|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม สมุทรสาคร ประเพณี พิธีกรรม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ข้ามชาติ |
Author |
สมรักษ์ ชัยสิงห์กานานนท์, จักรี โพธิมณี |
Title |
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ในอำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว |
Document Type |
- |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, มอญ รมัน รามัญ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
108 |
Year |
2560 |
Source |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Abstract |
สาครบุรี เป็นเมืองที่มีการอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนจากถิ่นต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งอยู่ปากแม่น้ำ มีลำคลองเชื่อมต่อกับเมืองหลวง จึงกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ เมื่อสยามเริ่มติดต่อกับมหาอำนาจตะวันตก สาครบุรีถูกใช้เป็นเส้นทางหลัก ลำเลียงผลผลิตทางการเกษตรผ่านคลองภาษีเจริญและดำเนินสะดวก ทำให้พื้นที่เพาะปลูกขยายวงกว้าง มีการอพยพผู้คนในบังคับของสยามที่ได้กรรมสิทธิ์ถือครองที่ดิน เกิดเป็นชุมชนและย่านการค้าใหม่ ในพื้นที่อำเภอบ้านแพ้วและกระทุ่มแบนปัจจุบัน จนเมื่อไม่กี่ทศวรรษก่อน เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น การย้ายถิ่นของผู้คนเข้ามาในสมุทรสาครจึงมีมากขึ้นอีกระลอก
การศึกษาถึงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม และการเคลื่อนย้ายของชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติในเศรษฐกิจยุคใหม่ หากวิเคราะห์ถึงการปรับเปลี่ยนทัศนะคติและความสัมพันธ์ระหว่างกัน พบว่า พื้นที่อำเภอบ้านแพ้ว ชุมชนดั้งเดิมเช่นไทยรามัญและไทดำ เปลี่ยนวิถีการผลิตจากการทำนามาสู่การทำสวน แต่ยังรักษาพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิต แสดงถึงความผูกพันกับชุมชนดั้งเดิม สำหรับการเคลื่อนย้ายของแรงงานชาติพันธุ์มอญจากเมียนมา พบว่า มักทำงานในพื้นที่การเกษตรที่มีชุมชนไทยรามัญเพราะสามารถใช้ภาษามอญในการสื่อสารได้ ในส่วนอำเภอกระทุ่มแบน มีแรงงานจากหลายกลุ่ม เช่น แรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติจากเมียนมา แรงงานชาวปลังจากบนเขา ต่างมีการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย และสร้างความสัมพันธ์ต่อกันผ่านมิติทางเศรษฐกิจ มีการสร้างเครือข่ายแบบไม่เป็นทางการแยกตัว เพราะมีจำนวนแรงงานและการสนับสนุนขององค์กรไม่มากนัก |
|
Focus |
สำรวจงานวิจัยที่ศึกษา รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม การเคลื่อนย้ายเข้ามาของชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ ในพื้นที่อำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์และการปรับตัวระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ (หน้า 3) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนดำเนินการโดย ค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิม การเคลื่อนย้ายเข้ามาของชุมชนชาติพันธุ์ข้ามชาติ ในพื้นที่อำเภอกระทุ่มแบนและอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อทบทวนประเด็นในการศึกษา และวางแผนสำหรับลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนาม ด้วยวิธีสังเกตุการณ์อย่างมีส่วนร่วม ในเรื่องราวเกี่ยวกับ ประเพณี พิธีกรรม เทศกาล วันหยุดของแรงงานข้ามชาติ และสัมภาษณ์ในเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน เพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนชาติพันธุ์ดั้งเดิม ปราชญ์ท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่รัฐ (หน้า 4) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มอญ
จากเหตุการณ์การสู้รบกับพม่า ทำให้ชาวมอญอพยพเข้ามาในประเทศไทย เพื่อขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในฐานะของไพร่ และทาส สังกัดมูลนาย ทำหน้าที่เป็นแรงงานในการสร้างวัด คูคลองและป้อมปราการ (หน้า 1)
ไทดำ
หรือ ผู้ไตซงดำ ภูไทยดำ ผู้ไตดำ ไตดำ ไทดำ ลาวโซ่ง ลาวซ่ง ลาวทรงดำ ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในประเทศไทยที่จังหวัดเพชรบุรี โดยถูกกวาดต้อนเข้ามาจากสิบสองจุไท (เมืองแถง) เพราะแพ้สงครามตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (หน้า 47) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษามอญ
ในอีดตคนในชุมชนมอญเกือบทั้งหมด สื่อสารกันด้วยภาษามอญ เพราะไม่นิยมติดต่อกับคนภายนอก ดังนั้น จึงมักนิยมให้คนในกลุ่มแต่งงานกันเอง จากการสำรวจในปี 2528 พบว่า ในชุมชนเจ็ดริ้ว มีชาวมอญที่ใช้ภาษามอญอยู่ถึง 98% ปัจจุบัน ชาวมอญยังคงพูดและเขียน ภาษามอญทั้งในครอบครัวและวัด (หน้า 21) แต่ในปัจจุบันบางชุมชน เช่น ชุมชนมอญบริเวณวัดบ้านลาดและหมู่บ้านใกล้เคียงในตำบลสามหลัก มีการแต่งงานข้ามชุมชน หรือแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่น ทำให้การใช้ภาษามอญในการสื่อสารลดน้อยลง เพราเหลือผู้พูดลดน้อยลง (หน้า 25) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตุลาคม 2559 – กันยายน 2560 (หน้า 4) |
|
History of the Group and Community |
มอญ
“มอญ” เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่ย้ายเข้ามาในจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นในเขตอำเภอเมืองและอำเภอบ้านแพ้ว มีผู้นำชาวมอญทำหน้าที่ปกครองตนเองในระดับหมู่บ้าน โดยต้องเป็นไพร่หลวง ทำหน้าที่สืบข่าวข้าศึก และลาดตระเวนปลายด่านที่ติดกับพม่า มีระยะเวลาการทำงานตามที่ราชการกำหนด ( หน้า 16) โดยเข้ามาตั้งถิ่นฐานแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่อยู่ตำบลบ้านเกาะและตำบลท่าทราย กับกลุ่มแถบบ้านมหาชัยตำบลท่าจีน ตำบลบางกระเจ้า และตำบลบ้านบ่อ (หน้า 17)
ไทดำ
กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ อพพยเข้ามาในประเทศไทย2ช่วงเวลา ช่วงแรกในสมัยกรุงธนบุรีและรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยทางการไทยจัดให้อยู่ที่หนองปรง ช่วงที่ 2 อพยพมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มาอยู่ที่ท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี แต่สถานที่ตั้งไม่เอื้อต่อการประกอบอาชีพและตั้งบ้านเรือน กลุ่มแรกจึงย้ายไปอยู่หมู่บ้านสะพานยีหนหลังเขาวัง ส่วนกลุ่มที่สองย้ายไปอยู่เวียงดอยและวังตะโก เมื่อจำนวนประชากรไทดำมีมากขึ้น จึงเริ่มกระจายตัวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั้ง ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม พิษณุโลก สุพรรณบุรี นครปฐม (หน้า 47) |
|
Settlement Pattern |
โรงพิธีรำผีมอญ
ด้านหน้าโรงทำพิธีมีทางมะพร้าวพาดกั้นพรางสายตา มีหุ่นเสื้อและธงผ้าแดงติดปลายไม้พาดอยู่บนเสากลางด้านทิศตะวันตก ถัดไปประมาณ 10 เมตรเป็นโพตุ้มที่ปลูกชั่วคราวรอบบริเวณลานที่ใช้รำ โคนโพตุ้มมีด้าย กระด้ง ใบตอง ไหใส่น้ำ 3 ไห ขันทอง เข่งปลาทู 3 เข่ง ติอที่ฐานด้านในและนอกเสาเอก และเสาผีในพิธี (หน้า 30)
เสาทางเดินของห้องผีภายในโรงพิธีตกแต่งด้วยสไบมอญ ยกพื้นสูงไปสู่หิ้งประหนกโดยเสาคู่กลางเป็นเสาลอย (หน้า 31) |
|
Demography |
จำนวนประชากร
ในปี 2450 ทางการไทยได้สำรวจประชากร พบว่า มลฑลนครชัยศรีมีประชากรทั้งสิ้น 253,799 คน เป็นคนจีน 33,836คน (หน้า 8)
การเคลื่อนย้ายแรงงาน
ช่วงทศวรรษ 2520 เมื่อประเทศไทยเริ่มผลักดันประเทศเข้าสู่อุตสาหกรรมการส่งออกและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานจากภาคเกษตรมาสู่ภาคอุตสาหกรรม พบว่า จำนวนแรงงานในภาคเกษตรกรรมมากกว่าร้อยละ 60 ในช่วงก่อนทศวรรษ 2530 ลดเหลือเพียงร้อยละ 36 ในปัจจุบัน (หน้า 57) |
|
Economy |
การยกเลิกระบบไพร่และทาสส่งผลต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในแง่ของการสร้างแรงงานอิสระ คนไทย มอญ ลาว เขมรต่างหันมาทำการเกษตรของตนเอง พื้นที่เพาะปลูกข้าวเกิดการขยายตัว ส่งผลให้ข้าวกลายเป็นสินค้าสำคัญในการซื้อขายแลกเปลี่ยน ชุมชนการค้าพัฒนาเป็นย่านการค้าและตลาดที่มีกลุ่มคนจีนเป็นผู้ขับเคลื่อนกระบวนการค้าขาย ส่งผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครบครัวจีนดีขึ้น (หน้า 10)
ชุมชนมอญ ประกอบอาชีพการทำนาเป็นหลัก ก่อนจะหันมาทำสวนผักและผลไม้ในช่วงพุทธทศวรรษ 2490 ทำให้คลองส่งน้ำมีความสำคัญด้านการเกษตรเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลได้สร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพ – นครปฐม – ราชบุรี – เพชรบุรี ในปี 2499ชุมชนจึงเชื่อมต่อกับโลกภายนอก เศรษฐกิจเกิดการปรับตัวด้านต้นทุนการขนส่งที่ลดลงซึ่งมาพ้รอมกับการคมนาคมที่สะดวกมากยิ่งขึ้น (หน้า 20,21)ในปัจจุบัน เมื่อจังหวัดสมุทรสาครกลายเป็นพื้นที่ตั้งของโรงงงานอุตสาหกรรม อาชีพของชาวมอญจึงเปลี่ยนจากแรงงานในภาคการเกษตรเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรม (หน้า 24)
ก่อนจะมาทำสวนผลไม้เช่นปัจจุบัน ชุมชนไทดำในอดีตประกอบอาชีพทำนา (หน้า 49)
เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2500ประเทศไทยเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม ชนชั้นกลางขยายตัว กลุ่มนายทุนเข้มแข็ง ความต้องการชนชั้นกรรมาชีพมีมากขึ้น (หน้า 57) เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานในกลุ่มชาติพันธุ์โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน เข้าสู่ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เช่นที่ อำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 58)
แรงงานชาติพันธุ์มอญจากเมียนมาในภาคเกษตรกรรม
แรงงานเหล้านี้เข้ามาทำงานในสวนผลไม้ ทำหน้าที่เก็บผลไม้ เตรียมร่องสวน และอื่น ๆ แล้วแต่เจ้านายจะว่าจ้าง โดยได้รับค่าแรงขั้นต่ำตามที่กำหนด ในอัตราวันละ 300บาท หากทำงานเกินจะได้รับค่าล่วงเวลา (หน้า 62) |
|
Social Organization |
ชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน
นิยมอาศัยอยู่รวมกันเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ในระบบที่เรียกว่า กงสี มีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานในอาชีพของครอบครัวเพื่อให้เกิดผลเพิ่มพูล (หน้า 10) เมื่อมีฐานะมั่นคงชาวจีนนิยมส่งบุตรหลานเข้าศึกษาในระดับสูง จึงมีโอกาสเข้ารับราชการ ในขณะที่บางครอบครัวพัฒนาตนเองจนกลายเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ รวมตัวกันก่อตั้งองค์การทางการค้าเพื่อสนับสนุนธุรกิจในกลุ่มคนจีนโพ้นทะเล ในส่วนของความสัมพันธ์ระดับเครือญาติ ชาวจีนรุ่นหลังเกิดการรวมตัวตั้งเป็นมูลนิธิของตระกูล ช่วยเหลืองานสังคม เช่น การกุศล การให้ทุนการศึกษา (หน้า 11) ส่วนความสัมพันธ์กับคนภายนอกกลุ่ม คนจีนอนุญาตให้คนในครอบครัวแต่งงานกับคนกลุ่มอื่น เข้ามาเป็นสมาชิกและช่วยเหลือกิจการ ส่วนสมาชิกผู้หญิงเมื่อออกเรือนแต่งงานจะกลายเป็นคนของตระกูลฝ่ายสามี (หน้า 12)
ชุมชนมอญ
ลักษณะเด่นประการหนึ่งของชาวมอญ คือ เมื่อย้ายไปอยู่ ณ ที่ใดมักสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางของชุมชน ดังเช่น การสร้างวัดเจ็ดริ้วขึ้นใน พ.ศ. 2453 ภายหลังจากชาวมอญบ้านถิ่นมาย้ายจากบ้านเกาะ บ้านบางปลา และท่าทราย
ชุมชนไทดำ (ไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง)
ระบบครอบครัวของไทดำแต่เดิมเป็นครบครัวขยาย โดยฝ่ายชายจะแต่งงานและนำภรรยาเข้าไปอยู่ในครอบครัวรวมกับพ่อแม่ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นครอวครัวขนาดเล็ก โดยลูก ๆ ที่แต่งงานนิยมสร้างครอบครัวของตนเอง ภายในครอบครัวจึงประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก (หน้า 48) แต่ชาวไทดำผูกพันกันตามสายตระกูล หรือสิง ซึ่งเป็นหน่วยทางสังคมที่รวบรวมคนที่อยู่ในสิงเดียวกันเอาไว้ อย่างเช่น เมื่อมีการประกอบพิธีเสนเรือน ต้องชเญคนที่อยู่ในสิงเดียวกันมาร่วมพิธี ภายในสิงยังย่อยออกเป็น ก๊อ หรือกลุ่มญาติที่มีปู่เดียวกัน (หน้า 54)
กลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติ
กลุ่มแรงงานชาติพันธุ์มอญจากเมียนมามีความสัมพันธ์ทางสังคมกับชาวไทยรามัญ คนไทยท้องถิ่นและแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติกลุ่มอื่น ๆ เป็นไปอย่างซับซ้อน สาเหตุเนื่องจากประวัติศาสตร์การอพยพและการปรับตัวเชิงสังคมวัฒนธรรม ชาวมอญจากเมียนมาอพยพมาประเทศไทยครั้งใหญ่ในช่วงพุทธทศวรรษ 2530 จากเหตุการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตยจากรัฐบาลทหารพม่า เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้คนมอญพลัดถิ่นจำนวนมากขอความช่วยเหลือจากชุมชนชาวไทยรามัญ บางคนกลายเป็นแรงงานในประเทศไทย เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายผู้พลัดถิ่นเหล่านี้เกิดการปรับตัวเข้ากับสังคมไทย หลายคนได้รับสัญชาติในเวลาต่อมา (หน้า 59)
การรวมกลุ่มและเครือข่ายของแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติในอำเภอกระทุ่มแบน
การรวมกลุ่มในย่านที่พักกลุ่มแรงงานกะเหรี่ยง จากประเทศเมียนมาที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ตำบลอ้อมน้อยและใกล้เคียงได้รวมตัวกันเพื่อจัดงานทำบุญและร่วมไว้อาลัยให้กับในดหลวงรัชกาลที่ 9 โดยใช้พื้นที่ลานกว้างติดซอยโรงเหล็ก เพราะเป็นที่คุ้นเคย ภายในงานมีการทำบุญ ไหว้พระ ฟังเทศน์ และแจกริบบิ้นสีดำ (หน้า 91,92)
เครือข่ายงานบุญในพื้นที่รอยต่อออำเภอกระทุ่มแบน เป็นการรวมตัวของเครือข่ายจากประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ มีการนิมนต์พระสงฆ์จากประเทศเมียนมามาทำพิธีกรรมทางศาสนา โดยใช้พื้นที่ในวัดสามพราน ซึ่งจะจัดในช่วงสงการนต์ที่การบวชพระของกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติ (หน้า 95) |
|
Political Organization |
รัฐบาลไทยเริ่มให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศที่เน้นการสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมโดยเขียนเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติและเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ขึ้นในปี 2504 และตามมาด้วยฉบับที่ 2 และ 3 โดยแต่ละฉบับมีการวางแผนล่วงหน้า 5 ปี ผลจากการดำเนินตามนโยบาย ส่งผลให้การเติบโตด้านอุตสาหกรรมและการค้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีการร่วมลงทุนระหว่างนายทุนทั้งในและต่างประเทศ เกิดการการขยายพื้นที่อุตสาหกรรมออกสู่บริเวณใกล้กรุงเทพฯ เช่น ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เปลี่ยนจากพื้นที่ทำนาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม (หน้า 85,86) ในช่วงปี 2524 – 2525 มีโรงงานในเขตอำเภอกระทุ่มแบนทั้งสิ้น 270 โรงงาน (หน้า 87) ผู้คนในพื้นที่เริ่มขายที่ดินและย้ายออก เพื่อให้เกิดการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม แรงงานจากภาคอีสานเริ่มอพยพเข้ามา และตามมาด้วยแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ข้ามชาติ (หน้า 89)
สถานการณ์แรงงานข้ามชาติปี 2560 ในประเทศไทย
ภายหลังมีการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนงานต่างด้าวปี 2560ทำให้กลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ข้ามชาติมีจำนวนลดลง แรงงานเริ่มเดินทางกลับภูมิลำเนามากขึ้น (หน้า 98) |
|
Belief System |
ความเชื่อของชาวมอญ
พิธีรำผี
ตั้งแต่ครั้งโบราณ เมื่อชาวมอญต้องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แก้บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอขมาผีบรรพบุรุษ หรือความเป็นสิริมงคล จะทำพิธีรำผี โดยใช้การร้องรำทำเพลงเป็นสื่อกลางผ่านโต้ง (คนทำพิธี) ที่สามารถติดต่อกับผีได้ (หน้า 26)
การนับถือผีของคนมอญสืบทอดจากบรรพบุรุษทางฝ่ายชาย ในบ้านแพ้วจะแตกต่างจากที่อื่นเพราะสืบทอดผ่านลูกชายคนเล็ก ในขณะที่หลาย ๆ ชุมชนสืบทอดผ่านลูกชายคนโต บ้านของคนมอญแต่ละหลังต้องมีเสาผี (ฮะหย่างกะล่ก) หรือ เสาเอกของบ้าน ใช้เก็บของใช้ผี เช่น กระบุง หีบผ้าซึ่งบรรจุผ้านุ่ง แหวนทองหัวพลอยแดง สิ่งสำคัญที่คนในตระกูลต้องรักษาอย่างดี (หน้า 27) โดยบ้านต้นตระกูลของผู้สืบทอดผี มีความสำคัญในการดูแลกลุ่มเครือญาติ เช่น หากต้องทำพิธีกรรมสำคัญทางความเชื่อ ญาติ ๆ จะต้องมาเซ่นไหว้และเชิญผีที่เสาเอกของบ้านหลังนี้ (หน้า 29)
พิธีงานศพ
โลงศพมอญถือเป็นงานประณีตศิลป์อย่างหนึ่งงเพราะใช้ระยะเวลาในการทำนาน 3-5 เดือน โดยต้องทำเป็นยอดคล้ายปราสาท (หน้า 36) ในอดีตใช้กับพระผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือ ภายหลังเริ่มใช้กับผู้สูงอายุ การที่โลงศพมอญใช้ระยะเวลาในการทำยาวนาน ทำให้เป็นธรรมเนียมที่คนในครอบครัวต้องเก็บศพไว้ข้ามปี (หน้า 35)
พิธีงานบวช แบ่งออกเป็น 2 วัน
วันแรกหรือวันสุกดิบ เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงกลางคืน เป็นพิธีการทำขวัญนาคและงานเลี้ยง (หน้า 37) ในพิธีทำขวัญนาคเริ่มขึ้นเมื่อแตรวงเริ่มบรรเลง ฆ้องถูกนำมาผูกกับคานหลังคาทางเข้าบ้าน และโห่ร้อง หมอขวัญที่นั่งบนอาสนะ จรดสไบปักพาดไหล่ซ้าย นาคนำดอกไม้ ธูป เทียน บุหรี่ ใส่พานยกจรดศีรษะส่งให้หมอขวัญ หลังจากไหว้ครูเสร็จแล้ว นาคไปนั่งบนอาสนะตรงข้ามหมอขวัญ มีถาดใส่เครื่องบูชา 3 ถาด ด้านซ้ายมือของหมอขวัญมีขันเงินใส่น้ำมนต์และเบ็ดตกขวัญ ด้านขวามือของนาคเป็นพ่อแม่นาคนั่งอยู่บนเก้าอี้ล่างอาสนะ ต้นเสียงโห่ร้องทำเพลงและตีฆ้อง จากนั้นหมอขวัญจึงท่องบทขวัญนาคเป็นภาษามอญเมื่อเสร็จขั้นตอนนี้จึงเริ่มการปลงผมนาค โดยเริ่มต้นจากพ่อแม่และตามด้วยญาติคนอื่น ๆ (หน้า 38,39)
วันที่สอง ช่วงเช้าถึงเที่ยง เป็นการอุปสมบทภายในวัดมอญ ซึ่งเป็นวัดฝ่ายธรรมยุติ (หน้า 37) เริ่มจากการตั้งขบวนแห่จากบ้านมุ่งหน้าไปยังวัด เมื่อไปถึงนาคตรงไปไหว้ศาลประจำวัด (หน้า 40) จากนั้นจึงไปที่อุโบสถตั้งขบวนแห่ ก่อนเข้าไปด้านในนาคนั่งคุกเข่าประนมมือสวดมนต์ แล้วจึงหันหลังโปรยทาน ผู้ติดตามยกนาคขึ้นตรงคานประตูอุโบสถด้านซ้าย แล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนการอุปสมบท โดยกล่าวทั้งภาษามอญและบาลีอย่างไทยตามธรรมเนียมปฎิบัติของวัด (หน้า 41)
เทศกาลสงกรานต์
ชาวมอญเจ็วริ้วจัดงานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทั้งสิ้น 3 วัน คือวันที่ 13 -16 เมษายน วันที่มีความสำคัญ คือ วันแห่หลวงพ่อดำ ช่วงเช้าของวันงานชาวบ้านจะมารวมตัวกันจัดงานที่วัด (หน้า 43) ช่วงบ่ายขบวนแห่จึงเริ่มขึ้น ด้านหน้าขบวนเป็นป้าย กลุ่มนางรำและนักดนตรี รถหลวงพ่อดำ กลุ่มที่ถือธงตะขาบขนาดใหญ่ กลุ่มถือกรงนก ถือปลา และรถนางสงกรานต์ เมื่อถึงวัดธงตะขาบขนาดใหญ่จะถูกนำขึ้นสู่ยอดเสา มีการสรงน้ำพระ และมีการแสดงต่าง ๆ รวมถึงเล่นสาดน้ำ (หน้า 46)
ความเชื่อของชุมชนไทดำ
พิธีเสน
เป็นพิธีบูชาผีบ้านผีเรือน หรือผีบรรพบุรุษ ชาวไทดำ เชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษตายไป จะกลายเป็นผีมาปกป้องดูแลลูกหลานให้มีความสุข โดยจะนับถือผีสืบสายโดยฝ่ายลูกชาย ส่วนลูกสาวเมื่อแต่งงานจะย้ายไปถือผีตามฝ่ายสามี (หน้า 54) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ดนตรี
พิธีรำผีมอญในส่วนย่อยของพิธีจะมีการต่อเพลงกลองฉิ่งฉาบ เป็นเครื่องให้จังหวะหลัก สร้างความครื้นเครงโดยการร่ายรำเชิงตลกก่อนมีการแสดงละครและการละเล่นอื่น ๆ ที่สนุกสนานตามมา (หน้า 34) เช่น ลิเกมอญ การคล้องช้าง รำกระด้ง (หน้า 35)
การแต่งกาย
การแต่งกายของนาคมอญ จะแต่งหน้า ห่มสไบสีแดง นุ่งผ้าสีเขียว คาดเข็มขัด หูข้างหวาติดต่างหู ด้านซ้ายทัดมาลัย คล้องมาลัย ผ้าเช็ดหน้า สวมสร้อยและกำไลทอง (หน้า 38)
ชายผู้นำสวดชาวกะเหรี่ยงสัญชาติเมียนมา แต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวสีขาว นุ่งผ้าสีน้ำตาล ส่วนผู้หญิงมีผ้าคาดสีน้ำตาล (หน้า 93) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ชาติพันธุ์ปลัง
หรือที่คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็น กลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ ทั้งนี้เนื่องจากตั้งแต่เข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ชาวปลังย้ายเข้ามาอยู่ที่จังหวัดเชียงรายและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม (หน้า 63)จึงบอกกับทางการว่าเป็นลัวะ (หน้า 64)สำหรับคนไทยในเชียงราย เรียกชาวปลังว่า ลัวะ เป็นเหตุมาจาก ลัวะ กินความหมายกว้าง หมายถึงกลุ่มชาวเขา และอีกหนึ่งสาเหตุเป็นเพราะภาษาของชาวปลังมีความใกล้เคียงกับภาษาลัวะ (หน้า 63)
ถิ่นเดิมของชาวปลังมาจากเมืองยาง เมืองลา รัฐเชียงตุง ประเทศเมียนมา และสิบสองปันนา ในประเทศจีน ทำให้ชาวปลังหลายกลุ่มยังผูกพันกับถิ่นฐานเดิมของตน แต่ผู้ที่เกิดในเมืองไทยมักยึดจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่เป็นถิ่นเกิด (หน้า 64)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงเวลาที่ชาวปลังอพยพเข้ามาในเมืองไทย พร้อม ๆ กับชาวไทใหญ่ อาข่า และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ (หน้า 64) ในฐานะบุคคลไร้รัฐ ซึ่งทางจังหวัดสมุทรสาครได้สำรวจและขึ้นทะเบียนไว้ถึง 4,648 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร อำเภอสามพราน อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสงคราม มีความสัมพันธ์กับกลุ่มที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกัน (หน้า 71) มีการสร้างเครือข่ายทางสังคม โดยเก็บเงินในลักษณะเงินฝากของกลุ่ม สำหรับทำกิจกรรมช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น ร่วมทำบุญ ฌาปนกิจ ผู้ป่วยที่ขาดเงินรักษา (หน้า 76)
