|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
Malays, Other Malays, “Peranakan” (ผู้เขียนใช้ในความหมายของสภาวะการเกิดขึ้นของลูกผสม ไม่ใช่ในความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์เปอรานากันโดยตรง), กำเนิดชาติพันธุ์ (Ethnogenesis), อาณานิคมอังกฤษ, ชาตินิยม, การสร้างชาติ, อุดมการณ์ทางการเมืองรวมกลุ่ม (communitarianism), เรื่องเล่าสร้างชาติ (national narratives), คอสโมโพลิแทนิสม์ (Cosmopolitanism), อัตลักษณ์ข้ามชาติ (Transnational identity), มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, คาบสมุทรและหมู่เกาะ (Peninsular and insular), เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, มุสลิม, สเตรทเซ็ตทัลเมนต์ (Straits Settlement) |
Author |
Joel S. Kahn |
Title |
Other Malays: Nationalism and Cosmopolitanism in the Modern Malay World |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Call no. HN700.6.A8K34 2006 http://lib.sac.or.th/Catalog/BibItem.aspx?BibID=b00059926 |
Total Pages |
228 |
Year |
2549 |
Source |
|
Abstract |
Other Malays ของคาห์น เสนอคำอธิบายชนชาติมาเลย์ที่อยู่บนฐานของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ และเงื่อนไขทางสังคม วัฒนธรรม ศาสนา ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และประเทศใกล้เคียง เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเป็นชนชาติมาเลย์แบบชาตินิยมที่ผ่านการอธิบายแนวคิด “กัมปงมาเลย์” (Kampong Melayu) ดั้งเดิมนั้น ก่อตัวขึ้นในเงื่อนไขทางการเมืองของกระแสชาตินิยม ทั้งก่อนและหลังการได้รับเอกราชจากอังกฤษ ปลายยุคอาณานิคมถึงการสร้างชาติ พร้อมที่ชี้ให้เห็นความหมายที่คับแคบของความเป็นมาเลย์ (Malay-ness)ในแบบดังกล่าว ตลอดเหตุการณ์ทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม ล้วนชี้ภาวะความเป็นมาเลย์ไปในทิศทางตรงข้าม คาห์นชี้ให้เห็นว่าปัจจัยทางด้านการค้า ลัทธิอาณานิคมยุโรป การปฏิรูปทางศาสนาอิสลาม การเคลื่อนไหวสากลนิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 หากพิจารณาให้ดีแล้ว ชนมาเลย์และผู้คนที่อพยพมาจากดินแดนต่าง ๆ ในหมู่เกาะ (Archipelago) หรือที่เคยได้รับการระบุไว้โดยเจ้าอาณานิคมว่า “มาเลย์ต่างแดน” (foreign Malays) ต่างมีภาวะของการเคลื่อนย้ายและผสมผสานผ่านภาษา พิธีกรรม ข่ายใยการค้า ฉะนั้น แล้วความเป็นมาเลย์ควรพิจารณาให้เห็นถึงความลื่นไหล ไม่ตายตัว ความเป็นมาเลย์ไม่ได้ยึดกับถิ่นฐานแต่ข้ามแดน (trans-border) ในที่นี้ คาห์นจึงเสนอให้มองความเป็นมาเลย์แบบคอสโมโพลิสม์ที่เกิดขึ้นกับหลากชนชั้น
|
|
Focus |
กระบวนการศึกษาของผู้เขียนแจกแจงให้เห็นต้นสายปลายเหตุในผลลัพธ์ (ที่ทั้งสงบและขัดแย้ง) ภายในกระบวนการสร้างภาวะสมัยใหม่ที่มีการจัดการ (organized modernity) กับระบบของการสร้างเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา และชาติที่พัฒนาขึ้นในภูมิภาค เป็นความพยายามขยับออกจากการพิจารณารัฐชาติเป็นฐานในการอธิบาย ขยับออกจากการมองพัฒนาประวัติศาสตร์กระแสหลัก ที่มองเพียงแต่ว่าอาณานิคมสมัยใหม่เป็นตัวจุดความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ แต่ควรพิจารณาภาวะพหุลักษณ์ที่เกิดขึ้นของความสัมพันธ์ระหว่างชาติและเชื้อชาติและกระบวนการกำเนิดชาติพันธุ์ในแต่ละวาระ ผลลัพธ์นั้นแตกต่างกันได้ ทั้งเกิดสภาวะคอสโมโพลิแทนหรือเกิดความขัดแย้งในโลกมาเลย์ (น.175-176)
หนังสือพยายามชี้ให้เห็นกลุ่มประชากรที่แสดงถึงมาเลย์นั้นหลากหลาย เคลื่อนย้าย และสัมพันธ์กับการค้า ขยายขอบวงของความเป็นมาเลย์ในแบบอื่น ๆ ปัญหาของการเผชิญหน้าของเชื้อชาตินิยมแบบมาเลย์อาจจะไม่ใช่การหยิบยืมปฏิบัติการต่อต้านเชื้อชาตินิยม (anti-racism) แบบสากล หากแต่เป็นการกลับมาสังคายนาเรื่องเล่าความเป็นมาเลย์ที่มีลักษณะเป็นพลเมืองโลก (cosmopolitan Malay-ness) มากยิ่งขึ้น (น.XXIII)
|
|
Theoretical Issues |
1) ปัจจัยทางสังคมวิทยาที่ส่งผลต่อการสร้างสำนึกร่วมและก่อผู้คนสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันกับพื้นที่แตกต่างกัน Weber (1976) ในบริบทของสังคมฝรั่งเศสในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และสังคมสมัยใหม่ที่สร้างสำนึกใหม่ให้กับคนทุก ๆ ประเภทในสังคม ไม่เพียงชนชั้นนำ นายทุน แต่ยังรวมไปถึงชาวนาไร่ เวเบอร์กล่าวไว้ว่า สำนึกของความเป็นชาติฝรั่งเศสไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะมโนทัศน์ใหม่ (intellectual) แต่มาจากประสบการณ์ของผู้คนในสังคม (sociological) การคมนาคมขนส่ง โรงเรียน ตลาด การเกณฑ์ทหาร การไหลเวียนของเงินและสินค้าในตลาด สิ่งพิมพ์ เปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของผู้คน สร้าง “ความรู้สึก” ชุดใหม่ ผู้เขียนวิเคราะห์สืบเนื่องต่อไปด้วยว่า สำนึกชาตินิยมปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ของบุคคลกับมิติพื้นที่ให้แตกต่าง (spatial differentiation) จากความเป็นชุมชนชาวนาไร่สู่ชุมชนความเป็นชาติ ช่วงยามของพลวัตในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ของฝรั่งเศส (น.134-135)
2) “ความทันสมัยที่จัดระเบียบ” Wagner (1994) ให้คำอธิบายต่อเนื่องจากสิ่งที่ Weber กล่าวถึงความทันสมัยว่า “ความทันสมัยที่จัดระเบียบ” (organized modernity) เมื่อประชากรเข้าสู่หน้าใหม่ของพัฒนาการ ตำแหน่งแห่งที่ได้รับการจัดระบบและพัฒนาสภาวะของพื้นที่เพื่อตอบสนองเป้าประสงค์ใหม่ ซึ่งส่งผลให้พลเมืองถูกแยกจาก “บริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ” เดิม
จากกรณีฝรั่งเศสสู่บริบทของโลกมาเลย์ปลายศตวรรษที่ 19ต่อต้นศตวรรษที่ 20การขยายตัวของอาณานิคมก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายผู้คน ด้วยข่ายใยทางการค้า ศาสนา ผู้คนที่เคยผูกอยู่กับผู้ปกครองและผู้นำอิสลาม ญาติและวงศ์วาน ถูกพรากออกจากบริบทในระดับท้องถิ่น แต่ในทัศนะของผู้เขียนแล้ว การขยายตัวของอาณานิคมเป็นเพียงปัจจัยส่วนหนึ่ง แต่ยังมีมิติทางศาสนา การปฏิรูปที่มีส่วนผลักดันให้เกิดผู้คนได้รับการจัดวางความสัมพันธ์ในยุคสมัยใหม่ของมาลายาอังกฤษ กลไกหนึ่งที่ส่งผลในการจัดระเบียบของคน พื้นที่ และปฏิบัติการคือ การบริหารผ่านสถาบันสมัยใหม่ต่าง ๆ ที่พยายามเข้าควบคุมผู้คนในอาณัติ กล่าวได้ว่า เป็นการ “พราก” (disembedding/de-localising) สู่การ “จัดวางใหม่” (re-embedding/re-localising)
ในบริบทมาลายา การพรากผู้คนจากบริบท (ความผูกพันกับผู้ปกครองและผู้นำทางศาสนา) แล้วจัดวางผู้คนใหม่ในคาบสมุทรเพื่อตอบสนองการขยายตัวของการเพาะปลูก การค้า และการปฏิรูปศาสนา ความเคลื่อนไหวเช่นนี้กลายเป็นกระบวนลดทอนอำนาจของ ชนชั้นปกครอง จึงส่งผลให้โครงการในความพยายามจัดการกับผู้คนด้วยสถาบันต่าง ๆ ภายใต้ระเบียบพื้นที่ใหม่ การสร้างจินตภาพของพื้นที่เฉพาะเพื่อคนมาเลย์พื้นถิ่น (รวมถึงพื้นที่สำหรับกลุ่มคนเชื้อชาติอื่น – race-space new order) ที่กำกับด้วยการเมืองของความเป็นตัวแทนจึงเกิดขึ้น (น.135-137)
3) ภาวะพหุสังคมมาลายา เกิดมาจากเจ้าอาณานิคม (ในบางกรณียังปรากฏในรัฐหลังอาณานิคมด้วยซ้ำไป) ที่ต้องการแบ่งแยกและปกครอง เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมตัวในการต่อต้าน กลไกหลายประเภทถูกนำมากำกับคนในอาณัติ ซึ่งไม่ใช่เพียงการตอบโจทย์ของตลาดทุน แต่ยังเป็นการกำกับผู้คนในอาณัติอย่างเด่นชัด รูปแบบของรัฐสมัยใหม่จึงเกิดขึ้น และแตกต่างจากรูปแบบของรัฐในภูมิภาคก่อนหน้านั้น ดังที่ Elson (1992: 24-27) วิเคราะห์ถึงผลพวงของ “หลักการและปฏิบัติการของการจัดการ” (organizational principles and practices) (1) เกิดบริหารรัฐกิจขนาดใหญ่เพราะต้องการเครื่องมือในการจัดการระเบียบใหม่ (2) เกิดการขยายขอบเขตของงานบริหารรัฐกิจเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพ (3) เกิดการใช้อำนาจปกครองผ่านบุคลากรอย่างแข็งขัน (4) เกิดรูปแบบการบริหารที่เป็นทางการมากขึ้น และ (5) เกิดการรวมศูนย์กลางของอำนาจรัฐ (น.140-141)
4) แนวคิดคอสโมโพลิแทนิสม์ (Cosmopolitanism) เป็นรูปแบบของการก่อรูปอัตลักษณ์ “เหนือวัฒนธรรม” นั่นหมายถึง สภาวะที่ไม่ถูกกำหนดตายตัว เลื่อนไหล และเป็นลูกผสม ไม่ผูกโยงเข้ากับดินแดน (cultural de-territorialisation) (Gupta and Ferguson 1997; Appadurai 1991) ผู้เขียนเสนอแนวคิดของ ริชาร์ด แวร์บเนอร์ (Werbner 2002) เรียกลักษณะลูกผสมนั้นว่า “cosmopolitan ethnicity” (ชาติพันธุ์สัมพันธ์คอสโมโพลิแทน) ที่มีสภาวะความเป็นพลวัตที่ตัดข้ามความแตกต่างหลากหลายและก่อให้เกิดภาวะความเชื่อมโยงระหว่างชาติพันธุ์ (interethnic cooperation and mutuality) (น.162-165)ผู้เขียนเสนอให้พิจารณาถึงคำอธิบายความภักดีแบบ “ข้ามพรมแดนรัฐชาติ” (trans-“national” loyalties) ต่างหากเป็นสิ่งที่ช่วยให้เข้าใจความเป็นโลกมาเลย์ทั้งคาบสมุทรและหมู่เกาะ ที่มีสภาวะของข่ายใยการย้ายถิ่น ความเป็นมาเลย์ไม่เคยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมหรือศาสนาเดี่ยว หากแต่ไหลลื่นไปเส้นทางของการค้า เงินตรา และอิทธิพลทางศาสนา (น.82-83)
ปฏิสัมพันธ์ของคนต่างถิ่นฐาน บูกิส อาเจะห์ ปันจาริส และมาเลย์คาบสมุทร เรียกได้ว่าเป็น “ลักษณะมลายู” ที่กอปรจากคนต่างแตกต่างและมีสายสัมพันธ์ซึ่งกัน ในที่นี้ ผู้เขียนจะพิจารณาถึงความเป็นมาเลย์ที่ก้าวหน้าและความเป็นอิสลามแบบ “คอมโมโพลิแทน” เพื่อนิยามโลกมาเลย์แบบข้ามรัฐชาติ (น.83-84)
5) แนวคิดปฏิบัติการ “Language play” ของ Ernesto Laclau (Butler, Laclau and Žižek 2000) ที่กล่าวไว้ว่า “สนามที่เปิดออกสู่การต่อรองและความหลากหลายในเกมภาษาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างพื้นที่สาธารณะในสังคมที่เราอยู่อาศัย” ความเข้าใจในสภาวะของสังคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีสิ่งที่เรียกว่า “peranakan” หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น (locally born) ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ทั้งคนอพยพหรือคนที่เรียกตนเองว่าพื้นถิ่นต่างมีลักษณะลูกผสมอยู่ เช่นในมิติทางภาษา ต่อให้มีความพยายามในการสร้างภาษาแห่งชาติหรือภาษามาตรฐาน ในระดับของการใช้ภาษาและการผสมของศัพท์ล้วนมีลักษณะที่แตกต่างอยู่ระดับหนึ่งเสมอ คนมาเลย์ต่างถิ่นที่เคลื่อนย้ายจากหมู่เกาะเข้ามาตั้งรกรากในคาบสมุทร ควรได้รับการระบุว่าเป็น “peranakan”แม้พวกเขาจะไม่เคยเรียกตนเองเช่นนั้นก็ตาม หากกล่าวถึงที่สุด “เปอรานากัน” จึงเป็นภาวะลูกผสมและกระแสวัฒนธรรมที่ไหลลื่น (cultural flux) (น.170)
|
|
Ethnic Group in the Focus |
มาเลย์ในคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะ (ปัจจุบัน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์) ส่วน “มาเลย์อื่น” (Other Malays) คงเป็นมโนทัศน์ที่คลุมเครือสำหรับผู้วิเคราะห์ ผู้เขียนต้องการกล่าวถึง “มาเลย์กลุ่มอื่น ๆ” หรือ ต้องการเสนอให้พิจารณา “มาเลย์ด้วยมุมมองอื่น” ซึ่งแตกต่างจากกระแส “เรื่องเล่าแบบชาตินิยม” ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงว่า Other Malays เป็นใคร แต่กลับแจกแจงให้เห็นถึงการไหลเวียนของกระแสผู้คนในคาบสมุทรและหมู่เกาะ และจากกระแสดังกล่าว จึงเกิดการปะทะประสานทางวัฒนธรรม จนทำให้ความเป็นมาเลย์นั้นควรพิจารณาจากมุมมองแบบคอสโมโพลิแทนิสม์ ที่มีบริบทพัฒนาการประวัติศาสตร์กำกับในการอธิบายในแต่ละช่วงเวลา
|
|
Language and Linguistic Affiliations |
“เรื่องเล่าชาตินิยม” อิงกับความเป็นมาเลย์บนคาบสมุทร ซึ่งมีภาษามาเลย์เป็นสิ่งที่กำกับลักษณะทางวัฒนธรรม แต่ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่า “มาเลย์อื่น” มีส่วนสำคัญในการขยายความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาเลย์ เพราะชนรุ่นหลังกลับแสดงตนว่าสืบเชื้อสายมาจากผู้คนนอกคาบสมุทร (กลุ่มคนที่เคลื่อนย้ายระหว่างคาบสมุทรและหมู่เกาะ) ไม่ว่าจะเป็นชวา (Jave)มิงนังกาเบา (Minangabau)เกอริซิ (Kerici)บอร์เนียว (Borneo)หรือทางใต้ของสยาม (South Siam)แม้พวกเขาพูดภาษามาเลย์เป็นภาษากลาง แต่ภาษาแรก กลับเป็นชวา มินังกาเบา แมนไดลิง บันจาร์ บูกิส ทมิฬ (น.XXI)
|
|
Study Period (Data Collection) |
เนื้อหาโดยส่วนใหญ่เป็น “การคลี่” ให้เห็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ในการเสนอความเป็นไปได้ในการทำความเข้าใจถึง “ความเป็นมาเลย์” ที่ไม่ใช่คำอธิบายจากชุดอุดมการณ์ชาตินิยม แต่ต้องเข้าใจภาวะการก่อตัวทางสังคมในคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะที่เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดระยะสองศตวรรษที่ผ่านไป ผู้เขียนจึงเน้นการใช้ข้อมูลเอกสาร หนังสือ และงานการศึกษาของบุคคลต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่ข้อถกเถียงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ที่เลื่อนไหล อย่างไรก็ดี ผู้เขียนอ้างถึงข้อมูลที่ลงลึกใน 3 พื้นที่ ในช่วงทศวรรษ 1970เพื่อสะท้อนให้เห็นการแบ่งแยกระหว่างชาติพันธุ์และโครงการถ่ายทอดมโนทัศน์ “ความเป็นมาเลย์” “กัมปงมาเลย์” แบบชาตินิยมเป็นรูปธรรม ประกอบด้วยพื้นที่เร็มเบา (Rembau) ในเนเกริ เซ็มบิลัน (Negeri Sembilan) ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นกัมปงมาเลย์ดั้งเดิมปลูกผลไม้และยาง รวมทั้งข้าวด้วยระบบชลประทาน, อูลู ลันกัต (Ulu Langat) ในสลังอ (Selangor)ที่มีคนมาเลย์ต่างแดนเข้ามาในวงจรอุตสาหกรรมยาง และบาตัง ดาตัง (Batang Datang) ในเปรัค (Perak)มีผู้ถือครองที่ดินปลูกยางขนาดย่อม โดยส่วนใหญ่เป็นคนมาเลย์พื้นถิ่น ทั้งสองพื้นที่หลังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูงในช่วงที่ตลาดยางขยายตัวในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 (น.147-148) |
|
History of the Group and Community |
ไม่มีนิยามของชนชาติมลายูที่ชัดเจนในยุคอาณานิคม การตรากฎหมายของสมาพันธรัฐมาเลย์(Federated Malay States – FMS) เพื่อกำหนดสิทธิเหนือที่ดิน “มาเลย์” กลับมีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยระบุเพียงว่าเป็น “บุคคลที่เป็นสมาชิกของชนชาติมลายา พูดภาษามาเลย์หรือภาษาอื่น ๆ ในมลายา และเป็นมุสลิม” ซึ่งคำว่า มลายา ในสายตาของนักกฎหมายอาณานิคม พิจารณาว่าเป็นบุคคลที่อยู่อาศัยในรัฐมาเลย์และในสเตรทส์เซ็ทเทิลเมนต์ ซึ่งหมายรวมถึงคนมาเลย์ จีน อินเดีย อาหรับ และอื่น ๆ ส่วนในกฎหมายของรัฐนอกสมาพันธรัฐ (Non-Federated Malay States)ในกลันตัน (Kelantan) ชี้เฉพาะถึงตัวกำหนดทางภาษาว่าจะต้องใช้ภาษามาเลย์เท่านั้น หรือในกฎหมายของยะโฮร์ (Johor)แยกแยะระหว่าง “มาเลย์” และ “มาเลเซีย” หรือในปะลิส (Pelis)ครอบคลุมถึงลูกหลานของคนอาหรับ ตัวอย่างต่าง ๆ นี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า นักกฎหมายอาณานิคมเองยังไม่มีนิยามของความเป็นชนชาติมลายูเพียงหนึ่ง (น.17)
หรือกระทั่งการสำรวจสำมะโนประชากรที่มีการใช้แนวคิด “เชื้อชาติ” ของดาร์วิน (Darwinism)เมื่อ ค.ศ. 1891 ยังความคลุมเครือในการสำรวจอีกเช่นกัน ดังปรากฏในตัวอย่างของ นาธาน (Nathan 1921) ที่เป็นผู้สำรวจยกตัวอย่างการระบุเชื้อชาติอาหรับ “หากพิจารณาจากการใช้ภาษาแล้ว บุคคลที่อ้างว่าตนเองเป็นอาหรับถือว่าสอบตก” จึงสะท้อนให้เห็นแรงตึงระหว่างการพิจารณาด้วยลักษณะทางกายภาพตามแนวคิดเชื้อชาติกับมิติทางภาษา
นอกจากนี้ เขายังได้ยกกล่าวถึงอุปสรรคในการระบุเชื้อชาติในแบบอื่น ๆ ดังเช่น กลุ่มชวา (Java)กลุ่มดายัค (Dayak)กลุ่มบูกิส (Bugis)ซึ่งมีความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม จะเรียกเป็นกลุ่มแยกเฉพาะหรืออยู่ภายใต้คำเรียกชื่อเชื้อชาติ “มาเลย์” (น.18)
|
|
Settlement Pattern |
กัมปงมลายู เป็นการแสดงออกชนชาติมลายูอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นโครงการในการยกระดับกลุ่มคนเชื้อสายมาเลย์ กลุ่มของยูโนส หรือ KMS พินิจว่ากัมปงมลายูเป็นบริเวณการตั้งถิ่นฐานของคนมาเลย์ โดยจะต้องแสดงให้เห็นความเป็นเชื้อสายมาเลย์เพื่อได้ใบอนุญาตพำนักชั่วคราว บุคคลที่พิสูจน์ได้ว่า “มีผู้ปกครองชายที่พูดภาษามาเลย์ ยึดมั่นในศาสนาอิสลาม ปฏิบัติตนสอดคล้องกับขนบมาเลย์ และอยู่ในอาณาคมสิงคโปร์หรือสหพันธรัฐมลายา หรือเกิดในหมู่เกาะริเอา (Riau) และอยู่อย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 15 ปี หรืออาศัยในอาณานิคมไม่น้อยกว่า 20 ปี” เพื่อให้ผืนดินนั้นครอบครองโดย “มาเลย์แท้” เท่านั้น (น.13)
ฉะนั้นในช่วงทศวรรษ 1920 กัมปงจึงเป็นคำที่แสดงให้เห็นถึงหมู่บ้านที่มีความสมัครสมานและเกื้อกูล และมีเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง ดังนี้แล้ว กัมปงมลายูจึงมีมัสยิด โรงเรียน แหล่งสมาคม และสหกรณ์ของตนเอง ตามสังคมแบบอุดมคติที่พัฒนาขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อให้จินตภาพแบบชาตินิยมแสดงตัวตนอย่างชัดเจนในพื้นที่ทางสังคม (น.14)
อย่างไรก็ดี ภาพของย่านคนมาเลย์ในงานศึกษาโดยนักวิจัยต่างชาติและท้องถิ่น รวมถึงงานบันทึกของปัจเจกบุคคล ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 แสดงให้เห็นว่าผู้คนในกัมปงนั้นแตกต่างจากจินตภาพของผู้ก่อตั้ง จากความไม่เคร่งครัดในการปฏิบัติของศาสนิกชนและการยอมรับความทันสมัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง หรือรูปแบบการรักษาทางการแพทย์แบบตะวันตก ควบคู่กับการรักษาบำบัดแบบดั้งเดิม รูปแบบทางเศรษฐกิจไม่ได้อาศัยเกษตรกรรมแบบพึ่งตนเอง แต่ประกอบด้วยการเป็นแรงงานในที่ดินเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ หรือการทำงานในสำนักงาน เป็นแรงงาน และในระบบขนส่ง สภาพของกัมปงมลายูไม่ได้เป็นศูนย์กลางของชนชาวมาเลย์แต่อย่างใด แต่ย่านกีลางกลับทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง ที่สำคัญมีการบันทึกสัดส่วนของผู้คนที่ปะปน ทั้งมาเลย์ เปอรานากัน มุสลิมเชื้อสายอินเดีย (น.23-24)
กล่าวโดยรวมแล้ว กัมปงมลายู มิได้ดำรงภาพของความเป็นชีวิต “ชนบท นิ่ง ๆ” ตามความคิดของนักคิดชาตินิยมมาเลย์ หากแต่ชีวิตของคนในกัมปงสะท้อนการดำรงชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของถิ่นฐานในบริบทที่ใหญ่กว่า ด้วยความที่สิงคโปร์เป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกสมัยใหม่และอิทธิพลของทุนต่าง ๆ ฉะนั้น การทำความเข้าใจสภาพที่เป็นจริงของกัมปง และการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัยจะช่วยทำให้ภาพของความเป็นมาเลย์ขยายมากกว่าจินตภาพอุดมคติ “ชนชาติมาเลย์” แบบหนึ่งเดียว (น.27-28) ที่สำคัญ คนสิงคโปร์เชื้อสายมาเลย์ดำเนินชีวิตตามภาวะของตลาด และเป็นแรงงานในภาคไม่ใช่การเกษตรกรรม หลายคนเป็นผู้ประกอบการและผู้ค้า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง ผู้อยู่อาศัยในการตั้งถิ่นฐานในกัมปงมลายูหารายได้จากการค้าแรงงาน บ้างเป็นชาวประมง พ่อค้า ผู้ประกอบการและเรียนรู้ถึงการแข่งขันของทุนและตลาด มากกว่าจะเป็นกสิกร (น.30-31) ทั้งนี้ กัมปงมลายูในสิงคโปร์ดำรงสถานะจนถึง ค.ศ.1981 ก่อนที่รัฐบาลสิงคโปร์จะประกาศการโยกย้ายผู้อยู่อาศัยและสลายตึกรามบ้านช่องในพื้นที่ดังกล่าว
ผู้เขียนฉายภาพของสภาพแวดล้อมในคาบสมุทร ประชากรและการตั้งถิ่นฐาน ในช่วงศตวรรษที่ 19ต่อต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนจากหมู่เกาะเหล่านี้ได้สร้างความหมายของกัมปงที่ “ข้ามถิ่นฐาน” (trans-local) ชุมชนไม่ยึดกับถิ่นที่ (de-territorialised community) ซึ่งแตกต่างจากวาทกรรมกัมปงมาเลย์ของนักชาตินิยม หมู่บ้านมาเลย์ในสภาพที่เป็นเลื่อนไหล หลากหลาย ชั่วคราว หรือดังที่ James Weiner (1991) กล่าวไว้ว่าพื้นที่ก่อตัวไปตามสภาวะความเป็นอยู่ของผู้คน มากกว่าจะเป็นคำอธิบายถึงสภาพปรากฏของสถานที่ดังเช่นวาทกรรมแบบชาตินิยม (น.65-66)
|
|
Demography |
ลักษณะทางประชากรที่ผู้เขียนกล่าวถึงมาจากข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์โดยระบุถึงภาพรวมของสังคมในคาบสมุทรในช่วงอาณานิคมอังกฤษ และกล่าวเฉพาะลงไปถึงตัวอย่างของกัมปงมาเลย์ในสิงคโปร์ (การสำรวจประชากร ในตาราง 1 และ 2 การสำรวจของอาณานิคม 1901 1911 1921 1931 1947– น.177-179)
อัพพาดูไร (Appadurai) กล่าวถึงข้อมูลสำรวจประชากรในระบบอาณานิคม แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างผู้ปกครองกับพื้นที่ เวลา ทรัพยากร และความสัมพันธ์ แต่ข้อมูลดังกล่าวไม่ลงลึกถึงในระดับบ้าน (mukim) แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอาณานิคมยังไม่สามารถพัฒนามาตรฐานหมู่บ้านตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ข้อมูลยังไม่ครอบคลุมถึงรัฐที่ไม่ได้เป็นสมาพันธ์ การสำรวจยังเป็นไปตามสายตาของผู้สำรวจที่เห็นว่าสิ่งใดสำคัญ “มาเลย์ต่างถิ่น” ที่เคลื่อนย้ายเข้ามาสู่คาบสมุทร ได้รับความสนใจ ผู้สำรวจพยายามระบุถิ่นกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นชวา ริเอา หรือเซเลเบส (บอร์เนียวและสุมาตรา) จากความพยายามในการจัดการกับกลุ่มคนที่ไม่ภักดีกับถิ่นที่พวกเขาอาศัย ซึ่งส่งผลต่อการปกครอง (น.45)
แต่ข้อปัญหาคือ การระบุถึงความเป็นพื้นถิ่นกับต่างแดนนั้นมีลักษณะที่ลื่นไหล่ เพราะผู้สำรวจแต่ละคนต้องเผชิญกับคำถามในการระบุความเป็นมาเลย์โดยอาศัยถิ่นกำเนิด วัฒนธรรม หรือการระบุตัวตนโดยผู้ถูกสำรวจเอง สุดท้ายในแต่ละการสำรวจนิยามความเป็นมาเลย์กลับปรับแปรไปในแต่ละครั้ง ตัวเลขในการระบุถึงการย้ายถิ่นของผู้อพยพเข้ามาสู่มาลายาของอังกฤษจึงไม่เที่ยงตรง อย่างไรก็ดีแนวโน้มของตัวเลขในการระบุความเป็นมาเลย์ต่างแดนมีสูงมากในช่วงสามทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 (น.46)
“มาเลย์ต่างแดน”(foreign Malays) จึงมีการกล่าวอย่างรวบรัดว่าย้ายถิ่นมาจากชวา สุมตรา บอร์เนียว ริเอา และไม่รวมถึงชาวเล ซึ่งบางครั้งถูกระบุว่าเป็น “มลายูต่างแดน” หรือ “มาเลย์ต่างแดน” ในช่วงเวลาต้นศตวรรษที่ 20 สิ่งที่ชวนตั้งคำถามคือ “มาเลย์” กลายเป็นการระบุกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลักษณะเป็นกลุ่มก้อน และแยกจากคนจีนและอินเดียอย่างชัดเจน แม้ว่าพื้นเพของ “มาเลย์” มาจากหลากหลายพื้นที่ก็ตาม นอกจากนี้ แม้จะจะมีกลุ่มมาเลย์ที่เป็นพ่อค้าและคหบดี แต่ภาพของความเป็นมาเลย์ที่รับรู้ในกลุ่มเจ้าอาณานิคมและนักชาตินิยม กลับสัมพันธ์กับสภาวะความยากจน ด้อยโอกาส และชายขอบที่ต้องได้รับการปกป้องจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่า (น.47)
ลิมเท็กกี (Lim Teck Ghee) (1977) ระบุถึงนโยบายของเจ้าอาณานิคมในการกีดกันคู่แข่งทางการเพาะปลูกยาง การระบุสภาวะของความเป็นมาเลย์ให้เป็นชาวนาในชนบทที่เลี้ยงชีพแบบพึ่งพาตนเองและมีไร่ยางขนาดเล็ก แต่หลักฐานกลับไม่เป็นเช่นนี้ เพราะการเพาะปลูกที่อาศัยระบบชลประทานหรือนาที่ลุ่มในคินตา กัวลากังซาร์ (Kuala Kansar) และในเขตลารุต (Larut) กับเขตมาตัง (Matang) มีการบันทึกในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ไว้ว่า การเพาะปลูกกระจัดกระจายไม่ได้เป็นกลุ่มก้อน นอกจากนี้ในการสำรวจ ศตวรรษที่ 20 แสดงให้เห็นการเพราะปลูกที่หมุนเวียน (“ladang” cultivation) เพราะเริ่มประสบปัญหาการเพาะปลูกแบบชลประทาน ภูมิภาคที่พบการเพราะปลูกดังนี้ พบในเปรัคตอนล่าง เปรัคตอนบน บาตังปาดัง (Batang Padang) กัวลาสลังอ (Kuala Salangor) และกัวลาลิปิส (Kuala Lipis) จำหน่ายผลผลิตเชิงพาณิชย์อย่างมาก และมีประชากรหนาแน่นน้อยมากในพื้นที่ (น.48-49) ในงานของ ลิมเท็กกี (Lim Teck Ghee) จึงยืนยันถึงคนย้ายถิ่นที่เข้ามาทำการเกษตรเชิงพาณิชย์จากสุมาตรา บอร์เนียว และริเอา ในเขตคริอัน (Krian) ของเปรักที่เพาะปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนและการค้า (น.50)
นอกเหนือจากการเพาะปลูกข้าวแล้ว มะพร้าวกลายเป็นสินค้าเศรษฐกิจสำคัญ LTG อ้างถึงรายงานของสมาพันธรัฐมาเลย์กล่าวถึงการเพาะปลูกตามชายฝั่งที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยชนมาเลย์ย้ายถิ่นและในปากแม่น้ำสลังอ นอกจากนี้ ยังรวมถึงพืชชนิดอื่น ๆ เช่นชาดำ น้ำตาล พริกไทย ในช่วงหลังของศตวรรษที่ 19 ที่มักเป็นนักลงทุนชาวจีน แต่มีการระบุถึงเจ้าของไร่กาแฟชาวมาเลย์ย้ายถิ่น (น.51) จนถึงในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่เริ่มมีการเพาะปลูกยางโดยคนมาเลย์ นอกเหนือจากผู้ประกอบการชาวยุโรปและจีน ในรายงานของ FMS (1932) กล่าวถึงการเพาะปลูกมะพร้าวเพียงครึ่งล้านเอเคอร์ แต่มีพื้นที่เพาะปลูกยางถึงสองล้านเอเคอร์ และพึ่งการนำเข้าอาหารหลักอย่างข้าวแทน (น.51) ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นว่าพืชเศรษฐกิจก่อนการขยายตัวในการเพาะปลูกยางของชาวมาเลย์ เน้นการตั้งในพื้นที่ชายฝั่งและริมแม่น้ำ โดยอาศัยการเข้าไปยังพื้นที่ด้านในเพียงเพื่อการแลกเปลี่ยนของป่า เพราะต้องอาศัยสถานที่ตั้งเหมาะสมกับการขนส่งและการพัฒนาเครือข่ายและช่องทางการจำหน่วยในตลาด ฉะนั้น เมื่อเกิดการขยายตัวของยาง จึงไม่ใช่เรื่องซับซ้อนนักของกสิกรเชื้อสายมาเลย์ในการขยายพื้นที่เข้าไปในดินแดนด้านใน การขยายตัวดังกล่าวมาพร้อมกับเครือข่ายรถไฟและถนนโดยเจ้าอาณานิคม ในช่วงทศวรรษ 1890 เป็นต้นมา สำหรับการขนส่งผลผลิตยาง หน่วยอาณานิคมที่บริหารพื้นที่ได้รายได้เพิ่มยิ่งขึ้นจากราคาที่ดินและการเช่าที่ดินสำหรับการเพาะปลูกยางในพื้นที่เนินเขา เพื่อหลีกเลี่ยงน้ำท่วมกังขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ (น.52-53)
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว กสิกรมาเลย์รู้จักที่จะฉวยโอกาสในการเก็งกำไรราคาที่ดิน โดยอาศัยการหักล้างถางพงเข้าไปในพื้นที่ใกล้ ๆ กับที่ดินเพาะปลูกขนาดใหญ่ ขึ้นโฉนดที่ดินและแสวงหากำไร ผู้เขียนย้ำในอีกครั้งว่า อาณาบริเวณสำคัญที่มีการเพาะปลูกยาง จากจุดเริ่มต้นใน อูลู สันกัต (Ulu Langat) ในกิจการของชาวยุโรป ขยายสู่พื้นที่ต่าง ๆ โดยมีทั้งนักลงทุนชาวยุโรป จีน และกลุ่มผู้เพาะปลูกชาวมาเลย์รายย่อย ในสลังอและกัวลากาซาร์ รวมถึงเขตบาตังปาดัง (Bantang Padang) ในเปรัค (น.54-55) ซึ่งแสดงให้เห็นความเป็นนักลงทุนและข่ายใยทางการค้าที่ชนเชื้อสายมาเลย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผสมผสานไปกับกลุ่มคนอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี ในช่วงทศวรรษ 1930 บริบทความตกต่ำทางเศรษฐกิจ สงคราม และกระแสชาตินิยม ก่อให้เกิดกระบวนการหวนหาจินตภาพกัมปงมาเลย์ และการขีดเส้นความเป็นอื่น (คนจีนและคนอินเดีย) โดยเฉพาะในเศรษฐกิจการพาณิชย์ ผู้เขียนอ้างตัวเลขอัตราการอยู่อาศัยในเมือง สัดส่วนของคนเชื้อสายมาเลย์ลดลง และแตกต่างจากคนเชื้อสายจีนที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในหลังสงคราม [ตารางอัตราคนในพื้นที่เมืองในสมาพันธรัฐมาเลย์ ค.ศ. 1931-1957 - น.145] และกล่าวถึงงานศึกษาภาคสนามของผู้เขียนเองในเนเกริ เซ็มบิลัน (Negeri Sembilan),ปาหัง (Pahang), ยะโฮร์ (Johore) ที่ผู้สูงวัยเชื้อสายมาเลย์อ้างถึงอัตราการเคลื่อนย้ายของคนเชื้อสายจีนเข้าสู่เมือง และพวกเขาทำกินบนที่ดินเหล่านั้นแทน ช่วงเวลานั้นการรับรู้ “ความเป็นกัมปงที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนมาเลย์” เด่นชัดอย่างยิ่งในทศวรรษ 1970 (น.145-146)
ตัวอย่างกัมปงมลายูในสิงคโปร์ที่สะท้อนจินตภาพที่จับต้องได้ ถือกำเนิดจากผู้นำของสหภาพมาเลย์สิงคโปร์ (KMS) ที่กำเนิดขึ้น 1926 โดย โมฮาเม็ด ยูโนส อับดุลเลาะห์ รณรงค์ให้ผู้ปกครอง คลิฟฟอร์ด ผ่านสภานิติบัญญัติในการซื้อที่ดิน “เพื่อให้ชาวมาเลย์สร้างบ้านของตนเอง ปลูกพืชที่ให้ผลและอยู่ในกลุ่มคนที่ดำเนินชีวิตตามประเพณี” (Roff 1976)(น.7)
ครัวเรือนเพิ่มขึ้นตามลำดับจากการเปิดครั้งแรก ค.ศ. 1929 ถึง ค.ศ. 1935มีถึง 1,500คน โดยเฉพาะเมื่อมีการสร้างสนามบินพลเรือนคัลลาง เมื่อ ค.ศ. 1932 รายงานประชากรอย่างเป็นทางการหลังสงครามโลก โดยระบบการจัดการอยู่ในมือของสำนักงานที่ดินอาณานิคม เมื่อ ค.ศ. 1948รายงานว่า มีการจัดสรรที่ดิน 250โฉนดและมีคนอยู่อาศัย 1,000หนึ่งปีต่อมามีรายงานบ้าน 199หลังคาเรือน และมีการพัฒนาถนนและสายไฟฟ้า ค.ศ. 1950มีการแต่งตั้งผู้ดูแลอย่างเป็นทางการ อับดุล ลาติฟฟ์ บิน อิบราฮิม (Adul Latiff bin Ibrahim) มีรายงานเมื่อ ค.ศ. 1951จำนวน 245 ครอบครัว อาศัยและมีการขอเพิ่มเติมอีก 207ครัวเรือน รวมถึงการจัดตั้งโรงเรียนสำหรับชายและหญิง สหกรณ์ และสมาคม หรือกระทั่งสระว่ายน้ำ (น.8)
กระบวนการเข้าอยู่ในพื้นที่ต้องผ่านการสัมภาษณ์และพิจารณาเอกสารการสมัคร ในรายงานของผู้อำนวยการสำนักงานที่ดินวางแผนในการขยายพื้นที่ รวมถึงการขยายสหกรณ์และกิจกรรมของพรรคการเมืองอัมโน (UMNO) ที่มีอย่างต่อเนื่องเพื่อสวัสดิการของผู้อยู่อาศัย ค.ศ.1957 มีสิงคโปร์ที่ได้รับการระบุว่า “squatter settlers” 360,000คน กีลางเซไรอยู่ทางตะวันตกของกัมปงมลายูมีผู้อาศัย 50,000คนในพื้นที่ 640เอเคอร์ (น.9)
|
|
Social Organization |
[ผู้เขียนนำเสนอข้อมูลการจัดระเบียบทางสังคมด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เพื่อตั้งคำถามกับจินตภาพ “กัมปงมาเลย์” แบบชาตินิยม ซึ่งเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่ผู้วิเคราะห์กล่าวไว้ในหัวข้อ 17 และ 26]
ในศตวรรษที่ 19ประชากรมาเลย์ที่ในคาบสมุทรทางใต้ของสยาม และสเตรท์เซ็ทเทิลเมนต์ (Straits Settlement) มีทั้งกลุ่มประชากรในพื้นที่ ราว 400,000 คน จากเอกสารการสำรวจ ค.ศ. 1911และกลุ่มที่เคลื่อนย้ายมาจากหมู่เกาะสุมาตรา ริเอา กาลิมันตัน หรือกระทั่งชาวจีนอพยพจากทางใต้ของแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีการใช้คำเรียก “เปอรานากัน” สำหรับกลุ่มลูกผสมเหล่านี้ ทั้งในปีนังและสิงคโปร์ รวมถึงลูกผสมกับคนเชื้อสายอินเดียมุสลิมและอาหรับ สัดส่วนของประชากรดังที่กล่าวมานี้เพื่อระบุให้เห็นถึงความผสมผสานทางเชื้อชาติของกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่คาบสมุทรและอาณาบริเวณดังที่ได้กล่าวไว้ ยังมิพักจะต้องกล่าวถึงชาวเล (โอรัง อัสลิ – Orang Asli)
การระบุถึงความเป็นมาเลย์ เพื่อแยกแยะตัวเองจากลูกหลานอินเดียและอาหรับที่เป็นมุสลิม ส่วนใหญ่กลับอยู่ในเมือง ใกล้กับชายทะเลหรือแม่น้ำตามโครงข่ายการคมนาคมที่อาณานิคมอังกฤษพัฒนาขึ้นในมาลายาตั้งแต่ทศวรรษ 1870รายได้ทางเศรษฐกิจมาจากการไหลเวียนสินค้า ไม่ใช่การควบคุมที่ดินหรือประชากร สภาพของสังคมในระยะเวลานั้น จึงเป็นกลุ่มชนชั้นกลาง และมีกลุ่มประชากรจากหมู่เกาะที่อพยพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเมืองต่าง ๆ (น.32-33)
ภาพของกัมปงที่นิ่ง สงบ และดำเนินเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเองจึงมิใช่ภาพของความเป็นจริง อ้างใน Gulluck 1987: 124 “การซื้อมาขายไปกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ เรียกได้ว่าเป็นเศรษฐกิจการแลกเปลี่ยน” โดยมีสัดส่วนของกสิกรมาเลย์ที่มีระบบการเพาะปลูกแบบ “ลาดัง” (ladang) แบบพืชไร่ ซึ่งมีผลผลิตไม่มากนัก หากเทียบกับกลุ่มกสิกรมาเลย์ต่างถิ่นที่มีเพาะปลูกด้วยระบบชลประทาน กลุ่มดังกล่าวต้องการผลผลิตตอบแทนในระยะเวลารวดเร็วและมีปริมาณผลผลิตที่มากกว่ากลุ่มแรก (Gulluck 1987: 107-8) การเพาะปลูกในทางเหนือของเปรักจนถึงภาคกลางยะโฮร์ เป็นการปรับใช้เทคนิคสุมาตรา ด้วยการเพาะกล้าและปลูกด้วยระบบชลประทานขนาดเล็ก สิ่งที่ผู้เขียนพยายามยืนยัน ความเป็นอยู่ของกสิกรรมไม่สามารถเอื้อเฟื้อให้กับชาวบ้านดังเช่นจินตภาพของนักชาตินิยม ไม่ว่าจะเป็นชาวมาเลย์หรือชาวเล ยังคงต้องอาศัยการเก็บของป่า หวาย ซุง ยาง รวมถึงการเกษตรกรรมพืชเศรษฐกิจเพื่อสนองตลาดทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และต่างแดน (น.34)
ในมิติทางสังคม แม้ในหมู่บ้านต่าง ๆ จะมีลักษณะทางชาติพันธุ์ใกล้เคียงกัน แต่สังคมมิได้สมัครสมานเป็นหนึ่ง มาเลย์ในศตวรรษที่ 19ไม่มองตัวเองในฐานสมาชิกของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแบบโดดๆ ไม่ใช่คนในสังกัดชนชาติหรือเชื้อชาติใดเป็นหลัก ภาพความคิดเหล่านั้นกลับมาจากการรับรู้ของชาวยุโรปจากภายนอก อ้างถึง Milner (1995: 14) “ที่พิจารณาว่ากลุ่มสังคมนั้น ๆ ประกอบด้วยหนึ่งชนชาติ แต่ในความเป็นจริงมาเลย์ในช่วงเวลานั้นกลับมองว่าตนนั้นดำรงอยู่ท่ามกลางความหลากหลาย หลายพ่อพันแม่” ความแตกต่างดังว่านี้มาจากทั้งชาติภูมิกับการเชื่อมโยงเข้ากับผู้ปกครองของแต่ละรัฐที่แตกต่างกัน (Malays from different states) (น.35)
จึงกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า โลกมาเลย์ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19มีลักษณะพลวัต หลากหลาย และเป็นสังคมพาณิชยกรรม ห่างไกลจากสภาวะกัมปง “แบบประเพณี” ตามจินตนาการของนักชาตินิยม ผู้เขียนชี้ให้เห็นถึงจินตภาพของสังคมที่สงบและผูกติดกับพื้นที่นี้น่าจะมาจากความคิดเรื่อง เกอราจาอัน (kerajaan) หรือระบบการปกครองระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้การปกครอง เพราะระบบเกณฑ์แรงงานในรอบปีให้กับเจ้านาย และยังพบรูปแบบของการพึ่งพิงของชาวนาจากปัญหาหนี้สินจนต้องขายตัวเป็นทาส สภาวะเช่นนี้เองที่เรื่องเล่าของความเป็นกัมปงมาเลย์สมัยใหม่ “คนผูกติดกับที่” จึงเกิดขึ้นตามจินตภาพ (น.35)
ผู้เขียนยังกล่าวถึงคำอธิบายถึงจินตภาพของกัมปงว่าน่าจะมาจากบันทึกของราชสำนัก ที่ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างราชากับกลุ่มมาเลย์ที่โยกย้ายถิ่นฐานตามผลประโยชน์ในเชิงการค้าเสียมากกว่าจะสะท้อนภาพที่เป็นจริง โดยเฉพาะกลุ่มคนย้ายถิ่นจาก สุมาตราและหมู่เกาะนั่นก็ไม่มีสำนึกของความภักดีต่อผู้ปกครองและยอมตนเข้าสู่ระบบการเกณฑ์แรงงานตามอุดมการณ์แบบเกอรานาจาอัน แต่อย่างใด (น.36)
|
|
Political Organization |
[ในประเด็นทางการเมือง ในที่นี้ ผู้วิเคราะห์นำเสนอกระแสชาตินิยม ในช่วงปลายยุคอาณานิคม สงคราม และการประกาศอิสรภาพ เพื่อให้เห็นบริบทของการสร้างจินตภาพความเป็นมาเลย์และ “กัมปงมลายู”]
ผู้เขียนให้ความสำคัญกับกระแสชาตินิยมที่แพร่กระจายทั้งในพื้นที่เมืองและชนบทในช่วงหลังสงคราม โดยให้ความสำคัญกับ ชนชั้นนำที่ใช้สื่อประชานิยมในช่องทางต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความคิดในกลุ่มคนมาเลย์ กระแสชาตินิยมดังกล่าวนี้ได้ลดทอนภาพของสังคมในภูมิภาคมาลายาที่เคลื่อนไหว และกอปรด้วยผู้คนหลากหลาย จนกลายเป็นเส้นแบ่งระหว่างคนมาเลย์กับคนที่ไม่ใช่มาเลย์ พื้นหลังของเหตุการณ์ที่นับเป็นกระแสของความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติอย่างสูงในทศวรรษ 1950นั่นคือ กรณีของมาเรียน เฮอร์ตัว (Maria Hertogh) หรือที่รู้จักกันในกลุ่มคนมาเลย์ว่า นาดราห์ (Nadrah) ในวัย 13 ปีเธอต้องแยกจากพ่อแม่ชาวดัชต์ผู้ให้กำเนิดด้วยเหตุผลของสงคราม เธอได้รับการอุปการะโดยครอบครัวชาวอินโดนีเซีย ในภายหลังสงคราม แม่ผู้ให้กำเนิดล่ารายชื่อผู้สนับสนุนและยื่นเรื่องต่อศาลในการขอสิทธิ์รับเลี้ยงดู และขอให้ยกเลิกการแต่งงานตามขนบมุสลิมซึ่งดำเนินการโดยพ่อแม่บุญธรรม ศาลได้ตัดสินให้พ่อแม่โดยกำเนิดได้อุปการะและให้การแต่งงานเป็นโมฆะ คำตัดสินดังกล่าวนำมาสู่เหตุการณ์จลาจลโดยเฉพาะในสิงคโปร์ ที่ชุมชนชาวมาเลย์ได้รับข้อมูลข่าวสารจากกลุ่มนักหนังสือพิมพ์ชาตินิยมสุดขั้ว (น.107-109)
ผู้เขียนกล่าวถึงดร.มหาธีร์ อดีตนายกรัฐมนตรี ไว้ว่า ในช่วงปลายยุคอาณานิคม ความคิดแบบชาตินิยมที่นำเสนอภาพของกัมปงมาเลย์ แบบ “อนุรักษ์” เพื่อสร้างกระแสชาตินิยมในการให้ภาพคนมาเลย์ที่ถูกเบียดขับโดยเจ้าอาณานิคมและชนอพยพ ดร.มหาธีร์เกิดในรัฐเกดาห์ ค.ศ. 1925 และเดินทางมาสิงคโปร์เพื่อรับการศึกษาและทำงาน จนจบทางแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมาลายา และเข้าร่วมกับองค์กรชาตินิยมมาเลย์ ค.ศ.1946 (น.109) เขาเขียนหนังสือเรื่อง “The Malay Dilemma” ที่ตีพิมพ์ ค.ศ. 1970 เนื้อหาตอกย้ำกับภาพของชนมาเลย์ที่ก่อตัวตั้งแต่ทศวรรษ 1950 คนมาเลย์เป็นชาวนาอาศัยในหมู่บ้านเล็ก ๆ และขาดโอกาส และร่ายภาพของสังคมก่อนอาณานิคมที่ปกครองโดยราชา มีช่างฝีมือ ปราชญ์ พ่อค้า และผู้ดูแล โดยอาศัยสายสัมพันธ์ของความเป็นเครือญาติ “...ชุมชนที่อาศัยประเพณีพื้นถิ่นและความเชื่อจิตวิญญาณในสรรพสิ่ง คำสอนของอิสลามนั้นจำกัด จึงถูกกลืนไว้ด้วยขนบมาเลย์และความเชื่อในวิญญาณ” (1970: 22) ภาพกัมปงมาเลย์ที่ล้าหลังยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเมื่อมีชาวจีนอพยพและการครอบงำอาณานิคม ชาวบ้านไม่มีโอกาสรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 – 20 (1970: 28) มีการละทิ้งชนบทด้วยการขายที่ดินและเข้ามาอยู่ในชุมชนแออัดในเมือง แต่คงหลีกเลี่ยงการสร้างสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่มาเลย์ ส่งผลให้ขาดโอกาสทางการค้า เรื่องเล่าเหล่านี้กรุยทางให้ ดร.มหาธีร์กระตุ้นสำนึกชาตินิยมที่ชาวมาเลย์พื้นถิ่นต้องปฏิรูป (น.110)
“ภาวะเขาควาย” ที่ดร.มหาธีร์กล่าวอ้างมาจากการผสานรวมความคิดแบบดาร์วิน สเปนเซอร์ และคาร์มาร์ก ที่สร้างคำอธิบายถึงความเป็นเชื้อชาติภายใต้สภาพแวดล้อม เพราะคนมาเลย์ไม่ต้องกระตือรือร้น ชาวนาทำนาเพียงสองเดือนเพื่อเลี้ยงปากท้องในส่วนที่เหลือของปี และปล่อยให้ชาวจีนที่รุกคืบเข้ามาในพื้นที่และมี “สายเลือดการค้า” รวมถึงชาวยุโรปที่มาแย่งชิงทรัพยากร ฉะนั้น คนมาเลย์ต้องนำคุณค่าความเป็นกัมปงที่รวมกันเป็นหนึ่งเพื่อกำหนดอนาคตของตนเอง ต่อต้านกับการเอาเปรียบของเจ้าอาณานิคมและคนอพยพชาวจีน ความคิดดังกล่าวนี้กลายเป็นอุดมการณ์ชาตินิยมมาเลย์แบบอนุรักษ์ที่ขยายตัวมากขึ้นในช่วงหลังสงคราม (น.111)
ผู้เขียนกล่าวถึงกระแสชาตินิยมอื่น ๆ ที่ให้นิยามแตกต่างจากที่ ดร.มหาธีร์ พยายามขีดเส้นแบ่งความเป็นมาเลย์กับคนอื่น ดังเช่น ในช่วงทศวรรษ 1920 อาบัส (Zainal Abiddin Abas) ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มชาตินิยมที่เคลื่อนไหวในสิงคโปร์ที่กำหนดความเป็นมาเลย์ด้วยเชื้อชาติ แต่เขาเห็นว่าควรให้ความสำคัญกับแนวคิดของดินแดนที่มีมุสลิมต่างเชื้อชาติสามารถรวมกันเป็นหนึ่ง หรือเมื่อมีการจัดการประชุมในกลุ่มนักเคลื่อนไหวในปีนังช่วงทศวรรษ 1930เกิดการแบ่งกลุ่ม “มาเลย์บริสุทธิ์” กับกลุ่มลูกหลานเลือดผสมอย่าง “ยาวีเปอรานากัน” อย่างชัดเจน กลุ่มเลือดผสมไม่ต้องการให้เอาพื้นเพเชื้อชาติมาเป็นแกนในการกำหนดความเป็นมาเลย์ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาตินิยมดั้งเดิมให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมในการกำหนดความเป็นมาเลย์ในมิติทางวัฒนธรรมมากกว่าเชื้อชาติ “หากผู้ใดยินดีละทิ้งเชื้อสาย (bangsa) แล้วรวมเข้าเป็นหนึ่งในสัญชาติ (kebangsaan) เพื่อดูดซับกลุ่มคนที่ไม่ใช่มาเลย์” แต่สำหรับ ดร.มหาธีร์ แล้ว กลับสำทับกับกลุ่มอัมโน (UMNO) ที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมและปฏิเสธความเป็นไปได้ในการควบรวมคนที่ไม่ใช่มาเลย์ในรัฐเอกราชที่กำลังเกิดขึ้น (น.112-113)
การเคลื่อนไหวของคนสิงคโปร์เชื้อสายมาเลย์ในทศวรรษ 1950 หลังสงครามปรากฏอย่างชัดเจนเช่นกัน สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางเคลื่อนไหวทางความคิดทางการเมืองผ่านศิลปะและวรรณกรรม เหตุผลหนึ่งมาจากการลี้ภัยการเมืองที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษกดดันนักเคลื่อนไหวจากคาบสมุทรในช่วงทศวรรษ 1940 หนึ่งในนั้นคือ C.H.E. Der ราชวังเดิมในกัมปงกีลามกลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางการเมืองที่ซ่อนอยู่ในรูปของการส่งเสริมภาษาและวรรณกรรมมาเลย์ (น.114)
สมาคมที่สำคัญ ๆ ในการเคลื่อนไหว เช่น ASAS 50 เกิดจากการรวมตัวของนักเรียนฝึกหัดครูวิทยาลัยสุลต่านอิดริส (Sultan Idris Training College) นักหนังสือพิมพ์ และนักเขียนในนามของ “ศิลปะเพื่อสังคม” ผู้เขียนอ้าง Firdaus (1981) กลุ่มนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ถ่ายทอดแนวคิดทางการเมืองสู่นักอ่านของพวกเขา แม้พรรคการเมืองสุดโต่งต่าง ๆ ถูกสั่งห้ามหรือสลายการรวมตัว กระแสชาตินิยมมาเลย์แพร่กระจายอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษ 1950 ต่อเนื่องถึงช่วงเวลาที่สิงคโปร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาลายาในช่วงต้นทศวรรษ 1960 เวลานั้นสังคมสิงคโปร์สะท้อนภาพของพหุสังคมที่มีชุมชนแตกต่างกัน โดยมีคนเชื้อสายจีนเป็นชนส่วนใหญ่ และคนเชื้อสายมาเลย์เป็นชนส่วนน้อย และต่างสนใจเฉพาะผลประโยชน์กับชุมชนของตนเอง ผู้เขียนอ้างงานศึกษาของฌามัวร์ (Judith Djamour 1959) สะท้อนภาพชุมชนมาเลย์ ที่ครอบคลุมผู้คนที่อพยพมาจากสุมาตรา ริเอาและแหล่งอื่น ๆ ในหมู่เกาะ รวมกันเป็นกลุ่มก้อนและแยกแยะตนเองออกจากมุสลิมสิงคโปร์ที่เป็นลูกหลานของคนเชื้ออาหรับและอินเดียอย่างชัดเจน (น.115)
นัยสำคัญที่ผู้เขียนกล่าวถึงสภาพสังคมสิงคโปร์นี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่าเรื่องเล่ามาเลย์แบบชาตินิยมสุกงอมอย่างมากในสิงคโปร์ในช่วงทศวรรษ 1950 และความคิดในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของคนมาเลย์เข้าสู่หัวจิตหัวใจของคนสิงคโปร์เชื้อสายมาเลย์ แต่ถึงที่สุดแล้ว “ชนชาติมลายู” (Bangsa Melayu) ซึ่งเป็นเป้าหมายของปัญญาชนนักชาตินิยมก็ไม่สัมฤทธิ์ผลนัก ดังจะเห็นได้จากนโยบายของพรรคกิจประชาชน (PAP) ของสิงคโปร์ที่พยายามสลายความเป็นกลุ่มก้อนของคนแต่ละเชื้อสายอย่างการกำหนดสัดส่วนประชากรในโครงการการเคหะของรัฐ เรียกได้ว่าตรงข้ามกับความคิด “กัมปงมาเลย์” ที่นำเสนอโดยนักชาตินิยมรุ่นก่อน (น.116)
|
|
Belief System |
ผู้เขียนใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์สะท้อนให้เห็นจินตภาพของกัมปงมลายูในอาณานิคมสิงคโปร์ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่ากัมปงมลายูเป็นสถานที่สำคัญในการบ่มเพาะแนวคิดชาตินิยม เรียกได้ว่าเป็นจุดกำเนิดวาทกรรม “ชนชาติมาเลย์” (Bangsa Melayu) จากความคิดถ่ายทอดสู่โครงการที่เป็นรูปธรรม กัมปงมลายูกลายเป็น “เนื้อหนัง” ของเชื้อชาติมาเลย์ที่ปรากฏจริงในสิงคโปร์อาณานิคม กล่าวถึงความเป็นกัมปงมาเลย์ผู้เขียนอ้างอิงจากงานของ Roff (1970) และ Milner (1995) ที่ให้ความสำคัญในการศึกษาวาทะการสื่อสารของยูโนส อันเป็น “ฐานรากความคิดชุมชนของกลุ่มชนเชื้อชาติ” (Bangsa community)(น.9-10)
Milner (1995) ให้ความเห็นว่าการถ่ายทอดความคิดของยูโนสมีส่วนสำคัญในก่อรูปความคิดเกี่ยวกับ “ชนชาติ” (Bangsa) เขาพยายาม “กำหนด” ชนชาติมาเลย์ ในความหมายของการผูกความภักดีไว้กับสุลต่าน หมู่บ้าน หรือภูมิภาค แต่ยูโนสยังเชื่อมโยงไปกับความคิดเรื่องเชื้อชาติและภูมิปัญญาเข้าไปด้วย แม้จะไม่ได้พยายามในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนในช่วงอาณานิคม แต่วางตนเองในฐานะเป็นตัวแทนของชนชาติมาเลย์ในการเมืองอาณานิคม (น.12)
แนวคิดของความเป็นคนที่ผูกกับเชื้อชาติ ในที่นี้ “ความเป็นมาเลย์แท้” กำหนดผ่านร่างกาย ในขณะเดียวกันในขอบเขตของพื้นที่และเวลา กรณีนี้ ผู้พำนักในกัมปงมลายูดำรงฐานะทั้งความเป็นชาติพันธุ์มาเลย์และผู้ที่อยู่ในดินแดนอาณานิคมอังกฤษ เรียกได้ว่าเป็น “พื้นที่ของเชื้อชาติ” (Race Space) ยูโนสและพลพรรคแสดงให้เห็นถึงกระบวนการสร้างความเป็นมาเลย์ด้วยภาษาที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม ชนชาติ และเชื้อชาติในต้นศตวรรษที่ 20 เข้าด้วยกัน (น.15)
มโนทัศน์เรื่อง “ชนชาติ” (Bangsa) ที่ยูโนสและพลพรรคใช้ในการสร้างคุณลักษณะของกัมปงมลายู ยิ่งมีความสลับซับซ้อนเช่นกัน เพราะเงื่อนไขที่เข้ามาใช้ในการตัดสิน ตั้งแต่ภาษา วัฒนธรรม ดินแดน ศาสนาและลักษณะทางกายภาพของบุคคล ซึ่งมีความใกล้เคียงกับนักปกครองของอาณานิคม ที่แยกแยะคนชวา คนมุสลิมเลือดผสมอินเดีย คนอาหรับพื้นถิ่น ที่ถูกกีดกันออกจากความเป็นมาเลย์ เพื่อกำหนดผู้มีสิทธิ์ในการเข้าพำนักในกัมปง แต่แนวคิดเชื้อชาติที่สัมพันธ์กับรากฐานชาตินิยมก็ไม่อาจจะอธิบายได้อย่างง่าย ๆ ว่ารับมาจากแนวคิดของอาณานิคม (น.19) แม้จะพอสรุปได้ว่าแนวคิดในการกำหนดความเป็นมาเลย์หมายรวมเฉพาะกลุ่มคนในคาบสมุทรและบางกลุ่มจากสุมาตรา และกีดกันกลุ่มอพยพที่มาจากอิสต์อินเดียนเนเธอร์แลนด์ (East India Netherlands) และมุสลิมที่เป็นเลือดผสมอินเดียหรืออาหรับ เป็นมโนทัศน์ที่ใช้ใกล้เคียงกันของผู้สำรวจและคนในปกครอง ซึ่งอยู่ในการประดิษฐ์สร้างของอาณานิคม
แต่หากพิจารณาในอีกคำรบ จะเห็นว่า การนิยมความเป็นมาเลย์มีภาวะกำกึ่ง ในกรณีของข้อเขียน Al-Imam ที่ระบุว่ามุสลิมที่เป็นเลือดผสมอินเดียหรืออาหรับ ไม่รวมอยู่ในความเป็นมาเลย์ ข้อเขียนสะท้อนความกังขาดังกล่าว โดยแสดงความคิดเห็นว่า แม้เปอรานากันจะไม่ใช่สายเลือดโดยตรงของมาเลย์ดั้งเดิม แต่ด้วยความรักในแผ่นดินและการเติบโตขึ้นมาจากผลิตผลต่าง ๆ ที่หล่อเลี้ยงแผ่นดินเช่นนี้ ไม่อาจนับเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมาเลย์หรือ ผู้เขียนสะท้อนให้เห็นว่า มุมมองที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม อัตลักษณ์ สภาพแวดล้อมและผลผลิต นับเป็นลูกผสมของมุมมองที่เป็นพื้นถิ่นกับจักรวรรดิ์ (น.20)
คนพื้นถิ่นทั้งในคาบสมุทร สเตรทส์เซิทเทิลเมนต์ (Straits Settlement) และหมู่เกาะอินโดนีเซีย ที่กอปรขึ้นจากชุมชน เชื้อชาติ และชนชาติ แบบหนึ่งเดียว (homogeneity) เริ่มก่อตัวในกลุ่มนักคิด แนวคิดเช่นนั้นยังได้รับการยอมรับในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยผ่านวารสารอย่าง Seruan Azhar ทำโดยกลุ่มนักเรียนมาเลย์และอินโดนีเซีย (กลุ่มนักเรียน al-Azhar) มุมมองของนักเรียนผสมผสานการตีความอิสลามแบบสมัยใหม่และกระแสการต่อต้านจักรวรรดิ์ โดยมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มมุสลิมสุดขั้วในสุมาตราตะวันออก ซึ่งผนวกอิสลามกับมาร์กซิสม์ พวกเขาถ่ายทอดความคิดดังกล่าวในกลุ่มคนในคาบสมุทรมาลายา บางส่วนในหมู่เกาะอินโดนีเซีย และทางใต้ของสยามและหมู่เกาะทางใต้ของฟิลิปปินส์ มีความเป็นชุมชนเดียวกัน “ชุมชนเดียวกัน กลุ่มคนเดียวกัน ขนบปฏิบัติเดียวกัน และนับถือศาสนาเดียวกัน” (อ้างใน Roff 1970) (น.21)
ประเด็นที่ผู้เขียนตอกย้ำนั่นคือการนิยามความเป็นมาเลย์ที่ก่อรูปเป็นกระแสชาตินิยมมาเลย์ โดยยูโนสและพลพรรคนั้นฉายให้เห็นความเป็นมาเลย์ที่เป็นรูปธรรมในกัมปงมลายู ปฏิบัติการดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้กระทำการ (agency) ในการนิยามความหมายที่เหมาะสมกับโครงการทางการเมือง (น.22-23)“กัมปงมาเลย์” จึงไม่ใช่เพียงภาพที่เกิดขึ้นจากคนใน “การมีส่วนร่วมของชุมชน” ดังที่ปรากฏในคำอธิบายเกี่ยวกับการผลิตสร้างความหมายของสถานที่ในเชิงวัฒนธรรม แต่มีปัจจัยจากภายนอกพื้นที่ของกัมปงที่สร้างจินตภาพของกัมปงมาเลย์อีกด้วย จึงกล่าวได้ว่าทั้งคนในที่อาศัย และเหล่าปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์จากภายนอก นักโฆษณา นักการเมือง นักส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์ ศิลปิน นักสร้างภาพยนตร์ นักเขียน ต่างมีส่วนในการสร้างความหมายของสถานที่ ไม่ต่างจากพ่อค้า กสิกร คนงานในเมืองและชนบทร่วมในวงของกระบวนการสร้างความเป็นกัมปงเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลยหากจะกล่าวเพียงว่ากัมปงในโลกมาเลย์เป็นผลผลิตของปัจเจกบุคคล ในฐานะที่เป็นปฏิบัติการของผู้พำนักในถิ่นฐานใดเป็นการเฉพาะนั้น (น.59)
จากอุดมการณ์ชาตินิยมในการนิยาม “ความเป็นมาเลย์” แล้ว ผู้เขียนยังตั้งคำถามถึงอิสลามที่เป็นหนึ่งในลักษณะทางวัฒนธรรมที่นักชาตินิยมเลือกใช้ในการอธิบายถึงความเป็นมาเลย์ ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนในการนิยามความเป็นมาเลย์ที่ยึดโยงกับความเป็นอิสลาม โดยใช้ข้อค้นพบทั้งจากงานสนามของตนเองและจากงานศึกษาของนักวิชาการคนอื่น ๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในการตีความ
เริ่มจากกระแสชาตินิยมก่อนอิสรภาพ นักชาตินิยมให้ความหมายของศาสนาที่ได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ปกครอง โดยอิสลามทำหน้าที่ในการรักษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครอง (raja) และประชาชน (rakyat) ทั้งนี้ มีสภาปกครองที่ขึ้นตรงต่อสุลต่านในแต่ละรัฐ กระทั่งมีการพัฒนาโครงสร้างการปกครองทำนองเดียวกับรัฐบาลอาณานิคม แต่เพื่อการดูแลกิจการในศาสนจักร แนวคิดดังกล่าวยังได้รับการพัฒนาต่อในระยะหลังอาณานิคมที่พรรคอัมโน (UMNO) ให้ความสำคัญกับบทบาทของรัฐในการอุปถัมภ์อิสลาม (น.85-86)
ข้อมูลจากการทำงานภาคสนามของผู้เขียนในเนเกริ เซ็มบิลัน (Negeri Sembilan) ช่วงกลางทศวรรษ 1970สะท้อนให้เห็นถึงมาตรวัดความเป็นชาวนามาเลย์ที่อธิบายผ่านหลักปฏิบัติ การละหมาด การไปสุเหร่าทุกวันศุกร์ การบริจาค การขลิบอวัยวะเด็กชาย และการถือศีลอด รวมถึงการจาริกแสวงบุญกับคนที่มีศักยภาพ ในขณะเดียวกัน ท้องถิ่นคงรักษาขนบ (adat) ของตนเองที่สืบทอดมรดกทางสายมารดา พร้อม ๆ ไปกับหลักของอิสลาม ผู้เขียนยกตัวอย่างในจุดนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาหนึ่ง การประนีประนอมระหว่างกระบวนการอิสลามกับประเพณีท้องถิ่นเป็นสิ่งยอมรับกันในระดับของชาวบ้าน กระทั่งในช่วงปลายทศวรรษ 1980การให้น้ำหนักกับอิสลามเหนือขนบมาเลย์เพิ่มมากขึ้น และส่งผลต่อความรู้สึกของการสูญเสียขนบพื้นถิ่น ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่ยอมรับเพราะ “หากสิ่งใดที่ตรงข้ามกับหลักอิสลามแล้ว สิ่งนั้นย่อมสูญหายไปเป็นธรรมดา” ข้อค้นพบจากงานสนามได้รับการอ้างอิงจากการศึกษาชนชั้นกลางในกัวลาลัมเปอร์ โดยคำตอบให้ความสำคัญกับศาสนากิจเหนือขนบมาเลย์ แต่พยายามระบุความแตกต่างจากกลุ่มหัวรุนแรง นั่นคือการไม่ผูกโยงเรื่องทางการเมืองเข้ากับอิสลาม แต่ยอมรับบทบาทของรัฐในการเป็นศาสนูปถัมภก (น.87-89)
ผู้เขียนอ้างงานแพทริเซีย สโลน (Patricia Sloane 1999) ที่ศึกษากลุ่มผู้ประกอบการ (entrepreneurs) ในกัวลาลัมเปอร์ ช่วง ค.ศ. 1993-1994กลุ่มผู้ให้ข้อมูลระบุว่าเป็น “กลุ่มมาเลย์ใหม่” (Melayu Baru) ที่พยายามแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการกำหนดทิศทางของชีวิต เพื่อตอบสนองต่อการลงทุนที่ไม่ขัดต่อหลักการอิสลาม “จิตจำนงเสรี” (ikhtiar) ซึ่งแตกต่างจาก “จิตวิญญาณแบบกัมปง” ที่เชื่อว่า มาจากอัลลาห์กำหนด (takdir) “ผลตอบแทนที่เป็นวัตถุมาจากความตั้งใจจริงในการทำงาน (devotional work)” ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่กิจทางศาสนาเป็นแสดงให้เห็นศรัทธาต่ออัลลาห์ เช่น การจาริกแสวงบุญ ส่วนหากบุคคลใดที่ไม่ประสบความสำเร็จ ความมั่งคั่ง แม้จะเดินตามหลักการของ “มาเลย์ใหม่” แล้ว นับเป็นความล้มเหลวส่วนบุคคลเท่านั้น (น.90-91)
ผู้เขียนกล่าวย้ำในอีกครั้งว่า ชนชาติมาเลย์นั้นมีพื้นเพหลากหลายและไม่มีความภักดีกับแผ่นดินคาบสมุทรเป็นการเฉพาะ ผู้คนเคลื่อนที่ไปในสิงคโปร์ มลายูของอังกฤษ อินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ สยามใต้ อินโดจีน กระทั่งฟิลิปปินส์ใต้ โลกมาเลย์ปลายศตวรรษที่ 19และ 20เป็นโลกที่ของการเคลื่อนไหว ไม่มีสภาวะเป็นกลุ่มก้อน ภายในเงื่อนไขของสังคมเช่นนี้ ความเป็นมลายูมุสลิมที่เป็นสากลที่แตกต่างจากมุสลิมดั้งเดิม กลับไม่ได้ต้องการสำนึกความเป็นชุมชนที่หล่อมรวมเป็นหนึ่งแบบจินตภาพชาตินิยมด้วยซ้ำ คำถามสำคัญ คนที่เคลื่อนย้ายไปตามกระแสของงานและการดำเนินชีวิตสำนึกถึงความเป็นโลกมาเลย์แบบชาตินิยมมากน้อยเพียงใด (น.92)
ดังเช่นในอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ กลุ่มชาตินิยมมาเลย์ที่ได้รับการศึกษาแบบอังกฤษ สร้างสำนึกของความเป็นชาติตามแนวคิดขององค์อธิปัตย์แบบชาติและชนชาติ แต่สำหรับคนอีกเป็นจำนวนมากกลับให้ความสำคัญกับอิสลาม ความผูกพันกับตะวันออกกลางในฐานะแผ่นดินเกิดเป็นสำนึกที่เกิดขึ้นกับผู้คนทั้งในหมู่เกาะและคาบสมุทร หากกล่าวโดยรวมแล้ว กลุ่มนักชาตินิยมในอินเดียตะวันออกและมลายาได้รับอิทธิพลแนวคิดความเป็นชาติจากยุโรป ส่วนนักปฏิรูปศาสนาจากตะวันออกกลาง ดังเช่นนักศึกษาหรือผู้แสวงบุญในตะวันออกกลาง ได้รับการระบุว่าเป็น “ยะวา” หมายถึงคนที่มาจากชวา สุมาตรา มาลายา หรือสถานที่อื่นใดในหมู่เกาะและคาบสมุทร ด้วยเพราะใช้อักษรอาหรับประยุกต์ที่เรียกว่า “ยะวี” นักเรียนเหล่านี้กลายเป็นผู้พำนักในตะวันออกกลางและเรียกตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนมุสลิม (umma) ในพื้นที่ที่เรียกว่า “วาตัน” (watan) กอปรด้วยกลุ่มคนยะวี ต่อเมื่อคนเหล่านี้กลับมายังโลกมาเลย์ คำว่า “วาตัน” กลายเป็นหมุดหมายในการอ้างอิงถึงแผ่นดินของความผูกพันข้ามขอบเขตของรัฐชาติแต่ผูกพันกันด้วยศาสนา ซึ่งเป็นคำอธิบายที่แตกต่างจากความเป็นชาติของนักชาตินิยม ผู้เขียนอ้างงานของ Laffin (2003) ‘Abduh ปัญญาชนทางศาสนาที่กล่าวถึงมโนทัศน์อิสลามถอดถอนร่องรอยต่าง ๆ ให้กลายเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ฉะนั้นความเป็นชาติไม่มีอิทธิพลต่อมุสลิม เพราะไม่มีความแตกต่างเชื้อสายหรือเผ่าพันธุ์ (น.93-94)
นี่เองที่แสดงให้เห็นมโนทัศน์อิสลามสากล “สมัยใหม่” ที่ถ่ายทอดจากสถาบันทางศาสนาใหม่ในอียิปต์ สู่เหล่าผู้แสวงหาความรู้จากโลกมาเลย์ ที่ไม่ใช่เพียงจากสุมาตรา แต่ยังหมายรวมถึงมุสลิมจากบอร์เนียว คาบสมุทรมาเลย์ สเตรท์เซ็ตเทิลเมนต์ สยามใต้ และลุ่มน้ำโขง แนวคิดอิสลามสากลสมัยใหม่แพร่หลายในกลุ่มพ่อค้ามาเลย์ใหม่ ผู้ประกอบการ และผู้นำทางศาสนา รวมถึงความรู้สึกต่อต้านอาณานิคมที่ได้รับมาจากอิสลามสมัยใหม่ในอียิปต์ ตุรกี และอีกหลายแห่งในตะวันออกกลาง (น.95)
การแบ่งแยกระหว่างผู้ศรัทธาอุลามะ (ulama) ดั้งเดิมในมาลายาหรือที่เรียกว่า Kaum Tua กับ กลุ่มศรัทธาคำสอนของนักปฏิรูป โมฮาเม็ด อับดุห์ (Mohamed ‘Abduh) ที่เรียกว่า Kaum Muda หรือ “รุ่นใหม่” ซึ่งเป็นกลุ่มยอมรับวัฒนธรรมท้องถิ่นและตะวันตก หรือกระทั่งกลุ่มปฏิรูปที่ศรัทธาต่อแนวคิดญิฮาด (ijtihad) ที่เน้นการตีความตัวบทของคัมภีร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ยอมรับวัฒนธรรมท้องถิ่น เพราะเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงศาสนาที่บริสุทธิ์ ดังในงานของ โอลิวิเย่ รอย (Olivier Roy) (2004) กล่าวถึงกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง ที่พยายามแยกตัวเองออกมาจากบริบททางสังคมและรัฐชาติซึ่งตกอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ (น.96) ทั้งหมดนี้เพื่อชี้ให้เห็นนิยามของความเป็นมาเลย์ที่มีความสลับซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณากระแสปฏิรูปทางศาสนาที่มีชุดอุดมการณ์หลายชุด
|
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในช่วงทศวรรษ 1950 ไม่เพียงแหล่งของงานเขียนและสิ่งพิมพ์ชาตินิยม แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ภาษามาเลย์ ที่ส่งอิทธิพลต่อสำนึกความเป็นมาเลย์และการถูกเบียดขับในจินตนาการของมวลชนอย่างสูง มากกว่างงานเขียนด้วยซ้ำ (น.XVII) อุตสาหกรรมภาพยนตร์มาเลย์มีบทบาทในการแผ่ขยายแนวคิดกัมปงกับชาติ ภาพยนตร์เสียงภาษามาเลย์ที่อุตสาหกรรมใหญ่ของพี่น้องตระกูลชอว์ (Shaw Brothers) เป็นหนึ่งในผู้ผลิตสำคัญ ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษ 1950-1960 โดยเฉพาะของผู้กำกับ รัมลี (P.Ramlee) ที่เป็นนักดนตรีและนักแสดง รวมถึงภาพยนตร์จากผู้กำกับคนอื่น ๆ ให้ภาพของสังคมมาเลย์ในอุดมคติ ผู้เขียนกล่าวถึงตัวอย่างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากของรัมลี (Ramlee) เรื่อง Semerah Padi (“ทุ่งรวงทอง”) ชายและหญิงทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มในผืนนาที่มีการชลประทาน ช่างในหมู่บ้านสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ จากความอุตสาหะของตนเอง ชายรวมกลุ่มกันทำกิจกรรม หญิงซักล้างหรืออาบน้ำใกล้กับชายน้ำ คู่รักมักจะพบรักกันในสวนเปลี่ยวนอกหมู่บ้าน ภาพของสังคมมีแต่คนเชื้อสายมาเลย์ และไม่กล่าวถึงสมาชิกเชื้อสายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรืออินเดียที่ปะปนอยู่ในสังคมจริง ๆ อุดมการณ์ที่ถอดเป็นสำคัญคือ การหวนหาความเป็นหนึ่ง พึ่งพาอาศัยกันและกัน (น.117-120) พล็อตสำคัญต่อมาคือ การเปรียบเปรยตัวละครระหว่างคนป่ากับคนเมืองที่ได้มีอารยะด้วยอิสลาม เช่น การถางไร่ถางพงเพื่อการเพาะปลูกด้วยชลประทาน หรือการต่อสู้กับผู้รุกรานอนารยะ แต่สิ่งสำคัญคือ คุณธรรมที่ตัวละครที่รู้จักควบคุมปรารถนา (nafsu) ด้วยการใช้วิจารณญาณ (hawa) นับเป็นประเด็นที่สอดแทรกอยู่ในภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทษที่เกี่ยวข้องกับการผิดประเวณี ถือได้ว่าเป็นโทษมหันต์ตามคัมภีร์ (น.121-122)
อีกประเด็นหนึ่งที่พบในภาพยนตร์ของรัมลี (Ramlee) นำเสนอเรื่องราวของการแบ่งแยกทางชนชั้นและเพศ ความเป็นกัมปงร่วมสมัยของรัมลี (Ramlee) ขับเน้นเส้นแบ่งความมีกับความไม่มี คนรวยที่ทันสมัยแต่กลับเห็นแก่ได้และแบ่งแยกชนชั้น มักได้รับจุดจบไม่น่าพึงใจ ผู้เขียนยกตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Penarik Beca (คนขี่สามล้อ) และ Antara Dua Darjat (ระหว่างชนชั้น) ที่ตัวละคนหลักเป็นคนจนแต่หลงรักกับลูกสาวคนมั่งมี แม้จะมีอุปสรรคต่าง ๆ สุดท้ายคู่รักทำตามใจปรารถนา ขณะเดียวกัน สะท้อนถึงความไม่ถูกต้องในหลักปฏิบัติ แต่กลับได้รับการตอบแทนที่ดีใจตอนจบ เพราะสำนึกในความผิดและคุณค่าของหัวใจมากกว่าเงินตรา (น.123-125)
ผู้เขียนได้อ้างอิงถึงข้อวิเคราะห์ของ Heide (2002) กล่าวถึงภาพยนตร์สร้าง “เรื่องเล่าของชาติ” ยึดโยงชนชาติและศาสนาเข้าไว้ด้วยกัน อิสลามสร้างความเป็นชุมชน และมีผู้พิทักษ์เป็นผู้ปกครองที่ทำหน้าที่ตัดสินและตีความและแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเปรียบนายกรัฐมนตรีมาเลย์ในระดับกัมปง (น.126)
ข้อสรุปของมุมมองชาตินิยมผ่านภาพยนตร์ ผู้เขียนอ้างถึงการสัมภาษณ์บุคลากรที่เคยทำงานในวงการภาพยนตร์ของ Ramlee ในอุดมการณ์ของเขา ภาพยนตร์ถ่ายทอดชนบทและชุมชนมาเลย์ที่มักขาดโอกาส และสะท้อนภาพของคนมาเลย์ที่อยู่ร่วมกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีผู้นำทางการเมืองมาเลย์เพื่อนำความอยู่รอดของคนในสังคม แม้ในหลาย ๆ พล็อตเรื่องราวของความรักและการผิดประเวณีจะปรากฏในภาพยนตร์ แต่กลุ่มชาตินิยมอนุรักษ์สามารถปิดตาข้างหนึ่ง เพื่อให้ภาพยนตร์ทำหน้าที่ถ่ายทอดและตอกย้ำถึงจินตภาพของกัมปงมาเลย์แบบชาตินิยม (น.130-131)
ทั้งหลายทั้งปวง จินตภาพของมาเลย์แท้อาศัยในกัมปงดั้งเดิมและเลี้ยงชีพด้วยกสิกรรม หาเงินเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต ไม่ใช่เพื่อการสะสมความมั่งคั่ง ประพฤติให้อยู่ในครรลองของศาสนาที่มีผู้นำทางการเมืองนำทาง จินตภาพที่ถ่ายทอดผ่านสื่อภาพยนตร์ยิ่งทำให้จินตภาพกัมปงมาเลย์ของนักชาตินิยมชัดเจน และในทางกลับกันกดทับเรื่องเล่าแบบอื่นในโลกมาเลย์ (น.132-133)
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้เขียนนำเสนอแนวคิดคอสโมโพลิแทนิสม์ในช่วงท้ายเล่ม เขาพยายามชี้ให้เห็นว่า ผลผลิตอย่างภาพยนตร์โดยเฉพาะของรัมลี (Ramlee) ที่พยายามผนึกภาพความเป็นมาเลย์เป็นหนึ่งเดียว ความบริสุทธิ์ และการผูกติดกับชาติภูมิ นั้นกลับมีสภาวะของคอสโมโพลิสม์ด้วยเช่นกัน ผลงานนั้นเป็นผลผลิตวัฒนธรรมมาเลย์ที่มาจากการทำงานของผู้แสดง ผู้เขียนบท ผู้กำกับ และผู้อำนวยการผลิตที่มีพื้นเพเชื้อชาติหลากหลาย (multiracial alliance) เนื้อหาในภาพยนตร์อย่าง “คนถีบสามล้อ” กลับแสดงให้เห็นความเป็นลูกผสม ที่นำเสนอวัฒนธรรมทั้งที่ถูกนิยามว่าเป็นมาเลย์และอิทธิพลทางดนตรีจากตะวันตก (น.163-164) แม้กระทั่งผู้กำกับภาพยนตร์อย่างรัมลี (Ramlee) เองก็มีการปฏิบัติและชีวิตที่ดำเนินไปแบบคอสโมโพลิแทนเช่นกัน และยิ่งเมื่อพิจารณาศิลปะการแสดงที่ปรากฏในภาพยนตร์ การอ้างว่าเป็นดนตรีและการแสดงที่เป็นมาเลย์นั้นหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะล้วนเป็นผลผลิตของการเลือกรับและปรับใช้วัฒนธรรมที่มีรากเหง้ามาจากโปรตุเกส ละติน และอเมริกาเหนือ ผสานเข้ากับท้องถิ่น (น.166)
|
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จินตภาพของกัมปงมาเลย์ (ใช้คำว่า กัมปงมลายู เช่นกัน) มีจุดเริ่มสำคัญในการแสดงเรื่องเล่าของความเป็นคนมาเลย์ในโลกสมัยใหม่ (ในเวลาและสถานที่จริง) เมื่อทศวรรษ 1920ความรู้สึกของการสูญเสียกัมปงมลายูเป็นผลผลิตของความฝันแบบชาตินิยมที่วางคนที่มีเชื้อชาติเป็นหนึ่งเดียวไว้บนพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ แต่มโนทัศน์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นลอย หากแต่เชื่อมโยงกับ “บิดา” ของการหนังสือพิมพ์มาเลย์สมัยใหม่ยูโนส (Mohamed Eunos Abdullah) (น.5) เขาและเพื่อนร่วมกลุ่มสหภาพมาเลย์สิงคโปร์ (KMS) ฝันให้กัมปงมลายู เรียกได้ว่าเป็นผลพวงของการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ในยุคอาณานิคม ที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นตลอดระหว่างเจ้าอาณานิคมกับผู้อยู่อาศัย
สถานที่อย่างกัมปงมลายูย่อมสะท้อนให้เห็นมิติของการแสดงออก โดยเฉพาะในตัวบทของการหนังสือพิมพ์ เพื่อให้ความเป็นชนชาติมลายู (Bangsa Melayu)ปรากฏขึ้นจริง แต่ต้องไม่ลืมว่า ในความเป็นจริง กัมปงมลายูเป็นอาณาบริเวณที่มีกลุ่มผู้คนหลากหลาย ผู้เขียนต้องการวิเคราะห์ภาพของกัมปงที่ก่อตัวขึ้นในพื้นที่ทางกายภาพและเชื่อว่าเป็นอาณาบริเวณอยู่อาศัยของชุมชนมาเลย์นั้นเกิดขึ้นอย่างไร ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงปลายยุคอาณานิคม เกิดการเคลื่อนย้ายและการอพยพของผู้คน จนพัฒนารูปแบบการค้าอย่างมากมายในคาบสมุทรและหมู่เกาะ “การผลิตความเป็นสถานที่ในเชิงวัฒนธรรม” ผู้เขียนอ้างถึง Basso 1996 “สถานที่และความหมายนั้นถักทอกับข่ายใยทางสังคม จนกลายเป็นภูมิทัศน์และชั้นความหมายที่แตกต่างกัน” ความหมายของสถานที่จึงเกิดมาจากภาพที่ผู้อยู่อาศัยจินตนาการถึง กล่าวได้อีกนัยหนึ่งชุมชนเป็นบ่อเกิดสถานที่มากกว่าจะอ้างอิงกับภูมิศาสตร์แต่เพียงฝ่ายเดียว (น.58)
อย่างไรก็ดี ในทัศนะของผู้เขียนต้องการอธิบายต่อเนื่องไปด้วยว่า กัมปงมาเลย์ไม่ใช่เพียงภาพที่เกิดขึ้นจากคนใน “การมีส่วนร่วมของชุมชน” ดังที่ปรากฏในคำอธิบายเกี่ยวกับการผลิตสร้างความหมายของสถานที่ในเชิงวัฒนธรรม แต่มีปัจจัยจากภายนอกพื้นที่ของกัมปงที่สร้างจินตภาพของกัมปงมาเลย์อีกด้วย จึงกล่าวได้ว่าทั้งคนในที่อาศัย และเหล่าปัญญาชน นักหนังสือพิมพ์จากภายนอก นักโฆษณา นักการเมือง นักส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์ ศิลปิน นักสร้างภาพยนตร์ นักเขียน ต่างมีส่วนในการสร้างความหมายของสถานที่ ไม่ต่างจากพ่อค้า กสิกร คนงานในเมืองและชนบทร่วมในวงของกระบวนการสร้างความเป็นกัมปงเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลยหากจะกล่าวเพียงว่ากัมปงในโลกมาเลย์เป็นปฏิบัติการของผู้พำนักในถิ่นฐานเท่านั้น (น.59)
ผู้เขียนยกตัวอย่างงานศึกษาหมู่บ้านของตนเองในมินังกาเบา ค.ศ. 1972 ที่แสดงให้เห็นว่าสมาชิกในชุมชนคุ้นเคยกับการเดินทางไปและกลับมายังหมู่บ้านเพื่อการทำมาหากิน ทั้งช่างศิลป์ พ่อค้า และชาวนา ชายและหญิงต่างก่อให้เกิดความสัมพันธ์และกระแสการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมกับการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเช่นนี้ (น.60) ทั้งความเป็นเครือญาติ มิตร และเจ้าหนี้เงินกู้มีส่วนขยายสัมพันธภาพทางสังคม ไม่ต่างจากการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในคาบสมุทรมาเลย์ ที่มาจากความสามารถในการหักล้างถางพงและหยิบยืมเงินจากเครือญาติ เพื่อน หรือเจ้าหนี้ และการขายผลผลิตเพื่อคืนหนี้และผลกำไร (น.61-62) ในหลายกรณี ผู้เขียนยังพบว่า สมาชิกในครอบครัวชายยังโน้มน้าวให้แม่หรือสมาชิกหญิงในครอบครัวยินยอมให้นำที่ดินมรดกค้ำประกันเงินกู้เพื่อการลงทุนผลิตสินค้าหรือการค้าขาย สายสัมพันธ์ของการทำงานในทุกรูปแบบสะท้อนให้เห็นช่องทางที่ข่าวสารไหลเวียนตามข่ายใยของการค้า การเดินทางไปและกลับหมู่บ้านเพื่อทำมาหากิน รวมถึงการกู้หนี้เพื่อการลงทุน (น.63)
มิพักจะต้องกล่าวถึงมิติทางศาสนา เส้นทางการเดินทางไปจาริกแสวงบุญในคาบสมุทรอาหรับ มักอาศัยเส้นทางในปีนังและสิงคโปร์ สำหรับการเดินทางไปยังตะวันออกกลาง นัยสำคัญนั่นคือ การเคลื่อนย้ายของผู้คนจากคาบสมุทรและหมู่เกาะอาจนำมาสู่การตั้งถิ่นฐานใหม่ในสเตรทเซ็ตทัลเมนต์ (Straits Settlement)ในขณะเดียวกัน ชายและหญิงที่เดินทางจาริกแสวงบุญได้นำมุมมองและการตีความศาสนาอิสลามกับไปยังบ้านเกิด นี่ย่อมแสดงให้เห็นปฏิกิริยาหลากรูปแบบของอิสลามสายปฏิรูปและสายดั้งเดิมที่มีการสังสรรค์อยู่ตลอดเวลา ข้อถกเกียงสำคัญสำหรับผู้เขียนเพื่อที่จะบอกว่า การเคลื่อนย้าย เครือข่ายการค้า และข่ายใยทางศาสนา เป็นปัจจัยให้ความเป็นบ้านของคนในโลกมาเลย์เกิดขึ้นในหลายสถาน ความเป็นถิ่นฐานกลับเป็นสิ่งที่ไม่ถาวรหรือเลื่อนไหล นัยของสถานที่จึงก่อตัวและสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลา (น.64)
