ธรรมชาติและสัตว์เลี้ยงเพื่อนคู่คิด โดยเสนอก้าวข้ามการมองโดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) ไปสู่การสื่อสารที่มนุษย์มีกับชีวิตอื่น อาจช่วยให้พบความเป็นไปได้ที่จะเข้าใจการมีสังคมร่วมกันระหว่างมนุษย์และชีวิตอื่นโดยผ่านการสื่อสารภาษาทางอ้อม ทำให้การสื่อสารและภาพแทนที่มาจากสัตว์ พันธุ์พืช และวัตถุกลายเป็นข้อมูลของการวิจัย ด้วยมุมมองที่หลากหลายจากวิธีคิดของชีวิตป่าหรือชีวิตอื่น (น.29) กล่าวได้ว่า สัตว์และมนุษย์มีสถานะความเป็นบุคคลที่ตอบโต้อย่างมีสำนึก และต่างสังเกตระหว่างกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับสมาชิกสายพันธุ์อื่น (Descola, 2005, p. 22) (น.101)
เลวี-สโทรสส์ (Claude Lévi-Strauss) เสนอว่าธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ในมโนทัศน์ของมนุษย์ได้แสดงผ่านการแปลความให้ปรากฏในรูปของสัญลักษณ์ โดยมีวัฒนธรรมแนบอยู่ในระดับสัญลักษณ์นั่นเอง (Descola, 2013b, pp. 27-28) ด้วยเหตุนี้วัฒนธรรมจึงเกิดขึ้นในพื้นที่ของการ “ตีความธรรมชาติ” อีกชั้นหนึ่ง โดยที่สถาบันทางสังคมเข้ามาตอบสนองต่อความต้องการทางชีววิทยาที่หลากหลายของมนุษย์ (Descola, 2013b, pp. 41-42) นอกเหนือจากมนุษย์ต้องการทางชีววิทยา ก็ยังต้องการสัญลักษณ์ด้วย ความต้องการในขั้นที่สองได้ส่งผลให้เกิดการจัดรูปองค์กรทางสังคมที่สร้างการปรับตัว (Descola, 2013b, pp. 42-43) “ธรรมชาติและวัฒนธรรมต่างก็มีความเป็นอิสระในการดำรงอยู่และต่างเข้ามากำหนดซึ่งกันและกัน” กรอบแนวคิดนี้มีส่วนช่วยออกจากกับดักเชิงโครงสร้างแบบคู่ตรงข้าม และหลีกเลี่ยงการลดทอนทั้งด้านสังคมมนุษย์และสังคมของชีววิทยา (น.37) รวมทั้งงานของโคฮ์นที่ยกตัวอย่างหญิงชาวรูนา ผู้สามารถใช้มุมมองของสัตว์เพื่อทำนายอนาคต เธอตีความความฝันและความปรารถนาของสุนัขล่าสัตว์ โดยเข้าถึงความเป็นตัวตนของของสุนัขได้ ชาวรูนาเรียนรู้วิธีการในการหลอมรวมตัวตนของตนเองให้มีมุมมองของสัตว์จากหลากหลายชนิดพันธุ์ การมีสำนึกข้ามสายพันธ์ทำให้เห็นสัญญะที่ดำรงอยู่ (Kohn, 2013, p. 132) (น.44)
|
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่วเรียกตัวเองว่า “โผล่ว” ในดุษฎีนิพนธ์ ผู้วิจัยได้ใช้คำเรียกว่า “ชาวโผล่ว” โดยเป็นชื่อเรียกตามที่คนในใช้เรียกตัวเอง (น.4) มีผู้ให้ข้อมูลว่า “โผล่ว” ในภาษาของชาวโผล่วแปลว่า “คน” และชื่อเรียกที่ถูกต้องควรเป็น “ซู” และ “ส่อง” ทั้งนี้ ในปัจจุบันเป็นเรื่องยากที่จะรื้อฟื้นให้ทั้งคนในและคนนอกหันกลับมาใช้คำว่า “ซู” และ “ส่อง” เพราะต่างเคยชินกับการใช้คำเรียกว่า “โผล่ว” และ “ปกากญอ” มีข้อมูลว่าคนสูงวัยนิยมให้ใช้คำเรียกว่า “โผล่ว” เรียกชื่อกลุ่มตัวเองได้โดยอนุโลมและยังเหมาะสมกว่าใช้คำว่า “กะเหรี่ยง” ซึ่งเป็นคำที่คนอื่นเรียกพวกเขาอย่างเหมารวม (น.5)
|
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัยเคยมีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่มาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2541ได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ปีละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 สัปดาห์ ส่วนช่วงเวลาที่ทำวิจัยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เพื่อเก็บข้อมูลเขียนข้อเสนอดุษฎีนิพนธ์ หลังจากนั้นได้เข้าพื้นที่สลับกับการออกมาเขียนงานภายนอก ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลภาคสนามโดยครอบคลุมระหว่างปี พ.ศ. 2556-2558และเข้าทำงานสนามอีกครั้งในปี พ.ศ. 2559 เพื่อร่วมพิธีกรรมสำคัญในป่ากับชาวโผล่ว (น.41-42)
|
|
History of the Group and Community |
นักวิชาการได้ให้ข้อมูลว่าชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายตามแนวชายแดนไทย-พม่าตั้งแต่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีชาวกะเหรี่ยงอาศัยคร่อมแนวชายแดน ไทย-พม่าทั้งสองฝั่ง บริเวณเทือกเขาตลอดแนวจากจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี (เทือกเขาถนนธงชัย) และตลอดจนถึงราชบุรี และเพชรบุรี (เทือกเขาตะนาวศรี) (Keyes, 1995, p. 31) (น.6) การกำหนดหรือคาดคะเนว่าชาวโผล่วตั้งถิ่นฐานมาเมื่อไหร่ ยาวนานเพียงใด เป็นเรื่องยาก เนื่องจากคนกะเหรี่ยงไม่นิยมจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีการบอกเล่าสืบทอดต่อกันมาหลายช่วงอายุคน จนข้อมูลส่วนนี้ได้เสื่อมหายไปตามกาลเวลา (ขวัญชีวัน บัวแดง, 2546, น.8)