ชาวปลังประกอบอาชีพด้วยการเริ่มต้นเป็นแรงงานในสวนกล้วยไม้และสวนผัก (หน้า 74) มีพื้นที่อยู่อาศัยตามการจัดหาของเจ้าของ ส่วนใหญ่มักเป็นพื้นที่ภายในสวน อยู่กันเป็นครอบครัว แล้วจึงเริ่มชักชวนญาติเข้ามา (หน้า 75) จนสามารถเช่าเหมาที่ดินเพื่อการเกษตร (หน้า 74) นิยมปลูกผักสวนครัว ส่งขายยังตลาดใกล้เคียง หรือปลูกดอกรัก และดอกไม้อื่น ๆ ส่งขายปากคลองตลาด (หน้า 75)
งานฉลองที่ยิ่งใหญ่ของชาวปลัง คือ การบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน คล้ายกับการบวชลูกแก้วของชาวไทใหญ่ จัดขึ้นในวัดสำคัญของอำเภอกระทุ่มแบน (หน้า 77) |
|
Map/Illustration |
ภาพ
-ภาพเก่าขบวนงานศพทางเรือของครอบครัวระหงส์ ด้านหลังคือปล่องเหลี่ยม (หน้า 9)
-ครูเฟื่อง ผลประดิษฐ์ และภรรยา : ครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีนริมคลองดำเนินสะดวก (หน้า 14)
-ผู้สูงอายุในชุมชนมอญเจ็ดริ้วยังคงถืออุโบสถในวันพระใหญ่เป็นประจำ (หน้า 19)
-การเก็บมะพร้าวน้ำหอม สวนบริเวณคลองตาปลั่ง (หน้า 26)
-ลูกชายคนโตของครูสายหยุดและโต้งผู้นำประกอบพิธี (หน้า 34)
-โลงศพมอญ สำหรับผู้วายชนม์สูงอายุ (หน้า 36)
-ลุงย้อย ช่างฝีมือโลงมอญ ภายในวัดธรรมเจดีย์ศรีพิพัฒน์ (หน้า 37)
-งานทำขวัญมอญ (หน้า 40,41)
-วันอุปสมบท ณ วัดราษฎร์ศรัทธากะยาราม (วัดมอญ) (หน้า 42)
-งานสงกรานต์ที่วัดเจ็ดริ้ว (หน้า 45)
-เรือนเก่าลาวโซ่ง/ไทดำ ในตำบลหนองสองห้อง (หน้า 51)
-ภาพถ่ายเก่า ชาวลาวโซ่ง/ไทดำ ตำบลโรงเข้ (หน้า 52)
-พิธีเอาขึ้นเรือน (หน้า 55)
-พิธีเสนแก้เคราะห์ (หน้า 56)
-บริเวณที่พักอาศัยของแรงงานมอญจากเมียนมา (หน้า 62 , 63)
-ชาวปลัง (ลัวะ) ในอำเภอกระทุ่มแบน (หน้า 65)
-แรงงานชาวปลัง ในสวนกล้วยไม้แห่งหนึ่ง (หน้า 66)
-ขบวนแห่นาคน้อยที่ตลาดสดกระทุ่มแบน (หน้า 79)
-ขบวนแห่ลูกแก้วของชาวปลังพร้อมต้นผ้าป่า (หน้า 80)
-ญาติฉลองลูกแก้วและเครื่องดนตรีของชาวปลัง (หน้า 80)
-เจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอาหารให้ผู้ร่วมงาน ซึ่งเป็นชาวปลังในระแวกใกล้เคียง (หน้า 81)
-การตรวจสุขภาพแรงงานข้ามชาติในอำเภอกระทุ่มแบน โดยมูลนิธิรักษ์ไทย (หน้า 88)
-แรงงานรวมตัวทำบุญกันในบริเวณที่พักอาศัยและเชิญพระสงฆ์มาจากประเทศเมียนมา (หน้า90)
-แรงงานชาวกะเหรี่ยง สัญชาติเมียนมา รวมตัวกันทำบุญ ณ ลานกว้างต้นซอยโรงเหล็ก หมู่ 4 ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 92)
-แรงงานข้ามชาติร่วมกันจัดงานเนื่องวันอาสาฬหบูชา ก่อนวันจริง ณ วัดสามพราน จังหวัดนครปฐม (หน้า 100)
แผนที่
-แผนที่แสดงที่ตั้งวัดและชุมชนชาติพันธุ์มอญและไทยดำในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 3)
-แผนที่วัดและชุมชนมอญ (ไทยรามัญ) ในจังหวัดสมุทรสาคร (หน้า 18)
-แผนที่แสดงวัดและชุมชนชาติพันธุ์ไทดำในจังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง (หน้า 49)
-แผนที่แสดงเขตอุตสาหกรรมชานพระนคร เขตอุตสาหกรรมในย่านชุมชนบ่งบอกประเภทอุตสาหกรรม หนัก กลาง เบา บริเวณลุ่มแม่น้ำท่าจีนและเจ้าพระยาตอนล่าง เมื่อปี 2503 (หน้า 86)
แผนผัง
-แผนผังบริเวณบ้านวรรณรังสีและการใช้พื้นที่โดยรอบ เพื่อประกอบพิธีรำผีมอญ (หน้า 29)
-แผนผังโรงพิธีรำผีมอญ (หน้า 30) |
|
|