สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ขมุ การดำรงชีวิต ความแตกต่างทางสังคม ชายแดนไทย-ลาว การพัฒนาเศรษฐกิจ เชียงของ
Author ศศิภา คำก่ำ
Title วิถีการดำรงชีวิตและความแตกต่างทางสังคมของคนขมุในการพัฒนาเศรษฐกิจบริเวณชายแดนไทย-ลาว
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity กำมุ ตะมอย, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 170 Year 2558
Source สาขาชาติพันธุ์สัมพันธ์และการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่แปรเปลี่ยนไปตามบริบทการพัฒนา ทุนนิยมชายแดน และการเข้าถึงทรัพยากรการดำเนินชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคมและพื้นที่ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
ข้อค้นพบในการศึกษาครั้งนี้คือ อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ชายแดนที่เติบโตขึ้นมาจากการเป็นศูนย์กลางในการขายของป่าบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง การเติบโตทางเศรษฐกิจได้นำเอาพื้นที่เชียงของกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นแหล่งรวมกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายที่กระจายตัวไปในชุมชนต่าง ๆกลุ่มชาติพันธุ์ขมุที่อพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่หลังกลุ่มชาติพันธุ์ต้องตกอยู่ในฐานะทางสังคมที่เป็นรอง โดยเข้ามาเป็นแรงงานมีข้อจำกัดในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการยกระดับสถานภาพ การมีอำนาจการต่อรองน้อยกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆที่มาอยู่ก่อนทำให้พื้นที่ทางสังคมของคนขมุในพื้นที่อำเภอเชียงของมีไม่มากนัก แต่ต่อมาความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ก็ส่งผลให้คนขมุกลุ่มหนึ่งมีการสะสมทุนกลายเป็นขมุที่ร่ำรวย ผ่านการเข้าถึงที่ดินทำกิน การมีสถานะความเป็นไทย การศึกษาและการเมืองท้องถิ่น นำมาซึ่งความเหลื่อมล่ำทางสถานภาพทางสังคมในกลุ่มคนขมุด้วยกันเอง โดยความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำนี้เองที่เชื่อมโยงกับการปรับเปลี่ยนการนับถือศาสนา เพื่อการเป็นที่ยอมรับ การเข้าถึงทรัพยากร การมีโอกาสทางการศึกษาและการยกสถานะภาพของครัวเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้ง (หน้า ฉ-ช)

Focus

ทำความเข้าใจความแตกต่างทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุท่ามกลางการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน ทุนนิยมชายแดน และการเปลี่ยนแปลงการนับถือศาสนาในกลุ่มคนขมุด้วยกันเอง

Theoretical Issues

ผู้ศึกษานำเอากรอบแนวคิดเรื่องมโนทัศน์การดำรงชีพมาใช้อธิบายการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนขมุ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากร ทุนทางสังคมและการเลือกนับถือศาสนา มโนทัศน์การดำรงชีพนี้สามารถอธิบายได้ถึงการเอาตัวรอดของคนขมุภายใต้กระแสการพัฒนาทุนนิยมชายแดนได้เป็นอย่างน่าสนใจ (หน้า 9 – 10)

Ethnic Group in the Focus

คนข่าหรือคนขมุ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งถิ่นฐาน หลักแหล่งอยู่บริเวณที่ลุ่มราบลุ่มน้ำโขง (หน้า 39) ตามพงศาวดารล้านช้างกล่าวว่า ชาวข่า ถือเป็นคนกลุ่มแรกๆที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน สร้างบ้านแปงเมืองก่อนการเข้ามาของกลุ่มคนไททั้งนี้ กลุ่มชาติพันธุ์ข่าหรือขมุยังทำการตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายไปในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว กัมพูชา เวียดนาม ตอนใต้ของประเทศจีน ตอนเหนือของรัฐฉานและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย (หน้า 42) หากเป็นคนขมุในลาวจะถูกเรียกว่า “ลาวเทิงหรือขมุลาว”เมื่ออพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาอาศัยอยู่ในไทยจะถูกเรียกว่า “ลาวใหม่หรือขมุไทย”(หน้า 44)

Language and Linguistic Affiliations

-

Study Period (Data Collection)

ช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2556 ถึง เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2557 (หน้า ฉ)

History of the Group and Community

งานวิจัยชี้ว่า คนขมุมักกระจายตัวตั้งหลักแหล่งในบริเวณที่ลุ่มแม่น้ำโขง โดยกลุ่มชาติพันธุ์ข่า/ขมุจะอาศัยอยู่มากที่สุดทางตอนเหนือของลาว ซึ่งได้แก่เมืองภูคา แขวงน้ำทา หลวงพระบางและเมืองห้วยทราย  ประกอบอาชีพทำนาและหาปลาตามแหล่งน้ำ ต่อมาเมื่อคนลาวเข้ามาในพื้นที่เมืองหลวงพระบาง คนพื้นถิ่นอย่างคนข่า/ขมุก็ต้องถูกขับไล่ เนื่องจากพ่ายแพ้การรบกับคนลาว บางกลุ่มก็ต้องอพยพเคลื่อนย้ายไปยังฝั่งไทย คนขมุบางกลุ่มก็ถูกต้อนไปเป็นข้าทาสของคนลาว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์ข่าหรือขมุนั้นอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาสู่ไทยในยุคก่อนการเป็นรัฐชาติแล้วพื้นที่ที่พบการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ข่า/ขมุ ได้แก่ เมืองน่าน เชียงแสน เชียงของ
ช่วงปี พ.ศ.2427-2464 เป็นยุคของการเริ่มต้นการเข้ามาของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งในยุคนี้กลุ่มชาติพันธุ์ขมุจะเข้ามารับจ้างเป็นแรงงานทำไม้ โดยมีบริษัทบริติชบอร์เนียว บริษัททำไม้สัญชาติอังกฤษเข้ามาทำสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของไทย แต่เมื่อย้ายเข้าไปทำสัมปทานป่าไม้ในพม่าก็ทำการเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทบอมเบย์เบอร์ม่า ในยุคของการทำสัมปทานป่าไม้นี้ จำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานจำนวนมากและแรงงานนั้นจะต้องเป็นแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญมากพอสมควรในการทำไม้ต่าง ๆ ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการทำไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวพม่า ดังนั้น ชาวพม่าจึงถูกแต่ตั้งให้เป็นหัวหน้า เพราะมีความชำนาญและสามารถสื่อสารกับผู้จัดการปางไม้ได้ ในขณะที่แรงงานป่าไม้ส่วนใหญ่ก็จะได้แก่ คนไทใหญ่ กะเหรี่ยงและขมุ ซึ่งคนขมุมักจะถูกใช้เป็นควาญช้าง เป็นแรงงานโค่นต้นไม้ หรือลากต้นไม้
ช่วงปี พ.ศ.2500 - 2526 เป็นช่วงที่กลุ่มชาติพันธุ์ขมุ เข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งถาวรในไทย ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของคนขมุ กล่าวว่า หัวหน้าคนขมุชื่อ “นายฮ้อยคัด”ได้พาครอบครัวและญาติพี่น้องของตนเองเดินทางด้วยเท้าข้ามเข้ามาทางแจมป่องสู่อำเภอเวียงแก่น และอำเภอเชียงของ สาเหตุที่ย้ายเข้ามาอาศัยในไทยเป็นเพราะ ในลาวนั้นทำมาหากินฝืดเคือง ไม่มีที่ดินทำกินและมักจะถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานเสมอๆ อาชีพของคนขมุที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในไทย ส่วนใหญ่จะเข้ามาเป็นแรงงานในไร่ยาสูบหรือโรงบ่มยาสูบ เนื่องจากในช่วงปี พ.ศ.2480 ยาสูบเป็นพืชพันธะสัญญาของรัฐบาลไทย โดยรัฐจะลงทุนให้ก่อนและเป็นผู้รับซื้อผลผลิตยาสูบนั้น นอกเหนือจากพื้นที่อำเภอเชียงราย คนขมุกลุ่มอื่น ๆยังเดินทางเข้ามาอยู่อาศัยในจังหวัดน่านด้วย ได้แก่ อำเภอทุ่งหัวช้าง อำเภอปัว เป็นต้น ต่อมาในปี พ.ศ.2516 ประชากรคนขมุเพิ่มมากขึ้น ครัวเรือนขมุ 7 ครัวเรือน ได้แก่ พ่อเฒ่างา พ่อเฒ่าหุ่น พ่อเฒ่าเสียง ยายไอ ตายม ตายา จึงเดินทางไปบุกเบิกที่อยู่อาศัยและที่ทำกินบริเวณลำหัวหัวโค้ง ตำบลเวียง เชียงของ และคนขมุกลุ่มนี้ก็ถูกนับว่าเป็นบรรพบุรุษที่ก่อตั้งบ้านหัวโค้งมาจนถึงปัจจุบัน
ช่วงปีพ.ศ.2530-2544 ยุคนี้เป็นยุคคาบเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของสงครามอินโดจีน ที่แบ่งประเทศลาวออกเป็นสองฝ่าย คือ ลาวฝ่ายซ้าย(พรรคคอมมิวนิสต์)และลาวฝ่ายขวา(พรรครัฐบาลลาว) ส่งผลทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ขมุหนีอพยพเอาตัวรอดเข้ามาอยู่ในไทยมากขึ้นเรื่อย ๆโดยยึดเอาความสัมพันธ์ทางชาติพันธุหรืออาศัยความเป็นเครือญาติคนขมุด้วยกันที่เข้ามาอยู่ก่อนเป็นหลัก ในยุคนี้คนขมุส่วนใหญ่จะเข้าเป็นแรงงานในสวนส้มและไร่ข้าวโพดที่มีคนไทลื้อบ้านห้วยไซเป็นเจ้าของสวน การเข้ามาอยู่อาศัยโดยพึ่งพาการอุปถัมภ์ของคนไทลื้อที่เอื้อผลประโยชน์ซึ่งกันและกันในมุมมองของนายจ้างกับลูกจ้างนี้เองได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของลู่ทางทำมาหากินของคนขมุที่เพิ่งเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย และเป้าหมายสูงสุดข้อหนึ่งของพวกเขาคือ การได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นคนไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เชื่อมโยงกับในปี พ.ศ. 2535 – 2539ประเทศไทยอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7ที่ประกอบด้วยแผนแม่บทพัฒนาพื้นที่สูง และการเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า คนขมุที่อพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ถูกนับรวมว่าเป็นชาวเขาบนพื้นที่สูงไปโดยปริยาย การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยดังกล่าว ได้ส่งเสริมให้ชาวเขา/คนบนพื้นที่สูงทั้งหลายนั้นเลิกปลูกฝิ่น แล้วหันมาปลูกพืชเมืองหนาวแทน นโยบายกระแสหลักนี้จึงกลายเป็นตัวหนุนหนึ่งที่ทำให้คนขมุเขามาเป็นแรงงานภาคการเกษตรอย่างเต็มตัว แต่อย่างไรก็ตามคนขมุก็ยังเป็นแรงงานที่มีอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจและสังคมไม่มากนัก
ช่วงปี พ.ศ. 2545 – ปัจจุบัน ในช่วงปีนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นยุคที่คนขมุมีตัวตนมากขึ้นในฝืนแผ่นดินไทย การก่อร่างสร้างตัวและการประหยัดอดออม เป็นส่วนใหญ่ที่ส่งผลทำให้คนขมุที่จากเดิมเคลื่อนย้ายเข้ามาอาศัยอยู่เป็นหมู่บ้านบริวารของคนไทลื้อห้วยไซ สามารถแยกหมู่บ้านออกมาตั้งเป็นหมู่บ้านของตนเอง ภายใต้การขีดเส้นแบ่งของรัฐ ทำให้บ้านหัวโค้งเป็นหมู่ที่ 14อยู่ในการจัดการดูแลของตำบลเวียง อำเภอเชียงของ ในยุคนี้เศรษฐกิจของคนขุมบ้านหัวโค้ง นอกเหนือจากการปลูกข้าวไร่ การทำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แล้ว ยังมีการปลูกยาพารา การปลูกยางพาราของคนขมุในยุคนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเพาะปลูกเพียงหวังผลทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่การปลูกยาพารากลายเป็นนัยยะสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เห็นได้ชัดถึงการสร้างตัวตนและการสร้างพื้นที่ทางสังคมของคนขมุ(หน้า 39 – 57 )

Settlement Pattern

ลักษณะการตั้งบ้านเรือนของคนขมุบ้านหัวโค้งอยู่บ้านพื้นที่ลาดเอียงและมีลำน้ำหัวโค้งไหลผ่านหล่อเลี้ยงคนในหมู่บ้าน โดยสามารถแบ่งสถานะทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้งได้ ดังนี้
ครัวเรือนที่มีฐานะร่ำรวยจะเป็นกลุ่มคนที่เป็นที่ยอมรับในชุมชน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้นำชุมชน เพราะ เป็นคนกลุ่มแรกๆที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ก่อน ขมุที่มีฐานะร่ำรวยจะถือครองทรัพยากรที่ดิน ตั้งแต่ 15 ไร่ขึ้นไป
ครัวเรือนที่มีฐานะปานกลาง จะเป็นกลุ่มขมุที่แตกครอบครัวออกมาใหม่ โดยมักจะเป็นเครือญาติของกลุ่มผู้นำ ขมุกลุ่มนี้จะถือครองทรัพยากรที่ดิน 5-10 ไร่ มีอาชีพทำไร่ทำนาในฤดูทำนา เมื่อพ้นฤดูทำนาก็จะออกรับจ้างหรือออกไปหารายได้นอกชุมชน
ครัวเรือนที่มีฐานะยากจน  เป็นคนขมุที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพรับจ้างหรือเป็นแรงงานภาคการเกษตรให้กับคนไทลื้อ มีรายได้ทางเดียวคือ การรับจ้างเลี้ยงชีพเท่านั้น และคนกลุ่มนี้มักจะเป็นกลุ่มคนขมุที่มีสถานภาพทางสังคมที่เปราะบาง เช่น เป็นคนชราไม่มีคนเลี้ยงดู เป็นคนป่วยมีโรครุมเร้า หรือเป็นพ่อหม้าย แม่หม้าย เป็นต้น (หน้า 10 ,66-67)

Economy

ทรัพยากรและการใช้ทรัพยากรของคนขมุบ้านหัวโค้งเป็นเรื่องการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดิน คนขมุบ้านหัวโค้งเริ่มต้นการเข้าถึงทรัพยากรที่ดินจากการเข้ามารับจ้างในไร่เหล่าหรือเป็นลูกจ้างของคนไทลื้อที่เข้ามอยู่ในพื้นที่ก่อน จากนั้นก็ทำการสร้างพื้นที่ทางสังคมของตนเอง ด้วยการสร้างปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆแวดล้อมจนมีโอกาสได้เข้าถึงที่ดินทำกินจากการแลกเปลี่ยนกันเล็ก ๆน้อย ไปจนถึงการที่คนขมุเก็บออมหรือสะสมทุนจนสามารถซื้อที่ดินทำกินเป็นของตนเองได้ ซึ่งเมื่อมีการขยายตัวของการปลูกพืชเชิงพาณิชย์อย่างการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และยางพารามากขึ้น ก็มีการขยับขยายหรือแผ้วถางพื้นที่การผลิตขึ้นเรื่อย ๆ จนหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน การขยายและการถือครองยังคงมีปัญหาความทับซ้อนระหว่างเขตป่าสงวน การถือครองที่ดินของคนในชุมชนมีตั้งแต่ผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินเลย ไปจนถึงผู้ที่ถือครองที่ดินมากกว่า 30ไร่ (แผนภูมิ 4.3การถือครองที่ดินของชุมชนหัวโค้ง หมู่ที่ 14ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงราย หน้า 66-67) สัดส่วนการถือครองที่ดินของคนในชุมชนแสดงให้เห็นว่า คนขมุในชุมชนบ้านหัวโค้งยังคงมีช่องว่างในเรื่องการเข้าถึงและการถือครองที่ดินระหว่างกันอยู่มาก นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในการเข้าถึงและการครองครองที่ดินแล้ว การแลกเปลี่ยนที่ยังคงมีให้เห็นอีกอย่างหนึ่งในชุมชนบ้านหัวโค้งคือ การแลกเปลี่ยนแรงงานหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การเอามื้อ” โดยมากที่ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีมักจะเข้ามาแทนที่ระบบความสัมพันธ์ในการผลิตของชุมชนหมู่บ้านที่มีมาอย่างช้านานนี้ แต่ในงานศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม่ว่าชุมชนชายแดนอย่างบ้านหัวโค้ง อำเภอเชียงของ จะเต็มไปด้วยความก้าวหน้าและการแข่งขันของทุนนิยมชายแดน แต่การแลกเปลี่ยนแรงงานในระบบการผลิตของคนขมุในหมู่บ้านหัวโค้งยังคงสืบทอดอยู่ในวิถีการผลิต/วิถีการดำเนินชีวิต สาเหตุหลักที่ยังพบเห็นการเอามื้อกันในชุมชนอาจเนื่องมากจากความเข้มข้นความเป็นเครือญาติและชาติพันธุ์ และข้อจำกัดในบางเรื่องที่คนขมุในชุมชนบ้านหัวโค้งกำลังเผชิญอยู่นั้นคือ ข้อจำกัดด้านที่ดินที่ชุมชนบ้านหัวโค้งนั้นมีที่ดินทำกินน้อย สภาพที่ดินทำดินไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์มากนัก ทั้งนี้ยังรวมไปถึงข้อจำกัดที่ว่า การที่คนขมุบ้านหัวโค้งยังคงวนอยู่ในวงโคจรของเกษตรพันธะสัญญาที่หลุดพ้นไม่ได้ด้วย ซึ่งการเอามื้อเอาวันกันนี้ชาวบ้านจะเอามื้อและตอบมื้อกันวนเวียนกันไปในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกพืชอะไรก็แล้วแต่ เช่น การเพาะปลูกข้าว การปลูกข้าวโพด และการปลูกและตัดมันสำปะหลัง แต่อย่างไรก็ตาม การเอามื้อเอาวันกันของคนขมุที่หากฟังเพียงผิวเผินดูจะเป็นเรื่องที่ดีที่ชาวบ้านยังคงสืบทอดวัฒนธรรมในระบบการผลิต แม้จะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา สิ่งที่การศึกษานี้สังเกตเห็นคือ การเอามื้อกันของชาวบ้านนี้เองที่กลับเป็นจุดก่อเกิด ภาระหนี้สิน ให้แก่ชาวบ้านอย่างไม่สิ้นสุดโดยเฉพาะชาวบ้านขมุที่มีฐานะครัวเรือนปานกลางและฐานะครัวเรือนที่ยากจน เพราะ การเอามื้อเอาวันกันในแต่ละครั้งภาระส่วนใหญ่จะต้องตกไปอยู่กับครัวเรือนผู้ผลิตที่จะต้องเลี้ยงข้าว เลี้ยงน้ำ เลี้ยงเหล้าและกับแกล้ม แก่ผู้ที่มาเอามื้อเขา โดยบางครัวเรือนจะต้องกู้หนี้ยืมสินหรือเชื่อข้าวปลาอาหาร เหล้ายาปลาปิ้งมาจากร้านค้า ซึ่งนี้ก็เป็นโอกาสของคนขมุในหมู่บ้านที่มีฐานะร่ำรวยที่ส่วนใหญ่มันจะถือเอาการเอามื้อเอาวันของชาวบ้านด้วยกันเองนี้ทำการสะสมทุนให้กับตนเอง(หน้า 66-67 ,71-72)

Social Organization

การจัดระเบียบทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ขมุในชุมชนบ้านหัวโค้งที่เห็นได้ชัดเจน คือ ระบบเครือญาติหรือเครือข่ายทางชาติพันธุ์ ในงานศึกษานี้พบว่า ระบบเครือญาติหรือเครือข่ายทางชาติพันธุ์นั้นไม่ได้จะสิ้นสุดหรือหมดไป แม้เขตแดนจะเปลี่ยนหรือมีเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนมาขว้างกั้น เครือข่ายและเครือข่ายทางชาติพันธุ์ขมุริมฝั่งแม่น้ำโขงยังเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอยู่ ทั้งยังถูกผลิตซ้ำขึ้นเรื่อย ๆด้วย จะเห็นได้ว่า เครือข่ายทางชาติพันธุ์ได้กลายเป็นเครื่องมือหนึ่งของคนขมุในการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนมาตั้งแต่ยุคแรกๆของการอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทย จนถึงปัจจุบันนี้ที่คนขมุสองฝั่งโขงก็ยังถือเอาความสัมพันธ์ทางเครือญาติและเครือข่ายทางชาติพันธุ์มาใช้เป็นโอกาสในการเคลื่อนย้ายหรือเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ แต่แม้ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของฝั่งไทยและลาวนั้นเกิดขึ้นอย่างไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้น การใช้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติและเครือข่ายทางชาติพันธุ์จึงจะเป็นคนขมุจากฝั่งลาวมากกว่าที่เอาความสัมพันธ์นี้มาใช้บ่อยเอเข้ามาทำงานและเป็นแรงงานในไทย เนื่องจากฝั่งไทยมีความเติบโตทางเศรษฐกิจ ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและบริการมากกว่าทางฝั่งลาว ซึ่งจะมีทั้งการเข้ามาทำงาเป็นแรงงานในระยะสั้นเพียง 2-3 เดือนและในระยะยาว 2-3ปีขึ้นไป  แต่อย่างไรก็ตามระบบเครือญาติของคนขมุในชุมชนก็มักจะมีลักษณะที่คนขมุที่เข้ามาอยู่ก่อนและมีตำแหน่งหน้าที่ในชุมชนก็มักจะให้ความเป็นเครือญาติเอื้ออำนวยหรือเกื้อหนุนบรรดาญาติสนิทมิตรสหายของตนเองก่อน ก่อนที่จะไปช่วยเหลือเอื้ออำนวยคนขมุกลุ่มอื่น ๆ (หน้า 69-70)

Political Organization

ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่พบในงานศึกษาจะเห็นได้ชัดในกลุ่มคนขมุที่มีฐานะดีและกลุ่มคนขมุที่มีฐานะยากจน คนขมุ 2 กลุ่มนี้จะมีลักษณะของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ กลุ่มคนขมุที่รวยมักจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนเมืองหรือคนพื้นราย รวมไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะ คนขมุรวยนั้นส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีหน้าตาในชุมชน เป็นผู้ชุมชน ตลอดจนเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่น ดังนั้น มีมีปฏิสัมพันธ์กับคนพื้นราบและเจ้าหน้าที่ของรัฐก็เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงทางอำนาจของตนเองเอาไว้ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็มีอำนาจในการต่อรองอยู่ในระดับหนึ่งในกลุ่มคนขมุด้วยกันเอง ส่วนกลุ่มคนขมุที่มีฐานะยากจน ลักษณะความสัมพันธ์เชิงอำนาจจะอยู่ในรูปของนายจ้างกับลูกจ้าง โดยคนขมุกลุ่มนี้จะมีปฏิสัมพันธ์ที่เด่นชัดกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อที่อยู่ในฐานะนายจ้างภาคการเกษตร ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ขมุกับกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อในพื้นที่นี้คนขมุจะมีอำนาจในการต่อรองที่ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด (หน้า 137 -140)

Belief System

เดิมกลุ่มชาติพันธุ์ขมุนั้นมีวิถีชีวิตที่ยืนอยู่บนความเชื่อดั่งเดิม คือ การนับถือผี ผีบรรพบุรุษ ผีต้นน้ำ ผีป่าผีเขา ในแต่ละปีจะวิถีชีวิตของคนขมุนั้นจะประกอบไปด้วยพิธีกรรมการเลี้ยงผี เช่น หากถึงเวลาทำนา ก็จะต้องมีพิธีกรรมเลี้ยงผีนา เลี้ยงผีฝาย หากมีการแต่งงานก็จะมีพิธีกรรมบอกกล่าวผีบ้านผีเรือนแต่ในปัจจุบันการพัฒนาเข้ามาสู้ชุมชน ชุมชนชาวบ้านเกิดการเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ไปมาก ส่งผลให้งานศึกษาสามารถแบ่งความเชื่อและการนับถือศาสนาของคนขมุบ้านหัวโค้งได้เป็น 3กลุ่ม คือ
กลุ่มที่หนึ่ง เป็นกลุ่มคนขมุที่ฐานะร่ำรวยของหมู่บ้าน คนกลุ่มนี้จะตัดผีแล้วหันมาเชื่อและศรัทธาในพุทธศาสนานัยยะที่ว่า หากพวกเขาเชื่อหรือนับถือในพุทธศาสนาแล้ว จะทำให้พวกเขาสามารถที่จะปฏิสัมพันธ์และได้รับการยอมรับกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อยู่ใกล้เคียง เช่น คนเมืองและคนไทลื้อ นอกเหนือจากการนับถือศาสนาพุทธเพื่อต้องการการเป็นที่ยอมรับจากกลุ่มคนเมืองและไทลื้อที่มีอำนาจต่อรองในสังคมมากกว่าแล้ว การเลือกนับถือศาสนาพุทธของคนกลุ่มนี้ยังเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งพื้นที่ทางการเมืองในชุมชนและการเมืองท้องถิ่นด้วย โดยจะเห็นได้ในงานศึกษาที่กล่าวว่า กลุ่มคนที่เป็นผู้นำของชุมชน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่นับถือศาสนาพุทธและมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งนี้ ชาวบ้านที่ไม่ใช่เครือญาติของผู้นำชุมชนก็มีบางส่วนที่หันมานับถือศาสนาพุทธด้วย แต่วัตถุประสงค์ของคนกลุ่มเล็กน้อยนี้เป็นไปเพื่อเพิ่มโอกาสทางด้านการศึกษาของลูกหลานเช่น การได้บวชเรียน
กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มคนในชุมชนที่มีฐานะปานกลาง คนกลุ่มนี้จะทำการตัดผีแล้วหันมานับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นคริสต์แบบแบ๊บติสต์ การหันมานับถือคริสต์ศาสนาของคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความยากลำบากในการประกอบพิธีกรรมแบบดั้งเดิม เพราะ การประกอบพิธีกรรมนอกจากจะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนแล้ว การทำพิธีแต่ละครั้งในรอบปีต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการเตรียมข้าวของและอุปกรณ์เป็นอย่างมาก เช่น การซื้อหมูพิธีหรือไก่พิธี เพื่อใช้ในการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ค่าใช้จ่ายที่มากมายนี้ย้อนแย้งกับฐานะความเป็นอยู่และรายรับในแต่ละปี ดังนั้น การหันมาเชื่อและนับถือในพระเจ้าของชาวบ้านกลุ่มนี้จึงเป็นทางออกในการลดค่าใช้จ่ายของพวกเขา แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่มีฐานะปานกลางนี้ก็ไม่ได้หันมานับถือหรือรับเชื่อในพระเจ้าด้วยสาเหตุที่กล่าวไปแล้วทั้งหมด บางส่วนรับเชื่อพระเจ้า เพราะพวกเขาเปลี่ยนแปลงแนวคิดหรือโลกทัศน์ทางความเชื่อของพวกเขาเองหรืออาจกล่าวได้ว่า คนบางส่วนรับเชื่อคริสต์ศาสนาด้วยใจจริง
กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างมีฐานะยากจน เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนขมุอัลที่มีอำนาจการต่อรองและเข้าถึงทรัพยากรที่น้อยกว่าคนในชุมชนส่วนใหญ่ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนขมุที่หันมาเชื่อและนับถือในคริสต์ศาสนาเช่นกัน แต่เป็นคริสต์ศาสนาได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิมิลาไนท์ ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทต่อความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในชุมชนบ้านหัวโค้ง นัยยะสำคัญของการละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมและหันมานับถือศาสนาคริสต์ของคนกลุ่มนี้ คือ  โอกาสในการได้รับการศึกษา ช่องทางในการที่ลูกหลานของคนกลุ่มนี้จะได้รับการศึกษานับว่าเป็นแรงผลักดันหลักๆให้คนกลุ่มนี้หันมารับเชื่อในพระเจ้า เพราะ พวกเขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การได้รับการศึกษาหรือส่งลูกหลานเรียนสูงๆเป็นช่องทางหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิต ยกระดับคุณภาพสถานภาพของครัวเรือน
อย่างไรก็ตามการแบ่งลักษณะความเชื่อและการนับถือศาสนาของคนขมุบ้านหัวโค้งเป็นสามกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีความแน่นอนตายตัวเช่นนี้เสมอๆ จำนวนผู้เชื่อและนับถือศาสนาที่แตกต่างกันนี้ก็ยืดหยุ่นและลื่นไหลไปตามความเปลี่ยนแปลง เงื่อนไข และปัจจัยในการดำรงชีวิต (หน้า 113-136 , 140-142)

Education and Socialization

-

Health and Medicine

-

Art and Crafts (including Clothing Costume)

-

Folklore

-

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

พลวัตและความเปลี่ยนแปลงในความเป็นชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้งเกิดขึ้นเมื่อกระแสการพัฒนาและทุนนิยมชายแดนเข้ามาเป็นตัวบีบบังคับให้กลุ่มชาติพันธุ์ขมุที่เคยเป็นกลุ่มก้อนต้องมีความแตกต่างกันในเรื่องของชนชั้น การเข้าถึงทรัพยากร การดำเนินชีวิตและการเลือกนับถือศาสนา ความแตกต่างหรือความเปลี่ยนภายในกลุ่มชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้งที่กล่าวมามีล้วนแล้วแต่เป็นความแตกต่างและความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในงานศึกษาคือ ความเป็นทุนนิยมชายแดนที่เข้ามานี้สร้างความไม่เท่าเทียมในหลายๆด้านให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ขมุบ้านหัวโค้ง แต่เพื่อความอยู่รอด คนขมุบ้านหัวโค้งจึงต้องหันไปพึ่งพาศาสนาซึ่งการเลือกนับถือศาสนาของคนขมุแต่ละกลุ่ม (ขมุยิ้มและขมุอัล)ก็มีเหตุผลที่แตกต่างกัน ดังนี้
กลุ่มคนขมุที่ค่อนข้างมีฐานะหรือนับว่าเป็นคนรวยในหมู่บ้าน ด้วยความที่เข้ามาอยู่อาศัยก่อน มีสถานะเป็นชนชั้นนำในหมู่บ้านและเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน คนขมุกลุ่มนี้มีเครือข่ายที่กว้างขว้าง เลือกที่จะหันมานับถือศาสนาพุทธ เพื่อพาตนเองไปสู่การเป็นผู้นำท้องถิ่นหรือมีบทบาททางการการเมืองท้องถิ่น และด้วยสาเหตุนี้คนขมุกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มที่เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำชุมชนหรือนักการเมืองท้องถิ่นเอาไว้ ทั้งนี้ ปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวยังเชื่อมโยงไปถึงการได้มาซึ่งสัญชาติไทยด้วย ส่วนคนขมุที่มีฐานะปานกลาง สามารถเข้าถึงทรัพยากรในการดำเนินชีวิตอยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะพึ่งพาญาติที่เป็นกลุ่มผู้นำชุมชน การเอาตัวรอดในการดำเนินชีวิตของคนขมุกลุ่มนี้คือ การหันไปพึ่งพาศาสนาพุทธเช่นกัน แต่ก็มีบางส่วนที่หันไปเลือกนับถือคริสต์ศาสนา โดยการเลือกนับถือศาสนาคริสต์ของคนกลุ่มนี้นั้นก็เพื่อให้ลูกหลานของตนเองได้รับการศึกษาอย่างน้อยก็ลดค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษาของบุตรแล้วนำรายได้ไปใช้ในด้านอื่นๆในการดำเนินชีวิต และกลุ่มคนขมุที่มีฐานะยากจน นอกจากจะไม่มีที่ดินทำกินหรือเข้าถึงทรัพยากรได้เท่าเทียมกับกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน 2 กลุ่มก่อนหน้านี้แล้ว คนขมุกลุ่มนี้ยังมีรายได้ทางเดียวคือ  การเป็นแรงงานราคาถูก ประกอบกับสถานะทางสังคมที่เป็นเป็นที่ยอมรับในหมู่บ้านเท่าใดนัก เช่น การเป็นแม่หม้าย และการมีปัญหาสุขภาพรุมเร้า ทำให้การทำมาหากินของคนกลุ่มนี้จึงเป็นไปอย่างค่อนข้างยากลำบาก และไม่สามารถยกระดับตนเองได้มากนัก โดยคนกลุ่มนี้เลือกที่จะหันมาพึ่งพาศาสนาคริสต์เพื่อให้บุตรหลานของตนเองได้รับการศึกษา ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า การหันมาพึ่งพาศาสนาที่แตกต่างของคนขมุแต่ละกลุ่มนั้นมีนัยยะของการดิ้นรนเอาตัวรอดในการดำรงชีวิตประจำวันที่ไม่เท่าเทียมของคนขมุแต่ละกลุ่ม ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น นอกเหนือจากกลุ่มคนขมุที่มีฐานะจะมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนเมืองหรือเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว กลุ่มคนขมุที่มีฐานะยากจนก็มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธ์ไทลื้อเช่นกัน แต่เป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กลุ่มคนขมุมีอำนาจในการต่อรองน้อยกว่าในรูปของการเป็นลูกจ้าง (หน้า 84 -111)

Critic Issues

-

Other Issues

-

Map/Illustration

  • แผนที่ตั้งหมู่บ้าน (หน้า 13),
  • แผนที่แสดงพื้นที่ทำกินของหมู่บ้านหัวโค้งอดีต-ปัจจุบัน (หน้า 58-59),
  • แผนภูมิการถือครองที่ดินของชุมชนขมุหัวโค้ง หมู่ที่ 14 ต.เวียง อ.เชียงของ จ.เชียงใหม่ (หน้า 67),
  • ภาพการเอามื้อเอาแรงในฤดูกาลเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร (หน้า 71),
  • ภาพผู้นำหมู่บ้านนำลูกบ้านช่วยกันสร้างคริสต์จักรเซเว่นเดย์แอ๊ดเวนติสต์(หน้า 113)

Text Analyst สงกรานต์ จันต๊ะคาด Date of Report 08 มิ.ย 2562
TAG ขมุ, การดำรงชีวิต, ความแตกต่างทางสังคม, ชายแดนไทย-ลาว, การพัฒนาเศรษฐกิจ, เชียงของ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง