สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาหารพื้นบ้าน,กลุ่มชาติพันธุ์,กูย,พิธีกรรม,ความเชื่อ,จังหวัดศรีสะเกษ,วัฒนธรรมอาหาร
Author บูรณ์เชน สุขคุ้ม, ธนพล วิยาสิงห์
Title วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์กูยจังหวัดศรีสะเกษ
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity กูย กุย กวย โกย โก็ย, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents

เว็ปไซต์  http://huso.sskru.ac.th/Reseach/wp-content/uploads/2014/06/วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์กูยจังหวัดศรีสะเกษนายบูรณ์เชน-สุขคุ้ม.pdf/ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ

Total Pages 91 Year 2556
Source คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
Abstract

รายงานการวิจัยเรื่อง วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์กูยจังหวัดศรีสะเกษได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของชาวกูยจังหวัดศรีสะเกษ โดยศึกษาผ่าน แหล่งอาหาร ชนิดอาหาร ส่วนประกอบและวิธีการประกอบอาหารของชาวกูย ตลอดจนอาหารในพิธีกรรมถึงความเชื่ออาหารของชาวกูย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาจากเอกสารวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีกลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ชาวกูยบ้านกู่ ตำบลกู่ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีการนำเสนอเป็นงานเขียนเชิงพรรณนาและวิเคราะห์

โดยมีกรอบแนวคิดการวิจัยว่าด้วยแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นมาและวิถีชีวิตของชาวกุย ทฤษฎีเกี่ยวกับอาหารพื้นบ้าน และทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ (Functionalism) ผลการศึกษาพบว่า ด้วยลักษณะของภูมิประเทศที่เป็นเนินสูง มีที่ราบลุ่มมีแหล่งน้ำรอบชุมชน นั้นเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เป็นแหล่งอาหารที่เกิดจากธรรมชาติที่สำคัญของชาวกูยบ้านกู่ และสามารถเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ที่สามารถนำทรัพยากรเหล่านั้นมาประกอบอาหาร โดยแหล่งอาหารที่พบนั้นมาจากที่นา ที่สวน ป่าและโคกที่เป็นเนิน และแหล่งน้ำตามธรรมชาติ อาหารที่ชาวกูยรับประทานแบ่งเป็นประเภท คือ กับข้าว ของหวาน ผักและผลไม้  นิยมรับประทานข้าวสวยเป็นหลัก ส่วนข้าวเหนียวนิยมรับประทานในงานพิธีต่างๆ ชาวกูยให้ความสำคัญกับอาหารมื้อเช้าและมื้อค่ำที่มักรับประทานพร้อมหน้ากันโดยมีอาหารหลักที่ขาดไม่ได้ คือ ป่น (น้ำพริก) ปลาร้าและแกง

ในแต่ละมื้อจะประกอบอาหารให้พอสำหรับรับประทาน โดยไม่มีการกักตุนอาหารไว้รับประทานหลายมื้อ หากได้อาหารมาในจำนวนมากพอจะทำการถนอมไว้สำหรับรับประทานในมื้อต่อไป ชาวกูยมีความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและผีบรรพบุรุษ สำหรับอาหารในทัศนะของชาวกูยนั้น นอกจากสำหรับปรุงไว้เพื่อรับประทานในชีวิตประจำวันแล้วยังมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีที่เกี่ยวกับผี วิญญาณบรรพบุรุษ วัฒนธรรมและวิถีการรับประทานอาหารมีความสอดคล้องกับข้อห้าม คำสอนที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบันชาวกูยนิยมรับประทานอาหารแบบชาวกูยควบคู่กับอาหารไทยสากลทั่วไป อาหารบางชนิดมีการผสมผสาน ปรับให้เข้ากับอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ คือ ลาวและเขมร อาหารบางชนิดจึงถูกจัดให้เป็นอาหารท้องถิ่นแต่ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง ซึ่งอาหารดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากคนในชุมชนและถูกยกระดับให้เป็นธุรกิจขนาดเล็กในชุมชน    

Focus

เพื่อศึกษาศึกษาวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์กูยในจังหวัด จากชนิดอาหารในชีวิตประจำวันและอาหารในพิธีกรรม ได้แก่ ลักษณะอาหาร แหล่งที่มาของอาหาร การประกอบอาหาร เวลาในการบริโภคอาหาร และลักษณะความเชื่อเรื่องการบริโภคอาหาร (น.3)

