|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ขึน ไทขึน ไทเขิน การปรับตัว สิทธิพลเมือง อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ |
Author |
เบญจวรรณ สุขวัฒน์ |
Title |
การปรับตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน : การต่อรองเพื่อสิทธิทางการเป็นพลเมืองทางวัฒนธรรม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทขึน ไตขึน ขึน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
- โครงการเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย (ThaiLIS – Thai Library Intehgrated System) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา URL : http://tdc.thailis.or.th/tdc/basic.php
- ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม URL : http://khoon.msu.ac.th/fulltextman/full4/benjawan10249/titlepage.pdf
-ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
236 |
Year |
2558 |
Source |
ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (ไทศึกษา) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม |
Abstract |
งานวิจัยนี้ใช้วิธีการทางมานุษยวิทยาด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินที่อพยพจากเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า เข้ามาอาศัยในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนา ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา โดยส่วนมากไม่มีสถานะเป็นพลเมืองไทย ผู้เขียนมุ่งเน้นการอธิบายการแสดงออกถึงจิตสำนึกร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินผ่านการแสดงตัวตนและการเชื่อมโยงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสัมพันธ์กับแหล่งอพยพและสัมพันธ์กับการเป็นพลเมืองในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในพื้นที่เดียวกัน
ผลการศึกษาพบว่า ชาวไทเขินมีการสร้างความทรงจำร่วมกันทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เพื่อสร้างจิตสำนึกร่วมกันและใช้ในการต่อรองสิทธิและอำนาจในการเข้ามาอยู่ในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนา รวมทั้งการใช้ทรัพยากรได้อย่างชอบธรรม ทั้งนี้ ยังมีการปรับตัวทั้งทางด้านการประกอบอาชีพ ศาสนาและความเชื่อ การแต่งกาย และวัฒนธรรม ให้สอดคล้องกับระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกของรัฐไทย และแสดงความแตกต่างด้วยการยึดโยงความสัมพันธ์กับเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า สำหรับสถานะทางสังคม ชาวไทเขินเป็นผู้นำของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ภายในหมู่บ้านในการดำเนินการด้านกิจกรรมและการจัดการในหมู่บ้าน มีโอกาสได้รับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้าน ให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่างๆ ทั้งในระดับหมู่บ้านและจังหวัด และมีการรวมกลุ่มเครือข่ายชาติพันธุ์เชียงราย ทำให้สามารถใช้ต่อรองสิทธิต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองได้ แต่อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนเพื่อการต่อรองของชาวไทเขินยังไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่เนื่องด้วยการขาดการได้รับเสรีภาพที่เท่าเทียมกับพลเมืองไทย ผลจากการศึกษาสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลของภาครัฐในการวางแผนระบบการจัดการกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ได้
|
|
Focus |
งานวิจัยมุ่งเน้นการอธิบายการแสดงออกถึงจิตสำนึกร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินผ่านการแสดงตัวตนและการเชื่อมโยงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งสัมพันธ์กับแหล่งอพยพและสัมพันธ์กับสิทธิการเป็นพลเมืองในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในพื้นที่เดียวกัน
|
|
Theoretical Issues |
แนวคิดความทรงจำทางสังคม
ผู้เขียนใช้แนวคิดความทรงจำทางสังคมในการอธิบายปรากฏการณ์ที่ชาวไทเขินในบ้านเหล่าพัฒนามีการใช้ความทรงจำต่างๆ ทางสังคมและวัฒนธรรมในการบอกเล่าตัวตน โดยปรับให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ประเทศไทยและเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกเพื่อแย่งชิงพื้นที่ อาทิ ด้านประวัติศาสตร์ในการเชื่อมโยงเรื่องราวการอพยพกับพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนา (หน้า 72, 84 และ 95), ด้านอาหารที่มีการทำและจำหน่ายอาหารไทเขิน (หน้า 111-121), ด้านการสร้างพื้นที่ตลาดสิบสองปันนาขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าของกลุ่มชาวไตที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุง (หน้า 121-123), ด้านการแต่งกายที่มีการปรับให้มีลักษณะที่มีความหมายสอดคล้องกับความเป็นไทย (หน้า 123-128), ด้านความเชื่อที่มีการเข้าร่วมการจัดสืบชะตาร่วมกันกับคนในท้องถิ่น (หน้า 128-137) และการทำตาแหลวเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของและการใช้เวลาและพื้นที่ของชาวไทเขิน (หน้า 137-141) และด้านศิลปะการแสดงที่มีการสืบทอดและประยุกต์ร่วมกับท้องถิ่น (หน้า 141-148) ทั้งนี้ การใช้ความทรงจำทางสังคมดังกล่าว ยังเป็นการแสดงตัวตนเพื่อตอบโต้วาทกรรมการเป็นเงี้ยวหรือชาวพม่า สร้างความสามัคคีของกลุ่มชาวไทเขิน สร้างตัวตนที่ชัดเจนของชาวไทเขินที่แตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ และเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการเป็นพลเมืองของประเทศ (หน้า 149)
แนวคิดชาติพันธุ์สัมพันธ์และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ และแนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมภายใต้แนวคิดประเพณีประดิษฐ์
ผู้เขียนใช้แนวคิดชาติพันธุ์สัมพันธ์และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในการอธิบายการสร้างตัวตนและพื้นที่ของชาวไทเขินในบ้านเหล่าพัฒนาในลักษณะ “เชิงสัญลักษณ์” รวมทั้งการปรับตัวและรื้อฟื้นวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับพื้นที่เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า เพื่อต่อรองสิทธิต่างๆ ทั้งในระดับท้องถิ่น จังหวัด และระดับประเทศ ดังนี้
- ระดับท้องถิ่น เป็นการแสดงตัวตนเพื่อประโยชน์ในการใช้ทรัพยากร โดยบ่งบอกความแตกต่างของตนที่สามารถผสมกลมกลืนเพื่อการปฏิสัมพันธ์และการอยู่ร่วมกันระหว่างชาวไทยวนและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ คือ ไทใหญ่และไทลื้อในหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีการรื้อฟื้นวัฒนธรรมเพื่อตอกย้ำความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์กับเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า เพื่อสร้างความเข้มแข็งและสามัคคีภายในกลุ่มชาติพันธุ์
- ระดับจังหวัด เป็นการแสดงตัวตนในการให้ความร่วมมือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของจังหวัด โดยเฉพาะการรวมกลุ่มเป็นองค์กรทางสังคมเครือข่ายชาติพันธุ์ และการแสดงตัวตนในฐานะสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยว เพื่อต่อรองสิทธิสาธารณะในการแสดงออกเช่นเดียวกับพลเมืองไทย
- ระดับประเทศ เป็นการแสดงตัวตนที่สะท้อนความสามารถปรับตัวให้เข้ากับบริบทของรัฐไทย เพื่อความต้องการได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกับพลเมืองไทย ทั้งทางด้านกฎหมายและวัฒนธรรม (หน้า 230-236) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไทเขินเป็นภาษาของชนชั้นปกครอง โดยใช้พูดกันในราชวงศ์ของเจ้าฟ้าเชียงตุง (หน้า 57) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาของข้อมูลภาคสนาม
ผู้เขียนเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามระหว่างเดือนตุลาคม 2554 – ตุลาคม 2556 ดังนี้
- พ.ศ. 2554 เก็บรวบรวมข้อมูลการแสดงออกทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นช่วงแรกเริ่มในการเปิดตัวของชาวไทเขิน
- พ.ศ. 2555 เก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสิทธิและปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์
- พ.ศ. 2556 เก็บรวบรวมข้อมูลความเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะการเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงราย (หน้า 8)
ระยะเวลาของข้อมูลเอกสาร
ผู้เขียนใช้เอกสารอ้างอิงซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2503-2556(หน้า 238-250) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน
ประวัติความเป็นมาของชาวไทเขิน มีการกล่าวถึงที่มาหลากหลายสำนวน ดังนี้
- กลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินมีถิ่นฐานดั้งเดิมในเมืองเชียงตุง รัฐชานหรือรัฐฉาน ประเทศพม่า ซึ่งเดิมเป็นเมืองของชาวลัวะ(หน้า 50)
- ตำนานพื้นเมืองเชียงแสน กล่าวถึงที่มาของชื่อเมืองขืนจากเหตุผล 3ข้อ คือ การขืนชนะรบชาวลัวะของมางคุ้มและมางเครี้ยน การตั้งชื่อตามลำน้ำขืน การตั้งชื่อตามลักษณะคนในเมือง (หน้า 50)
-ตำนานตุงครสี กล่าวถึงที่มาของชื่อเมืองขืนว่าขืนแปลว่ากลับคืน จากเหตุการณ์ในสมัยพญามังรายซึ่งได้รบชนะชาวลัวะในเมืองเชียงตุง และได้ให้ไพร่พลอพยพจากเชียงแสนและเชียงรายไปยังเชียงตุง แต่ท้ายที่สุดได้หลบหนีคืนกลับมา และยังหมายถึงเมืองที่มีสายน้ำไหลผิดธรรมชาติจากทางทิศตะวันตกไปทางทิศเหนือ ซึ่งตามปกติสายน้ำมักจะไหลจะทิศเหนือไปทิศใต้ (หน้า 50)
- ชาวไทเขิน เป็นพลเมืองในการปกครองของพญามังราย อพยพขึ้นไปจากอาณาจักรโยนกสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13ช่วงแรกเรียกตัวเองว่า “โยน” และเปลี่ยนเป็น “ขึน” หรือ “เขิน” ในภายหลัง (หน้า 51)
- ไทเขิน คือ ชาวลื้อจากสิบสองปันนาที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานบริเวณแม่น้ำเขินในเมืองเชียงตุง (หน้า 51)
- ไทเขิน มีบรรพบุรุษชาวญี่ปุ่นซึ่งอาจเป็นซามูไรชาวญี่ปุ่นภายใต้การนำของยามาดา นากามาซา (Yamada Nakamasa) ที่เคยเป็นขุนนางในราชสำนักอยุธยาสมัยพระเจ้าทรงธรรม อพยพหนีขึ้นมาถึงเมืองเชียงตุงในคริสต์ศตวรรษที่ 17(หน้า 51-52)
การอพยพของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินเข้าสู่จังหวัดเชียงราย
- ตำนานพื้นเมืองเชียงแสน ชาวไทเขินเป็นแรงงานหลักในการสร้าง บูรณะ และป้องกันเมืองจากข้าศึกตั้งแต่การสร้างเมืองเชียงตุงในสมัยเจ้าน้ำถ้วม (หน้า 65) และในสมัยพระเจ้ากาวิละเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ มีการกวาดต้อนผู้คนจากพม่าเข้ามาในล้านนา และกำหนดพื้นที่ตั้งถิ่นฐานประเภทของไพร่ โดยชาวไทเขินที่เป็นไพร่ชั้นดีหรือเป็นช่างฝีมือ ได้พื้นที่ตั้งถิ่นฐานในเมือง คือ หายยา อยู่ระหว่างกำแพงเมืองชั้นในและชั้นนอกด้านทิศใต้ ส่วนชาวไทเขินไร้ฝีมือให้ตั้งถิ่นฐานที่สันทราย (หน้า 65) ทั้งนี้ ชาวไทเขินที่ถูกกวาดต้อนจากเมืองเชียงตุงจากสงครามตั้งแต่ พ.ศ. 2347 มายังจังหวัดเชียงใหม่ ถูกกวาดต้อนอีกครั้งไปยังจังหวัดเชียงรายใน พ.ศ. 2386โดยอยู่ที่บ้านสันโค้ง อยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มเจ้านายล้านนา เพื่อเป็นแรงงานในการรบและการฟื้นฟูบ้านเมือง (หน้า 65-66)
- ชาวไทเขินในบ้านเหล่าพัฒนามีความทรงจำเกี่ยวกับการอพยพเข้ามาในประเทศไทยในช่วง “ศึกโต๊ะโข่” ในปี พ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเป็นกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ไตที่ไม่พอใจระบบการปกครองแบบสังคมนิยมของนายพลเนวิน ในระยะหลังกลุ่มโต๊ะโข่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนเป็นกองโจร มีการฆ่าคนไม่เลือก ทำให้ชาวเมืองเชียงตุงส่วนหนึ่งอพยพหนีเข้าสู่ประเทศไทย (หน้า 81-82) โดยเข้ามาในฐานะผู้หลบหนีเข้าเมือง แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายในกรุงเทพฯ และย้ายมาเป็นแรงงานก่อสร้างที่บ้านเหล่าพัฒนา, กลุ่มรับจ้างเป็นแรงงานเกษตรพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงรายและย้ายมาอาศัยในพื้นที่ราบที่บ้านเหล่าพัฒนา และกลุ่มที่อพยพมาอยู่กับญาติที่อพยพมาก่อนหน้าที่บ้านเหล่าพัฒนา (หน้า 83-84)
การสร้างความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ของชาวไทเขินในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนากับเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า
- ชาวไทเขินในหมู่บ้านเหล่าพัฒนามีการจัดทำนิทรรศการถ่ายทอดประวัติศาสตร์ของตน โดยเชื่อมโยงเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไทยได้ส่งจอมพลผิน ชุณหะวัน ไปดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงใหญ่สหรัฐไทยเดิมในเมืองเชียงตุง 2ปี และรวมเมืองเชียงตุงเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย เพื่ออธิบายถึงสิทธิที่ควรได้รับในฐานะพลเมืองภายใต้การปกครองของรัฐไทยในสมัยนั้น และเป็นการสร้างตัวตนและสำนึกทางประวัติศาสตร์ร่วมกับคนไทย เพื่อต่อรองอำนาจกับคนในท้องถิ่น (หน้า 84) |
|
Settlement Pattern |
ชาวไทเขินในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนาส่วนมากมีการสร้างบ้านเรือนในพื้นที่ราบ (หน้า 156) โดยตั้งบ้านเรือนปะปนกับชาวไทยวนกระจายในพื้นที่ดังกล่าว (หน้า 151) |
|
Demography |
จากการสำรวจประชากรในปี พ.ศ. 2555 พบว่า ในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนา ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย มีชาวไทใหญ่ ไทลื้อ และไทเขิน รวมประมาณ 200 ครอบครัว และชาวไทยวน ประมาณ 500 ครอบครัว (หน้า 67) ทั้งนี้ จำนวนของชาวไทใหญ่ ไทลื้อ และไทเขิน มีจำนวนกลุ่มละร้อยละ 15 ของประชากรทั้งหมดในหมู่บ้าน (หน้า 69) |
|
Economy |
ด้านทรัพยากรที่ดิน
- เดิมพื้นที่เคยเป็นป่าละเมาะ ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ ก่อนปี พ.ศ. 2538 ที่ดินส่วนมากเป็นพื้นที่จับจองใช้สำหรับการเกษตร ส่วนหลังปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา เจ้าของสวนได้แบ่งขายที่ดิน และได้เริ่มมีการปลูกบ้านเรือน (หน้า 157)
ด้านทรัพยากรน้ำ
- ภายในหมู่บ้านไม่มีต้นน้ำ แต่มีน้ำซึมไหลเป็นสายน้ำเล็กๆ ลงสู่ห้วยต่างๆ เรียกว่า “น้ำซึมดอย” มีหนองน้ำขนาดใหญ่ที่รับน้ำอยู่หลังชุมชนบ้านออมสินหรือหนองป่าไคร้ โดยสามารถใช้น้ำได้ตลอดทั้งปีสำหรับการอุปโภคและบริโภค ทั้งนี้ ชาวบ้านจะช่วยกันดูแลขุดลอกให้หนองน้ำสะอาด (หน้า 157-158) ส่วนน้ำที่ใช้ในบ้านเรือนนั้นมีทั้งน้ำประปา และน้ำบาดาลที่ได้จากการขุดบ่อน้ำ (หน้า 159)
ด้านการจัดการทรัพยากร
- หมู่บ้านมีการเลือกคณะกรรมการหมู่บ้าน มีทั้งคนไทยวนและไทเขินเข้ามามีส่วนร่วม โดยมีอำนาจในการควบคุมการสมาชิกปฏิบัติตามกฏ และดูแลการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิทธิสาธารณะของทุกคนในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ผู้ที่อยู่ใกล้แหล่งทรัพยากรจะเป็นทั้งผู้ดูแลและผู้ใช้ประโยชน์มากที่สุด (หน้า 161-163)
ด้านการบริโภค
ชาวไทเขินในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนามีเอกลักษณ์ด้านอาหาร โดยปรากฏอาหารที่รับประทานและมีการจำหน่าย ดังนี้
- ข้าวแรมฟืนหรือข้าวซอย เป็นอาหารที่ทำจากแป้งผสมน้ำหรือไข่จากนั้นนำไปนวด แล้วนำไปรับประทานในลักษณะต่างๆ เช่น ปรุงรส ทอด สะท้อนความเชี่ยวชาญในการดัดแปลงอาหารประเภทแป้ง (หน้า 112-114)
- จิ้นส้มหรือแหนม สะท้อนความผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมระหว่างคนไทเขินและไทยวน (หน้า 114-116)
- แกงกระด้าง เป็นอาหารประเภทแกงที่ใช้ความเย็นในการทำให้น้ำแกงจับตัวเป็นก้อน ในอดีตนิยมทำกันในฤดูหนาวตามสภาพอากาศที่สามารถทำอาหารประเภทนี้ได้ เอกลักษณ์แกงกระด้างของชาวไทเขิน คือ มีสีแดงอมส้ม แตกต่างกับคนไทยวนที่ทำแกงกระด้างสีขาว (หน้า 116)
- ข้าวซอยน้อย เป็นอาหารที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมต้นหอม ผักชี แล้วนึ่งให้มีลักษณะเป็นแผ่นบางแล้วพับเป็นสามเหลี่ยม รับประทานร่วมกับน้ำแกง, ผัดใส่ไส้ หรือกินกับเครื่องปรุง (หน้า 117)
- ข้าวกันจิ้น เป็นการนำเลือดหมูคลุกกับข้าว ปรุงรส ห่อใบตอง แล้วนำไปนึ่ง (หน้า 118) |
|
Social Organization |
- สายตระกูลแรกของชาวไทเขินในหมู่บ้านเหล่าพัฒนา คือ ครอบครัวพ่อหนานอ่อน ดวงแก้ว โดย “นามสกุล” เป็นสิ่งที่ตั้งขึ้นใหม่เมื่อเข้ามาอยู่ในรัฐไทยโดยนำชื่อบรรพบุรุษมาตั้ง และยังมีการใช้นามสกุลร่วมแม้ไม่ใช่เครือญาติ แต่เป็นการยึดถือตามความเป็นสมาชิกไทเขินที่อพยพเข้ามาด้วยกัน ประกอบด้วย เหล็กเพชร ดวงแก้ว วงศ์ทอง นามแก้ว บุญมา อินคา แสงคาดี (หน้า 85-86)
- ชาวไทเขินรุ่นที่ 1 ที่บ้านเหล่าพัฒนา เป็นกลุ่มที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุง รุ่นที่ 2 นิยมเลือกคู่ครองเป็นชาวไทเขินในหมู่บ้านเดียวกัน แต่รุ่นที่ 3 นิยมเลือกคู่ครองเป็นชาวไทยวน หรือคนไทยในภาคต่างๆ โดยมีการครองคู่ในลักษณะผัวเดียวเมียเดียว และไม่พบปัญหาการหย่าร้างและชู้สาว หากเกิดปัญหาจะมีผู้อาวุโสชาวไทเขินเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ทั้งนี้ การเลือกคู่ครองนั้น พ่อและแม่จะเป็นผู้จัดการเลือกให้กับลูก โดยสังคมครอบครัวไทเขินเป็นระบบผู้หญิงเป็นใหญ่ (หน้า 76)
|
|
Political Organization |
ระบบการปกครองภายในหมู่บ้านเหล่าพัฒนาใช้วิธีการเลือกตั้งผู้นำชุมชนในลักษณะของผู้ใหญ่บ้าน สำหรับระบบการปกครองภายนอกนั้น เป็นการปกครองโดยรัฐ ซึ่งหมู่บ้านจะรับนโยบายและงบประมาณมาจากจังหวัดเชียงราย (หน้า 70) ส่วนระบบการปกครองภายในกลุ่มชาติพันธุ์นั้น มีการเลือกหัวหน้ากลุ่มที่เรียกว่า “เก๊า” และรองประธานจำนวน 2 คน เพื่อบริหารงานภายในกลุ่ม รวมทั้งดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อและไทใหญ่ในหมู่บ้านด้วย (หน้า 78-79) |
|
Belief System |
- ชาวไทเขินในหมู่บ้านเหล่าพัฒนานับถือศาสนาพุทธโดยมีวัดพระธาตุจอมสักเป็นศูนย์รวมจิตใจ (หน้า 72-23) ทั้งนี้ ไม่มีความเชื่อเรื่องผีในการนับถือ “เจ้าพ่อคำแดง” ซึ่งเป็นผีขุนน้ำที่ปกปักรักษาป่าให้อุดมสมบูรณ์เช่นเดียวกับชาวไทเชินในเมืองเชียงตุง แต่มีการประกอบพิธีกรรมเช่นเดียวกับชาวไทยภาคเหนือ ได้แก่ สงเคราะห์บ้าน และสืบชะตาเพื่อสืบต่ออายุให้ยืนยาวและชีวิตมีความสุข นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องผีปู่ย่า โดยมีการทำบุญให้ผีบรรพบุรุษปีละ 3 ครั้ง เรียกว่า เสี่ยวบ้าน เสี่ยวเมือง หรือเสื้อบ้าน หรือใจบ้าน โดยมี “ศาลพ่อปู่” ซึ่งมี 2 แห่ง คือ ข้างโรงเรียนบ้านขัวแคร่และหลังวัดขัวแคร่ เป็นสถานที่ตั้งพิธีโดยทั้ง 2 แห่งตั้งอยู่ที่บ้านขัวแคร่ ซึ่งไม่ใช่การนับถือผีร่วมกันตามสายตระกูล แต่เป็นการนับถือผีที่ปกปักรักษาพื้นที่ (หน้า 74, 96-99และ 130)
- ในครอบครัวที่เป็นเกษตรกร จะมีความเชื่อเรื่องขวัญข้าว มีการทำพิธีเรียกขวัญข้าวเพื่อป้องกันศัตรูพืชและเพื่อให้ข้าวเจริญงอกงามดี (หน้า 74-75)
- ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา มีการรื้อฟื้นบางประเพณีที่เคยจัดในเมืองเชียงตุงมาจัดที่บ้านเหล่าพัฒนา เช่น ประเพณีการแห่ไม้เกี๊ยะ เป็นการถวายไม้เกี๊ยะในวันออกพรรษาโดยเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องการจุดบอกไฟเพื่อบูชาพระเกษแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (หน้า 75 และ 101-102)
- คนไทเขินมีความเชื่อเรื่องตาแหลว เป็นการบอกเขตแดนในการทำนาและการประกอบพิธีกรรม อีกทั้ง ยังป้องกันสัตว์ในการเข้ามาทำลายพืชผลทางการเกษตร และสร้างขวัญกำลังใจแก่เกษตรกร นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันผีหรือสิ่งที่ไม่ดี (หน้า 137-141)
|
|
Education and Socialization |
เมื่อครอบครัวชาวไทเขินในพื้นที่บ้านเหล่าพัฒนามีลูก แม่จะเป็นผู้เลี้ยงดูลูก ส่วนพ่อจะเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว จนกว่าลูกจะโตจนสามารถช่วยทำนาได้ ทั้งนี้ เด็กผู้หญิงชาวไทเขินจะได้รับการสอนภูมิปัญญาในการทอผ้า ในอดีตเมื่อชาวไทเขินยังคงอยู่ที่เชียงตุง ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจะเรียนหนังสือและเรียนภาษาไทเขินที่วัด แต่เมื่อย้ายมาอยู่ประเทศไทย จะเข้าเรียนในระบบโรงเรียนเช่นเดียวกับเด็กไทย (หน้า 77-78)
|
|
Health and Medicine |
ชาวไทเขินมีการรักษาทางจิตใจด้วยอาคม โดยการรักษาของ “หมออาคม” (หน้า 162) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ด้านการแต่งกาย
- ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา หมู่บ้านเหล่าพัฒนาได้มีการสำรวจจำนวนกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ และมีการกำหนดลักษณะการแต่งกายร่วมที่ชัดเจนของแต่ละกลุ่ม โดยกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน มีเอกลักษณ์ คือ ผู้หญิงสวมเสื้อสีฟ้า นุ่งผ้าถุงยาว แต่อย่างไรก็ดีเป็นการกำหนดเครื่องแต่งกายจากบุคคลภายนอก (หน้า 123-124) ซึ่งภายหลังกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินได้นิยามตัวตนผ่านเครื่องแต่งกายของกลุ่มขึ้นมาใหม่โดยปรับเปลี่ยนให้ใกล้เคียงกับชาวเมืองเชียงตุง และได้มีการซื้อเครื่องแต่งกายบางส่วนจากตลาดแม่สาย จังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า โดยกำหนดสีม่วงเป็นสีประจำกลุ่มโดยใช้สีวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากการเคยได้เข้าเฝ้ารับเสด็จฯ พระองค์ อีกทั้งยังเป็นสีประจำจังหวัดเชียงรายอีกด้วย ซึ่งสะท้อนการเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในประเทศไทย สำหรับเสื้อผ้าของผู้หญิงมีการประยุกต์จากแบบเสื้อปั๊ดของชาวไทลื้อตัดเย็บด้วยผ้าสีม่วง นุ่งผ้าถุงสำเร็จรูปสีม่วงสลับดำ ส่วนเสื้อผ้าของผู้ชายนั้น มีการแต่งกายหลากสีตามรูปแบบเสื้อผ้าที่มีจำหน่ายหลากสีในพื้นที่ตลาดแม่สาย (หน้า 124-127)
- ชาวไทเขินมีการรื้อฟื้นการแต่งกายให้มีลักษณะตามแบบของชาวเชียงตุง โดยมีการนำซิ่นบัวคว่ำบัวหงายมาใช้เป็นชุดการแสดงของผู้หญิงในการแสดงฟ้อนแม่ปิง และใช้สวมใส่ให้กับผู้หญิงชาวไทเขินที่เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดนางงามชาติพันธุ์ในงานเชียงรายดอกไม้บานในทุกๆ ปี โดยในอดีตซิ่นดังกล่าวเป็นซิ่นที่ชาวไทเขินนิยมสวมใส่ในงานสำคัญต่างๆ (หน้า 213)
ด้านศิลปะการแสดง
ศิลปะการแสดงที่ชาวไทเขินยังคงมีการสืบทอด คิดขึ้นใหม่ และมีการทำการแสดง ได้แก่
- เสิน เป็นการแสดงเพื่อร้องตอบโต้เพื่อความสนุกสนานและการสร้างสำนึกร่วมของความเป็นชาติพันธุ์ แต่ปัจจุบันขาดการสืบทอดจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ (หน้า 141-143)
-รำวงไทเขิน เป็นการแสดงรำวงย้อนยุค โดยมีการไว้ครู และนำขันครูมาวางไว้กลางวง โดยขายตั๋วเป็นรายได้ให้กับสมาชิกในวง (หน้า 144-146)
- ฟ้อนแม่ปิง เป็นการแสดงที่คิดขึ้นใหม่ มีการแต่งกายโดยใช้ซิ่นบัวคว่ำบัวหงายที่ในอดีตผู้หญิงไทเขินเมืองเชียงตุงสวมใส่ในงานสำคัญต่างๆ (หน้า 213)
|
|
Folklore |
- วัดพระธาตุจอมสัก มีครูบาคำหล้า อดีตเจ้าอาวาสในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2526 เป็นผู้เชื่อมคนไทยวนและกลุ่มชาติพันธุ์เข้าด้วยกัน ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อในการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง การทำนายอนาคต และเรื่องปาฏิหาริย์ โดยปรากฏตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเข้ามาอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในบ้านเหล่าพัฒนาว่า บริเวณพระธาตุจอมสักจะมีเจ้าของเก่ากลับเข้ามาอยู่ โดยเป็นชาวโยนกเก่าซึ่งไปตั้งเมืองโยนกที่เชียงแสน สอดคล้องกับเรื่องเล่าที่ชาวไทยวนเชียงแสนอพยพไปอยู่ที่เมืองเชียงตุง และสอดคล้องกับการอพยพเข้ามาของผู้คนจากเมืองเชียงตุงเข้ามายังบ้านเหล่าพัฒนา ซึ่งก็คือชาวไทเขินซึ่งตามประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเชื่อว่าเดิมเป็นชาวโยนกเชียงแสนที่อพยพไป (หน้า 72 และ 95) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์
- ชาวไทเขินในบ้านเหล่าพัฒนาให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมกิจกรรมของชาวบ้านในชุมชน แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อมีกิจกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน จะมีเพียงชาวไทลื้อและชาวไทใหญ่เท่านั้นที่เข้าร่วม (หน้า 78)
- ชาวไทเขินได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรต่างๆ เพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองกับกลุ่มคนที่มีสัญชาติไทยและทำงานในหน่วยงานราชการ (หน้า 79)
การรื้อฟื้นประเพณีเพื่อสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์
- ชาวไทเขินเป็นกลุ่มคนที่มีการริเริ่มการรื้อฟื้นประเพณีแห่ไม้เกี๊ยะซึ่งเคยมีการจัดที่เมืองเชียงตุง ประเทศพม่ามาจัดในหมู่บ้านเหล่าพัฒนาตั้งแต่ พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่างชาวไทเขิน ไทใหญ่ และไทลื้อ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ไทเขิน และอัตลักษณ์ร่วมความเป็นกลุ่มไตที่อพยพมาจากเมืองเชียงตุง (หน้า 101-105)
การสร้างอัตลักษณ์เพื่อต่อรองสิทธิการเป็นพลเมือง
- ด้านประวัติศาสตร์ :
- การใช้ตำนานเรื่องเล่าที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์การอพยพของชาวไทเขินกับพื้นที่บริเวณวัดพระธาตุจอมสักเพื่อสร้างความชอบธรรมในการครอบครองพื้นที่ (หน้า 173และ 181)
- การใช้ประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์อันดีของชาวไทเขินที่มีต่อชาวบ้านเหล่าพัฒนาในการเป็นแรงงานยุคแรกของหมู่บ้านโดยได้รับความอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่บ้านและเจ้าอาวาสวัดพระธาตุจอมสัก (หน้า228)
- ด้านการปรับตัวให้มีความเป็นพลเมืองไทย
- การแสดงความเป็นพลเมืองไทยโดยเข้าร่วมทุกกิจกรรมสาธารณะ การแสดงออกถึงความศรัทธาในศาสนาพุทธ และความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (หน้า 214-215)
- การสร้างตัวตนผ่านการจัดตั้งองค์กรเครือข่ายชาติพันธุ์เชียงรายซึ่งได้รับการเห็นชอบจากจังหวัดและได้รับการสรับสนุนการจัดกิจกรรม ภายใต้แนวคิด “เราเผ่าไทยใช่ใครอื่น” และจัดทำเสื้อยืดสกรีนข้อความ (หน้า 218)
- การเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ด้วยการเข้าร่วมขบวนแห่และการแสดงในงานเชียงรายดอกไม้งาม (หน้า 221-222)
การต่อรองในลักษณะอื่นๆ เพื่อสิทธิการเป็นพลเมือง
- ชาวไทเขินซื้อที่ดินในหมู่บ้านเหล่าพัฒนาเพื่อสร้างบ้านของตนเอง (หน้า 154-155)
- ผู้อาวุโสชาวไทเขินเข้าไปเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน (หน้า 162)
- ชาวไทเขินมีส่วนร่วมในการจัดการและดูแลทรัพยากรหมู่บ้าน (หน้า 163)
- การรวมกลุ่มเป็นองค์กรทางสังคมอย่างชัดเจน เช่น กลุ่มแม่บ้านชาติพันธุ์ไทเขิน โดยมีบทบาทในกิจกรรมทางสังคมในกิจกรรมกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกิจกรรม (หน้า 164-165) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
- การผสมผสานการแต่งกายที่มีความหมายของความเป็นไทยและยังคงอัตลักษณ์เดิมของเมืองเชียงตุง (หน้า 124-127)
- การนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับการนับถือเสื้อบ้านร่วมกับชาวบ้านเหล่าพัฒนา (หน้า 74, 96-99และ 130)
- การปรับตัวโดยประกอบอาชีพทางการเกษตร รับจ้าง ค้าขาย และเลี้ยงสัตว์ เพื่อช่วงชิงการใช้ทรัพยากรในหมู่บ้านเหล่าพัฒนา (หน้า 185-193)
- การนำเสนอตัวตนในบริบทการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ของประเทศไทย เช่น งานเชียงรายดอกไม้งาม (หน้า 221-222) |
|
Other Issues |
ปัจจัยทางสังคมในการสร้างสิทธิทางพลเมือง
- ด้านเศรษฐกิจ เพื่อแย่งชิงพื้นที่ อาชีพทำกิน และทรัพยากร (หน้า 185-193)
- ด้านการเมือง เพื่อให้ได้บัตรประจำตัว และได้รับสิทธิทางสังคมเช่นเดียวกับคนไทย คือ การรักษาพยาบาล การศึกษา สิทธิการถือครองที่ดิน อิสระในการเดินทาง และการประกอบอาชีพ (หน้า 193-201)
- ด้านชาติพันธุ์ เพื่อแสดงตัวตน สืบทอดวัฒนธรรม รื้อฟื้นความทรงจำร่วม และสร้างความสามัคคีภายในกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 204-210) |
|
Map/Illustration |
- แผนที่หมู่ 14 บ้านเหล่าพัฒนา ตําบลบ้านดู่ จังหวัดเชียงราย (หน้า 7)
- แผนที่บ้านเหล่าพัฒนาและหมู่บ้านอื่นๆ โดยรอบ (หน้า 68)
- ตัวอย่างความสัมพันธ์ของสายสกุลในกลุ่มไทเขิน (หน้า 88)
- ศาลพ่อปู่ข้างโรงเรียนบ้านขัวแคร่ (หน้า 98)
- ศาลพ่อปู่หลังวัดขัวแคร่ (หน้า 99)
- บอกไฟบอกไม้ในประเพณีแห่ไม้เกี๊ยะ ณ ลานวัดพระธาตุจอมสัก (หน้า 104)
- ตลาดขนาดเล็กภายในหมู่บ้าน หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ตลาดสิบสองปันนา (หน้า 122)
- เสื้อผ้าของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเขิน ชาย-หญิง (หน้า 126)
- เครื่องดนตรีชุดใหม่จากเชียงตุงและซิ่นลายบัวคว่ำบัวหงาย (หน้า 214)
- การแสดงออกถึงความเป็นไทยใน “งานปอยต้นเกี๊ยะหลวง” ของกลุ่มชาติพันธุ์ไต (หน้า 215)
- ด้านหน้า-หลังของเสื้อที่องค์กรเครือข่ายชาติพันธุ์จัดทําขึ้นให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 218) |
|
|