|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
การธำรงชาติพันธุ์ แนวคิดคนพลัดถิ่น กลุ่มชาติพันธ์ ไทย ลาว เวียดนาม กรีซ |
Author |
ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ, จามะรี เชียงทอง, ฐิรวุฒิ เสนาคำ, ไมเคิล เฮิร์ซเฟลด์ |
Title |
ว่าด้วยแนวทางการศึกษาชาติพันธุ์ |
Document Type |
- |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, ปกาเกอะญอ, ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Total Pages |
322 |
Year |
2547 |
Source |
มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Abstract |
เนื้อหาของงานเขียนในเล่มนี้ ประกอบด้วยแก่นเรื่องที่มีทั้งแนวคิดชาติพันธุ์ธำรง หรือการธำรงชายพันธุ์ แนวคิดคนพลัดถิ่นๆ และอื่นๆ ที่เล่าให้เห็นว่า การธำรงชาติพันธุ์นั้น ไม่อยู่นิ่งตายตัว มีการเคลื่อนไหวข้ามพรมแดน เช่นเดียวกับสังคมยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีการเลื่อนไหลของทุน ผู้คน เงินทองระหว่างประเทศที่เดินทางไปทำงานและประเทศบ้านเกิด งานเขียนได้ระบุว่า แต่ละกลุ่มชาติพันธุ์นั้นมีการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ เพื่อความอยู่รอด อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์นั้นมีการปรับเปลี่ยน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ว่าอยู่ในเวลาใด นอกจากนี้เนื้อหางานเขียนยังเล่าถึง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจการเมือง ประวัติศาสตร์ และการเดินทางข้ามพรมแดนไปประเทศที่ทำงาน และประเทศบ้านเกิดเมืองนอน |
|
Focus |
เพื่อศึกษากระบวนการและหน้าที่ในการดำรงความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ความสัมพันธ์ทางชาติพันธ์ และการแสดงออกในเรื่องอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในการปฏิสัมพันธ์ข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ และการเปลี่ยนแปลงทางชาติพันธุ์ (หน้า 13) |
|
Theoretical Issues |
แนวคิดชาติพันธุ์ธำรง ethnicity
ผู้เขียนได้กล่าวถึงการอธิบายเรื่องแนวคิดชาติพันธุ์ธำรง ซึ่งผู้เขียนได้บอกว่า แนวคิดนี้เรียกได้หลายอย่าง ซึ่งจะปรากฏในบทความ เช่นการธำรงชาติพันธุ์ หรือจิตสำนึกทางชาติพันธุ์ ที่หมายถึงความเป็นกลุ่มชาคิพันธุ์ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ รวมทั้งการศึกษาความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 4)
การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์แบ่งออกเป็นสามยุค (หน้า 3)
1.ยุคก่อนมโนทัศน์ชาติพันธุ์ธำรง (pre-ethnicity) ประมาณปี ค.ศ. 1870-ปลาย
ค.ศ.1960 ผู้เขียนระบุว่า แซนเนอร์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงก่อน ค.ศ. 1950 ศัพท์วิชาการในการจำแนกกลุ่มคนยังมีไม่มาก นอกจากนี้ยังมีคำหลายคำที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเนื่องจากถูกมองว่า เป็นการสะท้อนอคติของชาติตะวันตก เช่นคำว่า ชนชาติ (race) กลุ่มชน (people) เผ่าพันธุ์ (tribe) เนื่องจากคำว่า tribe มาจากภาษาละติน ว่า “tribu” ที่หมายถึง คนเถื่อนที่อยู่นอกอาณาจักร ไม่มีอารยธรรม และอื่นๆ (หน้า 7)