Theoretical Issues

ความสัมพันธ์ของวิถีชีวิต ความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์กูยต่อวัฒนธรรมอาหารพื้นบ้าน โดยชาวกูยบ้านกู่ส่วนใหญ่ยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม พึ่งพาธรรมชาติจากแหล่งอาหารต่างๆ ซึ่งสัมพันธ์กับลักษณะภูมิประเทศ ฐานทรัพยากรที่ยังอุดมสมบูรณ์และฤดูกาลของวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหาร ลักษณะของอาหารที่เปลี่ยนไปเกิดจากการปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางอาหารกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อาศัยใกล้ๆ กัน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นอัตลักษณ์ทางอาหารของกลุ่มตัวเอง เช่น การรับประทานปลาร้า แกง ป่น (น้ำพริกที่ตำผสมกับส่วนผสมต่างๆ) ร่วมกับพืชผักผลไม้ในท้องถิ่น

การให้ความสำคัญกับมื้ออาหารและครอบครัว เครือญาติ และการใช้อาหารในการประกอบพิธีกรรมแบบชาวส่วยที่ยังคงทำหน้าที่ส่งต่อค่านิยมความเชื่อที่สำคัญในกลุ่มชาติพันธุ์ตน แต่หน้าที่ของข้อห้ามและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับอาหารบางอย่างยังคงอยู่และเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีและยุคสมัยที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาแทนที่ ซึ่งในอนาคตควรส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์วัฒนธรรมอาหารชุมชนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องโดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและสนับสนุนให้มีการศึกษาและพัฒนาอาหารพื้นบ้านชาวกูยอย่างถูกสุขลักษณะ ปลอดภัย และทันสมัยเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในอนาคต ด้านในเชิงจัดการองค์ความรู้ มีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนา ยกระดับอาหารชาวกูยให้เป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไป นอกจากนี้มีการศึกษาเปรียบเทียบอาหารชาวกูยกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียงเพื่อศึกษาความคงที่และความเปลี่ยนแปลงของอาหารในมิติวัฒนธรรม

Ethnic Group in the Focus

กูย (Kui), กวย,โกย,ข่า, เขมรป่าดง หรือ ส่วย (เรียกตัวเองว่ากูย หมายถึง คนดง) ภาษาที่ใช้จัดอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติกที่ใช้ภาษาตระกูลมอญเขมร มีการอาศัยอยู่หนาแน่นในประเทศไทยบริเวณภาคอีสานตอนใต้ แถบบริเวณจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และกระจายอยู่ในบางพื้นที่ของจังหวัดบุรีรัมย์ นครราชสีมา อุบลราชธานีและมหาสารคาม (น.9,17)   

Language and Linguistic Affiliations

ภาษา “กูย” จัดอยู่ในตระกูลมอญ - เขมร ปัจจุบันชาวกูยบ้านกู่ใช้ภาษากูย ในการสื่อสารภายในชุมชนโดยที่ไม่มีตัวหนังสือเขียนหรือการบันทึก หากต้องการเขียนหรือบันทึกต้องเขียนหรือสะกดแทนด้วยภาษาไทยเพื่อออกเสียงในภาษากูย เช่น “จีเนีย” มีความหมายว่า ไปไหน คำว่า “จาโดย เลาด็อง” มีความหมายว่า กินข้าวหรือยัง และคำว่า “จีแซ” มีความหมายว่า ไปนา เป็นต้น แต่เสียงในภาษากูยบางคำไม่สามารถเขียนหรือสะกดเป็นภาษาไทยได้ โดยทั่วไปชาวกูยบ้านกู่พูดภาษาเพื่อใช้สื่อสารกัน บางสถานการณ์ใช้ภาษาไทยอีสานในการสื่อสารพูดคุยในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียง และใช้ภาษาไทยมาตรฐานในการสื่อสารพูดคุยหากมีการติดต่อกับหน่วยงานหรือองค์กรอื่นที่เข้ามาในชุมชน (น.5,46,48)

Study Period (Data Collection)

ประมาณปี พ.ศ. 2554 - 2556 (เป็นปีที่ระบุในบทคัดย่อ ปีงบประมาณ 2556)

History of the Group and Community

กลุ่มชาติพันธุ์กูยสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่ามุณฑ์ (Munda) มีถิ่นฐานเดิมอยู่บริเวณเชิงเขาหิมาลัย มีภาษาของตนเองและมีความสามารถทางด้านพ่อมดหมอผี มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์คุปตะของอินเดียโบราณเชี่ยวชาญในทางการรบและการสงคราม มีทักษะในการฝึกช้างจับช้าง ได้อพยพจากตอนเหนือของอินเดียมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขมรและตอนใต้เมืองจำปาศักดิ์ของลาว ปรากฏหลักฐานในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20-21 และได้อพยพมาในเขตประเทศไทยและจากนั้นได้อพยพขยายไปอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ
 
ซึ่งบางส่วนได้อพยพมาทางใต้ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี มหาสารคาม แบ่งได้ 5กลุ่มตามแหล่งพื้นที่อาศัยต่างกัน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างศึกษาจัดอยู่ในกลุ่มชาวกูยจังหวัดศรีสะเกษ ในขณะที่บางทฤษฎีเชื่อว่ากลุ่มชาติพันธุ์กูยเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแถบอีสานตอนล่างอยู่แล้ว โดยกลุ่มชาวกูยบ้านกู่มีประวัติการตั้งชุมชนจากคำบอกเล่าว่าก่อตั้งชุมชนได้ประมาณ 300 ปีแล้ว ซึ่งได้อพยพมาจากบ้านอาเลา จังหวัดสุรินทร์ ผู้ที่อพยพมาคนแรกและตั้งหมู่บ้านคือ ตาโก จากนั้นก็ได้สืบทอดลูกหลานและได้มีการขายหมูบ้านมาจนถึงปัจจุบัน  (น.10-19,45)

Settlement Pattern

จากหลักฐานอาหารที่ใช้ประกอบในบางพิธีกรรมสะท้อนถึงรูปแบบการตั้งถิ่นฐานในอดีตที่กลุ่มชาวกูยอาศัยในป่าลึก มีการเคลื่อนย้ายบ่อยครั้งตามความอุดมสมบูรณ์ของแต่ละพื้นที่เมื่อไม่สามารถทำมาหากิน หรือถูกรุกรานจากกลุ่มอื่นก็จะย้ายไปเรื่อยๆ เพื่อหาแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ต่อไป โดยสันนิษฐานถึงถิ่นที่อยู่อาศัยลักษณะป่าดงของชาวกูยบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษที่มีเทือกเขาพนมดงรักทอดยาวและเป็นแหล่งต้นน้ำเหมาะสมต่อการดำรงชีพแบบเคลื่อนย้ายถิ่นบ่อยๆ

และคำบอกเล่าถึงการตั้งถิ่นฐานในต่อมาโดยผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่เล่าถึงชุมชนชาวกูยบ้านกู่ได้อพยพมาจากบ้านอาเลา จังหวัดสุรินทร์ (ไม่ทราบแน่ชัดอยู่ในอำเภออะไร) เชื่อว่าได้มีการตั้งรกรากและสืบทอดลูกหลานจนมาถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเกิดจากการแยกครอบครัว ย้ายออกไปอยู่ตามพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อมีครอบครัวอื่นย้ายเข้ามาอยู่เพิ่มมากขึ้น จึงย้ายและตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่เพิ่มขึ้นมา คือ บ้านตาอ็อง หมู่ที่ 8 และหมู่บ้านกู่ตะวันตก หมู่ที่ 14 ในเวลาต่อมา (น.9,45,67)

Demography

กลุ่มชาวกูยบ้านกู่ มีการตั้งถิ่นฐานทั้งสิ้น 3หมู่บ้าน และมีจำนวนประชากร ดังต่อไปนี้

  1. บ้านกู่ หมู่ที่ 1 มีจำนวน 194 หลังคาเรือน ประชากร 1,089 คน ชายจำนวน 559 คน หญิงจำนวน 530 คน
  2. บ้านอาต็อง หมู่ที่ 8 มีจำนวน 90 หลังคาเรือน ประชากร 597 คน ชายจำนวน 303 คน หญิงจำนวน 294 คน
  3. บ้านกู่ตะวันตก หมู่ที่ 14 มีจำนวน 150 หลังคาเรือน ประชากร 780 คน ชายจำนวน 395 คน หญิงจำนวน 385 คน
ปัจจุบันคนรุ่นใหม่นิยมออกไปศึกษาเล่าเรียนและออกไปทำงานนอกชุมชนมากขึ้น แต่ก็มีที่กลับมาทำงานที่หมู่บ้าน จะเห็นได้จากผู้นำท้องถิ่นมักเป็นคนรุ่นใหม่ที่ออกไปศึกษาเล่าเรียนและนำความรู้กลับมาพัฒนาชุมชนที่ตนเคยอยู่ (น.46-47)  

Economy

แหล่งทรัพยากรของชุมชนบ้านกู่มีความสัมพันธ์กับลักษณะภูมิอากาศตามฤดูกาลที่เปลี่ยนด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนินสูง และเป็นที่ราบลุ่มมีแหล่งน้ำรอบหมู่บ้าน เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์และสามารถเข้าถึงทรัพยากรอาหารจากแหล่งต่างๆ  ได้แก่ แหล่งอาหารจากหนองน้ำ แหล่งอาหารจากนาและสวน แหล่งอาหารที่ได้จากป่า  และแหล่งอาหารที่ผลิตเอง ชาวกูยบ้านกู่จึงมีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับธรรมชาติ มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจที่ได้จากทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน
 
วัตถุดิบในการประกอบอาหารของชาวกูยจึงสัมพันธ์กับธรรมชาติและฤดูกาลที่มีทั้งสัตว์ พืชผัก ผลไม้ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา กบ แมลง งู กล้วย มะม่วง มะนาว ตะไคร้ ผักแว่น ผักแขยงนา สายบัว และเห็ดชนิดต่างๆ ในการประกอบอาชีพหลักของคนในชุมชนจึงเป็นอาชีพทำการเกษตร เช่น การทำนา ทำสวน ทำไร่ ในอดีตส่วนใหญ่ใช้ควายในการไถนา ส่วนการปักดำกล้าใช้แรงงานคนจากสมาชิกในครัวเรือน น้ำที่ใช้ในการทำต้องรอน้ำฝนหรือแหล่งน้ำจากธรรมชาติ ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี แต่ปัจจุบันประชากรเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงมีการผลิตแหล่งอาหารด้วยการเพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลัง การทำนาได้เปลี่ยนเป็นแบบนาหว่าน การใช้แรงด้วยเครื่องจักรและปุ๋ยเคมี ซึ่งมาเพิ่มเติมแหล่งอาหารจากธรรมชาติที่ชาวบ้านเคยพึ่งพาอย่างในอดีต (น.48,50,56,57)

Social Organization

ชายกูยบ้านกู่อยู่ร่วมกันแบบเครือญาติ เนื่องจากพัฒนาการของการตั้งถิ่นฐานและเกิดเป็นหมู่บ้านมาจากการขยายและแยกครอบครัวออกมาแต่งงานและอยู่ด้วยสืบทอดรุ่นต่อรุ่นจนมาถึงปัจจุบัน โดยมีการรวมกลุ่มกันเพื่อประกอบพิธีกรรมดังที่ปรากฏในงานวิจัย เช่น พิธีแก็ลมอ พิธีแซนยะจู๊ห์ พิธีจากสาก (สารทเดือน 10) เป็นต้น ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้เป็นพิธีเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วย และการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ถือเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่มของคนในชุมชน และภายหลังได้มีการรวมกลุ่มของกลุ่มแม่บ้านในชุมชนในปัจจุบันเพื่อการสืบสาน อนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมด้านอาหารของชาวกูยด้วยการสาธิตการประกอบอาหารตามวาระและโอกาสสำคัญ ดังที่ปรากฏในงานวิจัยชิ้นนี้ (น.61,68,87-89) 

Political Organization

การปกครองของชุมชนชาวกูยบ้านกู่ที่ปรากฏและบันทึกไว้ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของการปกครองแบบเป็นทางการโดยมีผู้นำชุมชนที่เป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านของทั้ง 3หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านกู่ หมู่ที่ 1บ้านอาต็อง หมู่ที่ 8 และ บ้านกู่ตะวันตก หมู่ที่ 14  ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2475 – 2554 (ถึงปีล่าสุดในการบันทึกข้อมูล)  โดยทั้ง 3 หมู่บ้าน มีกลุ่มสายตระกูลเครือญาติที่เป็นหลักในในการเป็นผู้นำชุมชน คือ “ตระกูลแหวนเงิน” และ “ตระกูลนรดี” สังเกตได้จากรายชื่อของผู้นำชุมชนทั้ง 3 หมู่บ้านตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่อยู่ในกลุ่มสายตระกูลดังกล่าว
 
ส่วนการปกครองแบบไม่เป็นทางการที่ปรากฏ คือ ผู้อาวุโสและผู้นำทางพิธีกรรมเป็นบุคคลที่ได้รับการเคารพและนับถือจากคนในชุมชนเพราะถือเป็นผู้มีความสามารถในการประกอบพิธีกรรม ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ในชุมชน นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้นำชุมชนที่นำโดยกำนันได้ให้ความสำคัญด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้สนับสนุนให้มีการยึดถือปฏิบัติตามประเพณีและวิถีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน โดยชาวกูยบ้านกู่ให้ความร่วมมือเข้าร่วมพิธีกรรมดังกล่าวอย่างเต็มใจ ทั้งยังคนในชุมชนล้วนเป็นเครือญาติกันจึงสามารถอยู่ร่วมกัน และสื่อสาร บอกกล่าวเกี่ยวกับพิธีกรรม เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในชุมชนได้อย่างทั่วถึง (น.48,68)

Belief System

ชาวกูยบ้านกู่มีความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษและพระพุทธศาสนาควบคู่กัน (น.69) โดยมีพิธีความเชื่อที่ปรากฏในการศึกษาต่อไปนี้

1. ความเชื่อในพิธีกรรม (น.61)
- พิธีแก็ลมอ เป็นพิธีกรรมที่ใช้รักษาผู้ป่วยในตระกูล เชื่อว่าความเจ็บป่วยจะหาย
จากการประกอบพิธีนี้ โดยมักใช้พิธีกรรมนี้ร่วมกับการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน รวมถึงความเชื่ออื่นๆ ในชุมชน ส่วนอาหารที่ปรากฏในพิธีกรรมดังกล่าว เช่น กล้วย ข้าวต้นมัด ไข่สำหรับเสี่ยงทาย หมาก บุหรี่ และน้ำมะพร้าว  
- พิธีแซนยะจุ๊ห์ เป็นพิธีไหว้ผีของชาวกูย จัดปีละ 2 ครั้งต่อปี ในเดือน 3 เพื่อ
ตอบแทนผีสำหรับที่ช่วยให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และ เดือน 6 เพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล อาหารที่ใช้ประกอบในพิธี เช่น ไก่ต้ม ข้าวสวย เหล้าสาโท และข้าวต้มมัด
- พิธีสาทรเดือนสิบ (สากกวย หรือ ส่วย) ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำและ 15 ค่ำ
เดือน 10 ของทุกปี เป็นพิธีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว อาหารที่ใช้ประกอบในพิธีกรรม เช่น ปลาปิ้ง กล้วย ข้าวต้มมัด ข้าวเม่า และไข่ต้ม

2. ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารในพิธีกรรม (น.61)
-  ไก่ ที่ใช้ในการประกอบพิธีนั้นสัมพันธ์กับวิถีชีวิตในอดีตที่ชายกูยมักอพยพ
ย้ายถิ่น อยู่อาศัยอยู่ตามป่าที่ต้องอพยพย้ายเคลื่อนที่ไปตามที่ต่างๆ ชาวกูยจึงนิยมเลี้ยงไก่เพราะสามารถนำติดตัวไปด้วยได้หากมีการอพยพ ไก่จึงใช้ในการประกอบพิธีตามความเชื่อชาวกูยบ้านกู่
- กล้วย และข้าวต้มมัด มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ของ
ชาวกูยมักตั้งถิ่นฐานในป่า เป็นสิ่งที่หาได้ง่าย
- เหล้าสาโทหรือเหล้าขาว ถือเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งในอดีตใช้
เหล้าสาโทที่ทำขึ้นเองในการประกอบพิธีกรรม

3. ความเชื่อในการรับประทานอาหาร ข้อห้ามและข้อปฏิบัติในการรับประทานอาหาร
เช่น ข้อห้ามของคนแต่ละวัย แต่ละกลุ่มในการรับประทานอาหาร ที่สอดคล้องกับเรื่องสุขภาพ การป้องกันโรคและทรัพยากรในชุมชน 

Education and Socialization

ในชุมชนบ้านกู่มีสถาบันการศึกษาและแหล่งถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนในชุมชนที่ปรากฏ คือ  (น.49)

1. วัด 2 แห่ง คือ วัดบ้านกู่ (สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย) และวัดปรางค์กู่ ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดและส่งต่อคำสอนเกี่ยวกับศาสนาพุทธและค่านิยมต่างๆ ให้แก่สมาชิกในชุมชน
2.โรงเรียน 1 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านกู่ รวมถึงศูนย์พัฒนาเด็ก 1 แห่ง คือ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัดบ้านกู่ ที่ให้ความรู้พื้นฐาน ค่านิยม และการดูแลให้แก่สมาชิกในชุมชน
3. สถานพยาบาล 1 แห่ง คือ สถานีอนามัยบ้านกู่ ที่ให้ความรู้และบริการเกี่ยวกับสาธารณสุขพื้นฐานแก่สมาชิกในชุมชนกลุ่มอื่นๆ

เกี่ยวกับความรู้อาหารชาติพันธุ์กูยที่ถือเป็นการให้ความรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาอาหาร ได้แก่ สถาบันครอบครัว ที่ส่งต่อการประกอบอาหารในชีวิตประจำวัน อาหารในพิธีกรรม รวมถึงการรวมกลุ่มของแม่บ้านจากสมาชิกในชุมชนเพื่อสาธิตให้ความรู้ และปรุงอาหารชาติพันธุ์กูยขายตามวาระและโอกาสต่างๆ 

Health and Medicine

เรื่องสุขภาพและการรักษาที่ปรากฏนั้น มีสถานพยาบาล 1แห่ง คือ สถานีอนามัยบ้านกู่ที่เป็นสถานพยาบาลเบื้องต้นแบบแผนปัจจุบันในชุมชน การใช้พิธีกรรมในการรักษา คือ พิธีแก็ลมอที่เป็นพิธีกรรมที่ใช้รักษาผู้ป่วย โดยใช้พิธีกรรมนี้ร่วมกับการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน รวมถึงความเชื่ออื่นๆ ในชุมชน เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ข้อห้าม และข้อปฏิบัติในการรับประทานอาหารเพื่อการป้องกันการเกิดโรคภัยและการกินอาหารบางอย่างที่ถือเป็นยาสมุนไพรในการรักษาและป้องกันโรค (น.49,61-62)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ในงานศึกษาวิจัยชิ้นนี้พบการลักษณะทางศิลปะและงานฝีมือของชาวกูยบ้านกู่ดังต่อไปนี้

1.รูปแบบทางสถาปัตยกรรม เป็นหลักฐานลักษณะการตั้งถิ่นฐานแบบโบราณ โดยมีปรางค์กู่เป็นจุดศูนย์กลาง มีสระน้ำที่เรียกว่าสระกู่ตั้งอยู่ตำแหน่งกลางระหว่าง 3 หมู่บ้าน มีเนินดินคล้ายกำแพงที่เรียกว่า “คูเมือง” การสร้างบ้านเรือนใกล้ชิดกันเป็นกลุ่มแบบกระจุกตัว มีทางเดินแต่ละวอยกว้างประมาณ 2.50 เมตร

2.อาหารชาวกูย ที่พบโดยแบ่งประเภท ได้แก่
1) ประเภทกับข้าว ได้แก่ แกงหอยแบบชาวกูย แกงเทาหรือแกงสาหร่ายน้ำจืด กือแหวกือตาม (แกงมันปู) แกงกล้วยใส่ไก่ ป่นมะเขือใส่กบ (น้ำพริกมะเขือใส่กบ) ป่นกบแห้ง (น้ำพริกกบแห้ง) และห่อหมกหน่อไม้ (น.50)

ตัวอย่างอาหารชาวกูย

  • กือแหวกือดาม (แกงมันปู) เป็นอาหารพื้นบ้านที่ชาวกูยนิยมและมีมาแต่เดิม
ส่วนผสมประกอบด้วย ปู พริกแห้ง ข่า ตะไคร้ กระชาย หอมแดง กระเทียม ยอดมะขามหรือมะขามเปียก ดอกแค เกลือ น้ำปลา และใบกระเพรา
ขั้นตอนการปรุง เตรียมปูโดยแกะล้างน้ำให้สะอาด นำส่วนที่เป็นขี้ทิ้ง จากนั้นำปูใส่ครก ตำให้ละเอียด นำไปกรอง เทน้ำสะอาดใส่เอาแต่น้ำ นำพริกแห้ง ข่า ตะไคร้ กระชาย หอม กระเทียม ใส่ครกตำให้ละเอียด จากนั้นใส่น้ำปูที่กรองไว้ลงไป ตั้งหม้อน้ำปูที่กรองกับเครื่องแกงที่ตำไว้จนเดือดใส่ยอดมะขามหรือ มะขามเปียก หากมีดอกแคก็ใส่ดอกแค จากนั้นใส่เกลือ หรือน้ำปลา และใบกระเพราเป็นอันดับสุดท้าย ทิ้งไว้ให้หม้อแกงเดือด เมื่อสุกแล้วลองชิมรส หากได้รสตามชอบแล้วยกลงจากเตา ตักใส่ชามเตรียมรับประทาน

2) ประเภทของหวาน ที่ชาวกูยนิยมรับประทานน้ำอ้อยมากกว่าน้ำตาล ส่วนใหญ่
มักเป็นผลไม้ เพราะอาศัยอยู่ห่างไกล จึงมีขนมเพียงไม่กี่อย่างและขั้นตอนการทำไม่ซับซ้อนมาก เช่น ขนมผลมะสัง ข้าวต้มมัด ขนมเทียน เป็นต้น (น.55)
3) อาหารในพิธีกรรม ที่มักพบ ส่วนประกอบดังนี้ (น.65)
  • ไก่ มักเป็นไก่ต้มทั้งตัว
  • กล้วย และข้าวต้มมัด ที่มักใช้ประกอบในพิธีกรรมความเชื่อชาวกูย ส่วนผสมมีเพียงกล้วยสุก ข้าวเหนียว น้ำตาล และมะพร้าวผสมกันแล้วห่อด้วยใบตองแล้วต้ม
  • เหล้าสาโท ในอดีตใช้เหล้าสาโทที่ทำขึ้นเองในการประกอบพิธีกรรม แต่เมื่อมีกฎหมายห้ามเกี่ยวกับการผลิตสุรา ชาวกูยจึงหันมาใช้เหล้าขาวแทนเหล้าสาโท

Folklore

คติชนในกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านกู่ที่ปรากฏมีดังต่อไปนี้

1. ความเชื่อเกี่ยวกับผี จากที่มีการสร้างเนินดินที่คล้ายกำแพงบ้านอยู่รอบนอก และส่วนรอบในจะมีรอบหมู่บ้านซึ่งชาวบ้านจะเรียกว่า “ทางผี” เชื่อว่าเมื่อเวลาค่ำมักไม่ค่อยมีใครออกจากบ้าน และในคืนวันพระบางคืนหากได้ยินเสียงคล้ายม้าวิ่งรอบหมู่บ้าน ถือเป็นลางบอกเหตุซึ่งจะมีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตในเวลาต่อมา (น.45)
2. เรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้ตั้งถิ่นฐาน โดยมีเรื่องเล่าเชื่อมโยงกับที่มาของชื่อหมู่บ้านต่างๆ ของชาวกูยบ้านกู่ เช่น ตาโก ที่คนในชุมชนเชื่อว่าเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ตั้งถิ่นฐานจนสืบทอดมายังรุ่นลูกหลานปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีชื่อหมู่บ้านอื่นๆ ที่เป็นชื่อคน เช่น ตาตี หรือตาผ้าขาว ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งหมู่บ้านอาต็อง เป็นต้น (น.46)  

ความเชื่อ ข้อห้าม และข้อควรปฏิบัติเกี่ยวกับอาหาร เช่น คนท้องห้ามรับประทานอาหารร้อน ยาดอง ยาสมุนไพรรากไม้ เมื่อคลอดลูกใหม่ๆ ให้กินน้ำร้อน รับประทานข้าวกับเกลืออย่างเดียวห้ามรับประทานปลา กบ ของเหม็นคาว ประมาณ 2 เดือนเพื่อให้มดลูกเข้าอู่ ทั้งหมดนี้หากรับประทานแล้วจะทำให้ร่างกายไม่สมบูรณ์ สำหรับเด็กและคนไข้ ห้ามรับประทานของเย็นของหวาน เพราะจะทำไม่ให้สบาย และห้ามรับประทานส้มตำ คนไข้ห้ามรับประทานไก่ ปลาย่าง ปลาทอด ปลาเผา ให้รับประทานเฉพาะปลาต้มที่ใส่เกลือ ตะไคร้ ขิงและข่า (น.62)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ลักษณะทางชาติพันธุ์ของกลุ่มชาวกูยบ้านกู่ที่ปรากฏดังต่อไปนี้ คือ

ทางอาหาร โดยเฉพาะอาหารในการประกอบพิธีกรรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบ่งบอกและแสดงอัตลักษณ์ความเป็นชาวกูยบ้านกู่ที่สะท้อนความเชื่อต่างๆ ภายใต้ความหมายของพิธีกรรมที่คนในชุมชนยังร่วมประกอบพิธีกรรม โดยลักษณะทางอาหารบางชนิดของกลุ่มชาติพันธุ์นี้ได้ผสมผสานเข้ากับอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่อาศัยใกล้กัน เช่น เขมรและลาว อาหารท้องถิ่นบางอย่างจึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของกลุ่มชาติพันธุ์ใดทั้งยังมีการยกระดับอาหารชาติพันธุ์กูยเป็นธุรกิจชุมชนที่ปรุงขายในชุมชนและนอกชุมชน ยังมีกลุ่มแม่บ้านที่สาธิตอาหารตามงานและโอกาสสำคัญ สิ่งเหล่านี้จึงถือเป็นอัตลักษณ์ทางอาหารของกลุ่มชาติพันธุ์กูยบ้านกู่ที่ได้มีการปรับและผสมผสานแต่สามารถธำรงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตนให้คงไว้ (น.68,87-89)

ทางภาษา ปัจจุบันชาวกูยบ้านกู่ยังคงใช้ภาษากูย เป็นภาษาพูดในการสื่อสาร ในชีวิตประจำวันกับคนในชุมชน หรือนอกชุมชนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาเดียวกัน บางคนยังพูดภาษาลาวในการสื่อสารกับคนนอกชุมชนที่ใกล้เคียง และพูดภาษาไทยกับเจ้าหน้าที่หรือคนจากหน่วยงานที่เข้ามาติดต่อในชุมชน ส่วนภาษาเขียนนั้นไม่มีการเขียนภาษากูยปรากฏ มีเพียงการใช้ตัวสะกดในภาษาไทยสำหรับเขียนเพื่อออกเสียง เทียบเสียงในภาษากูยซึ่งใช้สำหรับบันทึกใช้ในชีวิตประจำวันแบบที่ไม่เป็นทางการ การธำรงไว้ซึ่งภาษาของชาวกูยบ้านกู่จึงปรากฏเพียงภาษาพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับคนในชุมชนและนอกชุมชนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันเท่านั้น (น.48)

ทางพิธีกรรม ปัจจุบันชาวกูยบ้านกู่ยังคงประกอบพิธีกรรมที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา เช่น พิธีแก็ลมอ ที่เป็นพิธีการรักษาการเจ็บป่วย แบบชาวกูย พิธีแซนยะจุ๊ห์ และพิธีจากสาก (สารทเดือน 10)ที่เป็นพิธีไหว้วิญญาณผีบรรพบุรุษ ที่มีอัตลักษณ์แบบชาวกูย ทั้งอาหาร การแต่งกาย เครื่องไหว้ คำสวดที่ใช้ประกอบพิธีกรรมที่แสดงถึงอัตลักษณ์ชาวกูยที่ยังคงธำรงไว้โดยที่ผู้นำชุมชนเห็นความสำคัญในการสืบสาน (น.61)

Social Cultural and Identity Change

ชุมชนชาวกูยบ้านกู่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ปรากฏดังต่อไปนี้

1. ลักษณะที่ตั้งหมูและบ้านเรือน ในอดีตเป็นที่ตั้งชุมชนที่มีจำนวนครอบครัวแบบกลุ่มเครือญาติเพียงไม่กี่หลังคาเรือน โดยลักษณะบ้านปลูกติดกัน ขนาดความกว้างถนนไม่กว้างนัก เหมาะกับสังคมเพราะปลูกและเลี้ยงสัตว์ แต่ปัจจุบันมีจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นทำให้มีการขยายชุมชนโดยการย้ายออก จึงมีการตั้งหมู่บ้านใหม่
(น.48)
2. ลักษณะทางภาษาภาษา มีการปรับเปลี่ยนที่สอดคล้องกับการย้ายถิ่นฐานที่ไม่มีการถ่ายทอดด้วยตัวหนังสือแบบกูย มีเพียงภาษาพูดแต่มีการปรับตัวโดยมีความสามารถในการใช้ภาษาพูดอื่นๆ ตามกลุ่มคนที่เข้ามาปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มตน (น.48)
3.ลักษณะการประกอบอาชีพต่างจากอดีตที่พึ่งพาทรัพยากรจากธรรมชาติแบบเต็มรูปแบบในการทำการเกษตร แต่ปัจจุบันหันมาทำนาหว่านที่มีการลงทุนในการซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ในนาข้าว ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และหลังจากเก็บเกี่ยวเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วส่วนใหญ่ผลผลิตเหลือเพียงสำหรับการบริโภคในครัวเรือนเท่านั้น (น.48)

การศึกษา ปัจจุบันลูกหลานรุ่นใหม่ได้ออกจากชุมชนชั่วคราวไปอยู่อาศัยเพื่อทำงานและเพื่อศึกษาเล่าเรียนและได้นำความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ กลับมาเพื่อใช้พัฒนาชนชน (น.47)

Other Issues

ประเด็นความมั่นคงทางอาหาร ผลการวิจัยดังกล่าวที่พบว่าชาวกูยบ้านกู่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่ ยังคงนิยมรับประทานอาหารแบบกูย และแหล่งหนองน้ำต่างๆ ที่ยังคงสภาพความสมบูรณ์ที่ยังคงสอดคล้องกับวิถีพึงพาธรรมชาติได้ที่สามารถเป็นแหล่งอาหารแก่คนในชุมชนได้ เช่น สัตว์น้ำและพืชน้ำต่างๆ ที่สามารถนำมาประกอบอาหาร สะท้อนถึงความมั่นคงทางอาหาร ฐานทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ของคนในชุมในมุมของทรัพย์ยากรธรรมชาติที่สารมารถเข้าถึงและนำมาประกอบอาหารได้อย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกันความรู้ ทักษะ และวิธีการประกอบอาหารก็ถูกบันทึกไว้เช่นในรายงานการวิจัยชิ้นนี้ด้วยเช่นกัน (น.68)

Map/Illustration

1.       แกงหอยพร้อมเครื่องปรุงแบบชาวกูย (น.51)
2.       แกงเทาและส่วนผสม (แกงสาหร่ายน้ำจืด) (น. 52)
3.       แกงมันปูและส่วนผสม (กือแหวกือตาม) (น.53)
4.       ขนมมะสัง (น.55)
5.       อาหารหลักของชาวกูย (น.59)
6.       นักวิจัยกำลังสัมภาษณ์กำนันตำบลกู่ (น.86)
7.       นักวิจัยกำลังสัมภาษณ์ชาวกูยบ้านกู่ (น.86)
8.       เตาแบบชาวกูยบ้านกู่ (น.86)
9.       ชาวกูยกำลังสาธิตการประกอบอาหาร (น.86)
10.    ชาวกูยกำลังสาธิตการรับประทานแกงหอยแบบชาวกูย (น.88)
11.    ชาวกูยบ้านกู่กำลังทำพิธีแซนแบบชาวกูย (น.88)
12.    เครื่องเซ่นในพิธีแซนแบบชาวกูย (น.89)
13.    ชาวกูยสาธิตการทำอาหาร ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ (น.89)
14.    การจัดเตรียมอาหารของชาวกูย (น.90)
15.    โอ่งน้ำเย็นของชาวกูย (น.90)

Text Analyst ทิพาวรรณ วรรณมหินทร์ Date of Report 03 ต.ค. 2567
TAG อาหารพื้นบ้าน, กลุ่มชาติพันธุ์, กูย, พิธีกรรม, ความเชื่อ, จังหวัดศรีสะเกษ, วัฒนธรรมอาหาร, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง