สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,การต่อสู้,พม่า
Author Toru Ohno
Title History of the Karen Struggles for Independence in Burma (Part 1)
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาญี่ปุ่น
Ethnic Identity โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดสยามสมาคม Total Pages 26 Year 2513
Source 東南アジア研究 วิจัยเอเชียอาคเนย์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 3
Abstract

การต่อสู้เพื่อเอกราชและการปกครองตนเองของชนชาติกะเหรี่ยงต่อกองกำลังพม่าหลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ความแตกแยกเป็นกลุ่ม ๆ ของกะเหรี่ยงทั้งในด้านหลักการและวิธีการต่อสู้

Focus

ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชนชาติกะเหรี่ยงกลุ่มต่าง ๆ ในพม่า

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในประเทศพม่า

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ บทความเขียนในปี ค.ศ.1969

History of the Group and Community

กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ตามสันเขาตะนาวศรี รัฐกาเรนนีและสามเหลี่ยมอิระวดีและลุ่มแม่น้ำสาละวินของประเทศพม่า สันนิษฐานว่าอพยพมาจากยูนนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 6-7 ในปี ค.ศ.1901 จำนวนประชากรกะเหรี่ยงมีปริมาณ 727,235 คน และเพิ่มมาเป็นประมาณ 2 ล้านคนในปี ค.ศ.1967 โดยอาศัยอยู่รัฐก่อทูเร 729,000 คน รัฐคะยา 104,000 คน (หน้า 364-365)

Settlement Pattern

กะเหรี่ยงอาศัยอยู่บนที่ราบสูง เป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะแก่การทำนาข้าว เหตุที่กะเหรี่ยงต้องไปตั้งถิ่นฐานบนที่สูงเนื่องจากในพื้นที่ที่ราบนั้นมีมอญและชาวพม่าอาศัยอยู่มาก่อนแล้ว และกลุ่มคนเหล่านี้มีจำนวนและกำลังมากกว่า (หน้า 365)

Demography

ดูหัวข้อ History of the Group and Community

Economy

อาชีพหลักของกะเหรี่ยงคือ ทำนา

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ภายใต้การเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กลุ่ม KNA ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ได้แก่ การช่วยเหลือโรงเรียนสำหรับกะเหรี่ยง หรือการเพิ่มจำนวนผู้นำกะเหรี่ยงในรัฐบาล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กะเหรี่ยงที่เพิ่มบทบาททางการเมืองส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงที่อาศัยในพื้นที่ราบ ขณะที่กะเหรี่ยงที่อยู่บนที่สูงก็ยังคงวิถีชีวิตแบบของตน (หน้า 369-370)

Belief System

หลังสงครามอังกฤษพม่าครั้งที่ 1 กะเหรี่ยงเปลี่ยนจากนับถือผีมาเป็นศาสนาคริสต์จำนวนมาก โดยเฉพาะกะเหรี่ยงในพื้นที่ราบ และพบว่ากะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่หันมานับถือศาสนาคริสต์เร็วที่สุดในกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในพม่า (หน้า 367)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่กลุ่มหนึ่ง แต่มักอาศัยอยู่เป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อรักษาความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 371)

Social Cultural and Identity Change

จากทศวรรษที่ 18-19 วิถีชีวิตของกะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงไป คือ กะเหรี่ยงค่อย ๆ เริ่มเคลื่อนตัวลงไปอยู่ที่ราบ สาเหตุที่ทำให้กะเหรี่ยงอพยพไปอยู่ที่ราบคือ สงครามกับอังกฤษทั้ง 3 รอบ ซึ่งสุดท้ายนำไปสู่การตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กะเหรี่ยงขณะนั้นเข้าข้างฝ่ายอังกฤษในการต่อต้านกับพม่า (หน้า 366)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

กะเหรี่ยง KNA (Karen National Association) ซึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ.1881 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมกะเหรี่ยงคริสต์และกะเหรี่ยงศาสนาอื่น ต่อต้านพม่าและร่วมมือกับอังกฤษ (หน้า 367) ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่าหลังจากปี ค.ศ.1948 ความคิดเห็นของอังกฤษในช่วงอาณานิคมได้ส่งผลต่อพลังการต่อต้านของกะเหรี่ยงต่อพม่า เช่น อังกฤษให้ข้อสังเกตว่าสิทธิของกะเหรี่ยงในรัฐบาลพม่ามีน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา จำนวนข้าราชการ เป็นต้น การปกครองแบบแบ่งแยกและปกครองของอังกฤษส่งผลให้ความแตกแยกระหว่างพม่ากับกะเหรี่ยงสูงขึ้น (หน้า 368-370) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เข้ามาปกครองพม่า (ค.ศ. 1942-1945) ซึ่งหมายความว่า กะเหรี่ยงได้สูญเสียผู้นำอย่างอังกฤษไปแล้ว ในช่วงแรกทหารพม่าก็ได้เข้าไปในดินแดนกะเหรี่ยงเพื่อถอนอาวุธที่ยังหลงเหลืออยู่ ทำให้กะเหรี่ยงไม่พอใจพม่ามากขึ้น กระทั่งกองทัพญี่ปุ่นสามารถขยายอำนาจเข้าไปปกครองดินแดนของกะเหรี่ยงได้ ความขัดแย้งระหว่างกะเหรี่ยงและพม่าจึงสงบลง (หน้า 370-374) ปี ค.ศ.1945 มีการประชุมของชนชาติกะเหรี่ยงในเมืองร่างกุ้งโดยมีข้อตกลงที่จะแยกจากประเทศพม่า ต่อมาในเดือนมกราคมปี ค.ศ.1947 พลเองซอบาจีและคณะได้เดินทางไปอังกฤษเพื่อขออยู่ภายใต้การดูแลของอังกฤษแต่ก็ไม่เป็นผล ทาง KNU ต้องตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการร่างรัฐธรรมนูญกับทางพม่าหรือรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่า และปัญหาดังกล่าวก็ทำให้เกิดความแตกแยกภายในกลุ่มกะเหรี่ยง (หน้า 376-377) ต่อมา ซอ ซัมโพทิน และ มัน บากาอิน ได้แยกตัวออกมาจาก KNU และร่วมมือกับ AFPFL ก่อตั้งเป็นกลุ่ม KYO (Karen Youth Organization) (หน้า 377) ปี ค.ศ.1945-1947 หลังจากญี่ปุ่นถอนทหารออกไปจากพม่า อองซานได้จัดตั้งรัฐบาลของประเทศพม่าขึ้น ส่งผลให้กะเหรี่ยงซึ่งไม่ไว้วางใจชาวพม่ากังวลต่อการเมืองของตนเองมากขึ้น ในปี ค.ศ.1947 รัฐบาลพม่าไม่เชิญผู้แทนของกะเหรี่ยง KNU เข้าร่วมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่กะเหรี่ยงจากกลุ่ม KYO ได้ที่นั่งถึง 19 ที่นั่ง ในจำนวน 24 ที่นั่งของชนชาติกะเหรี่ยงในรัฐบาล (หน้า 375-376) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่ม KYO ได้รวมเข้ากับกลุ่ม KCO หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็น KNU และในปี ค.ศ.1947 กลุ่ม KNU ก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเลือกตั้งระดับประเทศ ทำให้ KYO แยกตัวออกมาอีกครั้งหนึ่ง (หน้า 377-378) โดยหลักการแล้ว KYO และ KNU มีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องวิธีการต่อสู้ KYO ปฏิเสธที่จะใช้อาวุธ แต่ต้องการให้กะเหรี่ยงอยู่ร่วมกับพม่าแบบสหภาพ (union) เพราะเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์กับชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมากกว่า (หน้า 378) กลุ่มใหญ่ของ KNU ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงภายใต้การนำของ ซอบาจี ยอมรับว่าการปลดปล่อยรัฐกะเหรี่ยงไม่สามารถเป็นจริงได้ อย่างไรก็ตามเมื่อ AFPFL ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องทั้ง 7 ข้อของ KNU กลุ่มก็จะปฏิเสธในการเข้าร่วมการเลือกตั้งระดับประเทศ (ข้อเรียกร้องที่สำคัญได้แก่ พม่าต้องยอมรับให้มีการสร้างท่าเรือในรัฐกะเหรี่ยง ในสภาต้องมีตัวแทนของกะเหรี่ยงร้อยละ 25 พม่าต้องยอมให้กะเหรี่ยงมีกองทัพของตนเอง องค์กรของรัฐต้องมีข้าราชการชกะเหรี่ยงตามสัดส่วนประชากร) ซึ่งรัฐบาลพม่านำโดยอูนุอนุญาตให้กะเหรี่ยงมีที่นั่งในสภาได้ 24 ที่นั่ง และปฏิเสธข้อเรียกร้องหลักทั้ง 5 ข้อ (หน้า 378-379) ในเดือนกันยายนปี 1947 คนกะเหรี่ยงได้จัดตั้งกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง KNDO (Karen National Defense Organization) ซึ่งเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ (หน้า 379) ในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1948 อังกฤษให้เอกราชแก่พม่า KNU แสดงการต่อต้านด้วยการตั้งวันระลึกเอกราชของกะเหรี่ยงในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ.1948 (หน้า 381) ในปีเดียวกันกะเหรี่ยงได้ตั้งรัฐบาลและลงมติร่วมกัน คือ การก่อตั้งรัฐกะเหรี่ยงชั่วคราว ความเท่าเทียมระหว่างกะเหรี่ยงกับพม่า การแก้ไขความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ และการหลีกเลี่ยงสงครามภายใน (หน้า 381) กะเหรี่ยงส่วนหนึ่งตระหนักดีว่า ชาวพม่าจะไม่ทำตามข้อเรียกร้องของตน จึงตัดสินใจใช้กำลังในการต่อต้าน ในปี 1948 ทหารกะเหรี่ยง KNDO ได้เข้ายึด มะละแหม่ง ท่าตอนและตองอู แต่การยึดครองดังกล่าวเป็นการกระทำของกะเหรี่ยงในท้องถิ่นไม่ใช่การรับคำสั่งจากศูนย์ KNU ซึ่งซอบาจียังประกาศว่าจะไม่ใช้วิธีการรุนแรง จะเดินหน้าเรียกร้องให้มีการก่อตั้งรัฐกะเหรี่ยง ขณะที่ KNDO ต้องการแยกตัวออกมาจากพม่าเท่านั้น (หน้า 381-383) ในปี พ.ศ.1948 ผู้นำ KNU ได้ร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์นิยมม้งเรียกร้องให้มีการก่อตั้งประเทศเอกราชกะเหรี่ยงและม้ง ครอบคลุมพื้นที่ 13 จังหวัดพื้นที่ตอนล่างของพม่า ซึ่งในช่วงนั้นรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ปลายปี 1948 KNDO กองกำลังทหารซึ่งนำโดย ม่านบาซาน ได้เพิ่มกองกำลังโดยดึงดึงกลุ่มคะฉิ่นเข้ามาร่วมด้วย (หน้า 383-384) ธันวาคม ค.ศ.1948 สงครามระหว่างกะเหรี่ยงและพม่าได้เริ่มขึ้นที่ เมลากี และมีการปะทะกันระหว่างกลุ่ม KNDO กับ PVO (กองกำลังทางทหารของพม่า) เกิดขึ้นเรื่อยๆ ได้แก่ การปะทะที่หมู่บ้านไทจี (ห่างจากย่างกุ้ง 40 ไมล์) ในเดือนมกราคม 1949 ซึ่งทหาร PVO ได้บุกเข้าโจมตี ทำให้มีกะเหรี่ยงเสียชีวิตประมาณ 150 คน ทหาร KNDO ได้ตอบโต้ฝ่ายพม่าโดยการเข้าทำลายคลังอาวุธที่อินเซ็น จู่โจมคลังเก็บเงินที่มาอูวิน (หน้า 385-386) อย่างไรก็ตาม การบุกโจมตีของ KNDO ไม่ได้เป็นนโยบายของ KNU ในปี 1949 ซอบาจีได้เรียกร้องให้กะเหรี่ยงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ระหว่างกะเหรี่ยงกับพม่า แต่การโจมตีก็ยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจากรัฐบาลพม่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ (หน้า 387) ได้แก่ในเขต ซานชาอูน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของกะเหรี่ยงในเมืองย่างกุ้ง ได้ถูกล้อมรอบโดยทหารพม่า ทหาร PVO ได้เข้าไปปลดอาวุธในทามาอิน และคาเวจัน ขณะที่ KNDO ก็ต่อสู้เพื่อป้องกันตนเอง กลุ่ม KNDO ได้ถอนอาวุธออกไปจากเขตอาลองซึ่งเป็นที่อยู่ของกะเหรี่ยงเพียง 1 วันเขตอาลองก็ถูกโจมตีโดย PVO ทำให้กะเหรี่ยงถูกทำร้ายเป็นจำนวนมาก บ้านเรือนถูกเผารวมทั้งบ้านของซอบาจี (ผู้นำ KNU) ด้วย KNDO จึงตอบโต้ด้วยการบุกโกดังอาวุธทางอากาศที่ มินกาลาโด่ง และปล้น สดมภ์กระสุนปืนของพม่า (หน้า 388-389) ต่อมารัฐบาลพม่าจึงได้ประกาศว่า KNDO เป็นองค์กรผิดกฎหมาย (หน้า 389)

Map/Illustration

โครงสร้างกลุ่มต่อสู้ต่าง ๆ ของกะเหรี่ยง - หน้า 379, รายชื่อผู้นำของกลุ่ม KNU และ KYO และ KNDO- หน้า 379

Text Analyst Tatsuo Iida, Sivarin Lertpusit Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ประวัติศาสตร์, การต่อสู้, พม่า, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง