สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู กระบวนการกลายเป็นสินค้า หัตถกรรม งานฝีมือ บ้านน้ำฮูลีซู อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน บ้านศรีดงเย็น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านโป่งน้าร้อนลีซู อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
Author อะมีมะ แซ่จู
Title กระบวนการกลายเป็นสินค้าของหัตถกรรมฝีมือชาติพันธุ์ลีซู
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
1.ห้องสมุดคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2.ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์กับการพัฒนา  คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
3.ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
4.ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ในประเทศไทย http://tdc.thailis.or.th/tdc/browse.php?option=show&browse_type=title&titleid=431259&query=%CD%D0%C1%D5%C1%D0&s_mode=any&d_field=&d_start=0000-00-00&d_end=2560-12-20&limit_lang=&limited_lang_code=&order=&order_by=&order_type=&result_id=1&maxid=1
Total Pages 261 Year 2557
Source คณะสังคมศาสตร์ (สาขาวิชาชาติพันธุ์สัมพันธ์และการพัฒนา) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

งานศึกษาเรื่องกระบวนการกลายเป็นสินค้าของหัตถกรรมฝีมือชาติพันธุ์ลีซู มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบทของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและบริบททางวัฒนธรรมที่ทำให้หัตถกรรมฝีมือได้กลายมาเป็นสินค้าที่ซื้อและขายในหมู่คนลีซูด้วยกันเอง 2) ศึกษาความหมายในทางสังคมที่ชาวลีซูนิยมสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับเงินมากขึ้น ท่ามกลางอิทธิพลของความทันสมัยที่เข้ามาในสังคมลีซู และ 3) ศึกษากระบวนการผลิตและการจำหน่ายหัตถกรรมฝีมือในระบบตลาด
     พื้นที่ที่ศึกษา คือ หมู่บ้านลีซูสามหมู่บ้าน ได้แก่ 1)บ้านน้ำฮูลีซู อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2) บ้านศรีดงเย็น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และ 3) บ้านโป่งน้ำร้อนลีซู อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาหมู่บ้านอื่นที่ผลิตหัตถกรรมฝีมือเหล่านี้ด้วย
     สิ่งที่ศึกษาในงานดังกล่าว คือ ตัวสินค้าที่เป็นเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเงินเป็นหลัก และงานศึกษาใช้วิธีการเก็บข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วรรณนาในชุมชนลีซู ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2555 ถึง เมษายน 2556
     ผลการศึกษา พบว่า
1. ผลพวงระยะยาวของการพัฒนาบนพื้นที่สูงกับบริบทของการฟื้นฟูและสร้างอัตลักษณ์และสำนึกทางชาติพันธุ์ใหม่ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดอุปสงค์และอุปทานของเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเงินในสังคมลีซู กล่าวคือการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบนพื้นที่สูงในระยะที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างของชุมชนลีซู 2 ประการ คือ
     1) ชุมชนที่อยู่ใกล้เมืองกลายมาเป็นชุมชนท่องเที่ยว ประสบการณ์ในการผลิตสินค้าหัตถกรรมเพื่อขายให้นักท่องเที่ยวได้เปลี่ยนมาผลิตเพื่อขายให้คนลีซูด้วยกันเองในระยะต่อมา
     2) ชุมชนที่อยู่ห่างไกลเมือง ได้รับเอาการเพาะปลูกพืชเชิงพาณิชย์ที่เจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาส่งเสริม เพื่อจำหน่ายในตลาดพื้นราบ ด้ายสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ชาวบ้านในชุมชนห่างไกลไม่มีเวลาตัดเย็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และทำเครื่องประดับเงินด้วยตนเองดังเช่นในอดีตแต่พวกเขามีรายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตร จึงต้องอาศัยการซื้อเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับจากชาวลีซูกลุ่มที่อยู่ใกล้เมือง นอกจากนั้นแล้ว ยังมีความต้องการซื้อเครื่องประดับเครื่องแต่งกายจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อพยพเข้าสู่เมืองมากขึ้นอีกด้วย
2. ความนิยมในการซื้อและสวมใส่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับในสังคมลีซูเกิดขึ้นในบริบทของการฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่นและชาติพันธุ์ อันเนื่องมาจากการจัดงานมหกรรมสืบสานวัฒนธรรมลีซูแห่งประเทศไทย ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา
3. กระบวนการผลิตสินค้าหัตถกรรมลีซูมีความสลับซับซ้อนและล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ผู้ผลิตแต่ละรายมีประสบการณ์ยาวนานในการเจรจาต่อรองและซื้อหาวัตถุดิบจากร้านค้าเสื้อผ้าในเมืองเชียงใหม่ จนกลายเป็นลูกค้าประจำที่สามารถซื้อวัตถุดิบได้ในราคาถูก ตลอดจนมีการเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะเนื้อผ้าและสีสันของผ้าชนิดใหม่ที่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา
สำหรับกระบวนการตัดเย็บ พบว่าสมาชิกในครอบครัวและระบบเครือญาติมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือผู้ผลิตแต่ละรายจะตัดผ้าแล้วแจกจ่ายงานย่อยแต่ละชิ้นให้สมาชิกในครอบครัวและเครือญาติช่วยเย็บ แล้วจึงรวบรวมเพื่อนำมาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปสำหรับการนำไปจำหน่ายต่อไป
ทักษะและประสบการณ์ในการผลิตจึงถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในครอบครัว ดังนั้น แฟชั่นหรือรูปแบบการออกแบบจึงขึ้นอยู่กับผู้ผลิตแต่ละราย แต่ก็ต้องมีส่วนประกอบและลวดลายเฉพาะที่เป็นการบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของลีซูด้วย จึงจะสามารถขายได้ สำหรับแหล่งจำหน่ายนั้น มีการส่งไปจำหน่ายตามร้านค้าในตัวอำเภอปาย ตลาดแม่มาลัย ในเมืองเชียงใหม่ และที่โป่งน้ำร้อนในอำเภอเวียงป่าเป้า อีกทั้งการเร่ขายตามหมู่บ้าน และการขายในโอกาสเทศกาลปีใหม่ลีซู (ช่วงตรุษจีน) และงานมหกรรมสืบสานวัฒนธรรมลีซูแห่งประเทศไทยอีกด้วย 

Focus

1. เพื่อศึกษาบริบทของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและบริบททางวัฒนธรรมที่ทา ให้หัตถกรรมฝีมือของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูได้กลายมาเป็นสินค้าที่ซื้อและขายในหมู่คนลีซูด้วยกันเอง
2.เพื่อศึกษาความหมายในทางสังคมที่ชาวลีซูนิยมสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับเงินมากขึ้น ท่ามกลางอิทธิพลของความทันสมัยที่เข้ามาในสังคมลีซู
3. เพื่อศึกษากระบวนการผลิตและการจำหน่ายหัตถกรรมฝีมือในระบบตลาด
(หน้า 7 หัวข้อวัตถุประสงค์)

Theoretical Issues

การศึกษานี้ต้องการศึกษากระบวนการที่สำคัญสองประการ คือ กระบวนการกลายเป็นสินค้าของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ลีซู และกระบวนการผลิตสินค้าหัตถกรรมลีซู ผลิตและบริโภคโดยชาวลีซู (เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าผู้หญิงและเครื่องประดับเงิน)  กระบวนการแรก คือ กระบวนการกลายเป็นสินค้าของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ลีซูนั้นเกิดขึ้นท่ามกลางบริบทการพัฒนา (โดยภาครัฐทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวการท่องเที่ยว) และบริบททางเศรษฐกิจและสังคมลีซูเอง (ชุมชนลีซูที่ผลิตหัตถกรรมมีความสัมพันธ์กับผู้บริโภคชาวลีซู เนื่องจากชุมชนลีซูที่ผลิตหัตถกรรมเริ่มผลิตสินค้าเพื่อบริโภคชาวลีซูมากขึ้น)
ด้วยเงื่อนไขบริบทเช่นนี้ผลักดันให้เกิดกระบวนการกลายเป็นสินค้าของอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ลีซูขึ้น และนำไปสู่กระบวนการผลิตสินค้าหัตถกรรมลีซู ผลิตและบริโภคโดยชาวลีซู (เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าผู้หญิงและเครื่องประดับเงิน)
(หน้า 27 -29หัวข้อ กรอบแนวคิดในการศึกษา)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ลีซู แบ่งได้เป็นสามกลุ่ม ตามความแตกต่างด้านการแต่งกาย ภาษา และระดับความเข้มข้นของการกลายเป็นจีน (Sinicization) ได้แก่
1. กลุ่มลีซูลาย (Florid/ Flowery/ Variegated Lisu)ภาษาจีนจะเรียก Hua/Hwa โดยลีซูลายเรียกตนเองเป็นภาษาลีซูว่า ลีซู เชเช (Sha Sha)
2. กลุ่มลีซูดำ (Black Lisu/ Independent Lisu) ภาษาจีนจะเรียก He/Hei โดยลีซูดำเรียกตนเองเป็นภาษาลีซูว่า ลีซู โลหวู่ (Lo Wu)
3. กลุ่มลีซูขาว (White Lisu) ภาษาจีนจะเรียก Pai/Peโดยลีซูขาวเรียกตนเองเป็นภาษาลีซูว่า ลีซู หลู่ซือ (Lushi)
(หน้า 48)

Language and Linguistic Affiliations

1. แต่เดิมกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูไม่มีการจดบันทึกเนื่องจากมีเพียงภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน (หน้า 45)
2. ปี 1914 มีการริเริ่มคิดค้นระบบตัวเขียนของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู โดยมิชชันนารี
ณ มิตจีน่า รัฐคะฉิ่น ประเทศพม่า  ต่อมาปี 1915 ได้มีการพัฒนาระบบตัวเขียนอีกครั้ง ณ เมืองเต็งชง (Tengchong) ประเทศจีน หลังจากนั้นจึงมีความนิยมใช้ตัวเขียนมากขึ้น เรียกว่า ภาษาเขียนเฟรสเซอร์ (Fraser script)(หน้า 46)
3. ภาษาลีซู จัดอยู่ในตระกูลภาษาธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) เชื้อสายโลโล (หน้า 47)
4. ภาษาพูดลีซูมีความแตกต่างกันไปในแต่ละถิ่น (หน้า 47)  ได้แก่
    1. ภาษาคัมภีร์ไบเบิ้ล (Bible dialect) หรือภาษาหนังสือ (Book language)เป็นภาษาของลีซูในถิ่นตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนกับลีซูที่อาศัยอยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า เหตุที่เรียกว่าภาษาคัมภีร์ไบเบิ้ล เนื่องจากเป็นภาษาพูดที่ได้รับอิทธิพลจากกลุ่มผู้เผยแพร่ศาสนา
    2. ลีซูจีน (Chinese Lisu)เป็นภาษาที่หยิบยืมคำของภาษาจีนมาใช้จำนวนมากเนื่องจากกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูนี้ได้มีการแต่งงานกับชาวจีนบริเวณตอนใต้ของยูนนาน ก่อนที่จะอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย
5. นอกจากนั้น หากแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู ตามความแตกต่างของภาษา จะแบ่งได้สี่กลุ่ม ได้แก่  (หน้า 48)
    1. ภาษาถิ่นเหนือ (Northern dialect) มีจำนวนร้อยละ 35ของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู โดยอาศัยอยู่ในบริเวณประเทศจีน พม่า อินเดีย และบางส่วนเพิ่งอพยพเข้ามาในประเทศไทย
    2. ภาษาถิ่นใต้ (Southern dialect) มีจำนวนร้อยละ 15ของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู โดยอาศัยอยู่บริเวณประเทศไทยและบางส่วนในประเทศพม่า
    3. ภาษาถิ่นตะวันออกเฉียงเหนือ (Eastern dialect)มีจำนวนร้อยละ 5ของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณประเทศจีน
    4. ภาษาถิ่นกลาง (Central dialect) มีจำนวนร้อยละ 45ของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู โดยอาศัยบริเวณตะวันตกของมณฑลยูนาน ประเทศจีน และตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศพม่า รวมไปถึงที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยกลุ่มล่าสุด

Study Period (Data Collection)

ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2555 ถึง เมษายน 2556 

History of the Group and Community

มีการอธิบายการเข้ามาสู่ประเทศไทยของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูไว้ถึง 3 แนวคิด ได้แก่
1. กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูอพยพเข้ามายังบริเวณอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ราว พ.ศ. 2448
2. กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูอพยพเข้ามาในประเทศไทย ราวปี พ.ศ. 2464 มายังอำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย จำนวน 4 ครอบครัว และเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งบ้านดอยช้าง ต่อมาได้มีอีก 15 ครอบครัวเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าว
3. กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูอพยพเข้ามาในประเทศไทย ราวปี พ.ศ. 2457 โดยระบุว่าชาติพันธุ์ลีซู ยกเว้นลีซูดำ มีถิ่นฐานบริเวณมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าต้นกำเนิดชาติพันธุ์ลีซูอยู่บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ประเทศธิเบต แล้วจึงกระจายออกไปสู่ทางตะวันออกของชายแดนยูนนาน – เสฉวน อพยพไปจนถึงเมืองติงโฉ่ว ตอนเหนือของคุนหมิง ออกไปถึงฝั่งตะวันตกจนถึงเมืองมิตจีนา รัฐคะฉิ่น แล้วจึงอพยพลงมาสู่ทางใต้เข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่
การอพยพย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูนั้น มีสาเหตุมาจากความไม่สงบภายในพื้นที่ประเทศจีน เนื่องจากแม้ว่าประเทศจีนจะปกครองชาวลีซูด้วยความสงบ ทว่าจีนยังเก็บภาษีและใช้แรงงานชาวลีซูอย่างหนัก นอกจากนั้นชาวลีซูบางกลุ่มยังโดนโจรกรรมเมล็ดพันธุ์พืชหายากและสัตว์ป่า อีกทั้งยังถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่และเป็นแรงงานให้กับชาวจีนอีกด้วย ส่งผลให้ชาวลีซูไม่พอใจ จึงก่อการปฏิวัติเล็กน้อยโดยร่วมมือกับผู้นำศาสนา  จึงเกิดการสู้รบขึ้น ทำให้ชาวลีซูอพยพจากมณฑลยูนนานสู่ประเทศพม่า ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้นกลุ่มลีซูที่อาศัยอยู่ที่เชียงตุงประเทศพม่า ก็ได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทย
(หน้า 48 – 49 หัวข้อ การตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย)

Demography

1. ชุมชนบ้านศรีดงเย็น หมู่ 5 ตำบลบ้านช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูและอาข่า โดยแบ่งออกเป็น ลีซูบ้านใหม่ 19 หลังคาเรือน ลีซูบ้านเก่า 122 หลังคาเรือน อาข่าบ้านเหนือ 13 หลังคาเรือน และอาข่าบ้านใต้ 30 หลังคาเรือน รวม 184 หลังคาเรือน จำนวนประชากรประมาณ 948 คน ชาย 467 คน หญิง 481 คน (หน้า 138)
2. ชุมชนโป่งน้ำร้อนลีซู หมู่ที่ 14 ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ชาวลีซูที่อาศัยอยู่ในชุมชนนี้ล้วนเป็นเครือญาติกันทั้งหมดและเป็นชุมชนขนาดเล็ก มีเพียง 6 หลังคาเรือน ประชากรประมาณ 50 คน จำนวนพื้นที่ของชุมชนมีทั้งหมด 36 ไร่ (หน้า 146)
3. ชุมชนบ้านใหม่สหสัมพันธ์ลีซู หรือน้ำฮูลีซู หมู่ 7 ตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีจำนวนประชากรลีซูประมาณ 1,300 คน เป็นชายประมาณ 600 คน และหญิงประมาณ 700 คน มีจำนวน 300 กว่าหลังคาเรือน และกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่อีกประมาณ 20 กว่าหลังคาเรือน (หน้า 127)

Economy

1. หลังจากที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทย ชาวลีซูประกอบอาชีพการทำเกษตรหมุนเวียน เช่น การปลูกข้าว ข้าวโพด และพืชพันธุ์อื่นๆ เพื่อการยังชีพ อีกทั้งยังมีการปลูกฝิ่นเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคและเพื่อขาย และสื่อกลางการแลกเปลี่ยนด้วย (หน้า 223)
2. การขายฝิ่น เป็นรายได้ของครอบครัว ซึ่งจำเป็นต้องมีรายได้ไว้เพื่อชื้อสิ่งของในการดำรงชีวิต เช่น ผ้า ด้าย น้ามันก๊าด เกลือ และอาหารประเภทอื่นๆ นอกจากนั้นรายได้จากการขายฝิ่นยังทำให้มีเหรียญรูปีเป็นสิ่งของสะสม เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งและเป็นเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ในเทศกาลต่างๆ (หน้า 224)
3. ปี พ.ศ. 2510 ภาครัฐได้เริ่มดำเนินโครงการพัฒนาบนพื้นที่สูง เพื่อปราบปรามการปลูกฝิ่น ส่งผลให้ชาวลีซูเลิกปลูกฝิ่นในที่สุด
4. หลังจากการดำเนินโครงการพัฒนาบนพื้นที่สูงแล้ว ภาครัฐและเอกชนได้พยายามเข้าไปช่วยเหลือชุมชนบนพื้นที่สูง โดยการส่งเสริมให้ชุมชนที่ห่างไกลจากเมืองปลูกพื้นเชิงเดี่ยว เช่น มะเขือเทศ กะหล่ำปลี กาแฟ เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการส่งเสริมชุมชนที่อยู่ใกล้เมืองในเรื่องของหัตถกรรม และการท่องเที่ยวอีกด้วย (หน้า 224)
5. ลักษณะทางเศรษฐกิจของชุมชนที่ห่างไกลจากเมือง ชาวลีซูประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิต และลดปริมาณการผลิตตัดเย็บเครื่องแต่งกายด้วยตัวเองลง แต่ใช้วิธีการซื้อเครื่องแต่งกายสำเร็จรูปจากกลุ่มลีซูที่อาศัยใกล้เมืองผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้แทน พื้นที่ที่เป็นชุมชนเกษตรกรรมในงานศึกษานี้ คือ ชุมชนโป่งน้ำร้อนลีซู หมู่ที่ 14 ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย (หน้า 224)
6. ลักษณะทางเศรษฐกิจชุมชนที่อยู่ใกล้เมือง มีรายได้จากการผลิตสินค้าหัตถกรรม เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับลีซู ให้กับร้านค้าและนักท่องเที่ยว ทว่าในระยะต่อมาการท่องเที่ยวมีความซบเซาลง กลุ่มผู้ผลิตเหล่านี้จึงเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย มาสู่การจำหน่ายสินค้าหัตถกรรม เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับลีซู ให้กับกลุ่มลีซุด้วยกันเองในชุมชนเกษตรกรรมมากขึ้น พื้นที่ที่เป็นกลุ่มผู้ผลิตสินค้าลีซูในงานศึกษานี้ คือ หมู่บ้านน้ำฮูลีซู อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน และหมู่บ้านศรีดงเย็น อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยหมู่บ้านน้ำฮูลีซู ได้หันมาเน้นการผลิตชิ้นส่วนเครื่องแต่งกายผู้หญิงลีซูมากขึ้น ในขณะที่หมู่บ้านศรีดงเย็น หันมาเน้นการผลิตเครื่องประดับลีซูมากขึ้น (หน้า 225)
7. ภายหลังจากกระแสการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมลีซู จากการจัดกิจกรรม “งานมหกรรมสืบสานวัฒนธรรมลีซูแห่งประเทศไทย”ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา ส่งผลให้ชาวลีซูในพื้นที่ต่างๆ หันมานิยมเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับเงินลีซูมากขึ้น ความต้องการบริโภคมีมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตสินค้าชาวลีซูได้เปิดตลาด และมุ่งเป้าไปที่การจำหน่ายสินค้าเพื่อชาวลีซูด้วยกันเองมากขึ้น (หน้า 226)

Social Organization

1. การจัดระเบียบทางสังคมของชาติพันธุ์ลีซูแต่เดิม คือ การกำหนดบทบาทหน้าที่ของหญิงชายในครอบครัว กล่าวคือ ผู้ชายจะมีหน้าที่กุมอำนาจในการตัดสินใจ และทำงานนอกบ้าน ในขณะที่ผู้หญิงไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ และมีหน้าที่ในการทำงานในบ้าน (หน้า 230 – 232)
2.การจัดระเบียบทางสังคมของชาติพันธุ์ลีซูในปัจจุบัน มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยที่ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทในการออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น เช่น การหาซื้อวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า เป็นต้น แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วผู้ชายจะเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกซื้อวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเนื่องจากมีความรู้มากกว่าแล้ว แต่การตัดสินใจเหล่านั้นก็เกิดมาจากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย (หน้า 230 – 232)

Political Organization

การดำเนินนโยบายพัฒนาพื้นที่สูงของภาครัฐ ทำให้ชาวลีซูต้องเลิกปลูกฝิ่น และหันมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามที่ภาครัฐและเอกชนสนับสนุน นอกจากนั้นภาครัฐยังสนับสนุนเรื่องการผลิตสินค้าหัตถกรรม เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับเงิน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูด้วย (หน้า 224)

Belief System

1. ความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายชองชาติพันธุ์ลีซูนั้น เชื่อว่าจะต้องสวมใส่เครื่องแต่งกายใหม่ในวันปีใหม่ ห้ามสวมใส่เสื้อผ้าเก่าในช่วงปีใหม่เพราะถือเป็นการไม่ให้เกียรติบรรพบุรุษ หากสวมใส่เสื้อผ้าเก่าจะทำให้พบเจอความโชคร้ายถึงขั้นไม่สบาย (หน้า 52)
2. ความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องเงินของชาวลีซู เชื่อว่าหากนำเศษเงินแถบป้อนเข้าปากคนที่ใกล้จะตายหรือคนที่ใกล้จะหมดลมหายใจ จะทำให้ผู้ตายมีความมั่งคั่งในอีกโลกหนึ่ง ไม่อดอยาก และเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนระหว่างการเดินทางผ่านประตูสวรรค์ด้วย อีกทั้ง ยังมีการตอกเศษเงินแถบเข้ากับโลงศพก่อนที่จะนำศพลงไปวาง กล่าวคือจะมีการตอกเงินแถบสามจุดของโลงศพ คือบริเวณคอ เอวและขา เสร็จแล้วจึงจะวางศพลงไป (หน้า 61 – 63)
3. เสียงกระทบกันของเครื่องเงินที่ชาวลีซูสวมใส่ระหว่างงานเต้นรำ เป็นเสียงที่ใช้เป็นเครื่องสื่อสารกับบรรพบุรุษ เพื่อบอกให้ทราบว่าที่ตรงนั้นมีงานเฉลิมฉลอง (หน้า 66)

Education and Socialization

1. การถ่ายทอด เรียนรู้ ส่งผ่านทางด้านวัฒนธรรม ส่งต่อกันผ่านความทรงจำของผู้อาวุโส (หน้า 46)
2. การถ่ายทอดความรู้ทางด้านการเย็บเสื้อผ้า เป็นการถ่ายทอดความรู้จากแม่สู่ลูกสาว ที่จำเป็นต้องใช้ความประณีตและอดทนเป็นอย่างมาก (หน้า 52)
3. การผลิตสินค้าเพื่อจำหน่าย ทำให้สมาชิกครอบครัวต้องปรับเปลี่ยนบทบาท โดยเฉพาะสามีจำเป็นต้องถ่ายทอดความรู้พื้นฐานในการผลิตสินค้าเครื่องประดับเงินแก่ภรรยา เพื่อเป็นอีกแรงงานในกระบวนการผลิตสินค้า (หน้า 230 – 231)

Health and Medicine

หลังจากอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทย กลุ่มชาติพันธุ์ลีซูได้ปลูกฝิ่นเพื่อใช้เป็นยารักษาโรค (หน้า 223)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

1. เครื่องแต่งกายผู้หญิงชาวลีซู ประกอบไปด้วย (ภาพที่ 2.3 และ 2.4, หน้า 57)

  • พีแหละ คือส่วนของแขน
  • ถูขิ๊ลุ หรือ กากูลู๊ คือส่วนของหลัง
  • ลาต๋ำ คือส่วนของกระเป๋า
  • เพียะกู่มา คือส่วนของหน้าอก
  • พีแหละซูหรือ พีขื่อ คือสีของริมเสื้อด้านหลังที่ยาวลงมาสองข้าง
  • พีมึ (หน้า)
  • กากูจวู คือทางหรือเส้นของหลัง
  • พีมึ (ผ้าแผ่นหลัง)
2. ชิ้นส่วนของเสื้อผ้าผู้หญิงส่วนไหล่ ในอดีตนิยมสีดำและสีแดง ชาวลีซูมักจะสังเกตบริเวณส่วนนี้ของเสื้อผ้า โดยมองว่ายิ่งมีสีดำมาก แสดงถึงฐานะความร่ำรวยของผู้สวมใส่ เนื่องจากสีดำเป็นสีแทนความร่ำรวยของชาวลีซู ส่งผลให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างผู้สวมใส่เสื้อผ้าที่พยายามจะเพิ่มสีดำบนเสื้อผ้า (บริเวณหัวไหล่) ให้ได้มากที่สุด (หน้า 53)
3. การเลือกสีของผ้าที่จะนำมาประกอบเป็นส่วนต่างๆ ของเสื้อผ้านั้น ชาวลีซูมักจะเน้นสีฉูดฉาดสดใส เช่น สีฟ้าเข้ม สีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดง เป็นต้น (หน้า 53)
4. ความหมายของการผลิตเครื่องแต่งกายด้วยตนเองของชาวลีซู (หน้า 55) ได้แก่
  • แสดงถึงความผูกพันของครอบครัว สร้างความภาคภูมิใจในฝีมือการตัดเย็บของผู้เย็บ
  • แสดงถึงความผูกพันขอชุมชน การพึ่งพาอาศัยกันของคนในชุมชน
  • เพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่อย่างสมเกียรติ และเป็นการเคารพบรรพบุรุษ
  • แสดงถึงความอดทนพยายามในการตัดเย็บเสื้อผ้า เพื่อให้ได้เสื้อผ้าที่สวยงาม สามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้
5. ความเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดของเครื่องแต่งกายของชาวลีซูหญิงแต่เดิม ลายโบราณ หรือ หลู่จัว โดยเฉพาะบริเวณหลัง ไหล่และหน้าอกจะประกอบไปด้วยสีหลากสี ทว่าต่อมาถูกลดลงมาจากหลากสีเหลือเพียงสองสี คือ สีแดงและส้ม เนื่องมาจากชาวลีซูรุ่นใหม่เห็นว่ามีความทันสมัยมากกว่าแบบเดิม (หน้า 52)
6. ความเปลี่ยนแปลงทางด้านการผลิตเครื่องแต่งกายของชาวลีซู จากเดิมที่ผลิตเครื่องแต่งกายที่เน้นความคงทนในการใช้งาน สู่ปัจจุบันที่เน้นเรื่องความสวยมากกว่า (หน้า 58)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

1. เครื่องแต่งกาย อัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ลีซู
    1) สีของผ้าแถบและลวดลายเขี้ยวสุนัข บนเครื่องแต่งกายหญิง เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นอัตลักษณ์ของชาวลีซู (หน้า 51)
     2) การใช้สีที่ฉูดฉาดบนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาวลีซู ทำให้เกิดภาพแทนชาวลีซู ว่าเป็นชาติพันธุ์ที่มีความเด็ดเดี่ยว มั่นใจในตัวเอง กล้าตัดสินใจ มีอิสระทางความคิด และมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติพันธุ์ นอกจากนั้นยังชอบความแตกต่าง และชอบเอาชนะคนอื่น (หน้า 54)
     3) การปรับรายละเอียดของเครื่องแต่งกายของชาวลีซูหญิงจากเดิมที่เป็นลายโบราณ (หลู่จัว) ที่มีหลากสีสัน ได้ถูกลดลงเหลือเพียงสองสี คือ สีแดงและส้ม เป็นภาพแทนของความทันสมัยของชาวลีซู (หน้า 52)
2. เครื่องประดับเงิน อัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ลีซู เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานะทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของแต่ละครอบครัว และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายต่อชาวลีซูมาก เป็นมรดกของครอบครัว เครื่องประดับ และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนอีกด้วย (หน้า 61)
3. แม้ว่าอัตลักษณ์หนึ่งของชาวลีซู คือ เครื่องแต่งกายผู้หญิง และเครื่องประดับเงินจะถูกทำให้กลายเป็นสินค้า แต่ชาวลีซูเองก็ไม่ได้ทำลายความหมายของอัตลักษณ์นั้น เนื่องจากสินค้าดังกล่าวถูกผลิตและจำหน่ายภายในกลุ่มของชาติพันธุ์ลีซูเป็นหลัก (หน้า 233 – 234)
4. ความเป็นชาติพันธุ์ลีซู ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของสินค้าในกระบวนการผลิตสินค้าหัตถกรรมเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับเงินอย่างมาก เนื่องจากผู้ว่าจ้างผลิต ตลอดจนผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อสินค้าที่ผลิตโดยชาวลีซู เนื่องจากมีความชำนาญ ทักษะที่ดี และมีความรู้เกี่ยวสินค้าของชาติพันธุ์ของตนเองสูง (หน้า 232)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมของชาวลีซู เกิดขึ้น  ดังนี้ (หน้า 222 –228)
1. การเปลี่ยนทางสังคมวัฒนธรรมลีซูในระยะสั้น หลังจากการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่สูงของภาครัฐเพื่อปราบปรามการปลูกฝิ่น ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา ส่งผลให้สังคมวัฒนธรรมลีซูเปลี่ยนแปลง ดังนี้  
   1) ชุมชนที่อยู่ไกลจากเมือง หลังจากเลิกการปลูกฝิ่นแล้ว หันมาปลูกพืชเชิงเดี่ยวตามที่ภาครัฐและเอกชนเข้ามาส่งเสริม จากการเปลี่ยนวิถีชีวิตมาทำการเกษตรเช่นนี้ ส่งผลให้ชาวลีซูไม่สามารถผลิตตัดเย็บเครื่องแต่งกายได้ดังเดิม จำเป็นต้องซื้อเครื่องแต่งกายเครื่องประดับจากกลุ่มผู้ผลิตลีซูในพื้นที่ใกล้เมืองแทน
    2) ชุมชนที่อยู่ใกล้เมือง ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมหัตถกรรมของชุมชน เพื่อส่งไปจำหน่ายในตลาดการท่องเที่ยว นอกจากนั้นในบางพื้นที่ที่มีศักยภาพในเชิงท่องเที่ยว ยังได้รับการส่งเสริมทางด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีกด้วย
2. การเปลี่ยนทางสังคมวัฒนธรรมลีซูในระยะยาวหลังจากการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่สูงของภาครัฐเพื่อปราบปรามการปลูกฝิ่น ตั้งแต่หลังปี พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา ส่งผลให้ชาวลีซูจำนวนหนึ่งอพยพเข้าไปในเมือง เนื่องจากสาเหตุ ดังนี้
     1) ไม่สามารถปรับตัวได้จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม
     2) ไม่มีที่ดินทำกิน เนื่องจากที่ดินบางส่วนได้ถูกรัฐบาลประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์ทับที่ และการอพยพเข้ามาของประชากรจากพื้นที่อื่นๆ
     3) การขาดเสาหลักครอบครัว ที่เป็นผลมาจากนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล ทำให้ผู้หญิงหลายคนอพยพเข้าสู่เมืองเพื่อหางานทำ
    4) กลุ่มวัยรุ่นและวัยแรงงานอพยพเข้าไปในเมืองเพื่อหางานทำ และศึกษาในระดับที่สูงขึ้น
ด้วยเหตุที่กลุ่มลีซูกลุ่มนี้อพยพเข้าไปทำงานในเมือง จึงไม่ได้มีทักษะเพียงพอในการผลิตเครื่องแต่งกายเอง จึงเป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่จำเป็นต้องซื้อเครื่องแต่งกายสำเร็จรูปลีซู จากกลุ่มผู้ผลิตต่างๆ
3. การเปลี่ยนทางสังคมวัฒนธรรมลีซูในยุคของกระแสการฟื้นฟูวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น การประกาศใช้รัฐธรรมนูญไทย ฉบับประชาชน (พ.ศ. 2540) ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวและย้อนกลับมาใส่ใจกับสิทธิของท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากร ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนการสอนที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งการอนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นและชาติพันธุ์ลีซู เกิดกิจกรรมที่เป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับชาวลีซูก็คือ “งานมหกรรมสืบสานวัฒนธรรมลีซูแห่งประเทศไทย” ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2538 ที่บ้านดอยล้าน อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ความพยายามฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมดังกล่าว ส่งผลให้ชาวลีซูมีความต้องการชื้อเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับเงินลีซูมากขึ้น ทำให้ตลาดดังกล่าวขยายตัว ซึ่งกลุ่มเป้าหมายลูกค้าก็คือกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูด้วยกันเอง การกลายเป็นสินค้าของเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับเงินลีซูจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยชาวลีซู เพื่อ
ชาวลีซูด้วยกันเอง
4. การเปลี่ยนทางสังคมวัฒนธรรมลีซูท่ามกลางกระบวนการกลายเป็นสินค้าของเครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับเงินลีซู การเปลี่ยนแปลงทางด้านระบบเศรษฐกิจนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องบทบาทหน้าของหญิงชายลีซู ดังนี้
    1) กรณีผู้ผลิตเครื่องประดับเงินนั้น พบความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ เนื่องจากจำนวนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้หญิงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในกระบวนการผลิตด้วยร่วมกับผู้ชาย โดยที่ผู้หญิงจำต้องละบทบาททางด้านการผลิตหัตถกรรมงานฝีมือด้านผ้าเครื่องแต่งกายมาช่วยสามีในเรื่องการผลิตเครื่องประดับเงินมากขึ้น
    2) กรณีผู้ผลิตเครื่องแต่งกายผู้หญิงลีซู พบความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ บทบาทของผู้ชายเปลี่ยนไป คือต้องเข้ามาช่วยผู้หญิงในกระบวนการผลิตเครื่องแต่งกาย เช่น การตัดผ้า การม้วนผ้า เป็นต้น ซึ่งเป็นงานที่ชาวลีซูเชื่อว่าเป็นหน้าที่ที่ไม่สมศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ชายลีซู
จากความเปลี่ยนแปลงของบทบาทชายหญิงดังกล่าว สรุปได้ว่า บทบาทของหญิงชายลีซูปัจจุบันมีความยืดหยุ่นไม่ตายตัว เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ ชายหญิงลีซูจำเป็นต้องแลกศักดิ์ศรีเหล่านั้น 

Critic Issues

-

Other Issues

-

Map/Illustration

1. ภาพที่ 2.1 ลายผ้ำแถบขนาดกว้าง (หน้า 57)
2. ภาพที่ 2.2 ลายผ้าแถบขนาดกลาง (หน้า 57)
3. ภาพที่ 2.3 ส่วนประกอบเสื้อผู้หญิงด้านหน้า (หน้า 57)
4. ภาพที่ 2.4 ส่วนประกอบเสื้อผู้หญิงด้านหลัง (หน้า 57)
5. ภาพที่ 2.5 เครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวัน (หน้า 60)
6. ภาพที่ 2.6 เครื่องแต่งกายระหว่างเทศกาลปีใหม่ (ภาพถ่ายโดย Robert Harding) (หน้า 60)
7. ภาพที่ 2.7 เข็มขัดเงิน (หน้า 64)

Text Analyst สมคิด แสงจันทร์ Date of Report 08 มิ.ย 2562
TAG ลีซู, กระบวนการกลายเป็นสินค้า, หัตถกรรม, งานฝีมือ, บ้านน้ำฮูลีซู, อำเภอปาย, จังหวัดแม่ฮ่องสอน, บ้านศรีดงเย็น, อำเภอแม่แตง, จังหวัดเชียงใหม่, บ้านโป่งน้าร้อนลีซู, อำเภอเวียงป่าเป้า, จังหวัดเชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง