|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ประวัติศาสตร์,การต่อสู้,พม่า |
Author |
Toru Ohno |
Title |
History of the Karen Struggles for Independence in Burma (Part 1) |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาญี่ปุ่น |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดสยามสมาคม |
Total Pages |
26 |
Year |
2513 |
Source |
東南アジア研究 วิจัยเอเชียอาคเนย์ ปีที่ 7 ฉบับที่ 3 |
Abstract |
การต่อสู้เพื่อเอกราชและการปกครองตนเองของชนชาติกะเหรี่ยงต่อกองกำลังพม่าหลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ความแตกแยกเป็นกลุ่ม ๆ ของกะเหรี่ยงทั้งในด้านหลักการและวิธีการต่อสู้ |
|
Focus |
ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชนชาติกะเหรี่ยงกลุ่มต่าง ๆ ในพม่า |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในประเทศพม่า |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุ บทความเขียนในปี ค.ศ.1969 |
|
History of the Group and Community |
กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ตามสันเขาตะนาวศรี รัฐกาเรนนีและสามเหลี่ยมอิระวดีและลุ่มแม่น้ำสาละวินของประเทศพม่า สันนิษฐานว่าอพยพมาจากยูนนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 6-7 ในปี ค.ศ.1901 จำนวนประชากรกะเหรี่ยงมีปริมาณ 727,235 คน และเพิ่มมาเป็นประมาณ 2 ล้านคนในปี ค.ศ.1967 โดยอาศัยอยู่รัฐก่อทูเร 729,000 คน รัฐคะยา 104,000 คน (หน้า 364-365) |
|
Settlement Pattern |
กะเหรี่ยงอาศัยอยู่บนที่ราบสูง เป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะแก่การทำนาข้าว เหตุที่กะเหรี่ยงต้องไปตั้งถิ่นฐานบนที่สูงเนื่องจากในพื้นที่ที่ราบนั้นมีมอญและชาวพม่าอาศัยอยู่มาก่อนแล้ว และกลุ่มคนเหล่านี้มีจำนวนและกำลังมากกว่า (หน้า 365) |
|
Demography |
ดูหัวข้อ History of the Group and Community |
|
Economy |
อาชีพหลักของกะเหรี่ยงคือ ทำนา |
|
Political Organization |
ภายใต้การเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กลุ่ม KNA ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น ได้แก่ การช่วยเหลือโรงเรียนสำหรับกะเหรี่ยง หรือการเพิ่มจำนวนผู้นำกะเหรี่ยงในรัฐบาล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กะเหรี่ยงที่เพิ่มบทบาททางการเมืองส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงที่อาศัยในพื้นที่ราบ ขณะที่กะเหรี่ยงที่อยู่บนที่สูงก็ยังคงวิถีชีวิตแบบของตน (หน้า 369-370) |
|
Belief System |
หลังสงครามอังกฤษพม่าครั้งที่ 1 กะเหรี่ยงเปลี่ยนจากนับถือผีมาเป็นศาสนาคริสต์จำนวนมาก โดยเฉพาะกะเหรี่ยงในพื้นที่ราบ และพบว่ากะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่หันมานับถือศาสนาคริสต์เร็วที่สุดในกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในพม่า (หน้า 367) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กะเหรี่ยงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่กลุ่มหนึ่ง แต่มักอาศัยอยู่เป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อรักษาความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 371) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากทศวรรษที่ 18-19 วิถีชีวิตของกะเหรี่ยงเปลี่ยนแปลงไป คือ กะเหรี่ยงค่อย ๆ เริ่มเคลื่อนตัวลงไปอยู่ที่ราบ สาเหตุที่ทำให้กะเหรี่ยงอพยพไปอยู่ที่ราบคือ สงครามกับอังกฤษทั้ง 3 รอบ ซึ่งสุดท้ายนำไปสู่การตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กะเหรี่ยงขณะนั้นเข้าข้างฝ่ายอังกฤษในการต่อต้านกับพม่า (หน้า 366) |