ในช่วงก่อนมโนทัศน์ชาติพันธุ์ธำรงนั้น ให้ความสำคัญกับมโนทัศน์ วัฒนธรรม เป็นหลัก (หน้า 8) ในช่วงเวลานี้ คำว่ากลุ่มชาติพันธุ์ จึงเป็นมโนทัศน์ ที่มีความสำคัญน้อย ที่ไม่ใช่กุญแจในการค้นคว้าหาความรู้ เหมือนกับคำว่าวัฒนธรรม ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจว่า “กลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง” ก็มี “วัฒนธรรมหนึ่ง” ซึ่งสื่อให้เห็นว่า (หน้า 9)
มีหน่วย ที่มีชื่อเรียกเดียวกัน ไม่ว่าจะโดยสมาชิกที่อยู่ในหน่วยนั้น หรือโดยคนอื่นที่อาจอยู่ใกล้เคียง(หน้า 9)
หน่วยดังกล่าวนั้นมีวัฒนธรรม ได้แก่ ภาษา โครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ที่สามารถแยกความแตกต่างได้จากหน่วยอื่น ซึ่ง Raoul Naroll ระบุว่า นักมานุษยวิทยาได้ใช้มาตรการจำแนกได้ดังนี้ ลักษณะทางวัฒนธรรมบางอย่าง, อาณาเขตทางภูมิศาสตร์, องค์กรทางการเมืองและการปกครอง, ภาษา(หน้า 9) การปรับตัวเชิงนิเวศน์,โครงสร้างชุมชน งานเขียนระบุว่า หากเรานำเกณฑ์ ที่เป็นวัตถุวิสัยมาใช้จำแนกคน ก็อาจเกิดความไม่ลงตัวได้ เพราะด้วยมาตรการที่ต่างกัน กลุ่มคนต่างๆนั้น อาจจะถูกจัดประเภทให้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันหรือไม่เหมือนกัน (หน้า 10)
การกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ใช่จะทำได้โดยอาศัยเกณฑ์ที่เรากำหนดขึ้นมา แต่เราต้องทำความเข้าใจความคิด และจิตสำนึกของเขาว่าเขาคือใคร เป็นพวกเดียวกันหรือต่างพวกกัน เราต้องเข้าใจกลุ่มนั้นๆ ในลักษณะที่สัมพันธ์กับกลุ่มใกล้เคียงที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่นลื้อ กับคนเมือง ในภาคเหนือของไทย ซึ่งมีความใกล้เคียงกัน ในด้านวิถีชีวิต ภาษา เครื่องแต่งกาย ตากลุ่มลื้อก็เรียกตัวเองว่าเป็นลื้อแตกต่างจากคนเมือง ดังนั้นชื่อเรียกและความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ ก็ไม่ได้เชื่อมโยงกับภาษาและวัฒนธรรม แต่ยังรวมถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธ์นั้น (หน้า 11)
2.ยุคสมัยนิยมศึกษาชาติพันธุ์ธำรง (ethnicity)
ยังเน้นการพรรณนาและอธิบายวัฒนธรรม กว่าการศึกษาชาติพันธุ์ ทั้งแนวทฤษฎี มานุษยวิทยานิเวศ กระแสความสนใจการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ได้พัฒนาประเด็นวิจัยเช่น กระบวนการในการกำหนดมาตรฐานการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ จากทัศนะของคนในกลุ่ม หรือจิตสำนึกการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์, การเรียนรู้ และการแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ชาติพันธุ์, ความหลากหลายทางอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของคนในกลุ่มเดียวกัน, ความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 12) การกระทำระหว่างบุคคลที่ต่างกลุ่มชาติพันธุ์, กระบวนการดำรงรักษาพรมแดนชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์ และกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางชาติพันธุ์ (หน้า 13)
3.ยุคหลังชาติพันธุ์ธำรง (post-ethnicity)
ผู้เขียนได้ระบุว่า เท่าที่สังเกตแนวทางการศึกษาได้เปลี่ยนไปทั้งในแง่ประเด็นศึกษา คำถามวิจัย มโนทัศน์หลัก ตลอดจนการวิเคราะห์ ความสนใจ ตกอยู่กับการพิจารณา ความรู้สึกนึกคิดของปัจเจกบุคคลในบริบทของรัฐ กระบวนการชาตินิยม และกระบวนการโลกาภิวัตน์ และกระบวนการทำให้เป็นชายขอบ ที่ปัจเจกบุคคลอาจจะรู้สึกคุกคาม และพยายามดิ้นรนต่อสู้ด้วยทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่และลักษณะทางชาติพันธุ์ (หน้า 79) มโนทัศน์ “ชาติพันธุ์ธำรง” “ethnicity” ที่มีความสำคัญในยุคสมัยนิยมศึกษาชาติพันธุ์ธำรง ยังใช้อยู่เช่นเดิม แต่ในลักษณะที่ไร้ความหมาย ต่อการวิเคราะห์ มโนทัศน์ใหม่ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่ออธิบายปรากฎการณ์ทางชาติพันธุ์แบบใหม่ มโนทัศน์ อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ยังสำคัญอยู่ แต่ถูกใช้ในความหมายใหม่ในลักษณะที่แตกต่างไปจากที่ใช้ศึกษาแต่เดิม (หน้า 79)
แนวคิดคนพลัดถิ่น(diaspora)
Diaspora นั้นมาจากภาษากรีก ที่เกิดจากการรวมคำสองคำได้แก่ “dia”(ทะลุผ่านเข้าไป) กับ speirein หมายถึง หว่านเพาะเมล็ด ดังนั้น diaspora จึงหมายถึง การแพร่กระจายออกไปนั่นเอง (หน้า 198)
ผู้เขียนระบุว่า นับตั้งแต่ ค.ศ. 1980 เรื่อยมา แนวคิดที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง คือแนวคิดพื้นที่สังคมข้ามพรมแดน (transnationalism) โลกาภิวัตน์(globalization) กับคนพลัดถิ่น (diaspora) กล่าวคือ ที่ผ่านมานักมานุษยวิทยา มักผูกวัฒนธรรมไว้กับพรมแดน ภูมิศาสตร์เฉพาะแห่งใดแห่งหนึ่ง แต่นักมานุษยวิทยารุ่นใหม่โต้ว่า สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และชาติพันธุ์ ไม่อาจใส่ไว้ในกรอบ (หน้า 192) หรือพื้นที่ใด แต่เป็นสิ่งที่ลื่นไหล เคลื่อนย้าย ตัดข้ามกรอบกับพรมแดน (หน้า 193)
Nina Glick Schiller ระบุว่า ความหมายของโลกาภิวัตน์กับสังคมข้ามพรมแดนต้องแยกขาดจากกัน และต้องแยกออกจากแนวคิดคนพลัดถิ่น (หน้า 193) ส่วน Arjun Appadurai กล่าวว่า โลกาภิวัตน์คือการเลื่อนไหลห้าอย่าง ได้แก่ ประชาชน เงินทอง อุดมคติ สื่อและเทคโนโลยี แต่การเลื่อนไหลนั้นไม่สม่ำเสมอ ฉะนั้นโลกาภิวัตน์จึงสร้างความต่างคู่กับความเหมือน จึงทำให้เกิดวัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลง อัตลักษณ์ ในระดับชุมชนและระดับโลก (หน้า 193)
Thomas Faist ได่แบ่งพื้นที่สังคมข้ามพรมแดนออกเป็นสามอย่าง ได้แก่ หนึ่ง พื้นที่สังคมข้ามพรมแดนของกลุ่มเครือญาติพี่น้อง ที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่แน่นแฟนในครอบครัว ข้ามพรมแดนกับประเทศพักพิง สายสัมพันธ์ใหญ่ในกรณีนี้ผลของเงินส่งกลับที่ผู้เดินทางให้กับครอบครัวและญาติพี่น้อง เพื่อทำกิจกรรมทั้งหลายในบ้านเกิด พื้นที่สังคมข้ามพรมแดนด้สานการแลกเปลี่ยน เกิดจากกลไก ได้แก่ การแลกเปลี่ยนสินค้า การไหลเวียนของผู้คน ข้อมูลข่าวสาร ก้าวข้ามพรมแดนรัฐ-ชาติ และประเภทที่สามคือชุมชนข้ามพรมแดนคือพื้นที่สังคมข้ามพรมแดนที่ถูกทอ (หน้า 195) อยู่ในรูปความสัมพันธ์ระดับชุมชนระดับหมู่บ้าน ที่เชื่อมสัมพันธ์กันข้ามพรมแดนประเทศ สายสัมพันธ์หรือกิจกรรมที่ถักทอระหว่างชุมชนอาจอยู่ในรูปแบบทางเศรษฐกิจ การเมือง ประเพณีวัฒนธรรม และสังคมที่อยู่ (หน้า 196) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยง
การที่ไทยเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงว่า “กะเหรี่ยง” สันนิษฐานว่าเรียกตามมอญ ซึ่งกลุ่มนี้จะเรียกตัวเองว่า “โพล่ง” หรือ “ปากะยอ” ส่วนคนเมืองที่อยู่ในภาคเหนือเรียกกะเหรี่ยงว่า “ยาง” ส่วนกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี กับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เรียกว่า “กะหร่าง” (หน้า 85) เช่นจากการศึกษาที่ผ่านมาระบุว่า พวกคะยาห์ คือกะเหรี่ยง พวกหนึ่ง (หน้า 87) ซึ่งกลุ่มคะยาห์ ที่อยู่ใน คันธาราวดี (kantarawady) ที่อยู่ทางตะวันออกของพม่า ต่างก็ได้มีการติดต่อรวมทั้งมีการแต่งงานกับกลุ่มคะยาห์ที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งที่คะยาห์ที่อยู่ในประเทศไทยก็ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของคะยาห์ที่อยู่ในประเทศพม่า(หน้า 88) ส่วนคำเรียกที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นเรียกกะเหรี่ยงมีดังนี้ (หน้า 88)
พม่าเรียกกลุ่มโปว์ว่า ตะเลง กะเหรี่ยง (มอญ-กะเหรี่ยง) (หน้า 88) มอญเรียกกลุ่มโปว์ว่า มอญ-กะเหรี่ยง ส่วนกลุ่มสะกอร์ เรียกว่า พม่ากะเหรี่ยง (หน้า 88) คะยาห์ เรียกกลุ่มสกอร์ ว่า “เปอะกี” แปลว่า กะเหรี่ยงภูเขา (เช่นคนที่อยู่พื้นที่ตองอู) พม่าเรียก คะยาห์ ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ คันธาวดี ว่า “ยินตะเล” (หมายถึง มอญ-กะเหรี่ยง เช่นกัน) ไทยใหญ่ หรือ “ชาน” เรียกกลุ่มคะยาห์ ที่ตั้งรกราก อยู่ที่คันธาราวดี ว่า “ยางตะไลย์” (Yang Talai) (หน้า 89) ส่วน คนเมือง ในภาคเหนือของประเทศไทย เรียกกลุ่มกะเหรี่ยงโปว์ว่า “ยางเปียง” (nyang pang) หมายถึงกะเหรี่ยงที่อยู่พื้นราบ (หน้า 89) และเรียกกะเหรี่ยงสะกอร์ว่า “ยางป่า” (nyang pa) หมายถึง กะเหรี่ยงป่า เพราะตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ตามป่าดงพงไพร (หน้า 89)
ออแรนายู
กลุ่มออแรนายู หรือ Malay Muslim หมายถึงกลุ่มที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่รัฐปัตตานี ของออแรนายู แต่ต่อมาเมื่อได้ถูกผนวกรวมเข้ากับรัฐไทย จึงถูกทำให้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยของรัฐไทย แต่อัตลักษณ์ของออแรนายูยังคงอยู่และทำให้เกิดความแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อยู่ในประเทศไทย เช่น ภาษามลายูท้องถิ่น การนับถือศาสนาอิสลาม (หน้า 93) การแต่งกายแบบมลายู แม้ว่า ออแรนายูบางส่วนจะได้รับการศึกษาจากรัฐไทย แต่ออแรนายูยังคงรักษาอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของตนเอาไว้อย่างเหนียวแน่นมั่นคง (หน้า 93)
คนไตในเวียดนาม
ส่วนการศึกษาที่กล่าวถึง กลุ่มคนไต ในเวียดนามตอนเหนือ โดยระบุว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไตที่เข้ามาตั้งรกรากในภาคเหนือ ของประเทศเวียดนาม หลังจากที่พวกเขาได้รบชนะคนพื้นเมือง พวกเขาได้กลายเป็นแรงงาน บางรายที่ระใช้แรงงานในบ้าน เรียกว่า “ส่า” (Saa) กลุ่มนี้ได้รับวัฒนธรรมไต ได้แก่ ภาษา, การสร้างบ้านเรือนไต กระทั่งเกิดกระบวนการกลายเป็นไต (Tai- ization) ซึ่งผู้เขียนได้ชี้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในสังคมนั้นมีการเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง และอาจแปรเปลี่ยนได้เช่นในตัวอย่างที่ผู้เขียนกล่าวถึง เช่น ละว้ากลายเป็นมอญ หรือ “ส่า” (Saa) กลายเป็น “ไต” (หน้า 133) |
|
Demography |
ประชากรกะเหรี่ยง
จากการศึกษาระหว่าง ค.ศ.1967-1968 (หน้า 84) พบว่า ประชากรกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย พม่า มีประมาณ สามล้านสามแสนคน (หน้า 85) |
|
Political Organization |
วาทกรรมอาณานิคม
วาทกรรมแบบอาณานิคมได้จัดแบ่งประเภท ชนเผ่า และชาวนาโดยชนชั้นนำในสยาม ได้จำแนกคนอื่นในอาณาเขตของตน โดยแบ่งออกเป็น “คนป่า” “คนบ้านนอก” (หน้า 141) |
|
Folklore |
ตำนานพระนางจามเทวี
งานเขียนกล่าวว่า ตามตำนานได้กล่าวถึง พระนางจามเทวีว่าเป็นธิดาของกษัตริย์ของอาณาจักรมอญ ที่อยู่ลพบุรี ที่มีวัฒนธรรมที่สูงกว่า และได้ถูกส่งให้มาปกครองหริภุญชัย (หรือ ลำพูน ในทุกวันนี้) จึงทำให้ขุนหลวงวิลังคะ หัวหน้ากลุ่มชาติพันธุ์ลัวะ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองปราชัย กลายเป็นชนกลุ่มน้อยของอาณาจักรหริภุญชัย (หน้า 132) ส่วนข้อสันนิษฐาน ที่ผู้เขียนอ้างงงานเขียนของคอนโดมินาสว่า พระนางจามเทวีเป็นลูกบุญธรรมของฤาษีวาสุเทพที่เป็นลัวะ แต่ถูกส่งให้ไปเรียนหนังสือ และสมรสกับโอรสของกษัตริย์มอญ ที่อยู่ทางใต้ที่มีอารยธรรมที่เหนือกว่า จากนั้นก็เดินทางกลับมาปกครองอาณาจักรลัวะของพ่อบุญธรรม แต่การกลับมานี้พระนางจามเทวีได้กลายเป็นมอญแล้ว แล้วได้ใช้อารยธรรมที่สูงกว่านำมาปกครองอาณาจักรหริภุญชัยในเวลานั้น (หน้า 132)
เกี่ยวกับตำนานของกลุ่มชาติพันธุ์
ตำนานของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องเล่าของความไม่รู้และการไร้อำนาจ ในตำนานของกลุ่มชาติพันธุ์มักกล่าวถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ ความทุกข์ยากและความไม่มีอำนาจของกลุ่มชาติพันธุ์เกือบทุกกลุ่มชาติพันธุ์ เรื่องที่มักกล่าวถึงเช่น การที่กลุ่มชาติพันธุ์เกิดมาจากลูกน้ำเต้า หลังจากที่ออกมาแล้วก็เดินทางไปตั้งหลักปักฐานคนละทิศทาง บรรพชนของกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มก็ทำหนังสือหล่นหายจึงไม่มีตัวอักษรเป็นของตัวเองไว้ให้ลูกหลานได้อ่าน ได้เขียน จึงเป็นคนไม่รู้หนังสือ(หน้า 164) บางกลุ่มก็กล่าวถึง ผู้ช่วยให้มีชีวิตรอด ทำให้มีความเป็นอยู่ที่ดี นอกจากนี้ในกลุ่มที่ไม่มีตัวหนังสือเป็นของตัวเองก็นำไปสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมโดยมีผู้นำเป็นผู้วิเศษ หรือศาสดาพยากรณ์ที่ทำนายว่า ผู้ที่จะมาช่วยให้รอดพ้นความทุกข์ยากจะมีพร้อมกับตัวหนังสือ (หน้า 165) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
อัตลักษณ์ของมุสลิมปากีสถาน และมุสลิมยูนานิส
งานเขียนได้กล่าวถึงโครงสร้างของชาติพันธุ์ธำรงของชุมชนมุสลิมปากีสถาน และมุสลิมยูนานิส ที่อพยพโยกย้ายมาจากคนละพื้นที่แล้วเข้ามาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยในช่วง 30-40 ปีแรกของคริสต์ศตวรรษ ที่ 20มุสลิมทั้งสองกลุ่มได้เข้ามาอยู่ร่วมชุมชนกับคนเมืองอย่างสันติสุข และมีหนุ่มมุสลิมหลายคนที่แต่งงานมีเหย้ามีเรือนกับคนในชุมชน กระทั่งถึงทศวรรษ 1950เมื่อมีผู้อพยพยูนานิส เข้ามาอยู่จำนวนมาก ดังนั้นจึงทำให้มุสลิมยูนนานและมุสลิมปากีสถาน เริ่มแยกตัวออกจากคนเมือง และเริ่มแสดงอัตลักษณ์ของมุสลิมอย่างเด่นชัด (หน้า 95) ผู้เขียนกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้มีพัฒนาการที่เน้นความเป็นอิสลามมีดังนี้ (หน้า 95)
-
ประวัติศาสตร์การสถาปนาอิสลามในเชียงใหม่ในศตวรรษที่ 19 ที่ดูเฉื่อยช้า หากเปรียบเทียบกับศาสนาพุทธที่เข้ามาหลายร้อยปี ฉะนั้นการสถาปนาศาสนาอิสลามจึงไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากคนที่อยู่ในพื้นที่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครห้ามปรามหรือขัดขวาง (หน้า 95)
-
ได้การไม่มีองค์กรทางศาสนา เช่น สถานที่หรือผู้ที่ทำหน้าที่สืบทอด ประเพณี วัฒนธรรม ดังนั้นจึงต้องพึ่งระบบการศึกษาทางศาสนา ที่ผ่านมาผู้นำชุมชนได้ส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือในโรงเรียนของรัฐบาล เพื่อต้องการให้ลูกหลานมีอนาคตที่สดใสมีการงานที่ดี ดังนั้นพ่อ แม่และผู้ปกครองจึงกลัวว่าลูกหลานจะเสียอัตลักษณ์ความเป็นมุสลิม ฉะนั้นแล้วการเป็นมุสลิมจึงเป็นจุดสำคัญของการเล่าเรียน และระบบโรงเรียนศาสนาของชุมชนมุสลิมที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ นั่นเอง (หน้า 96)
ลำดับชั้นทางชาติพันธุ์
ในช่วงสมัยที่ประเทศตะวันตกล่าอาณานิคมนั้น ประเทศตะวันตกได้นำลำดับชั้นทางชาติพันธุ์มาใช้ในการปกครอง เช่นในประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศส เรื่องการเก็บภาษี เช่น เผ่าละเม็ด ส่งมอบภาษีให้คนลื้อ ผ่านเจ้าหน้าที่คนลาว ที่ขึ้นกับเจ้าหน้าที่ที่เป็นเวียดนาม ที่ขึ้นต่อคนฝรั่งเศส (หน้า 138)
การปฏิสัมพันธ์ของชาติพันธุ์ต่างๆในเวียดนาม
ในเวียดนามประกอด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยมี “คินห์” (Kinh) เป็นชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ของ ขณะที่มีชนกลุ่มน้อยกระจายอยู่ทั่วเวียดนาม กลุ่มชาติพันธุ์ “ไต” เป็นชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ ที่อยู่ตอนเหนือของประเทศเวียดนาม โดยประกออาชีพทำนาในที่ราบ และทำไร่ ในเวียดนาม มีกลุ่มชาติพันธุ์ กระจายอยู่ทั่วประเทศเช่น บริเวณ Central high land ที่อยู่ตอนกลางของเวียดนามในทุกวันนี้เป็นที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ทำไร่หมุนเวียนเช่น ราเด้ (Rhade) กับจาไร เป็นต้น (หน้า 139)
โฮจิมินห์ ได้เปรียบเทียบความเป็นครอบครัวเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ว่า มีกลุ่มชาติพันธุ์ “คินห์” (Kinh) เป็นพี่คนหัวปี โดยมีหน้าที่ต้องให้ความเคารพนับถือกับพัฒนา กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ไปด้วยกัน (หน้า 145) นโยบายหนึ่งที่โฮจิมินห์ได้ให้ต่อชนกลุ่มน้อยคือให้สัญญาจะให้กลุ่มชาติพันธุ์มีเขตปกครองตนเอง แต่หลังจากมีการรวมเวียดนามสำเร็จ ในปี ค.ศ 1976 เขตปกครองตนเองก็ถูกยกเลิก (หน้า 145)
การปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในลาว
ในประเทศลาว ผู้นำลาวได้ให้ความสำคัญต่อความเป็นลาวร่วมกัน ดังนั้นจึงสร้างความสามัคคี ละลายความไม่เหมือนให้เป็นเพียงตำแหน่งแห่งที่ของที่ตั้งบ้านเรือน โดยแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศลาว ออกเป็น ลาวลุ่ม, ลาวเทิง, ลาวสูง (หน้า 145) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์
ชาว xing moon กับไตดำ ผลของนโยบาย เรื่องนารวมของรัฐจึงทำให้ xing moon ถูกแยกให้เป็นลาวเทิงและโยกย้ายที่อยู่มาใกล้กับไตดำ (หน้า 177) ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “ลาวลุ่ม” ถึงแม้ว่า xing moon จะนำภาษาไตดำมาใช้ และภาษาลาว แต่กลุ่มไตดำมักจะเหยียดหยาม กลุ่ม xing moon ว่าไม่ขยันทำการงาน ในขณะอีกด้านไตดำก็ปรับสภาพ ความเป็นอยู่ให้เป็นลาว ได้แก่การพูดเขียนภาษาลาว แต่งกายนุ่งซิ่น เช่นเดียวกับคนลาวป็นต้น (หน้า 178) |
|
Other Issues |
ปัญหาผู้อพยพ
ผู้เขียนได้ยกตัวอย่าง เรื่องปัญหาผู้อพยพข้ามเขตแดน เมื่อปี ค.ศ. 1960 ว่ามีน้อยกว่าไทย แต่มีการอพยพครั้งใหญ่ ได้แก่ การโยกย้ายครัวเรือนของไตดำจากเวียดนาม มาอยู่ในประเทศลาว ในช่วงเกิดสงครามอิสรภาพ นอกจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งโยกย้ายที่อยู่ เข้ามาอยู่ในภาคอีสานของไทย ในขณะที่เกิดการสู้รบก่อนการรวมประเทศ การโยกย้ายกลุ่มชาติพันธุ์ออกจากพื้นที่ต่อสู้ได้แก่ การเคลื่อนย้ายของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง จากภาคเหนือของลาว ย้ายมาอยู่บริเวณเวียงจันทร์ นอกจากนี้ นโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ หลังการรวมประเทศในช่วงปี ค.ศ. 1975 และทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายที่อยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นจำนวนมาก (หน้า 177)
เปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศกรีซ
ในงานเขียนได้เปรียบเทียบไทยกับกรีซ ของสิ่งที่เรียกว่า “อาณานิคมอำพราง” ที่มีจากการศึกษามานุษยวิทยาที่เกิดขึ้นในยุคอาณานิคม (หน้า 290) อาณานิคมอำพรางที่ผู้เขียนกล่าวถึงหมายถึง ระอาณานิคมทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ เช่นในประเทศที่อกว่าประเทศไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก อันเป็นอุดมการณ์ที่ทำขึ้นสำหรับผู้บริโภคชาวต่างประเทศ ได้แก่นักท่องเที่ยว นักการเมือง อันเป็นวาทกรรมที่สื่อให้เห็นว่าประเทศนั้นหวั่นเกรง ปฏิกิริยาของประเทศอื่นๆ เนื่องมาจากเหตุผลด้านเศรษฐกิจกับการเมืองที่สื่อให้เห็นว่า เนื้อหาของอาณานิคมยังไม่สูญสิ้น ข้อสังเกตของผู้เขียนคือ คนไทยเหมือนคนกรีกอีกอย่างหนึ่งคือ ความในตนเองว่าไม่เคยอยู่ใต้ระอาณานิคม ซึ่งรูปในเชิงอุดมคตินั้นมีประโยชน์ ในการเจรจาต่อรองกับอำนาจทางการเมือง ในทุกระดับของชีวิตประจำวันในฐานะที่ประชาชนยอมรับแบบฉบับที่ผลิตภาพของคนไทยในเชิงอุดมคติ ว่าเป็นคนมีอิสระมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง โดยไม่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพล “ลำดับชั้นคุณค่าระดับโลกซึ่งเป็นมุมมองที่ได้รับการตกทอดมาจากระอาณานิคม (หน้า 292)
ส่วนที่ไทยกับกรีกไม่เหมือนกัน เช่น ภาษาพูดประจำวัน คำศัพท์ทางมานุษยวิทยา ซึ่งเป็นความไม่เหมือนกันที่สะท้อนออกมาในขบวนการของประดิษฐ์ประเพณี (หน้า 293)
ศาสนาและความเชื่อ ศาสนาเป็นสถาบันเดียวในประเทศกรีซที่ต่อต้านการฟื้นฟูภาษาโบราณ เนื่องจากหวาดกลัวว่า ศาสนาโบราณอาจจะกลับมาพร้อมกับภาษา (หน้า 309)
ภาษา คนกรีกมีความเชื่อว่า คนที่พูดภาษากรีกเหมือนกับภาษาแม่ คนๆนั้น ต้องเป็นสายลับ หรือของตำรวจ หรือของรัฐบาลกรีก เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าเหตุใดคนต่างชาติจึงทุ่มเทความเหนื่อยยาก เพื่อเรียนภาษาที่คนกรีกเห็นว่าเป็นภาษาที่ยากมาภาษาหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (หน้า 311)
ฉะนั้น การที่กรีซและไทย ไม่เคยอยู่ใต้อาณานิคม ดังนั้นจึงมีความพยายามของประเทศมหาอำนาจที่จะให้ประเทศกรีซ และไทยยอมรับว่า (หน้า 314) 1) มีวัฒนธรรมแห่งชาติ 2) เอกภาพแห่งชาติที่สำคัญกว่าความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในระดับท้องถิ่น 3) ความบริสุทธิ์ของวัฒนธรรมแห่งชาติของกรีซ ไม่เคยไปเทียบระดับของยุโรป เนื่องจากว่ากรีซได้รับอิทธิพลจำนวนมากจากวัฒนธรรม ออตโตมาน (ตุรกี) ที่มีระดับต่ำในสายตาของยุโรป (หน้า 314) |
|
|