ชาวโผล่วที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันกลายมาเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก ซึ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเมื่อปี พ.ศ. 2517 มีพื้นที่ทั้งหมด 3,200 ตารางกิโลเมตร คลอบคลุมพื้นที่ปกครองของ อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิของจังหวัดกาญจนบุรี และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งบริเวณนี้รับการเสนอให้ได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ (World Heritage Site) จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ชาวโผล่วได้รับผลกระทบจากการประกาศพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่ใช้ประโยชน์ เช่น หมู่บ้าน เส้นทางสัญจร พื้นที่ทำการเกษตร ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามหลักศาสนาและความเชื่อทางชาติพันธุ์ (น.11)
กรมป่าไม้ระบุว่าพื้นที่ไร่หมุนเวียนของชาวโผล่วเป็นไร่ร้างที่เสื่อมสภาพ จึงมีแผนเร่งฟื้นฟูป่าและหมู่บ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ตะวันออก จังหวัดตาก กรมป่าไม้ได้ย้ายชาวม้งออกจากป่า โดยมีเป้าหมายว่าจะย้ายชาวโผล่วทั้งหมดออก แล้ววางแผนป้องกันมิให้กลับเข้ามาตั้งหลักแหล่งในที่เดิม โดยมีเงื่อนไขว่าหากชาวโผล่วยังไม่ย้ายออกไปก็ให้ควบคุมไม่ให้มีการขยายหมู่บ้านและพื้นที่ทำกิน พร้อมทั้งกำหนดพื้นที่ทางกิจกรรมของชาวโผล่วไม่ให้ขยายตัว มุมมองของคนภายนอกโดยเฉพาะรัฐและองค์กรอนุรักษ์ ให้ข้อมูลว่าชาวโผล่วเป็นสาเหตุที่ทำให้สภาพป่ากลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ไร่ร้างในปัจจุบัน (มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, 2560) (น.12) ด้วยเหตุนี้ ชาวโผล่จึงได้ต่อสู้เพื่อสิทธิที่อยู่อาศัยในพื้นที่ และที่ผ่านมาชาวโผล่ยินดีสนับสนุนกิจกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ กิจกรรมด้านการอนุรักษ์ เช่น ร่วมงานกับนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จัดตระเวนและตรวจป่า ร่วมปราบปรามกรณีนักล่าสัตว์เพื่อการค้ามีอาวุธร้ายแรง รวมทั้งงานรื่นเริงและกิจกรรมทางด้านประเพณี (น.149)
|
|
Settlement Pattern |
ในกรณีเส้นทางเก่าแก่ ชาวโผล่วจะเคารพเส้นทางนี้ และเตือนให้ผู้ติดตามระมัดระวังการใช้เส้นทางอยู่เสมอ เพราะเป็นทางผ่านของผี เจ้าพ่อ ที่ต่างไปมาหาสู่กันจากโลกหนึ่งไปยังอีกโลกหนึ่ง โดยเฉพาะเส้นทางที่ถูกใช้เป็นทางเชื่อมโป่งสัตว์ (salt lick) ชาวโผล่วไม่ตั้งหมู่บ้านขวางเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างโป่ง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทำที่พักอาศัยชั่วคราวบนเส้นทางเชื่อมระหว่างโป่งสัตว์ เพราะอาจสร้างอันตรายแก่ชีวิตสัตว์และทำให้เจ้าพ่อ/เจ้าแม่โป่งไม่พอใจ (น.64) การตั้งหมู่บ้านของชาวโผล่วจึงอยู่ห่างไกลจากโป่งพอสมควร
อย่างไรก็ตาม การตัดไม้ยืนต้นเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยมักสร้างข้อขัดแย้งเล็ก ๆ ระหว่างหน่วยงานรัฐและชาวโผล่วได้เสมอ ชาวโผล่วเชื่อว่าพวกเขาได้รับสิทธิตามธรรมชาติที่จะตัดไม้ใกล้ ๆ หมู่บ้านเพื่อใช้ตามความจำเป็น รวมทั้งชาวโผล่วยังสร้างกฎทางวัฒนธรรมในการห้ามและอนุญาตให้ใช้ไม้เพื่อปลูกสร้างบ้าน อาทิ การกำหนดข้อผ่อนปรนว่าสามารถตัดไม้ยืนต้นที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน เพื่อนำมาสร้างบ้านสำหรับแม่หม้ายและคนชราได้ (น.159)
|
|
Demography |
มีชาวโผล่วที่อยู่นอกป่าเปลี่ยนแปลงไปเป็นใช้ชีวิตแบบคนส่วนใหญ่ ชาวโผล่วที่อยู่ภายนอกก็มีความสัมพันธ์กับชาวโผล่วที่อยู่ในป่าทุ่งใหญ่ ยังเป็นญาติที่ต่างไปมาหาสู่กัน (น.50)
|
|
Economy |
พื้นที่ชาวโผล่วทั้ง 6หมู่บ้าน เป็นพื้นที่ทำไร่ข้าวประมาณ 4,993.58ไร่ (7.9ตารางกิโลเมตร) ร้อยละ 0.21ของพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่ และพื้นที่ป่าฟื้นฟูตามประเพณี เนื้อที่ประมาณ 100,561.01ไร่ (160ตารางกิโลเมตร) หรือร้อยละ 4.35ของพื้นป่าทุ่งใหญ่ทั้งหมด (มูลนิธิสืบนาคะเสถียร,2560) หากรวมพื้นที่ทั้งสองเข้าด้วยกัน ชาวโผล่วใช้พื้นที่ทั้งหมดเพียง 167.9ตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 4.55ของพื้นที่ทั้งหมด
หากล่าสัตว์ตามประเพณี ชาวโผล่วไม่จำต้องกลัวเรื่องบาป พวกเขาเชื่อว่าการล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารได้รับการให้อภัย สิ่งสำคัญคือห้ามล่าเพื่อความโลภหวังร่ำรวย และต้องอยู่ในกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด การบัญญัติกฎข้อยกเว้นขึ้นมาเป็นไปตามความสัมพันธ์ระหว่างกฎของการอยู่รอดเพื่อการยังชีพ (น.116) ชาวโผล่วได้ผสมผสานความเชื่อและปรัมปราของพุทธศาสนา การล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร จะนำมาสู่การได้ไปเกิดในชาติภพที่ดีกว่า และกลายเป็นสัตว์ที่มีร่างกายใหญ่โต เช่น ช้าง ท้ายที่สุดก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ผู้สามารถหลุดพ้นได้โดยการบำเพ็ญ ถือศีลกินมังสวิรัติ ซึ่งแตกต่างจากความเชื่อเกี่ยวกับการล่าสัตว์ป่าแบบดั้งเดิมก่อนศาสนาพุทธ (น.117)
พรานชาวโผล่วในสมัยโบราณใช้แต่ธนู หน้าไม้ และการทำกับดัก ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้ปืนสำหรับล่าสัตว์ เรื่องเล่าในหลายหมู่บ้านชี้ว่าชาวโผล่วมีปืนมานานมากกว่า 100ปี (น.48) ชาวโผล่วเรียนรู้จากสัตว์ เช่น วิธีการหาอาหาร แหล่งหาอาหาร อาหารที่กินได้และอาหารเป็นพิษ ที่อยู่อาศัย อุทกภูมิศาสตร์ วาตภัย การอยู่อาศัยขณะเดินป่า การล่าเพื่อสร้างแนวอาณาเขต ฯลฯ (น.42) ภายใต้จักรวาลวิทยาของชาวโผล่ ทั้งสัตว์และคนอยู่ภายใต้กฎเดียวกัน เช่น ชาวโผล่จะไม่รบกวนชะนีด้วยการทำไร่ข้าวในพื้นที่ที่ชะนีอาศัยอยู่ (น.109)ชาวโผล่วอธิบายการใช้ชีวิตของตัวเองในลักษณะของการอยู่อาศัยป่า มากกว่าอ้างว่าเป็นคนป่า โดยทำการเกษตรไร่หมุนเวียน เริ่มต้นเมื่อเข้าหน้าแล้งใกล้ฝนก็จะฟันไร่ ระหว่างฟันไร่ก็ปลูกผักและดูแลสวนผลไม้ใกล้กับไร่ พวกเขาปลูกพืชหลาย ๆ อย่างในพื้นที่ (น.145) ชาวโผล่วมีทั้งประกอบอาชีพหาปลา ล่าสัตว์เพื่อยังชีพ มีรถยนต์ มีเครื่องอำนวยความสะดวกใช้ (น.22) สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลบางคนได้ใช้งบจากรัฐพัฒนาหมู่บ้าน จากองค์การบริหารส่วนตำบล มาสนับสนุนให้ชาวโผล่วทำไม้กวาดขาย (น.146) ในหน้าแล้งชาวโผล่วยังเตรียมเครื่องมือการเกษตร ทำจักสาน ท่องเที่ยวป่า ฯลฯ (น.147)
ชาวโผล่วมีชีวิตทางเศรษฐกิจด้วยการล่าสัตว์เก็บของป่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร (hunting and gathering) มีการทำการเกษตร แลกเปลี่ยนของป่าเพื่อสินค้าสำคัญ ชาวโผล่วมีระบบการเกษตรเรียกว่าระบบการทำไร่หมุนเวียน (swidden agriculture) ซึ่งพัฒนาต่อเนื่องมาหลายร้อยปี ที่สำคัญยังนำความรู้การเกษตรสมัยใหม่มาปรับใช้ ไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนาที่มาจากภายนอกแต่อย่างใด แต่ดำเนินภายใต้เงื่อนไขที่สังคมชาวโผล่วยอมรับได้ ปัจจุบันชาวโผล่วได้เริ่มทำสวนผลไม้โดยนำผลผลิตมาบริโภคและจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ นำมาสู่การแลกเปลี่ยนแรงงานและทรัพยากรทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน (น.50)
นอกจากนั้น ชาวโผล่วได้รับการฝึกฝนทักษะการดำรงชีพทางเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน ชายชาวโผล่วจากสายตระกูลพรานมักสนใจเรียนรู้สังเกตการณ์เกี่ยวกับป่าและสัตว์ป่า แกะรอย ล่าสัตว์ป่า และเรียนรู้การสื่อสารของสัตว์มากกว่ากลุ่มคนที่อยู่ในตระกูลที่เชี่ยวชาญสัตว์น้ำ หรือมากกว่าชาวโผล่วสายตระกูลเก็บน้ำผึ้งป่า ในกรณีของผู้หญิง จะรู้จักอาหารพืชผักและสัตว์ป่าที่อยู่ในอาณาบริเวณหมู่บ้านมากกว่าผู้ชาย ผู้หญิงมักหาปลาและสัตว์เล็กใกล้หมู่บ้าน ส่วนผู้ชายมักรู้จักสัตว์ป่ามากกว่าผู้หญิง ผู้ชายเต็มวัยมักหาอาหารนอกหมู่บ้านหรือพื้นที่ที่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ที่สำคัญประสบการณ์การฝึกฝน เพศ และช่วงวัยที่แตกต่าง ทำให้ชาวโผล่วมีทักษะในการพยากรณ์สัญญาณและความรู้เกี่ยวกับสัตว์ป่าไม่เหมือนกัน (น.70) การเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นพรานมาจากความสมัครใจ โดยการถ่ายทอดความรู้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันจากพ่อ พี่ชาย ผู้เฒ่า และญาติ แม้ว่าจะมีความรู้เกี่ยวกับป่าที่สะสมมาจากพรานในหมู่บ้าน แต่การแสวงหาความรู้ด้วยตนเองในชีวิตป่ากลับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด (น.111)
ชาวโผล่วมีศิลปะของการจำลองแบบ (mimesis) ตัวเองเข้าไปรับรู้เข้าใจในสิ่งที่สัตว์คิดโดยสลับ (switching) มุมมองของชาวโผล่วกับชีวิตอื่น จากนั้นได้นำมาประกอบรวมเข้าด้วยกัน (assemblage) ระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม มนุษย์ และสัตว์ ต่างอาศัยความรู้สำหรับการสื่อสาร เนื่องจากชาวโผล่วมีชีวิตอยู่ท่ามกลางชีวิตอื่น ๆ นับล้านชีวิต ตัวอย่างสำคัญในกรณีนี้คือต้นไม้ยืนต้นในป่าไผ่โดยส่วนใหญ่เป็นไม้โตเร็ว ชาวโผล่วจะตัดต้นไม้ให้เหลือตอไว้ให้สูงที่สุด ชาวโผล่วเชื่อว่าแม้รุกขจือจะถูกตัดลำต้นไปแต่รุกขจือยังไม่ตาย สามารถงอกทดแทนใหม่ได้ เมื่อตัดลำต้นแล้วมีกฎไม่ให้ทำร้ายลำต้น เช่น นำมีดไปสับ เพราะจะทำให้รุกขจือเจ็บปวดและอาจเสียชีวิตจริง ๆ (น.122) แสดงให้เห็นว่าชาวโผล่วมองรุกขจือว่ามีชีวิตเดียวกับคน (น.124) ส่วนต้นข้าว เป็นพืชที่มีชีวิตโดยมีหล่าประจำต้นข้าว ต้นข้าวถือว่ามีความผูกพันกับชีวิตชาวโผล่วมากกว่าพืชชนิดใด ๆ ชาวโผล่วนับถือต้นข้าวดุจยายแท้ ๆ (น.135)
|
|
Social Organization |
ชาวโผล่วที่ป่าทุ่งใหญ่จำแนกออกได้เป็นหลายสายตระกูล โดยพบ 3สายตระกูลใหญ่ ได้แก่ 1) ฤษี 2) ปกครอง และ 3) พราน และมีกลุ่มย่อย ๆ เช่น กลุ่มหาน้ำผึ้งป่า กลุ่มขี่เสือ ฯลฯ บางกลุ่มเก่งในเรื่องการหาปลา หมอรักษาโรค (น.111)
การปกครองของชาวโผล่วมีลักษณะการดำรงอยู่ของตนเอง พร้อมทั้งจำแนกตัวเองโดยใช้ความแตกต่างที่มีกับกลุ่มอื่น รวมตัวเข้าเป็นสังคมทั้งระดับย่อย ๆ กลุ่มบ้าน หมู่บ้าน ตำบล เป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร (น.132) ด้วยการที่ชาวโผล่วไม่ได้จำแนกสัตว์ออกมาจากมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ชาวโผล่วไม่มีวิธีคิดว่าสัตว์คือธรรมชาติและมนุษย์คือผู้มีวัฒนธรรม “ชีวิตป่า” ได้รวมพวกเขาไว้ในนั้น ด้วยเหตุนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในธรรมชาติ ไม่มีด้านตรงข้ามของธรรมชาติที่เป็นมนุษย์
|
|
Political Organization |
ชาวโผล่วพยายามทำตัวให้อยู่ในกรอบที่รัฐต้องการ โดยสนับสนุนกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่รัฐขอแรงงาน อาทิ เข้าร่วมกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ ร่วมงานกับนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ป่าไม้ จัดตระเวนและตรวจป่า ร่วมปราบปรามกรณีนักล่าสัตว์เพื่อการค้ามีอาวุธร้ายแรง ประสานงานกับกลุ่มกองกำลังเพื่อนบ้านข้ามชายแดน เพื่อความมั่นคงของรัฐและการจัดการป่าในพื้นที่ร่วมระหว่าง ไทย-พม่า รวมถึงงานรื่นเริงและกิจกรรมทางด้านประเพณีต่าง ๆ ชาวโผล่วในพื้นที่ยังเชื่อมต่อความสัมพันธ์กับชาวโผล่วและปกากญอฝั่งพม่า จัดงาน “พิบือโย” ร่วมกัน เพื่อสร้างความสมัครสมานสามัคคีของคนที่อยู่ร่วมชายแดน (น.149) งานวิจัยนี้ยังได้ชี้ว่า การปรับตัวเองของชาวโผล่วเป็นกลยุทธ์เพื่อให้ดำรงอยู่ได้กับการเข้ามาของอำนาจทางราชการ ซึ่งควบคุมพื้นที่ความมั่นคง โดยเฉพาะแนวอาณาเขตชายแดน ไทย-พม่า และควบคุมพื้นที่อนุรักษ์เพื่อการพัฒนา ควบคุมศาสนาลัทธิและความเชื่อ และสร้างสำนึกเพื่อดึงประชากรเข้ามาเป็นพลเมืองของประเทศ (น.158)
|
|
Belief System |
ศีลธรรมและกฎควบคุมชาวโผล่วยังรวมไปถึงการทำไร่ข้าว สัตว์ป่าบางชนิดเป็นตัวกลางสื่อสารจากเจ้าป่าถึงชาวโผล่ว ว่าพื้นที่นั้นได้รับอนุญาตให้เพาะปลูกได้หรือไม่ ชาวโผล่วจะทำพิธีกรรมเพื่อสื่อสาร หากมีเสียงร้องของสัตว์ เช่น เสียงเก้ง เสียงนกทุส่อง (นกขุนแผนดง) หมายถึงไม่อาจใช้พื้นที่นั้นได้ นอกจากนั้น นก เก้ง เต่า ชะนี คือตัวแทนของป่า ในกรณีที่สัตว์เหล่านี้ปรากฏตัวในพื้นที่ เท่ากับบอกว่าเจ้าป่าเจ้าที่ห้ามใช้พื้นที่นั้น ให้ย้ายไปพื้นที่อื่น (น.110)