|
Other Issues |
กะเหรี่ยง KNA (Karen National Association) ซึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ.1881 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมกะเหรี่ยงคริสต์และกะเหรี่ยงศาสนาอื่น ต่อต้านพม่าและร่วมมือกับอังกฤษ (หน้า 367) ผู้วิจัยวิเคราะห์ว่าหลังจากปี ค.ศ.1948 ความคิดเห็นของอังกฤษในช่วงอาณานิคมได้ส่งผลต่อพลังการต่อต้านของกะเหรี่ยงต่อพม่า เช่น อังกฤษให้ข้อสังเกตว่าสิทธิของกะเหรี่ยงในรัฐบาลพม่ามีน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา จำนวนข้าราชการ เป็นต้น การปกครองแบบแบ่งแยกและปกครองของอังกฤษส่งผลให้ความแตกแยกระหว่างพม่ากับกะเหรี่ยงสูงขึ้น (หน้า 368-370) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นได้เข้ามาปกครองพม่า (ค.ศ. 1942-1945) ซึ่งหมายความว่า กะเหรี่ยงได้สูญเสียผู้นำอย่างอังกฤษไปแล้ว ในช่วงแรกทหารพม่าก็ได้เข้าไปในดินแดนกะเหรี่ยงเพื่อถอนอาวุธที่ยังหลงเหลืออยู่ ทำให้กะเหรี่ยงไม่พอใจพม่ามากขึ้น กระทั่งกองทัพญี่ปุ่นสามารถขยายอำนาจเข้าไปปกครองดินแดนของกะเหรี่ยงได้ ความขัดแย้งระหว่างกะเหรี่ยงและพม่าจึงสงบลง (หน้า 370-374) ปี ค.ศ.1945 มีการประชุมของชนชาติกะเหรี่ยงในเมืองร่างกุ้งโดยมีข้อตกลงที่จะแยกจากประเทศพม่า ต่อมาในเดือนมกราคมปี ค.ศ.1947 พลเองซอบาจีและคณะได้เดินทางไปอังกฤษเพื่อขออยู่ภายใต้การดูแลของอังกฤษแต่ก็ไม่เป็นผล ทาง KNU ต้องตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการร่างรัฐธรรมนูญกับทางพม่าหรือรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่า และปัญหาดังกล่าวก็ทำให้เกิดความแตกแยกภายในกลุ่มกะเหรี่ยง (หน้า 376-377) ต่อมา ซอ ซัมโพทิน และ มัน บากาอิน ได้แยกตัวออกมาจาก KNU และร่วมมือกับ AFPFL ก่อตั้งเป็นกลุ่ม KYO (Karen Youth Organization) (หน้า 377) ปี ค.ศ.1945-1947 หลังจากญี่ปุ่นถอนทหารออกไปจากพม่า อองซานได้จัดตั้งรัฐบาลของประเทศพม่าขึ้น ส่งผลให้กะเหรี่ยงซึ่งไม่ไว้วางใจชาวพม่ากังวลต่อการเมืองของตนเองมากขึ้น ในปี ค.ศ.1947 รัฐบาลพม่าไม่เชิญผู้แทนของกะเหรี่ยง KNU เข้าร่วมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่กะเหรี่ยงจากกลุ่ม KYO ได้ที่นั่งถึง 19 ที่นั่ง ในจำนวน 24 ที่นั่งของชนชาติกะเหรี่ยงในรัฐบาล (หน้า 375-376) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่ม KYO ได้รวมเข้ากับกลุ่ม KCO หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็น KNU และในปี ค.ศ.1947 กลุ่ม KNU ก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการเลือกตั้งระดับประเทศ ทำให้ KYO แยกตัวออกมาอีกครั้งหนึ่ง (หน้า 377-378) โดยหลักการแล้ว KYO และ KNU มีความแตกต่างกันอย่างมากในเรื่องวิธีการต่อสู้ KYO ปฏิเสธที่จะใช้อาวุธ แต่ต้องการให้กะเหรี่ยงอยู่ร่วมกับพม่าแบบสหภาพ (union) เพราะเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์กับชาติพันธุ์กะเหรี่ยงมากกว่า (หน้า 378) กลุ่มใหญ่ของ KNU ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงภายใต้การนำของ ซอบาจี ยอมรับว่าการปลดปล่อยรัฐกะเหรี่ยงไม่สามารถเป็นจริงได้ อย่างไรก็ตามเมื่อ AFPFL ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องทั้ง 7 ข้อของ KNU กลุ่มก็จะปฏิเสธในการเข้าร่วมการเลือกตั้งระดับประเทศ (ข้อเรียกร้องที่สำคัญได้แก่ พม่าต้องยอมรับให้มีการสร้างท่าเรือในรัฐกะเหรี่ยง ในสภาต้องมีตัวแทนของกะเหรี่ยงร้อยละ 25 พม่าต้องยอมให้กะเหรี่ยงมีกองทัพของตนเอง องค์กรของรัฐต้องมีข้าราชการชกะเหรี่ยงตามสัดส่วนประชากร) ซึ่งรัฐบาลพม่านำโดยอูนุอนุญาตให้กะเหรี่ยงมีที่นั่งในสภาได้ 24 ที่นั่ง และปฏิเสธข้อเรียกร้องหลักทั้ง 5 ข้อ (หน้า 378-379) ในเดือนกันยายนปี 1947 คนกะเหรี่ยงได้จัดตั้งกองกำลังแห่งชาติกะเหรี่ยง KNDO (Karen National Defense Organization) ซึ่งเป็นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ (หน้า 379) ในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1948 อังกฤษให้เอกราชแก่พม่า KNU แสดงการต่อต้านด้วยการตั้งวันระลึกเอกราชของกะเหรี่ยงในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ.1948 (หน้า 381) ในปีเดียวกันกะเหรี่ยงได้ตั้งรัฐบาลและลงมติร่วมกัน คือ การก่อตั้งรัฐกะเหรี่ยงชั่วคราว ความเท่าเทียมระหว่างกะเหรี่ยงกับพม่า การแก้ไขความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ และการหลีกเลี่ยงสงครามภายใน (หน้า 381) กะเหรี่ยงส่วนหนึ่งตระหนักดีว่า ชาวพม่าจะไม่ทำตามข้อเรียกร้องของตน จึงตัดสินใจใช้กำลังในการต่อต้าน ในปี 1948 ทหารกะเหรี่ยง KNDO ได้เข้ายึด มะละแหม่ง ท่าตอนและตองอู แต่การยึดครองดังกล่าวเป็นการกระทำของกะเหรี่ยงในท้องถิ่นไม่ใช่การรับคำสั่งจากศูนย์ KNU ซึ่งซอบาจียังประกาศว่าจะไม่ใช้วิธีการรุนแรง จะเดินหน้าเรียกร้องให้มีการก่อตั้งรัฐกะเหรี่ยง ขณะที่ KNDO ต้องการแยกตัวออกมาจากพม่าเท่านั้น (หน้า 381-383) ในปี พ.ศ.1948 ผู้นำ KNU ได้ร่วมมือกับกลุ่มชาติพันธุ์นิยมม้งเรียกร้องให้มีการก่อตั้งประเทศเอกราชกะเหรี่ยงและม้ง ครอบคลุมพื้นที่ 13 จังหวัดพื้นที่ตอนล่างของพม่า ซึ่งในช่วงนั้นรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ปลายปี 1948 KNDO กองกำลังทหารซึ่งนำโดย ม่านบาซาน ได้เพิ่มกองกำลังโดยดึงดึงกลุ่มคะฉิ่นเข้ามาร่วมด้วย (หน้า 383-384) ธันวาคม ค.ศ.1948 สงครามระหว่างกะเหรี่ยงและพม่าได้เริ่มขึ้นที่ เมลากี และมีการปะทะกันระหว่างกลุ่ม KNDO กับ PVO (กองกำลังทางทหารของพม่า) เกิดขึ้นเรื่อยๆ ได้แก่ การปะทะที่หมู่บ้านไทจี (ห่างจากย่างกุ้ง 40 ไมล์) ในเดือนมกราคม 1949 ซึ่งทหาร PVO ได้บุกเข้าโจมตี ทำให้มีกะเหรี่ยงเสียชีวิตประมาณ 150 คน ทหาร KNDO ได้ตอบโต้ฝ่ายพม่าโดยการเข้าทำลายคลังอาวุธที่อินเซ็น จู่โจมคลังเก็บเงินที่มาอูวิน (หน้า 385-386) อย่างไรก็ตาม การบุกโจมตีของ KNDO ไม่ได้เป็นนโยบายของ KNU ในปี 1949 ซอบาจีได้เรียกร้องให้กะเหรี่ยงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ระหว่างกะเหรี่ยงกับพม่า แต่การโจมตีก็ยังคงดำเนินต่อไปเนื่องจากรัฐบาลพม่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ (หน้า 387) ได้แก่ในเขต ซานชาอูน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของกะเหรี่ยงในเมืองย่างกุ้ง ได้ถูกล้อมรอบโดยทหารพม่า ทหาร PVO ได้เข้าไปปลดอาวุธในทามาอิน และคาเวจัน ขณะที่ KNDO ก็ต่อสู้เพื่อป้องกันตนเอง กลุ่ม KNDO ได้ถอนอาวุธออกไปจากเขตอาลองซึ่งเป็นที่อยู่ของกะเหรี่ยงเพียง 1 วันเขตอาลองก็ถูกโจมตีโดย PVO ทำให้กะเหรี่ยงถูกทำร้ายเป็นจำนวนมาก บ้านเรือนถูกเผารวมทั้งบ้านของซอบาจี (ผู้นำ KNU) ด้วย KNDO จึงตอบโต้ด้วยการบุกโกดังอาวุธทางอากาศที่ มินกาลาโด่ง และปล้น สดมภ์กระสุนปืนของพม่า (หน้า 388-389) ต่อมารัฐบาลพม่าจึงได้ประกาศว่า KNDO เป็นองค์กรผิดกฎหมาย (หน้า 389) |
|
Map/Illustration |
โครงสร้างกลุ่มต่อสู้ต่าง ๆ ของกะเหรี่ยง - หน้า 379, รายชื่อผู้นำของกลุ่ม KNU และ KYO และ KNDO- หน้า 379 |
|
|