|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า, ชาวดอย, ภาวะไร้สัญชาติ, หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา, เชียงราย |
Author |
อาทิตย์ วงศ์อทิติกุล |
Title |
ชาวดอยไร้สัญชาติกับอัตลักษณ์: ศึกษากรณีกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
สำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธน(องค์การมหาชน) |
Total Pages |
263 |
Year |
2549 |
Source |
วิทยานิพนธ์ สาขามานุษยวิทยามหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
งานวิจัยชิ้นนี้ต้องการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ของชาวอาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา ที่เกิดขึ้นจากการได้มาซึ่งสัญชาติไทย โดยผู้ศึกษาได้ลงพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเก็บข้อมูล ผ่านการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์ การสังเกต การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “พหุลักษณ์ในสังคมไทย” ตามกรอบแนวคิดการวิจัย (หน้า 28) ผลการศึกษาพบว่า การเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ของชาวอาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามาแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางสิทธิต่างๆ หลังการได้สัญชาติไทย 13 ด้าน (หน้า 197) และการปรับเปลี่ยนทางอัตลักษณ์โดยการสร้างตัวตนความเป็นคนไทยขึ้นมา หรือเรียกว่า ภาวะเสมือนของความเป็นพลเมืองของประเทศ เช่น ความคิดว่าตนเป็นคนไทยเพราะเกิด และอาศัยในประเทศไทย เป็นต้น
|
|
Focus |
งานวิจัยนี้ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงด้านอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา ผ่านการวิเคราะห์ถึงภาวะไร้สัญชาติ และกระบวนการได้มาซึ่งสัญชาติไทย |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาใช้กรอบแนวคิดด้านอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า และภาวะไร้สัญชาติ ตลอดจนศึกษากระบวนการได้มาซึ่งสัญชาติไทย เพื่อตอบคำถามที่ว่าอัตลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของชาวอาข่าพญาไพรเล่ามาคืออะไรบ้าง (กรอบแนวคิดการวิจัย หน้า 28) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า กลุ่มโลมิอาข่า (ลอมิอาข่า) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ตระกูลภาษาจีน-ธิเบต สาขาธิเบต-พม่า (Tibetan-Burma) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2548 – ตุลาคม 2549 เป็นการรวบรวมข้อมูลภาคสนาม สำหรับเดือนมกราคม 2550 เป็นการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มชาติพันธุ์อาข่าที่อาศัยในหมู่บ้านพญาไพรเล่ามา คือกลุ่มโลมิอาข่า (ลอมิอาข่า) แต่เดิมอพยพมาจากแนวชายแดนไทย-พม่า บริเวณหมู่บ้านปางขนุน และหมู่บ้านหัวแม่คำ และจากประเทศพม่า จนปีพ.ศ. 2506นายอาจู ลาเชกู่ ได้รวมชาวบ้าน 40-50 ครอบครัวมาตั้งหมู่บ้านกับกลุ่มอาข่าพญาไพรลิทู่ ต่อมานายเล่ามา ลาเชกู่ (บุตรชาย) ขอตั้งหมู่บ้านพญาไพรเล่ามา ส่วนผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านพญาไพรลิทู่ แต่เดิมนั้นได้แยกไปตั้งหมู่บ้านใหม่บริเวณตะวันตก
|
|
Settlement Pattern |
ชาวอาข่าหมู่บ้านพญาไพรเล่ามา ตั้งบ้านเร่ร่อนอยู่ระหว่างสองปากสันเขาที่เป็นถนน และลดหลั่นตามเชิงลาดของภูเขา |
|
Demography |
ประชากรชาวอาข่าในหมู่บ้านพญาไพรเล่ามามีจำนวน 1,062 คน เป็นชาย 524 คน หญิง 538 คน รวม 186 ครัวเรือน มีสัญชาติไทย 524 คน และยังไม่มีสัญชาติ 536 คน (หน้า 75)
*ผู้สรุปประเด็นสังเกตเห็นตารางจำนวนประชากรที่แสดงไว้ในหน้า 75 มีข้อมูลคลาดเคลื่อนในการแจกแจงในทุกประเด็นที่ปรากฎ |
|
Economy |
ชาวอาข่าหมู่บ้านพญาไพรเล่ามา แต่เดิมประกอบอาชีพทำไร่ข้าว ไร่ข้าวโพด เลี้ยงวัวควาย ในปัจจุบันได้เปลี่ยนอาชีพเป็นทำไร่ชาอัสสัม และชาพันธุ์อู่หลงเบอร์ 12, 14และ17โดยส่วนใหญ่ชาวอาข่าแต่ละครอบครัวจะมีพื้นที่ปลูกชาของตนเอง ถ้าครอบครัวใดไม่มีพื้นที่ปลูกชาก็จะรับจ้างในไร่ชา โดยผู้หญิงจะรับจ้างเก็บยอดใบชา และผู้ชายจะรับจ้างใช้แรงงาน เช่น ขุดดิน เตรียมพื้นที่ปลูกชา ทั้งนี้ แต่ละหมู่บ้านยังมีสหกรณ์ใบชาประจำหมู่บ้านที่รับซื้อชาจากชาวบ้าน 14 บาท/กิโลกรัม แบ่งเข้าสหกรณ์ 1 บาท/กิโลกรัม เจ้าของไร่ช่า 9 บาท/กิโลกรัม และค่าจ้างผู้เก็บยอดใบชา 4 บาท/กิโลกรัม ซึ่งชาหมู่บ้านพญาไพรเล่ามา มีคุณภาพเป็นอันดับ 2 ของจังหวัด และสามารถทำรายได้ราว 100 ล้านบาท/ปี นอกจากนี้ ไร่ชายังก่อให้เกิดรายได้ในรูปแบบการท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้ไร่ชาตามตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในการพัฒนาตามตารางหน้า 73 |
|
Social Organization |
ในงานวิจัยปรากฏโครงสร้างชุมชน อันเป็นโครงสร้างการปกครองโดยผู้นำทางสังคมของชาวอาข่า ประกอบด้วย (1) อาเบ๊าะเจ๊ะมา(ผู้นำสูงสุด) (2) อาทู่หม่อ (หมอผี) ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ แต่ปัจจุบันหมอผีประจำหมู่บ้านเสียชีวิตและขาดทายาทในการสืบทอด (3) อาเบาะยี่ (ช่างตีเหล็ก) ปัจจุบันช่างตีเหล็กกำลังหมดความสำคัญลง เนื่องจากอุปกรณ์ในการทำไร่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป (4) อาพิ๊ยิพ่า (หมอดู หรือคนทรง)
สำหรับการแต่งงาน เมื่อหญิงชาวอาข่าแต่งงานแล้ว จะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในสายสกุลของฝ่ายชาย และยึดถือประเพณีตามกลุ่มมของฝ่ายชายแทน |
|
Political Organization |
ในอดีตรัฐมีความพยายามสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในพื้นที่สูง โดยมีวัตถุประสงค์ในการสำรวจ และหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายเปลี่ยนไปตามยุคสมัย โดยสังเขปดังนี้
พ.ศ. 2494 เป็นการสงเคราะห์คนบนพื้นที่สูง ภายใต้การทำงานของตำรวจตะเวนชายแดน และกรมประชาสงเคราะห์
พ.ศ. 2502 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสงเคราะห์ชาวเขา
พ.ศ. 2512-2513 มีการทำทะเบียนราษฎรชาวเขา (ทร. ชข. 1) โดยกรมประชาสงเคราะห์ แต่ไม่มีการติดรูปถ่าย หรือออกบัตรสิทธิใดๆ มีเพียงการมอบเหรียญสำรวจให้เท่านั้น
พ.ศ. 2517 เกิดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านแก่ชาวเขาโดยสำนักทะเบียนต่างๆ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ลงนามอนุมัติ
พ.ศ. 2527 มีการสำรวจประชากรชาวเขาภายใต้โครงการ “สิงห์ภูเขา” โดยสำนักสถิติแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กรมตำรวจ กรมการปกครอง และกรมประชาสงเคราะห์ เพื่อจัดทำทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้าน
พ.ศ. 2532 เกิดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับชาวเขาและการปลูกพืชเสพติด โดยมีแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาชุมชน สิ่งแวดล้อม และการควบคุมพืชเสพติดบนพื้นที่สูง เพื่อต่อสู้กับกองทัพขุนส่า
พ.ศ. 2533-2534 เกิดทะเบียนประวัติบุคคลบนพื้นที่สูงโดยกรมการปกครอง โดยพิมพ์ทะเบียนประวัติและติดรูปถ่าย
พ.ศ. 2535 มีการลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านชาวไทยภูเขา โดยได้ออกบัตรประจำตัวบุคคลบนพื้นที่สูง (บัตรสีฟ้า)
พ.ศ. 2536 ชาวอาข่าหมูบ้านพญาไพรเล่ามาจำนวน 3 คน เพิ่งได้รับสัญชาติไทยครั้งแรก
พ.ศ. 2542 เกิดการทำทะเบียนประวัติชุมชนบนพื้นที่สูงตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 เพื่อให้ทราบถึงจำนวนของชาวเขาที่อาศัยในประเทศไทย โดยกิ่งอำเภอ และอำเภอ จะออกบัตรสำรวจชุมชนบนพื้นที่สูง (บัตรสีเขียวขอบแดง) ให้ผู้ถูกสำรวจที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป
พ.ศ. 2543 เกิดการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง หรือเรียกว่า ระเบียบ 43ที่ระบุว่า ชาวไทยภูเขา คือกลุ่มชาติพันธุ์ทั้ง 9 กลุ่มที่อาศัยทำกินบนพื้นที่สูงในราชอาณาจักรการพิจารณาครั้งนี้อยู่ภายใต้การทำงานของอำเภอ และกิ่งอำเภอ
|
|
Belief System |
แต่เดิมกลุ่มชาติพันธุ์อาข่านับถืออาพีปอเลาะ หรือนับถือผี (ปัจจุบันเรียก นับถือบรรพบุรุษ) แต่เมื่อคริสตศาสนาเผยแพร่เข้ามา บางหัวหน้าครอบครัวตัดสินใจเปลี่ยนระบบความเชื่อเป็นนับถือเยซู ด้วยเหตุผลว่าพิธีกรรมเดิมมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้องจะนำโชคร้ายมาให้ครอบครัว ทั้งนี้ ครอบครัวที่เปลี่ยนศาสนายังถูกกำหนดให้ย้ายไปอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน พร้อมทั้งห้ามไม่ให้ร่วมพิธีกรรมดั้งเดิม
สำหรับศาสนาพุทธ ชาวอาข่ายังไม่นิยมใส่บาตร และยังไม่มีวัดพุทธภายในหมู่บ้านพญาไพรเล่ามา ซึ่งวัดพุทธที่ใกล้หมู่บ้านที่สุดอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในงานวิจัยกล่าวว่า ศาสนาพุทธยังมีความคล้ายคลึงกับการนับถือบรรพบุรุษของชาวอาข่า แม้ว่าก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามของรัฐในการเผยแพร่ศาสนาพุทธในโครงการธรรมจาริก
ความเชื่ออื่นๆ ที่ปรากฏในงานวิจัย คือ สามีและภรรยาชาวอาข่าต้องแยกห้องนอนหรือต้องมีแผ่นไม้กั้นระหว่างที่นอนของชายและหญิง เพราะมีความเชื่อว่าผู้ชายจะถูกผีที่คอยติดตามผู้หญิงดึงพลังจนล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด
|
|
Education and Socialization |
การศึกษาของชาวอาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา เป็นการเข้าสู่ความเป็นสัญชาติไทย และยังเป็นเครื่องมือของภาครัฐที่เข้ามาสอดแทรกความเป็นชาติไทยที่มีประสิทธิภาพ โดยการหล่อหลอมแนวปฏิบัติ และความคิด ลงในกิจกรรมต่างๆ ของระบบการศึกษา อาทิ การเคารพธงชาติ การสวดมนต์ การกล่าวคำปฏิญาณตน ที่นำเอาความเป็นชาติไทย และศาสนาพุทธเข้าไปในกิจกรรมนั้นๆ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม และการเรียนการสอนที่ทำให้ชาวอาข่าจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ภาษาไทยมากกว่าแค่การพูดภาษาไทยได้ เช่น การจัดบอร์ดความรู้ทางภาษา การประกวดแต่งคำขวัญ เป็นต้น
|
|
Health and Medicine |
ชาวอาข่าเชื่อว่า การฆ่าหมูดำสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ได้ โดยเริ่มต้นจาก อาพิยิผ่า หมอดู หรือคนทรง) เข้าทรงเพื่อให้รู้สาเหตุของอาการเจ็บป่วยและวิธีการรักษา ทั้งนี้ พิธีกรรมดังกล่าวจะต้องมีการรวมตัวของญาติ และให้ทายาทสายตรงที่เป็นผู้ชายทำการเชือดหมูดำที่ไม่มีตำหนิ ต่อหน้าผู้ป่วย โดยใช้มีดปลายแหลมกรีดบริเวณคอ ซึ่งเสียงโหยหวนของหมูดำขณะที่ถูกเชือด ชาวอาข่าเชื่อว่า เป็นเสียงเรียกวิญญาณที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยมารับเครื่องสังเวย และจะทำให้อาการเจ็บหายไป จากนั้นเมื่อเลือดหยดลงบนภาชนะจนหยุดไหล จึงทำการชำแหละหมูดำ โดยดูที่เส้นเลือดที่ติดกับตับของหมู ซึ่งจะบอกคำพยากรณ์อาการป่วยดังกล่าวว่าจะหายหรือไม่
|
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สถาปัตยกรรม บ้านของชาวอาข่ามีส่วนปลายหน้าจั่วของหลังคาบ้านยื่นขึ้นไปบนอากาศ เรียกว่า “บ๊าห่า” (รูปบ้านชาวอาข่าในปัจจุบันหน้า 103) นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอาข่า 5 แห่ง ได้แก่ ประตูผีและตุ๊กตาผี (ลกข่อ) ศาลเจ้าหมู่บ้าน (มิซ้อล้อ) ชิงช้าอาข่า (หละเฉอะ/กาหล่าหละเฉอะ) บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ (อิเซาะเลาะแถะ) และลานวัฒนธรรม หรือลานสาวกอด (แดข่อง) (หน้า 94) เพื่อแสดงความเป็นหมู่บ้านของชาวอาข่า
การแต่งกาย สำหรับการแต่งกายของชายชาวอาข่าจะประกอบด้วย หมวก และเสื้ออาข่า ทั้งแขนกุดแบบเสื้อกั๊ก และเสื้อแขนยาว ที่มีการปักลวดลายด้วยผ้าสีต่างๆ และตกแต่งด้วยกระดุม และเหรียญเงิน พร้อมทั้งมีกางเกงอาข่าที่คล้ายกางเกงเลที่ไม่มีการประดับใดๆ
สำหรับการแต่งกายของหญิงชาวอาข่า จะประกอบด้วยส่วนประดับศีรษะที่เรียกว่า อู่เช้ะ ตกแต่งด้วยกระดุม ลูกปัดสีต่างๆ ต่อมา คือ เสื้อชั้นใน และเสื้อชั้นนอก ที่ตกแต่งด้วยการปักลวดลายต่างๆ และกระโปรงของชาวอาข่าที่มีจีบเฉพาะด้านหลัง
ปัจจุบันชาวอาข่าไม่ได้ใส่ชุดอาช่าในชีวิตประจำวัน จะใส่ต่อเมื่อประกอบพิธีกรรมสำคัญ และพิธีที่ทางราชการร้องขอ ซึ่งเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการแสดงตัวตนทางชาติพันธุ์ เช่น งานวันพ่อแห่งชาติ งานกล่าวคำปฏิญาณตนไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นต้น
|
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์อาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามาต้องประกอบด้วย 4 ลักษณะ ได้แก่
- การสืบสายเลือด เชื้อไขของชาวอาข่า
- การมีชื่ออาข่า ที่มีการระบุตัวตน/กลุ่มชนของผู้นั้นได้ และยังถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมต่างๆ ของชาวอาข่า ตลอดจนการนำชื่อของพ่อมาตั้งไว้หน้าชื่อเด็กที่เกิดใหม่
- ภาษาอาข่า ที่มีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน
- ระบบความเชื่ออาข่า นับถืออาพีปอเลาะ หรือการนับถือผี (ในปัจจุบันเรียกว่า การนับถือบรรพบุรุษ) แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบความเชื่อเป็นการนับถือศาสนาคริสต์ แต่ชาว อาข่ายังคงรู้สึกว่าตนเป็นชาวอาข่าตามลักษณะที่ปรากฏข้างต้น |
|
Social Cultural and Identity Change |
การได้มาซึ่งสัญชาติไทยของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา พบว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 2 ลักษณะ ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงหลังจากการได้สัญชาติไทย ซึ่งประกอบด้วย 13 ด้าน ได้แก่ (1) ความเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นพลเมืองรัฐไทย (2) ความเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นใจในสถานะบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย (3) ความเปลี่ยนแปลงด้านการมีสิทธิทางการเมือง (4) ความเปลี่ยนแปลงด้านการเดินทางโดยเสรี (5) ความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์และความรู้สึก (6) ความเปลี่ยนแปลงด้านโอกาสแห่งชีวิต (7) ความเปลี่ยนแปลงด้านความมีตัวตนในสังคม (8) ความเปลี่ยนแปลงด้านความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ (9) ความเปลี่ยนแปลงด้านการได้สิทธิด้านต่างๆ เช่น ระบบบริการสุขภาพ 30 บาท (10) ความเปลี่ยนแปลงด้านการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่ (11) ความเปลี่ยนแปลงในการแสดงตนเป็นคนไทย (12) ความเปลี่ยนแปลงสำหรับบุตรของผู้ที่ได้สัญชาติไทย (13) ความเปลี่ยนแปลงในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น น็นพลเมืองรฐไทย ควมเปลยนแปลงดนควมมนใจในสถนบค (หน้า 197-198) โดยแบ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดสิทธิด้านต่างๆ 3 สิทธิได้แก่
1.1 สิทธิด้านความเป็นพลเมือง เช่น การได้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก โดยขึ้นต้นด้วยเลข 8 การได้สำเนาทะเบียนบ้านสำหรับผู้มีสัญชาติไทย
1.2 สิทธิด้านการเมือง เช่น การเป็นผู้มีสิทธิทางการเมือง และการใช้สิทธิทางการเมือง
1.3 สิทธิด้านสังคม เช่น การเดินทางโดยเสรี ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ การได้รับสิทธิทางการศึกษา และสาธารณสุข รวมทั้งการได้สิทธิของผู้สูงอายุ
2. การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์โดยการสร้างตัวตนของความเป็นคนไทยขึ้นมาใหม่ ได้แก่ การมาอาศัยอบู่ในพื้นที่ของประเทศไทย การเกิดในประเทศไทย การพูดภาษาไทย/การเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนไทย และการได้มาซึ่งบัตรประจำตัวประชาชนไทย |
|
Other Issues |
1. ภาวะไร้สัญชาติของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวอาข่าเกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 ด้าน อันเกิดจาก (1) เจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ทำงานล่าช้า และทำข้อมูลตกหล่น ความไม่ใส่ใจต่อการจัดการคำร้องขอของเจ้าหน้าที่อำเภอ ตลอดจนการขาดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ เกี่ยวกับสถานะบุคคลตามกฎหมาย (2) ตัวบุคคลผู้ไร้สัญชาติ ที่ไม่แสดงตน ไม่ยื่นคำร้องสถานะบุคคล ความไม่รู้เกี่ยวกับสถานะบุคคล การไม่ติดตามความคืบหน้าของตน การตกหล่นจากทะเบียนประวัติต่างๆ และการแจ้งไม่ตรงตามความจริงเกี่ยวกับสถานะบุคคล (3) ความย้อนแย้งของพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 ทวิ ที่กำหนดที่ว่า บิดามารดาเป็นบุคคลต่างด้าว ย่อมไม่ได้สัญชาติไทย
2. กระบวนการได้สัญชาติไทย ตาม 7 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การติดต่อขอแบบคำร้อง กรอกข้อมูล จัดเตรียมเอกสารตามรายะเอียดหน้า 125 (2) การยื่นแบบคำร้องต่อนายทะเบียนท้องที่ ซึ่งต้องได้รับเลขที่คำร้อง พร้อมวันที่ลงรับจากนายทะเบียน เพื่อติดตามการดำเนินการคำร้องภายใน 30 วัน (3) นายทะเบียนหลังจากตรวจสอบลงความเห็นแล้วให้ยื่นพิจารณาต่อนายอำเภอ (4) นายทะเบียนแจ้งผลพิจารณาคำร้อง ภายใน 5 วัน (5) ในกรณีนายอำเภอพิจารณาอนุมัติแล้ว สามารถกำหนดเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ตามที่สำนักทะเบียนได้กำหนด (หน้า 82) (6) เพิ่มชื่อในทะเบียนบ้าน ท.ร. 14 โดยระบุรายละเอียดในช่องหมายเหตุ และให้ดำเนินการภายใน 10 วัน (7) ขั้นตอนการทำบัตรประชาชน ที่มีการถ่ายภาพ และการออกบัตร ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย |
|
Map/Illustration |
ตาราง
ตารางความหมายของเลขหลักที่หนึ่งของหมายเลขประจำตัว 13 หลัก (หน้า 82)
ภาพ
ภาพแผนที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงและที่ตั้งหมู่บ้านพญาไพรเล่ามา (หน้า 67)
ภาพการแต่งกายของสตรีอาข่ากลุ่มโอมิอาข่า อูโล้อาข่า ตามลำดับ (หน้า 99)
ภาพลักษณะบ้านของชาวอาข่าในปัจจุบัน (หน้า 103)
แผนภาพ
กรอบแนวคิดในการวิจัย (หน้า 28)
แผนที่หมู่บ้านพญาไพรเล่ามา (หน้า 68)
กระบวนการขั้นตอนในการลงรายการสัญชาติไทย ตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรใก้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ. 2543 (หน้า 129)
แผนภาพการเปลี่ยนแปลงสถานะบุคคลของกลุ่มชาวอาข่าไร้สัญชาติ หมูบ้านพญาไพรเล่ามา (หน้า 177) |
|
|