ชาวโผล่วมีประสาทสัมผัส (senses) ค้นหาการสื่อสารจากสัตว์และพืช ชาวโผล่วเชื่อว่าที่ตั้งหมู่บ้าน ป่า และสัตว์ป่ามีเจ้าของ พวกเขาเป็นเพียงผู้ขอใช้โดยต้องอยู่ในกฎที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น กรณีทำผิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะส่งสัญญาณผ่านตัวแทนซึ่งเป็นสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น เสือ ชะนี สมเสร็จ อ้น เก้ง งูขาว นกเงือก ฯลฯ ชาวโผล่วจึงรอคอยฟังสัญญาณจากสัตว์เพื่อเข้าใจเจตนาเจ้าของป่า (น.62) ชาวโผล่วสนทนากับพวกสัตว์และผีเจ้าป่า เจ้าที่ เจ้าทาง ผีโป่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตีความธรรมชาติของชาวโผล่ว (น.38-39) ชาวโผล่วเชื่อว่า เสือ ชะนี สมเสร็จ อ้น เก้ง งูขาว นกเงือก ฯลฯ เป็นตัวแทนเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าที่ เจ้าทาง ฯลฯ ชาวโผล่วจึงได้สนใจเสียงสนทนาของสัตว์ (น.41) ชาวโผล่วมี “เจ้าป่า เจ้าเขา” ทำหน้าที่เป็นนายของป่า/ผู้ควบคุมป่า และทำหน้าที่สื่อสารกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่า ต้นไม้ ภูมิอากาศ ฯลฯ สำหรับชาวโผล่ว ธรรมชาติทั้งหมดมีเจ้าของและชาวโผล่วเป็นผู้ขอใช้ เจ้าของป่าอาจโกรธ ยินดี หรือทำสิ่งต้องประสงค์ใด ๆ ก็ได้ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชทั้งหมดถูกจัดระเบียบโดยนาย ธรรมชาติคือสิ่งที่ถูกสร้างและพวกเขาก็คือลูกของผู้สร้างที่เรียกว่า “ยฮวา” (น.39)
คน สัตว์ ธรรมชาติมี “หล่า” โดยเป็นสิ่งที่คล้ายวิญญาณหรือขวัญในวัฒนธรรมไทย สัตว์สามารถมองเห็นหล่าซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ชาวโผล่วไม่มี หากหล่าหนีออกจากร่างกายไปก็หมายความว่าหล่าได้ทิ้งร่างไป ชาวโผล่วจึงคอยสังเกตการส่งสัญญาณจากสัตว์ เพราะสัตว์คอยเตือนชาวโผล่วให้รู้ตัวเพื่อให้ชาวโผล่วเรียกหล่ากลับมาอยู่ในเรือนร่างเดิม ร่างกายจึงเป็นเพียงสถานที่อยู่อาศัยชั่วคราวของหล่า เมื่อหล่าอยู่ภายนอกก็จะล่องลอยจนในที่สุดสามารถเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ (น.103) ชาวโผล่วยังนับถือต้นไม้ใหญ่เหมือนราวกับว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ เพราะต้นไม้คือวงจรชีวิตที่ “หล่า” ต้องเวียนมาเกิดก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์ (น.117) สำหรับชาวโผล่ว สัตว์ ต้นไม้ สิ่งของ ฯลฯ จึงมีความเป็น “บุคคล” สะท้อนให้เห็นว่าชาวโผล่วและสัตว์ต่างขยายมโนทัศน์เข้าไปซ้อนกัน ไม่แบ่งแยกถาวรระหว่างสายพันธุ์ชีวิตและสิ่งของ (น.81)
ชาวโผล่วบูชาต้นข้าวเพราะมีนิทานกึ่งประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงทั้งชาวโผล่วและชาวปกากญอ และความเชื่อว่าหล่าของคนเชื่อมต่อกับหล่าของต้นข้าวเรียกว่า “พิบือโย” ชาวโผล่วมีพิธีกรรมต่าง ๆ มากมายที่รองรับการนำเข้าต้นข้าวเข้าสู่วัฒนธรรมชาวโผล่ว (น.82) ต้นไม้ใหญ่คือชีวิตที่มีอายุยืนยาวเหมือนกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ต้องเคารพ งานวิจัยชี้ว่างานพิธีกรรมพิบือโยไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธและคริสต์แต่อย่างใด แต่เมื่อชาวโผล่วนามาปฏิบัติที่บ้านตนเองได้เพิ่มงานพิธีการทางศาสนาพุทธ พร้อมทั้งทำให้เป็นงานพิธีการที่ดูยิ่งใหญ่ขึ้นผ่านการประดิษฐ์ประเพณีขึ้นใหม่ ด้วยการเพิ่มพิธีการทางศาสนาพุทธในวันงานทำบุญข้าวใหม่ ด้วยเหตุนี้งานบุญข้าวใหม่จึงแสดงให้เห็นการผสมผสานระหว่างพิบือโย พระแม่โพสพ และระหว่างผีและพุทธ (น.138) ชาวโผล่วยังประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาให้แก่หล่าบรรพบุรุษ (น.115)
พิธีกรรมในกรณีที่มีเด็กเกิด ชาวโผล่วจะนำมาฝากไว้กับต้นไม้ใหญ่ เด็กที่วัยใกล้เคียงกันหากนำรกมาแขวนต้นไม้เดียวกัน เขาจะกลายเป็นเสี่ยว (sole mate) อันหมายถึง เพื่อนที่ต่างดูแลกันและกัน พร้อมทั้งดูแลต้นไม้ต้นนั้นไปตลอดชีวิต (น.83)ภายใต้จักรวาลวิทยาของชาวโผล่ว ทั้งมนุษย์และสัตว์อยู่ภายใต้กฎเดียวกัน คนและสัตว์หมุนเวียนเปลี่ยนสถานะได้ โดยสัตว์ป่าสามารถถูกทำให้เชื่องจนเปลี่ยนเป็นสัตว์เลี้ยง ขณะที่เมื่อห่างจากคนก็กลายเป็นสัตว์ป่าได้ดังเดิม เช่น ควาย และ เสือ หรือในกรณีของชะนีที่เป็นสัตว์เตือนภัยร้ายแรง ชาวโผล่วดูแลชะนีรอบหมู่บ้านคล้ายสัตว์เลี้ยง ชาวโผล่วมีประเพณีว่าจะไม่รบกวนชะนี หากได้ยินเสียงชะนีร้องกลางคืนจะเป็นสัญลักษณ์ว่ามีภัยร้ายแรงในหมู่บ้าน ทุกคนจะต้องย้ายบ้านในคืนที่ได้ยินเสียงทันที (น.109) ในชีวิตประจำวันชาวโผล่วยังสื่อสารกับสัตว์และต้นไม้ เพื่อขอคำทำนายภูมิอากาศ โดยสัตว์แต่ละชนิดให้คำทำนายที่แม่นยำไม่เท่ากัน สัตว์แต่ละชนิดให้คำทำนายล่วงหน้าได้ภายในไม่กี่นาที เช่น ให้คำทำนายว่าฝนกำลังจะตก และสัตว์บางชนิดอาจให้คำทำนายเป็นช่วงฤดูกาลและข้ามปี (น.69)
ชาวโผล่วมีโลกทัศน์ด้วยว่าสัตว์เกือบทุกชนิดมีคุณธรรมประจำตัวที่ชาวโผล่วต้องฝึกฝน และใช้ความพยายามจึงจะปฏิบัติเช่นสัตว์ได้ เช่น การอธิบายว่าเสือโคร่งที่แม้จะสะสมอาหาร แต่ก็แบ่งปันอาหารให้แก่สัตว์อื่น ๆ ถึงเสือจะล่าชีวิตอื่นแต่ก็เพียงเพื่อการมีชีวิตรอด (น.130) ขณะเดียวกันสัตว์ไม่จำเป็นต้องมีคุณธรรมอื่น ๆ ที่ชาวโผล่วมี สัตว์ไม่จำเป็นต้องยึดถือคุณธรรมชุดเดียวกับคน ชาวโผล่วอธิบายว่าเพราะคนก็มีคุณธรรมชั้นสูงที่สัตว์ไม่มี (น.131) ชาวโผล่วสามารถติดต่อกับชีวิตอื่นที่อยู่อีกโลกหนึ่งหลังความตายไปแล้วได้ ทั้งผ่านพิธีกรรม การสนทนาเป็นการส่วนตัว และการสนทนาในระดับพิธีกรรมทางสังคม (น.133) ชาวโผล่วมีโลกทัศน์ว่าสิ่งมีชีวิตต่างเชื่อมต่อกับความตาย ภายใต้พื้นที่ที่เรียกว่า “จักกะว่อง” ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำว่า “จักรวาล” ในภาษาบาลี หล่าที่อาศัยอยู่ในจักกะว่องต้องการสถานที่อยู่อาศัยใหม่ เมื่อคนตายลง หล่าก็จะออกจากร่าง ผ่านการอยู่อาศัยในจักกะว่องอาจจะยาวนานหลายปีก่อนมาเกิดใหม่ (น.126) กล่าวได้ว่า สิ่งมีชีวิตสามารถข้ามเปลี่ยนเป็นสายพันธุ์อื่นได้โดยผ่านการตายและเข้าสู่วงจรของการเวียนว่ายตายเกิด ความตายเข้ามาแบ่งแยกหล่าออกจากร่างกายของสิ่งมีชีวิต และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนบทบาทระหว่างสายพันธุ์ของคนและชีวิตที่หลากหลาย หล่าดำรงอยู่ในโลกเชิงซ้อนโดยซ้อนทับระหว่างโลกของผีหรือจิตวิญญาณของชีวิตป่าอันเป็นโลกศักดิ์สิทธิ์ (sacred world) และโลกสามัญ (profane world) (น.129)
|
|
Education and Socialization |
กิจกรรมการล่าสัตว์ของชาวโผล่วใกล้เคียงกับที่ มอริส (Morris, 2000 [1998], p. 62) เสนอว่าสำหรับชนพื้นเมือง การล่าสัตว์ เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบยังชีพทั้งยังมีคุณค่าในเชิงสัญลักษณ์ ประเพณี วัฒนธรรม ในการสืบทอดความเป็นชาย (Morris, 2000 [1998], pp. 48-49) ผู้ชายชาวโผล่วสร้างคุณค่าความเป็นชาย ความยอมรับในสังคมผ่านกิจกรรมการล่าสัตว์ ทั้งยังต้องเป็นการล่าที่ถูกต้องตามคุณค่าดั้งเดิมซึ่งต้องถ่ายทอดความรู้จากพ่อ ญาติ พี่ชาย และจากผู้อาวุโสทั้งในหมู่บ้านและเดินทางไปขอความรู้ยังที่ห่างไกล ความสัมพันธ์ระหว่างการล่าสัตว์และความเป็นชายช่วยยกระดับให้มีสถานะทางสังคมสูงมากยิ่งขึ้น และตอกย้ำความสัมพันธ์ในเครือญาติฝ่ายชายด้วย (Morris, 2000 [1998], pp. 64-65) (น.46-47)
|
|
Health and Medicine |
ชาวโผล่วในป่าทุ่งใหญ่เลือกใช้ยาสมัยใหม่ร่วมกับสมุนไพร โดยไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใดว่ายาที่รับมาจากโรงพยาบาลจะเข้ามาทำลายความรู้ของตนเอง ชาวโผล่วสามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ (น.50)
ชาวโผล่วยังมีจักรวาลวิทยาที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อ คน สัตว์ และพืช ตายไปแล้ว ก็จะกลายเป็นพืชเซลล์เดียว หรือที่เรียกว่า “อีแงะ” (ไลเคน) จากนั้นจึงหมุนเวียนไปเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นในป่า นอกจากชาวโผล่วจะระวังไม่ให้ร่างกายเจ็บป่วย ชาวโผล่วมองว่าร่างกายเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวของหล่า (คล้ายกับ “วิญญาณ” ในพุทธศาสนา) และต้องระวังไม่ให้หล่าหนีออกจากร่าง สัตว์มีคุณสมบัติที่สามารถมองเห็นหล่าได้ ด้วยเหตุนี้ชาวโผล่วจึงมักสังเกตสัญญาณจากสัตว์ที่คอยเตือนเมื่อหล่าออกจากร่าง (น.171-172)
|
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวโผล่วมีโทรทัศน์ ดีวีดี วิทยุ ซึ่งสามารถเปิดชมเพลงและละครภาษากะเหรี่ยงที่มาจากฝั่งพม่า (น.48) |
|
Folklore |
ชาวโผล่วมีคติชนสำคัญหนึ่งว่า หากเสือเข้าหมู่บ้านแสดงว่าขณะนั้นหญิงชายในหมู่บ้านกำลังมีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม เช่น แอบมีเพศสัมพันธ์ เป็นชู้ ผู้เฒ่าผู้แก่จะสืบให้ทราบว่าใครเป็นผู้ทำผิด และจะให้ทั้งคู่แต่งงาน ไม่จำเป็นต้องมีสินสอดมีข้าวเพียงจานเดียว โดยให้พ่อแม่ของหญิงและชายมาทำพิธี ที่สำคัญหากลอบเป็นชู้ ต้องมีการสอบสวน ขอขมา ทำพิธีกรรมล้างความผิด และการลงโทษ ชายหญิงที่มีเพศสัมพันธ์โดยการเป็นชู้ จะถูกลงโทษค่อนข้างรุนแรง โดยให้กินอาหารในรางข้าวหมาแล้วไล่ให้คลานเหมือนหมาลงจากบ้าน คู่ชู้จะต้องออกไปใช้ชีวิตกันนอกหมู่บ้าน โดยยังอยู่ในบริเวณที่ผู้คนเห็นได้ ยังมีกฎว่าห้ามทำอาหารกินเองเมื่อหิวให้เคาะฝาหม้อดัง ๆ จนมีคนนำอาหารมาให้ การลงโทษจะดำเนินไปจนกว่าเห็นพ้องว่าให้คู่ชู้กลับมาเข้าหมู่บ้านได้ เมื่อกลับมาคู่สามีภรรยาของชายและหญิงที่คบชู้ต้องยืนยันว่ายังยอมรับคู่สามีภรรยาของตนเองหรือไม่ หากไม่ยอมรับ คู่ชู้จะคบกันต่อหรือไม่ก็สามารถตัดสินใจได้ หากตัดสินใจว่าไม่มีความสัมพันธ์กันต่อไป ก็ให้แยกกันอยู่ หย่าร้าง และห้ามมีเพศสัมพันธ์ในคู่เดิม หากคู่สามีภรรยาเดิมต้องการครองเรือนก็จะต้องแต่งงานใหม่โดยมีพยานรับรู้ ไม่สามารถนอนด้วยกันได้ถึงแม้จะตกลงปลงใจกลับมาอยู่คู่กันก็ตาม (น.105)
ชาวโผล่ยังมีนิทานหลายเรื่องที่สอนด้านศีลธรรม และสะท้อนจักรวาลวิทยาของชาวโผล่ที่สลายเส้นแบ่งระหว่างคนกับสัตว์ลง เช่น นิทาน “เสือคน” (คี่สา) (น.107-108)
|
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาวโผล่มีจักรวาลวิทยาที่แสดงให้เห็นว่าทุกชีวิตมีหน้าที่ และพร้อมจะดำรงไปสู่สายพันธุ์อื่น ชาวโผล่วมีกลยุทธ์ที่จะสร้างความหมายใหม่ให้แก่ภาพแทนที่คน/หน่วยงานภายนอกมอบให้ โดยใช้ความรู้ปรัมปรา เรื่องเล่า ฯลฯ เป็นเครื่องมือ ภาพแทนที่ชาวโผล่วสร้างขึ้นสะท้อนให้เห็นปฏิบัติการทางการเมืองของชาวโผล่วเพื่อสิทธิ์ด้านที่อยู่อาศัย ตลอด 4ทศวรรษที่ผ่านมา ชาวโผล่วได้ปรับตัวเพื่อดำรงอยู่กับอำนาจของราชการที่พยายามควบคุมพื้นที่และสร้างสำนึกด้วยการดึงกลุ่มชาติพันธุ์ให้เข้ามาเป็นพลเมือง ในด้านหนึ่งได้ตอกย้ำให้ชาวโผล่วเป็นพลเมืองชั้นสองและต้องถูกย้ายออกจากป่า
ทั้งนี้ แม้ว่าชีวิตทางเศรษฐกิจของชาวโผล่วจะผูกพันกับการล่าสัตว์ แต่มีชาวโผล่วจำนวนมากที่กินเจ (น.152)
|
|
Social Cultural and Identity Change |
ชาวโผล่วเลือกที่จะสร้างการยอมรับ ด้วยการรับเครื่องมือ/ความรู้จากภายนอกเข้ามาประสานกับความรู้ภายใน เช่น การทำแผนที่สมัยใหม่ การวิจัยสัตว์ป่า การวิจัยทางการเกษตร ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการอยู่ร่วมกับภาพแทน (น.51)
|
|
Critic Issues |
เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ (น.33) ที่วาทกรรมความหลากหลายทางชีวภาพและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ได้สร้างเงื่อนไขกดดันให้ชาวโผล่วต้องมีวัฒนธรรมดั้งเดิมสวยงาม ชาวโผล่วมักถูกสร้างภาพแทนแบบลดทอนและผิดเพี้ยน โดยเฉพาะการตอกย้ำว่าชาวโผล่วเป็นผู้จัดการทรัพยากรธรรมชาติ หรือ กะเหรี่ยงนักอนุรักษ์ เป็นผู้อาศัยความรู้ด้านนิเวศน์วิทยาที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ในแง่หนึ่งการสร้างภาพแทนนี้แฝงไว้ด้วยวาระทางการเมืองที่เรียกร้องให้ชาวโผล่วร่วมมือกับองค์กรภายนอกบางแห่ง เพื่อใช้อ้างสิทธิในการอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าได้ต่อไป ขณะที่ภาพแทนนี้ได้ผูกมัดความรู้ชาวโผล่วไว้กับอดีตที่ยาวนาน โดยละเลยความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวผ่านความรู้ใหม่ (น.22-24) ชาวโผล่วสร้างความสัมพันธ์กับภาพแทนในเชิงการเมือง มากกว่าการยอมรับความหมายที่ผู้อื่นมอบให้อย่างง่ายดาย ชาวโผล่วใช้กลยุทธ์ด้วยการสร้างประเพณีประดิษฐ์ใหม่ เพื่อกลมกลืนภาพแทนความเป็นชาวโผล่วเข้าสู่การรับรู้ของคนไทย ขณะเดียวกันยังคงรักษาตัวตนภายในสังคมของชาวโผล่วไว้
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 2000กระแสการเคลื่อนไหวทางการเมืองชาติพันธุ์มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดการเรียกร้องเพื่อยกระดับสิทธิทางวัฒนธรรม ขบวนการเคลื่อนไหวเสนอว่า ภูเขา แม่น้า พื้นดิน หรือธรรมชาติต่างก็มีความรู้สึก ไม่ได้เป็นแค่เพียงทรัพยากรธรรมชาติ ข้อเสนอนี้โต้แย้งแนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์มีอำนาจและมีเหตุผลจึงเป็นตัวแทนสิ่งอื่น ๆ ได้ กระแสดังกล่าวได้เสนอให้เพิ่มสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (nonhumans) เข้ามาเป็นผู้มีบทบาทในพื้นที่ทางการเมือง (Cadena, 2010, pp. 363-364) ชนพื้นเมืองที่มีชีวิตทางเศรษฐกิจด้วยการล่าสัตว์ ยังชีพในหลาย ๆ ที่ รู้จักชีวิตอื่นใน สถานะของบุคคล (persons) เช่น คุยกับสัตว์เหมือนกับว่ามันเป็นลูกหลานหรือบรรพบุรุษ (Tsing, 2015, pp.155-156) (น.47) กล่าวได้ว่าสัตว์และมนุษย์มีการสร้างเงื่อนไขความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง สัตว์เป็นส่วนหนึ่งในสังคมมนุษย์มากกว่าที่จะเป็นสัญลักษณ์ ในปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์จึงเป็นมากกว่าการลดทอนให้สัตว์เป็นเพียงภาพแทนที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง อันเป็นข้อเสนอที่นักวิชาการหลายคน (Castro 1992, Fausto 2007, Fuentes 2010, Ingold 1994, Sulkin 2005 and Vilaca 2000 อ้างถึงใน Shir-Vertesh, 2012) ได้โต้แย้งสมมติฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ (น.46)
ชาวโผล่วมีความรู้ทางจักรวาลวิทยาและความรู้ด้านนิเวศวิทยา อันมีความซับซ้อนและอยู่ในเครือข่ายที่สัมพันธ์กันระหว่าง มนุษย์ สัตว์ และพืช โดยซ้อนทับในอาณาบริเวณพื้นที่ สถานที่ ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ (habitat) ร่วมกัน จึงมีวัฒนธรรมและข้อห้ามที่ตกทอดและปรับปรนร่วมกัน (น.47) ชาวโผล่วสร้างภาพแทนจากนิเวศน์และชีวิตป่า (wildlife) อันหมายถึง สัตว์และพันธุ์พืช รา มอส ไลเคน ที่ดิน ก้อนหิน และคน (น.33) กล่าวได้ว่า ความรู้ทางนิเวศน์ของชาวโผล่วเป็นความรู้ที่ใหม่อยู่เสมอซึ่งเกิดจากความสนใจของปัจเจกที่ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญ ไม่มีองค์ความรู้ดั้งเดิมที่ชัดเจนหรือข้อสรุปใด ๆ ให้ชาวโผล่วเรียนรู้ ความรู้ได้รับการเก็บรักษาไว้ผ่านตัวแสดงต่าง ๆ
|
|
Map/Illustration |
ตาราง
- รายการส่งออกของสยาม ในปี ค.ศ. 1852 (น.8)
ภาพ
- ภาคพื้นทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (น.9)
- การจัดกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย (น.10)
- เส้นทางเดิน สามารถพบรอยสัตว์ป่าได้ตลอดเส้นทาง (น.63)
- เส้นทางเดินเล็ก ๆ ตามไหล่เขา (น.65)
- เส้นทางเดินในป่า ลัดเลาะตามที่ราบระหว่างภูเขา (น.66)
- สะพานไม้ไผ่ สำหรับฤดูฝนช่วยให้ข้ามลำห้วยสายน้ำเชี่ยว (น.67)
- เส้นทางในลำห้วย ในบางครั้งเส้นทางก็เลือนหาย (น.68)
- ต้นไม้ใหญ่คือชีวิตที่มีอายุยืนยาวเหมือนกับเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ต้องเคารพ (น.83)
- ชาวโผล่วผู้หาอาหารในป่า (gatherer) (น.95)
- ผู้หญิงโผล่วกำลังเดินทางไปตกปลาที่ลาห้วยใกล้หมู่บ้าน (น.97)
- ชาวโผล่วทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ ให้แก่ “หล่า” บรรพบุรุษ (น.115)
- ชาวโผล่วพร้อมใจกันในการสร้างประเพณีประดิษฐ์ การทำบุญให้แก่บรรพบุรุษ (น.115)
- ต้นไม้ในไร่ซากมีร่องรอยของการถูกตัดซ้ำหลายครั้ง (น.118)
- ต้นไม้ใหญ่ในไร่ซาก ต้นไม้ใหญ่จะไม่ถูกโค่นเพื่อใช้พื้นที่ (น.120)
- ต้นไม้คือบุคคล และบางครั้งก็เปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่ พี่น้อง และเพื่อนมิตร (น.121)
- หลังจากทำพิธีเลือกพื้นที่เสร็จแล้วก็ทำสัญลักษณ์ ว่าเจ้าที่อนุญาต (น.123)
- ไลเคน (lichen) หรือ อีแงะ ชาวโผล่วเชื่อว่าเมื่อตายไปหล่าจะไปเกิดเป็นสายพันธุ์อื่น (น.128)
- แม่บ้านทอผ้า (น.148)
- ต้นไผ่เริ่มงอกหลังจากชาวโผล่วตัด ฟัน และเผาได้ไม่นาน (น.156)
- ภาพเปรียบเทียบระหว่างป่าไผ่และพื้นที่ที่ถูกตัด ฟัน และเผา (น.157) |
|
Text Analyst |
บัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ |
Date of Report |
01 ต.ค. 2564 |
TAG |
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว, ชาติพันธุ์นิพนธ์ข้ามสายพันธุ์, ชาติพันธุ์นิพนธ์หลากหลายสายพันธุ์, คนเบี้ยล่าง, ภาพแทน, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร, กาญจนบุรี, ภาคตะวันตก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, โผล่ว, |
Translator |
- |
|