ข้อสรุปหนึ่งที่ผู้เขียนได้อ้างถึงคืองานของ เจเน็ต คาร์สเต็น (Janet Carsten) (1997) ที่แสดงให้เห็นว่ากัมปงมาเลย์มีลักษณะหมู่บ้านแบบ “สภาวะกลายเป็น” (process of becoming) นั่นคือคนในและนอกพร้อมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในโลกหมู่บ้านผ่านสายสัมพันธ์และเครือญาติ ผู้หญิงและหน่วยครัวเรือนเป็นบ่อเกิดของสายสัมพันธ์ดังกล่าว ที่เรียกได้ว่าสมาชิกในหมู่บ้านก่อตัวบนความร่วมมือและความเท่าเทียม ฉะนั้น เครือญาติมาเลย์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเป็นสถานที่อาศัยสภาวะของเคลื่อนย้ายสูง (high rate of mobility) และปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ (น.64-65) ภาพเช่นนี้ดูจะแตกต่างจากจินตภาพของความเป็นมาเลย์โดยนักชาตินิยมอย่างชัดเจน
|
|
Social Cultural and Identity Change |
จากงานสนามใน Rambin และ Tampin ในเนเกริ เซ็มบิลัน ผู้เขียนตีความลักษณะทางกายภาพของกัมปงสะท้อนการจัดพื้นที่ทางสังคมตามกิจกรรมทางวัฒนธรรม และมีอีกนัยหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องของจินตภาพกัมปงมาเลย์ จากพื้นที่ครัวเรือน สวนหลังบ้าน ไร่ ทุ่งข้าว ชาวกัมปงลงแรงในการรักษาสภาพแวดล้อมและงานกสิกรรม และยิ่งไกลห่างจากครัวเรือนมากเท่าไร จะเป็นพื้นที่ของป่า (hutan) ที่ห่างไกลจากกิจกรรมทางวัฒนธรรม ผู้เขียนพบกิจการค้าน้อยเต็มทีในระดับหมู่บ้าน และย้ำถึงสภาพการณ์เคลื่อนย้ายของคนเชื้อสายจีนออกจากหมู่บ้าน จนทำให้กัมปงในพื้นที่ทั้งสองเขตนั้นกลายเป็นคนเชื้อสายมาเลย์ล้วน ๆ กล่าวต่อเนื่องด้วยว่า ผู้นำทางศาสนา ทางการ และผู้นำทางการเมือง มีบทบาทสำคัญในการสร้างสถานที่เฉพาะคนมาเลย์ (spatial production of Malays) สถานที่ที่นิ่งสงบและมีเฉพาะเชื้อชาติเดียว และสถานที่เช่นนั้นจึงไม่ใช่พื้นที่ที่รวมความหลากหลายหรือความเท่าเทียม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นพื้นที่ของการเลือกปฏิบัติและลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม (น.150-152)
อย่างไรก็ดี จากความเปลี่ยนแปลงในช่วงปลายอาณานิคมสู่ทศวรรษของยุคหลังอาณานิคม ที่มีความแตกแยกของเชื้อชาติ จลาจล และความรุนแรง ผู้เขียนชี้ให้เห็นบริบทที่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970 การเติบโตของอุตสาหกรรมส่งผลให้ความเป็นเมืองขยายตัวมากขึ้น รูปแบบของตลาดโลกเข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะแรงงานในพื้นที่ ชนชั้นกลางขยายตัวมากขึ้น จึงส่งผลให้การจัดแบ่งพื้นที่ทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจตามเชื้อชาติลดลง นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนไหวจากนักพัฒนาเอกชน นักรณรงค์เกี่ยวกับคุณค่าที่เป็นสากลและสิทธิมนุษยชน รวมไปถึงการปฏิรูปทางศาสนาอิสลามหรือการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า dakwah สร้างกระแสอิสลามสากลที่ไม่อิงกับลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรม (cultural particularism) กระนั้นก็ตาม กระแสของการย้อนกลับในการสร้างการรวมหมู่ของคนเชื้อชาติเดียวกันยังคนเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะในสังคมมาเลเซียหลังปี 2000 หรือกระทั่งโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งใหม่ ๆ ที่ตอบสนองตลาดชนชั้นกลางคนเชื้อสายมาเลย์กลับยิ่งขยายตัวมากขึ้น สิ่งที่เด่นชัดอย่างมากคือ นโยบายเศรษฐกิจใหม่ ในช่วง ค.ศ. 2005 กลับไปหานโยบายที่เน้นส่งเสริมคนมาเลย์ด้อยโอกาสซึ่งซ้ำรอยกับอดีตพรรคอัมโน (UMNO) ในช่วงทศวรรษ 1970 (น.155-157)
ในทุกวันนี้ ในสังคมมาเลเซียและสิงคโปร์ร่วมสมัย ปฏิสังสรรค์ของผู้คนข้ามเชื้อชาติเกิดขึ้นโดยตลอด วัฒนธรรมประชาและวัยรุ่น (Pop culture and Youth)การเคลื่อนไหวเพื่อมรดกทางวัฒนธรรม สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดในสถาบันทางวิชาการ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์อาหาร หรือสถานที่ของศาสนาและความเชื่อ เหล่านี้อยู่ในพื้นที่ที่เรียกรวม ๆ กันได้ว่า “มาเลย์เปอรานากัน” จึงแสดงให้เห็นว่า คอสโมโพลิแทนจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในระดับปฏิบัติการ และยังเป็นฐานคิดสำคัญเพื่อย้อนเกล็ดกับเรื่องเล่าของอำนาจนำ (alternative counter-hegemonic narrative) ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในมาเลเซียสองสามทศวรรษนี้ นับว่ามีความสำคัญในการสั่นคลอนเรื่องเล่าความเป็นคนมาเลย์แบบชาตินิยม รวมถึงระบอบที่กำกับความเป็นไปทางสังคม (consociational governance) จึงเรียกได้ว่าการสร้างทางเลือกอื่น ๆ ในเรื่องเล่าของความเป็นชาติอยู่ในระหว่างทาง (น.171-172)
|
|
Critic Issues |
ลักษณะของประเทศในคาบสมุทรและหมู่เกาะอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์แตกต่างจากอีกหลายประเทศในภูมิภาค รัฐอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียสามารถจัดการกับภาวะของความเป็นคอสโมโพลิแทนและความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ จึงส่งผลให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 แต่ต้องไม่ลืมพิจารณาถึงพัฒนาการของรัฐมาเลเซียและสิงคโปร์สมัยใหม่นั้นอยู่ในกระบวนการกำเนิดชาติพันธุ์ (ethnogenesis) กับการสร้างชุมชน ซึ่งในแต่ละระยะพัฒนาการประวัติศาสตร์ ทั้งการขยายตัวทางการค้า ลัทธิอาณานิคมยุโรป การอพยพย้ายถิ่น และการสร้างชาติกับรัฐสมัยใหม่ ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการก่อตัวของสำนึกชาติพันธุ์ (น.173)
นับแต่ปลายศตวรรษที่ 19 โลกมาเลย์ “ข้ามชาติ” (transnational) ก่อตัวจนเป็นลักษณะเฉพาะ อาณาบริเวณนี้กลายเป็นพื้นที่ของการโยกย้ายคนมุสลิมที่ใช้ภาษามาเลย์เพื่อหาโอกาสทางการค้าและความรู้ทางศาสนา พื้นเพของคนผู้คนนั้นหลากหลาย มินังกาเบา แมนไดลิง เกอรินซิ อาเจะห์จากสุมาตรา กลุ่มต่าง ๆ จากริเอา ชวา มาดูรา บูกิสจากเซเลเบส คนมาเลย์ “แท้” จากมาลายาอังกฤษ คนจากปัตตานี และยังรวมไปถึงคนพื้นถิ่นชนเผ่าอื่น ๆ ทั้งในไทย มินนา หรือกระทั่งมุสลิมจามสามเหลี่ยมแม่น้ำโขง คนลูกผสม คนจีน คนอินเดีย คนจากยุโรป ผู้คนเหล่านี้คงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องภายในภูมิภาคเพื่อสร้างข่ายใยเครือญาติ การค้า และเครือข่ายศาสนา พื้นที่มาเลย์ (Malay spaces) ควรเป็นคำที่ชี้ให้เห็นอัตลักษณ์ที่ไม่นิ่งตายตัว แต่ต้องพิจารณาว่าเป็นพื้นที่ของโอกาสที่เกิดการปะทะประสาน ทั้งในมิติของภาษา สังคม วัฒนธรรม ศาสนา การเมือง ด้วยการพบปะ การแต่งงาน การประกอบพิธีกรรม และการค้า (น.174)
หากยอมรับกันในเบื้องต้นเช่นนี้คือการใช้มุมมองคอสโมโพลิแทนเพื่อการหลอมรวม หรือโครงการสากลนิยม (universalism) ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นและมีสภาวะสถิต โครงการต่าง ๆ เกิดขึ้นในเงื่อนไขหนึ่งและสามารถปรับปรนไปตามภาวะ ลองพิจารณาถึงความเป็นมาเลย์ที่เกิดขึ้นจากความแบ่งแยกและชี้เฉพาะถึงสภาวะหนึ่งสภาวะใด ก็ย่อมที่จะเปิดสู่การให้ความหมายที่แตกต่างไป ทั้งนี้ จะเป็นจริงได้ก็ต้องอยู่ในระดับปฏิบัติการทางสังคม (social practice) ดังนั้นการอธิบายคอสโมโพลิแทนิสม์จึงต้องพิจารณาด้วยมุมมองเชิงพัฒนาการ (historical) ความเป็นมาเลย์จึงสามารถเปลี่ยนรูปสู่ภาวะของการเผชิญหน้าระหว่างคนมาเลย์ คนจีน คนอินเดีย และอื่น ๆ ที่มีนัยของการรวบรวมความแตกต่างเอาไว้ได้ด้วยเช่นกัน (น.168-169)
|
|
Map/Illustration |
การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติ ของกลุ่มคนมาเลย์และจีนที่มีความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลา 3 ทศวรรษ (1930-1950) ใน 3 รัฐ (เปรัค สลังอ เนเกริ เซ็มบิลัน) ข้อวิเคราะห์ของผู้เขียนกล่าวถึงในช่วงปลายยุคอาณานิคม ศูนย์กลางทางการค้าที่เคยเป็นพื้นที่ที่มีพลวัต การปฏิสัมพันธ์ของคนต่างเชื้อชาติ “กลับถูกทำให้กลายเป็นดั้งเดิม” ด้วยการอ้างสถิติการสำรวจของการแบ่งแยกระหว่างเชื้อชาติใน 3 รัฐดังกล่าวของสมาพันธรัฐมาเลย์ ช่วง ค.ศ. 1931-1957 ที่ถางออกมากขึ้น [ตารางแสดงการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนของคนเชื้อสายเดียวกัน น.147] (traditionalized) สอดคล้องกับจินตภาพความเป็นมาเลย์ของนักชาตินิยม ทั้งการแบ่งแยกพื้นที่ของคนเชื้อสายมาเลย์และเชื้อสายจีน อัตราการเป็นเมืองที่ถดถอยลง และกลุ่มมาเลย์ยากจนที่อยู่ชายขอบมากขึ้น (น.149) [แผนภูมิ น.182-185]
|
|
Text Analyst |
ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ |
Date of Report |
03 ต.ค. 2567 |
TAG |
Malays, Other Malays, “Peranakan” (ผู้เขียนใช้ในความหมายของสภาวะการเกิดขึ้นของลูกผสม ไม่ใช่ในความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์เปอรานากันโดยตรง), กำเนิดชาติพันธุ์ (Ethnogenesis), อาณานิคมอังกฤษ, ชาตินิยม, การสร้างชาติ, อุดมการณ์ทางการเมืองรวมกลุ่ม (communitarianism), เรื่องเล่าสร้างชาติ (national narratives), คอสโมโพลิแทนิสม์ (Cosmopolitanism), อัตลักษณ์ข้ามชาติ (Transnational identity), มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, คาบสมุทรและหมู่เกาะ (Peninsular and insular), เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, มุสลิม, สเตรทเซ็ตทัลเมนต์ (Straits Settlement), |
Translator |
- |
|