|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ตั้งรกราก,สยามต้นรัตนโกสินทร์,มอญ,ลาว,จาม,เปอร์เซีย,อาหรับ,อินเดีย,มาเลย์,แต้จิ๋ว,ฮกเกี้ยน,ฮากกา,ไหหลำ,กวางตุ้ง,ขแมร์,เวียดนาม,ไทยยวน,ซิกข์,โปรตุเกส |
Author |
Edward Van Roy |
Title |
Siamese Melting Pot: Ethnic Minorities in the Making of Bangkok |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, เวียด เหวียตเกี่ยว ไทยใหม่, ลาวเวียง ลาวกลาง, ไทยวน ยวน ยวนสีคิ้ว คนเมือง, มอญ รมัน รามัญ, ขแมร์ลือ คะแมร คนไทยเชื้อสายเขมร เขมรถิ่นไทย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Total Pages |
296 |
Year |
2560 |
Source |
|
Abstract |
งานศึกษาภูมิหลังเชิงประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่เข้ามาตั้งรกรากในกรุงเทพฯ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประกอบด้วย มอญ ลาว จาม เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย มาเลย์ จีน ขแมร์ เวียดนาม ไทยโยนก ซิกข์ จีนเชื้อสายต่างๆ รวมไปถึงชาวตะวันตก สะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่า กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีกลุ่มคนต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรมอาศัยอยู่ร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีการผสมผสานเชิงวัฒนธรรมจนเป็นที่มาของความเป็นคนสยาม ซึ่งต่อมาก็คือ “คนไทย” ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้นำไปสู่การสะท้อนย้อนคิด ถอดรื้อความคิดความเชื่อ มายาคติเรื่องชาติพันธุ์ หรือเชื้อชาติไทย ว่าแท้ที่จริงแล้ว “ความเป็นไทย” ในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของของความเป็นชาติพันธุ์หรือวัฒนธรรม ล้วนเป็นส่วนผสมที่เกิดจากการหลอมรวมเอาคนต่างชาติพันธุ์ต่างวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน ความเป็น คนสยาม หรือ คนไทย จึงอุปมาดั่งหม้อหลอมใบใหญ่ที่บรรจุเอาสิ่งละอันพันละน้อยเข้าไว้ด้วยกัน |
|
Focus |
อธิบายถึงที่มาทางสังคม การเมือง การย้ายถิ่น การตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ที่ทำให้เกิดการปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมและเกิดสังคมที่มีความหลากหลายเป็นพหุวัฒนธรรมขึ้นในกรุงเทพ ซึ่งส่งผลให้เกิดการหลอมรวม เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ก่อรูปเป็นสังคม-วัฒนธรรม พัฒนาการของเมือง องค์กรทางสังคม เช่นทุกวันนี้ |
|
Ethnic Group in the Focus |
มอญ ลาว จาม เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย มาเลย์ แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ฮากกา ไหหลำ กวางตุ้ง ขแมร์ เวียดนาม ไทยยวน ซิกซ์ โปรตุเกส ฯลฯ |
|
Study Period (Data Collection) |
ช่วงเวลาของการศึกษาวิจัยคือระหว่างปี ค.ศ. 1997 ถึง ปี ค.ศ. 2016โดยงานวิจัยมุ่งศึกษาช่วงเวลารัตนโกสินทร์ตอนต้น ช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 ของราชวงศ์จักรี คือช่วงปี ค.ศ. 1782-1910 จากการศึกษาเอกสาร และการลงพื้นที่วิจัยในชุมชนที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตั้งรกรากอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการกำหนดช่วงเวลาและพื้นที่ ที่ทำการศึกษา แต่ผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงบริบทที่เกี่ยวข้องนอกห้วงเวลาและพื้นที่ที่ทำการศึกษาด้วย เพื่อให้มีความเข้าใจที่มาที่ไปของช่วงเวลาที่ทำการศึกษาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น |
|
History of the Group and Community |
มอญ – ชาติพันธุ์มอญตั้งชุมชนอยู่ในบริเวณธนบุรีและกรุงเทพฯ ตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยได้รับการมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นกองรักษาการณ์ ทางฝั่งธนบุรีชาวมอญตั้งบ้านเรือนและสร้างวัดบริเวณสองฝากฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเฉพาะที่คลองมอญเรียกบริเวณนี้ว่า บ้านมอญ และบางยี่เรือ ทางตอนใต้ของคลองบางกอกใหญ่ เช่นเดียวกับชาวสยาม ชาวมอญสร้างวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ได้แก่ วัดราชคฤห์วรวิหาร วัดอินทารามวรวิหาร วัดนาคกลางวรวิหาร และวัดยานนาวา นอกจากบริเวณบางยี่เรือแล้ว ยังมีชุมชนชาวมอญที่คลองด่าน ปัจจุบันคือคลองบางขุนเทียน ซึ่งเป็นเส้นทางเดินทางทางน้ำในอดีตที่เป็นโครงข่ายทางน้ำเชื่อมต่อกับแม่น้ำท่าจีนทางทิศตะวันตกซึ่งเชื่อมทะเลฝั่งอันดามัน บริเวณนี่มีวัดมอญเช่นกันคือ วัดท่าข้าม วัดหูกระบือ และวัดบางกระดี่ นอกจากนี้ยังมีชุมชนมอญ ที่ปากเกร็ด นครไชยศรี และพระประแดง เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ได้มีมอญกลุ่มใหม่ย้ายเข้ามาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับชาวมอญที่บ้านมอญ โดยได้ตั้งชุมชน บ้านมอญใหม่ที่อีกฝากของคลองมอญ บ้านหม้อ บ้านขมิ้น บ้านข้าวเม่า บ้านสมเด็จ ทางฝั่งกรุงเทพฯ ชาวมอญตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณบ้านพระอาทิตย์ บ้านลาน บ้านพระยาศรี บ้านทวาย บ้านตะนาว
ลาว - หลังสงครามที่เวียงจันทร์ เชื้อพระวงศ์และเชลยศึกชาวลาวถูกกวาดต้อนมาไว้ที่ธนบุรีและกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก เชื้อพระวงศ์ลาวได้รับอนุญาตให้สร้างวังบริเวณบางยี่ขัน เชลยศึกลาวที่ถูกเรียกว่า ลาวเวียง บางส่วนได้รับอนุญาตให้ตั้งชุมชนที่กรุงเทพฯ บริเวณบ้านลาวพวนหรือปัจจุบันคือบางขุนพรหม บ้านตีทอง บ้านกระบะ บ้านหม้อ และทางใต้น้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ บางไส้ไก่ บ้านกรวย นอกจากนี้ยังมีที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ บ้านช่างหล่อ บ้านสามเสนใน บ้านไทยตลาดนางเลิ้งและตลิ่งชัน หลังจากเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ ชาวลาวจำนวนมากที่เป็นชาวนาได้ถูกกวาดต้อนมายังสยามอีกและให้ตั้งชุมชนอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ เช่น เพชรบุรี ราชบุรี
จาม – มุสลิมจาม หรือแขกจาม ตั้งถิ่นฐานชุมชนทั้งฝั่งธนบุรีและกรุงเทพฯ คือริมคลองบางกอกใหญ่ ได้แก่ ชุมชนกุฎีใหญ่ หรือกุฎีเก่า ปัจจุบันเรียกมัสยิดต้นสน กุฎีใหม่หรือกุฎีหลวง ปัจจุบันรู้จักในนามมัสยิดกุฎีขาว กุฎีอาสาจามริมคลองบางกอกน้อยซึ่งปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวคือกองบัญชาการกองทัพเรือ และมัสยิดบ้านครัวริมคลองแสนแสบ
เปอร์เซีย - ชาวเปอร์เซียตั้งชุมชนอยู่ที่ธนบุรี บริเวณคลองบางกอกใหญ่ เดิมเรียกกุฎีนอก หรือกุฎีกลาง ในปัจจุบันคือกุฎีเจริญพาศน์ และชุมชนกุฎีเจ้าเซ็น ซึ่งเคยเป็นชุมชนของชาวเปอร์เซียปัจจุบันพื้นที่ส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองบัญชาการกองทัพเรือและชุมชนได้ถูกย้ายไปอยู่ที่ถนนพรานนก และได้รับการตั้งชื่อว่ากุฎีหลวง ซึ่งมีชุมชนแขกจามอยู่ในบริเวณเดียวกัน
อาหรับ – ชาวอาหรับตั้งถิ่นฐานในบริเวณด้านใต้ริมคลองบางกอกน้อย ในบริเวณที่เรียกว่าบ้านแขกบางกอกน้อย เดิมชุมชนอาหรับอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของเจ้าฟ้าทองอิน กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หลังสิ้นพระชนม์ทำให้ชาวอาหรับที่เคยช่วยราชการลดความสำคัญลง ต่อมาพื้นที่ตรงนี้ถูกใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างสถานีรถไฟสายใต้หรือสถานีรถไฟธนบุรี
อินเดีย – ชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งรกรากเป็นมุสลิมมีอาชีพเป็นพ่อค้า เข้ามาตั้งรกรากในสยาม 3 ระลอก โดยในระลอกแรกราวปี ค.ศ. 1844 เป็นมุสลิมนิกายชีอะห์จากบอมเบย์ ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณคลองบางหลวงใกล้กับชุมชนเปอร์เซียซึ่งเป็นมุสลิมนิกายเดียวกัน และยังมีมุสลิมสุหนี่จากมาดราสภายใต้การอุปถัมป์จากพระยาศรีพิพัฒน์จางวางกรมพระคลังสินค้า สายสกุลบุนนาค ซึ่งสืบเชื้อสายจากต้นตระกูลที่เป็นแขกเปอร์เซียซึ่งเข้ามาสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา พ่อค้าอินเดียยังตั้งชุมชนอยู่บริเวณกุฎีนอก หรือกุฎีหลัง โดยได้รับอนุญาตให้สร้างโกดังสินค้าและโรงงานพิมพ์ลายผ้า ซึ่งได้มีการนำคนงานชาวอินเดียเข้ามาทำงานผลิตผ้าพิมพ์ลายด้วย ในระลอกที่สองภายหลังการทำสนธิสัญญาบาวริ่ง พ่อค้าอินเดียซึ่งถือเป็นคนในบังคับอังกฤษ ได้ประโยชน์จากการที่สนธิสัญญามีผลบังคับใช้ จึงเข้ามาทำการค้ามากขึ้น ได้มีการตั้งชุมชนที่บริเวณคลองสาน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการสร้างโกดังหลวงและท่าเรือภายใต้การดูแลของพระยาศรีพิพัฒน์ โกดังที่สร้างขึ้นเป็นโครงสร้างอิฐฉาบปูน ย่านนี้จึงถูกเรียกว่า ตึกขาว ปัจจุบันมัสยิดตึกขาวก็คือมัสยิดเซฟี ต่อมาได้มีชาวอินเดียมุสลิมจากคุชราช เข้ามาตั้งถิ่นฐานขออนุญาตสร้างโกดังสินค้า โดยก่ออิฐแต่ไม่ได้ฉาบปูน ในบริเวณต้นแม่น้ำจากย่านตึกขาวขึ้นไปราว 500 เมตร ย่านนี้จึงถูกเรียกว่าย่านตึกแดง ในบริเวณนี้ปัจจุบันยังคงมีมัสยิดตึกแดงตั้งอยู่ สำหรับระลอกที่สาม คือช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ชาวอินเดียมุสลิมชีอะห์ที่อาศัยอยู่ย่านคลองสานจึงได้ข้ามมาตั้งร้านค้าที่ฝั่งกรุงเทพฯ โดยได้มาตั้งสำนักงานใหญ่ในบริเวณสำเพ็งและราชวงศ์ ขณะที่มุสลิมอินเดียที่เป็นสุหนี่ได้ข้ามฝั่งมาตั้งร้านค้าอยู่ที่บริเวณบางรัก ในปัจจุบันคือย่านที่เรียกกันว่าบ้านแขกบางรัก
มาเลย์ - หรือชาวมลายู ตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนในหลายพื้นที่ของธนบุรีและกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นเชลยที่กวาดต้อนมาจากปัตตานี ในสมัยกรุงธนบุรี ชาวมลายูตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสวนพลูบริเวณคลองบางกอกใหญ่ ใกล้กับชุมชน จาม เปอร์เซีย ไม่ไกลจากชุมชนมอญบางยี่เรือ บางส่วนตั้งบ้านเรือนริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณที่เป็นบางอ้อ ถนนจรัญสนิทวงศ์ในปัจจุบัน เป็นชุมชนที่มีมัสยิดอิห์ซานเป็นศูนย์กลางต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 สยามได้มีการทำสงครามกับปัตตานีหลายครั้ง หลังสงครามครั้งแรกในปี ค.ศ. 1785-1786 สยามได้กวาดต้อนเชลยศึกมลายูมาเป็นจำนวนมาก กลุ่มช่างฝีมือและขุนนางปัตตานีได้รับอนุญาตให้ตั้งบ้านเรือนบริเวณปากคลองบางลำพู มีการสร้างมัสยิดบางลำพูซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นมัสยิดจักรพงศ์เมื่อมีการตัดถนนจักรพงศ์ผ่านย่านนี้ ในราว ค.ศ. 1790-1791 ได้มีการทำสงครามและกวาดต้อนเชลยอีก โดยให้ตั้งบ้านเรือนที่บริเวณทุ่งกระบือ ริมคลองมหานาค ตั้งชื่อว่า บ้านตานีภายหลังบริเวณนี้มีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมและคลองแสนแสบ เนื่องจากเป็นจุดตัดของคลองหลายสาย จึงได้กลายมาเป็นตลาดน้ำ มีชาวอินเดียและชาวจีนเข้ามาค้าขายโดยเฉพาะผ้า ปัจจุบันคือย่านโบ๊เบ๊ ราวปี ค.ศ. 1808 ได้มีการกวาดต้อนเชลยศึกจากไทรบุรี หรือเคดาห์ ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณที่เป็นชุมชนบ้านสวนหลวง ปัจจุบันคือซอยเจริญกรุง 103 โดยเชลยศึกไทรบุรีเหล่านี้ถูกเกณฑ์แรงงานให้ขุดคลองสวนหลวง จากพื้นที่ที่ตั้งชุมชนออกไปจรดแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันมีมัสยิดอัลอติกเป็นศูนย์กลางของชุมชน ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีเหตุให้เกิดการสู้รบระหว่างกรุงเทพฯและปัตตานีอีกครั้ง หลังการสู้รบได้มีการกวาดต้อนเชลยศึกครั้งใหญ่ มายังกรุงเทพฯ ได้ตั้งชุมชนในบริเวณรอบนอกของเขตเมืองกรุงเทพฯในขณะนั้นออกไป คือบริเวณ บางกะปิ หัวหมาก มีนบุรี หนองจอก ตลอดแนวคลองแสนแสบที่ได้ขุดให้ยาวออกไปจากคลองมหานาคไปจรดแม่น้ำบางประกง นอกจากนี้ยังมีการตั้งถิ่นฐานในฝั่งธนบุรีในพื้นที่บ้านแขกไส้ไก่ หรือปัจจุบันรู้จักกันในชื่อบ้านแขกบ้านสมเด็จ สำหรับในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงมีการย้ายถิ่นฐานชาวมลายูเข้ามายังกรุงเทพฯ โดยตั้งชุมชนอยู่ไม่ห่างจากชุมชนบ้านสวนหลวง คือชุมชนบางอุทิศและชุมชนบ้านตรอกหมอ
โปรตุเกส - ชาวโปรตุเกสเข้ามายังสยามตั้งแต่สมัยอยุธยา แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ พ่อค้า ทหารรับจ้าง กลุ่มผู้เผยแผ่ศาสนา และลูกหลานที่เกิดจากการแต่งงานของชาวโปรตุเกสและชาวพื้นเมือง หลังจากกรุงศรีอยุธยาแพ้แก่พม่า ชุมชนชาวโปรตุเกสได้ย้ายจากอยุธยามาธนบุรี โดยกลุ่มที่เป็นทหารรับจ้างได้ตั้งรกรากใกล้กับกำแพงเมืองกรุงธนบุรี ใกล้กับชุมชนกุฎีจีนของชาวจีน และได้สร้างโบสถ์และชุมชนซางตาครูซขึ้นในบริเวณนี้ ชุมชนชาวโปรตุเกสยังมีที่บริเวณบ้านโปรตุเกส สามเสน ซึ่งเป็นชุมชนเก่าที่ถูกย้ายจากอยุธยาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ และมีชาวโปรตุเกสใหม่ที่ถูกกวาดต้อนมาจากเขมร โปรตุเกสกลุ่มใหม่ที่ย้ายมาสมทบที่บ้านโปรตุเกสสามเสนนี้ ส่วนใหญ่เคยอยู่ที่อยุธยาก่อนจะหนีภัยสงครามระหว่างอยุธยาและพม่าไปยังเขมร และถูกกวาดต้อนเข้ามาสมทบที่บ้านโปรตุเกสสามเสนในช่วงต้นรัตนโกสินทร์เมื่อสยามยกทัพไปตีเขมร นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวโปรตุเกสบริเวณตลาดน้อยซึ่งแยกตัวออกจากชุมชนซางตาครูซ อีกด้วย
ชาวจีน - จำแนกตามกลุ่มตามภาษาพูดคือ แต้จิ๋วฮกเกี้ยน ฮากกา ไหหลำ กวางตุ้ง
ขแมร์ - เวียดนาม - ไทยยวน - ซิกข์ |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานเป็นไปในลักษณะที่ชุมชนของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตั้งอยู่ในบริเวณริมแม่น้ำและลำคลองซึ่งเป็นไปตามความสะดวกในการสัญจร มีทั้งที่ตั้งบ้านเรือนชุมชนอยู่บริเวณที่อยู่ในเขตเมือง คือใกล้กับกำแพงพระราชวัง และที่ตั้งถิ่นฐานไกลออกไป แต่ละชุมชนมีความสามารถเฉพาะในวิชาชีพ เช่น เป็นช่างฝีมือ ช่างเหล็ก ช่างทอง จึงทำให้ชุมชนได้กลายเป็นพื้นที่ศูนย์กลางย่านการค้าตามที่แต่ละชุมชนมีความชำนาญในภายหลัง รูปแบบการตั้งชุมชนคล้ายกันคือจะมีศาสนสถานเป็นศูนย์กลางของชุมชน เมื่อมีชาติพันธุ์เดียวกันถูกกวาดต้อนหรือย้ายมาในภายหลังจะได้รับอนุญาตให้ตั้งชุมชนใหม่ที่อยู่ไม่ไกลจากชุมชนเดิมที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันอาศัยอยู่ |
|
Map/Illustration |
แผนที่
แผนที่ 1.1 ปริมณฑลของกรุงธนบุรี ก่อน ปี ค.ศ. 1782 (หน้า 5)
แผนที่ 1.2 ปริมณฑลดั้งเดิมของกรุงเทพฯ ปี ค.ศ. 1782-1785 (หน้า 5)
แผนที่ 1.3 ปริมณฑลของกรุงเทพฯ ปี ค.ศ. 1809 (หน้า 5)
แผนที่ 1.4 กรุงเทพฯ: การแบ่งพื้นที่ระหว่างพระมหากษัตริย์และวังหน้า ปี ค.ศ. 1782-1885 (หน้า 9)
แผนที่ 1.5 กรุงเทพฯ: เมืองยุคหลังปริมณฑล ปี ค.ศ. 1910 (หน้า 9)
แผนที่ 1.6 ธนบุรี: การตั้งถิ่นฐานของชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ ปี ค.ศ. 1767-1782 (หน้า 25)
แผนที่ 1.7 กรุงเทพฯ: การตั้งถิ่นฐานของชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ ปี ค.ศ. 1782-1851 (หน้า 26)
แผนที่ 1.8 กรุงเทพฯ: การตั้งถิ่นฐานของชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ ปี ค.ศ. 1851-1910 (หน้า 27)
แผนที่ 1.9 กรุงเทพฯ: ผังเมือง ปี ค.ศ. 1910 (หน้า 37)
แผนที่ 2.1 เส้นทางการค้าเข้าสู่/ออกจาก สยาม ของโปรตุเกส ปี ค.ศ. 1511-1767 (หน้า 45)
แผนที่ 2.2 อยุธยา: การตั้งถิ่นฐานและสถานที่ที่เกี่ยวข้องของชาวโปรตุเกส ช่วงก่อนปี ค.ศ. 1767 (หน้า 51)
แผนที่ 2.3 ธนบุรีและกรุงเทพฯ: การตั้งถิ่นฐานและสถานที่ที่เกี่ยวข้องของชาวโปรตุเกส ช่วงหลังปี ค.ศ. 1782 (หน้า 55)
แผนที่ 3.1 อยุธยา: การตั้งถิ่นฐานของชาวมอญและสถานที่ที่เกี่ยวข้องช่วงก่อนปี ค.ศ. 1767 (หน้า 77)
แผนที่ 3.2 เส้นทางหลักทางน้ำ และศูนย์กลางประชากรมอญในปริเวณที่ลุ่มปากแม่น้ำเจ้าพระยา (หน้า80)
แผนที่ 3.3 ธนบุรี: การตั้งถิ่นฐานของชาวมอญและสถานที่ที่เกี่ยวข้องช่วงปี ค.ศ. 1767-1782 (หน้า 82)
แผนที่ 3.4 กรุงเทพฯ: การตั้งถิ่นฐานของชาวมอญและสถานที่ที่เกี่ยวข้องช่วงก่อนปี ค.ศ. 1910 (หน้า 88)
แผนที่ 4.1 ลาวเหนือน้ำ: บางขุนพรหม บางยี่ขัน ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 (หน้า 111)
แผนที่ 4.2 ลาวเวียง: บ้านหม้อ บ้านกระบะ บ้านตีทอง ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 (หน้า 111)
แผนที่ 4.3 ลาวใต้น้ำ: บางไส้ไก่ ศตวรรษที่ 19 (หน้า 119)
แผนที่ 4.4 ลาวใต้น้ำ: บ้านกรวย ปลายศตวรรษที่ 19 (หน้า 119)
แผนที่ 5.1 กรุงเทพฯเก่า: หมู่บ้านมุสลิมแยกตามชาติพันธุ์ (หน้า 134)
แผนที่ 6.1 ธนบุรี: การตั้งถิ่นฐานของชาวจีนและชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยอื่น ช่วงก่อนปี ค.ศ. 1782 (หน้า 175)
แผนที่ 6.2 สำเพ็งและบริเวณโดยรอบ ระหว่างปี ค.ศ. 1782-1868 (หน้า 177)
แผนที่ 6.3 สำเพ็งและบริเวณโดยรอบ ชาวจีนที่พูดภาษาจีนต่างๆ ปี ค.ศ. 1910 (หน้า 185)
แผนที่ 7.1 กรุงเทพฯ: สถานที่หลักของชาวขแมร์ ช่วงปี ค.ศ. 1782-1910 (หน้า 201)
แผนที่ 7.2 กรุงเทพฯ: สถานที่ของชาวไทยยวน ช่วงปี ค.ศ. 1782-1910 (หน้า 217)
แผนที่ 7.3 กรุงเทพฯ: สถานที่หลักบริเวณบางรัก ช่วงปี ค.ศ. 1855-1910 (หน้า 221)
แผนที่ 7.4 กรุงเทพฯ: สถานที่ต่าง ๆ ชาวเวียดนามกลุ่มหลัก,ชาวซิกข์,และชาวตะวันตก ภายในกำแพงพระนคร ปี ค.ศ. 1910 (หน้า 223)
ตาราง
ตาราง 1.1 พระราชวังในกรุงเทพฯ: ที่ตั้งของวังต่างๆ ใน 5 รัชสมัยแรกของราชวงศ์จักรี ระหว่างปี ค.ศ. 1782-1910 (หน้า 7)
ตาราง 1.2 ประมาณการจำนวนประชากรของสยามจำแนกตามชาติพันธุ์ ระหว่างปี ค.ศ. 1822-1904 หน่วยเป็นพันคน (หน้า 21)
ตาราง 1.3 ประมาณการจำนวนประชากรของผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ: จำแนกตามเขตที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์หลัก ในปี ค.ศ. 1782, 1851, และ 1910 (หน้า 23)
ตาราง 1.4 ประมาณการจำนวนประชากรของผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ: จำแนกตามภาษาจีนของกลุ่มต่างๆ ในปี ค.ศ. 1782, 1851, และ 1910 (หน้า 23)
ตาราง 1.5 ประมาณการจำนวนประชากรของผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ: กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่ใช่ชาวจีน ในปี ค.ศ. 1782, 1851, และ 1910 (หน้า 24)
ตาราง 1.6 ประชากร กรุงเทพฯ-ธนบุรี จำแนกตามกลุ่มชาติพันธุ์ ปี ค.ศ. 1933/34 และ ค.ศ. 1937/38 (หน้า 40)
ตาราง 4.1 สาแหรกราชวงศ์เวียงจันทน์ (หน้า 110)
ตาราง 5.1 หมู่บ้านมุสลิมและมัสยิดของกรุงเทพฯ เก่า (หน้า 135) |
|
Text Analyst |
อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ |
Date of Report |
24 ก.ย. 2567 |
TAG |
ตั้งรกราก, สยามต้นรัตนโกสินทร์, มอญ, ลาว, จาม, เปอร์เซีย, อาหรับ, อินเดีย, มาเลย์, แต้จิ๋ว, ฮกเกี้ยน, ฮากกา, ไหหลำ, กวางตุ้ง, ขแมร์, เวียดนาม, ไทยยวน, ซิกข์, โปรตุเกส, |
Translator |
- |
|