สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่, การฟื้นคืนวัฒนธรรม, ข้าวซ้อมมือ, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย
Author อมร แก้วเป็ง
Title รูปแบบการเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่: กรณีการผลิตข้าวซ้อมมือ
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 62 Year 2553
Source วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Abstract

จากการเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ ที่มีกระบวนการทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์และคุณค่าของข้าวซ้อมมือ การบริหารจัดการ การผลิตข้าวซ้อมมืออย่างเป็นระบบครบวงจร ในส่วนที่เกินศักยภาพของชุมชนได้ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและวิถีดั้งเดิมของวัฒนธรรมให้มั่นคงและยั่งยืน กรณีการผลิตข้าวซ้อมมือนี้คนในชุมชนมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับประโยชน์ของการบริโภคมากขึ้น ความสำเร็จดังกล่าวเห็นได้จากการได้รับความร่วมมือของคนในชุมชนขุนข้อนทุกครัวเรือนมารวมกลุ่มกันตำข้าว ผลผลิตจากการตำข้าวซ้อมมือที่เหลือจากบริโภคนำไปจำหน่ายที่อำเภอเชียงดาว สำนักงานส่วนราชการในพื้นที่ รวมทั้งมีการทำบัญชีครัวเรือน พบว่าชาวบ้านมีรายรับจากการจำหน่ายข้าวซ้อมมือและมีรายจ่ายลดลงจากการที่ตำข้าวซ้อมมือไว้กินเอง โดยไม่นำไปสีในโรงสีต่างหมู่บ้าน ซึ่งรูปแบบการดำเนินงานเสริมสร้างชุมชนนี้เองก็สามารถนำแนวทางไปปรับใช้กับชุมชนอื่นในตำบลเมืองงายต่อไปได้

Focus

เพื่อเสริมสร้างชุมชนขุนข้อนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ เกี่ยวกับการผลิตข้าวซ้อมมือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

Theoretical Issues

ข้อเสนอหรือแนวคิดที่ผู้เขียนใช้ในการศึกษาชิ้นนั้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึง การทบทวนทฤษฎีตามที่ระบุในงาน แต่เป็นการประมวล และเชื่อมโยงปรากฏการณ์ต่างๆ ในการศึกษา ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร 

Ethnic Group in the Focus

ลาหู่

Study Period (Data Collection)

2552-2553  

Demography

พื้นที่รับผิดชอบของ เทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ มีเนื้อที่รับผิดชอบทั้งหมด 159.86 ตารางกิโลเมตร มีเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ ตำบลเมืองงาย มีจำนวนชุมชนทั้งหมด 11 ชุมชน มีการแบ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออกเป็น 2 องค์กร คือ เทศบาลตำบลเมืองงายและเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ มีชุมชนอยู่ในความรับผิดชอบเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำทั้งหมด 8 ชุมชน ซึ่งแยกเป็นชุมชนที่รับผิดชอบเต็มชุมชน และที่รับผิดชอบบางส่วน ดังนี้ ชุมชนที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ บางส่วน จำนวน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชน 5 บ้านสบงาย , ชุมชน 6 บ้านหนองขะแตะ,ชุมชน 7 บ้านขุนข้อน, ชุมชน 8 บ้านสหกรณ์ (หน้า, 2-3)

Economy

ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม 80% รับจ้างทั่วไป 10% รับราชาร 5% ค้าขาย 5% เนื่องจากลักษณะพื้นที่ของชุมชนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบมีความอุดมสมบูรณ์เพราะมีน้ำหลายสายไหลผ่าน อาทิเช่น แม่น้ำปิง แม่น้ำงาย น้ำแม่ข้อน การเกษตรส่วนใหญ่ ได้แก่ การปลูกข้าว กระเทียม ถั่ว ข้าวโพด และผักชนิดต่างๆ เป็นต้น อาชีพเสริม หลังจากประกอบอาชีพหลัก ชาวบ้านมีการรวมกลุ่มกันแปรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น มะม่วงดอง กระเทียมดอง เป็นต้น กลุ่มทำปุ๋ยหมัก กลุ่มทำน้ำพริก กลุ่มจักสาน และกลุ่มดอกไม้ประดิษฐ์ (หน้า, 4-5)

Belief System

ชาวบ้านร้อยละ 90 นับถือศาสนาพุทธ มีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ วัดที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ มี 2 แห่ง คือ วัดชัยมงคล ชุมชน 5 บ้านสบงาย และวัดสหกรณ์ (ดอยนาง) ชุมชน 8 บ้านสหกรณ์ ชาวบ้านร้อยละ 9 นับถือศาสนาคริสต์ โดยมีโบสถ์เป็นศูนย์รวมจิตใจ โบสถ์ที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ มี 4 แห่ง คือ โบสถ์คริสต์บ้านหนองขะแตะ ชุมชน 6 โบสถ์คริสต์บ้านขุนข้อน ชุมชน 7 โบสถ์คริสต์บ้านลีซอแม่จาใต้ ชุมชน 9 และโบสถ์คริสต์บ้านห้วยโป่งขาม ชุมชน 11 ทั้งนี้ ชาวบ้านร้อยละ 1 นับถือศาสนาอื่นๆ เช่นนับถือ ศาสนาอิสลาม และนับถือภูตผีส่วนประเพณีที่สำคัญ คือ ประเพณีกินวอของเผ่าลีซอหรือลีซูเป็นประเพณีเฉลิมฉลองปีใหม่ของเผ่าลีซอ ซึ่งประเพณีกินวอของเผ่าลีซอ จะจัดขึ้นตรงกับวันตรุษจีนของทุกปีใน พิธีประกอบด้วยพิธีทางศาสนา การเต้น เพื่อถวายและบูชาเจ้าที่เจ้าทาง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ซึ่งชาวบ้านทุกคนต่างพร้อมใจการเข้าร่วมพิธี ประเพณีกินวอจัดขึ้นทุกปี คือระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมของทุกปี จะมีการเรียนเชิญแขกมาร่วมรับประทานอาหาร การจัดประเพณีในแต่ละคราวนั้นจะจัดประมาณ 7 วัน 7 คืน มีการทำข้าวปุก (ภาษาท้องถิ่น) ซึ่งเป็นข้าวที่นึ่งแล้วนำมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาตากให้แห้ง และทุกครอบครัวจะการล้มหมู (หรือฆ่าหมู) โดยนำหมูมาหั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อเอาไว้ไปดำหัวผู้ที่เคารพนับถือ ทุกวันจะมีการดื่มสังสรรค์ ตอนกลางคืนจะเป็นการละเล่นพื้นเมืองคือ การเต้นรำ โดยจะมีหญิงสาวใส่เสื้อผ้าชุดประจำเผ่าออกมาเต้นรำและมีการใช้เครื่องดนตรีในการเป่า ลักษณะคล้ายแคน ของคนอีสาน โดยคนเป่าจะทำการเป่าไปรอบๆ กองไฟ และมีกลุ่มหนุ่มสาว ออกมาเต้นรำเป็นคู่ๆ และเวลาคนต่างถิ่นหรือนักท่องเที่ยวเข้าไป ก็จะได้รับการเชื้อเชิญให้มีการเต้นรำกับชนเผ่านี้ เป็นการละเล่นที่สนุกสนาน เน้นความสมัครสมานสามัคคี ของคนในชุมชน โดยมีการเต้นและการละเล่นทุกคืนที่มีประเพณีนี้  และวันก่อนจะถึงวันสุดท้าย ชาวบ้านจะออกมาจากหมู่บ้านเพื่อเดินทางไปดำหัว ผู้ใหญ่ในตำบลหรือผู้ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ คือ ผู้นำท้องถิ่น หน่วยงานราชการในพื้นที่ โดยนำเนื้อหมูและข้าวปุกเป็นของที่จะใช้ดำหัว และมีการนำน้ำ คล้ายๆ น้ำส้มป่อย มารดมือ ซึ่งก่อนจะดำหัวมีการเต้น เรียกว่าเต้นจะคึ ให้ดู 1 รอบ จากนั้นดำหัวเสร็จจะรับพรจากผู้ใหญ่ เป็นประเพณีของชาวเผ่านี้ ประเพณีกินวอ จะทำการเวียนกันไปทุกหมู่บ้านที่เป็นชนเผ่าลาหู่
นอกจากนี้ยังมี เทศกาลกินข้าวใหม่ จัดขึ้นวันที่ 10 เดือน 7 ในสมัยแรกคนอิสราแอล เมื่อถึงวัน และเดือนที่พระเจ้ากำหนด เขาทุกคนจะนำเอาพืชผล ที่ได้ผลิตจากไร่นามาถวายให้กับพระเจ้าและเอาฟ่อนข้าวรุ่นแรกที่นำมาถวายให้กับพระเจ้า เมื่ออาจารย์นำไปถวายให้กับพระองค์ และฟ่อนข้าวรุ่นแรกทำพิธียื่นถวายพระเจ้าเสร็จ ผู้ปกครองของโบสถ์จะนำพืชผล และฟ่อนข้าวที่นำมาถวายนั้นประกาศขาย และเงินที่ได้มาจะเป็นเงินกองทุนของโบสถ์ หลังจากทำพิธีเสร็จอาจารย์จะประกาศให้ชาวบ้านทุกครอบครัว หรือทุกหลังคาเรือนนำอาหารที่ทำสุกแล้วมารวมกันที่เดียวกันเพื่อทำพิธีถวายให้กับพระเจ้าเมื่อทำพิธีถวายเสร็จชาวบ้านจะร่วมกันรับประทานอาหารร่วมกัน ในวันนั้น ห้ามไม่ให้ใครทำการทำงานเพราะเชื่อว่าเป็นวันที่พระชาวบ้านรับพรจากพระเจ้า
ส่วนประเพณีแซก่อมีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษปฏิบัติมาและสืบทอดต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน ชนเผ่าลาหู่ที่นับถือพุทธ (ผี) ซึ่งแซก่อ ตรงกับวันที่ 14 เมษายนของทุกปี ละเป็นวันสงกรานต์ไทย ชนเผ่าลาหู่จะมีประเพณีแซก่อ เป็นประเพณีที่ปฏิบัติเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล ให้กับสิ่งที่ล่วงลับที่ทำไปแล้วในการประกอบอาชีพ ทำไร่ ทำสวน โดยที่ฆ่าสัตว์โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เชื่อว่าทำพิธีแซก่อแล้ว จะทำให้ไม่มีบาป แล้วอาชีพการทำไร่ ทำสวนผลผลิตจะได้ดี และชีวิตการเป็นอยู่เย็นเป็นสุข (หน้า, 10-14)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เครื่องแต่งกายของสตรีลีซู ตั้งแต่ส่วนบ่าและต้นแขนของเสื้อซึ่งใช้แถบผ้าเล็กๆ ซ้อนทับสลับสีไล่กันไปรอบๆ คอ และไส้ไก่ปลายเป็นปุยมากมายที่ห้อยสยายลงมาจากปลายผ้ารัดทางด้านหลัง ทั้งเครื่องประดับเงิน และมีแต่งทับสลับซับซ้อนเป็นแผงเต็มอกไม่มีที่วาง การแต่งกายของสตรีลีซอเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิมมาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดในบริเวณช่วงไหล เนื่องจากสมัยก่อนใช้การเย็บด้วยมือ แต่สมัยนี้เย็บด้วยจักร การเย็บจะประณีตและสวยกว่า แต่เล็กกว่าแบบดั้งเดิม เดิมที่ลีซูทำเสื้อผ้าฝ้ายไยกัญชา แต่ทุกวันนี้หญิงลีซูแถบเหนือจะใช้ผ้าฝ้าย ส่วนพม่าในจีนยังคงนุ่งกระโปรงผ้าไยกัญชาจีบสลับซับซ้อน ลีซูในพม่าการแต่งกายจะแตกต่างกัน และหลายแบบซึ่งไม่เหมือนกันชนเผ่าลีซอในเมืองไทย หญิงลีซอในเมืองไทยหันมาใช้ผ้าฝ้าย หรือผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งมีขายทั่วไปในท้องตลาด ตัวเสื้อทรงหลวมยาวผ่าข้างทั้งสองขึ้นมาถึงเอว ด้านหน้าคลุมเข่า ด้านหลังห้อยลงไปคลุมน่อง คอกลมติดสาบเฉียงแบบจีนกลางคอลงไปถึงแขนขวา ผ้าชิ้นอกของเสื้อมักต่างกันส่วนอื่นๆ ตัวเสื้อมักเป็นสีฟ้าอมเขียวหรือสีอื่นๆ ชิ้นอกมักใช้ผ้าสีขาวหรือฟ้าใสไปเลยส่วนมากบ่าของเสื้อ ใช้ผ้าดำตัดเป็นวงกลมคว้านวงคอตรงกลางแล้วจึงใช้แถบผ้าสีสด หลากหลายเย็บเรียงซ้อนกันเข้าไปจัดเส้นรอบวงนอก และทำแบบเดียวกันที่ต้นแขน ผู้สาวใหญ่ หรือผู้มีอายุแถบสีผ้าจะไม่ค่อยมีสี แต่สำหรับสาวรุ่นใหญ่ยิ่งซ้อนสลับสีต่างๆ แถบไว้ที่บ่า และต้นแขนจะทำให้ดูโดดเด่นได้มากก็เป็นที่ฮือฮากว่าสาวทั้งหลาย ใต้เสื้อยาวนี้สตรีสวมกางเกงขาก๊วยสีดำและรัดน่องแดง แต่งขอบด้วยสีฟ้า แถมปักประดับด้วยสีอื่น รอบเอวพันไว้แน่นหนาด้วยผ้าดำผืนกว้าง ยาวถึงหกเมตร ด้านหลังห้อยพู่หางม้าหนึ่งคู่ยาวครึ่งเมตร แต่ละสายในหางม้านี้เป็นไส้ไก่ผ้าม้วนเสียแน่นหนา แล้วเย็บตรึงดด้วยไหมสีตัดกับผ้า ที่ปลายเส้นยังติดตุ้มไหมพรมหลากสีเล็กๆ ไว้อีก แต่ก่อนนี้แต่ละพู่ จะมีไส้ไก่ราว ที่ความที่หญิงลีซูต่างคนก็ต่างไม่ยอมแพ้กัน ทุกวันนี้พู่ของใครมีน้อยกว่า 100 เส้น คนนั้นเป็นขี้เกียจ รวมแล้วประมาณ 550 เส้น แต่ปัจจุบันหญิงลีซอจะทำแค่ 150 เส้น เพราะว่ามันเยอะเกินไปดูแล้วไม่สวย ผู้สาวใช้ผ้าโพกศีรษะดำเวลาแต่งเต็มยศ ซึ่งทำด้วยแถบผ้าพับให้กว้างราว 3-4 เซนติเมต วัดรอบศีรษะขนาดพอดี แล้วจึงใช้หัวเข้าตัวเองเป็นหุ่นพันแถบผ้านี้หลายรอบจนเป็นหมวกรูปทรงที่เห็นเย็บตรึงให้แน่นหนา แล้วใช้เส้นไหมพรมหลากสีติดกัน ออกจากหลืบผ้าด้านบนซ้ายของหมวกอ้อมใต้ชะโงกด้านหน้า แล้วปัดขึ้นอย่างเก๋ทางด้านขวาไปห้อยเป็นหางม้าจากกลางกระหม่อมด้านหลังเส้นไหม ส่วนอ้อมใต้หน้าหมวกประดับด้วยลูกปัดแก้ว และปุยไหมพรมอย่างงดงาม ส่วนสาวใหญ่ใช้แถบผ้าดำพันศีรษะหลวมๆ เรียบๆ เท่านั้น (หน้า, 51-52)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

จากวิถีชีวิตเรียบง่ายในชนบท จวบจนความเจริญเข้ามาสู่หมู่บ้าน ไม้ว่าจะเป็น การคมนาคมและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย นอกจากนี้ ยังมียานพาหนะที่จะนำข้าวเปลือกไปสีในโรงสีข้าวต่างหมู่บ้าน หรือในอำเภอเชียงดาว ซึ่งง่ายและสะดวกรวดเร็วกว่า การตำข้าวซ้อมมือจะใช้เวลามากกว่า รวมไปถึงชาวบ้านไม่รู้ถึงประโยชน์ของข้าวซ้อมมือ จึงไม่ค่อยนิยมในการบริโภค หันไปบริโภคข้าวที่ขัดสีขาวสวยงามและอุปกรณ์ในการตำข้าวซ้อมมือไม่เพียงพอ ต้องไปใช้ที่ส่วนกลางคือทั้งสามป๊อกในหมู่บ้านจะมีอุปกรณ์เพียงหนึ่งชุดต่อหนึ่งป๊อก บางทีต้องรอคิวในการใช้ ส่งผลให้ชาวบ้านขุนข้อนที่เลิกการผลิตข้าวซ้อมมือ เกิดจากความไม่เข้าใจหลักการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใช้ในการดำรงชีวิต ขาดความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์ของการบริโภคข้าวซ้อมมือ เห็นแก่ความรวดเร็วและสะดวกสบายจึงนำข้าวเปลือกไปโรงสีข้าวต่างหมู่บ้านแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นซึ่งบางครอบครัวไม่มีรายได้พอที่เสียค่าสีข้าว ผลจากการดำเนินการตามรูปแบบเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ กรณีผลิตข้าวซ้อมมือ คนในชุมชนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของข้าวซ้อมมือมากขึ้น มีการรวมกลุ่มการผลิตเพื่อการผลิตข้าวซ้อมมือไว้บริโภคในครัวเรือนและจำหน่าย ซึ่งครัวเรือนในชุมชนขุนข้อนได้จัดทำบัญชีครัวเรือนเพื่อเปรียบเทียบรายได้ ค่าใช้จ่าย ก่อนและหลังการส่งเสริมให้ผลิตข้าวซ้อมมือเพื่อบริโภคในครัวเรือน ซึ่งจะเห็นได้ว่าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ต้องเสียไปจากการนำข้าวไปสีในโรงสีต่างหมู่บ้าน และมีรายได้เพิ่มเติมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวซ้อมมืออีกด้วย และจากการรวมกลุ่มกันผลิตข้าวซ้อมมือ ทำให้ผลิตได้เร็วขึ้น คนในชุมชนได้ลานวัฒนธรรมการตำข้าวซ้อมมือเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่างๆ มีความสามัคคีกันมากขึ้น และยังส่งผลให้สุขภาพของคนในชุมชนดีขึ้นอีกด้วย (หน้า, 51-53)

Social Cultural and Identity Change

การกำหนดรูปแบบเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ กรณีการผลิตข้าวซ้อมมือ ดังนี้ ประการแรกเป็นสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการผลิตข้าวซ้อมมือไว้บริโภคเองว่าเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการขนส่งข้าวไปสีในที่อื่น โดยการจัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์ และกลุ่มปฏิบัติงานในพื้นที่ เป็นผู้นำในการสร้างความรู้ความเข้าใจกับชาวบ้าน ประการที่สอง ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มเพื่อผลิตข้าวซ้อมมือให้เพียงพอต่อการจำหน่าย เป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 15 ครัวเรือน ตามความสมัครใจของแต่ละครัวเรือน กำหดวันเวลาที่สามารถรวมกลุ่มกันเองในการผลิตข้าวซ้อมมือแต่ละครั้ง ประการที่สาม ส่งเสริมด้านวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในการผลิตข้าวซ้อมมือ โดยสร้างมองตำข้าวเพิ่มขึ้นจำนวน ป๊อกละ 4 อัน สถานที่จัดสร้าง ลานวัฒนธรรมประจำป๊อก ให้สามารถใช้ร่วมกันและไม่ต้องรอนานเกินไป และจัดสรรตารางเวลาการใช้งานของแต่ละกลุ่ม ประการที่สี่ จัดหาบรรจุภัณฑ์ในระยะเริ่มแรกได้ใช้งบประมาณของเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำในการจัดชื้อถุงพลาสติก และจ้างทำสติกเกอร์ฉลากบรรจุภัณฑ์ สำหรับการพัฒนาคุณภาพข้าว ได้ให้ชาวบ้านทำการแยกข้าวดี ที่สมบูรณ์ออกมา ให้มากที่สุด แล้วจึงนำไปบรรจุในถุงพลาสติก ประการที่ห้า หาตลาดรองรับการผลิตข้าวซ้อมมือของชาวบ้าน และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในเทศบาล ได้บริโภคข้าวซ้อมมือ จึงให้พนักงานเจ้าหน้าที่ช่วยชื้อข้าวซ้อมมืออาทิตย์ละ 2 กิโลกรัม นอกจากนั้นนำไปประชาสัมพันธ์ขายที่ อำเภอเชียงดาว สำนักงานส่วนราชการในพื้นที่และตามงานต่างๆ  เช่นงานวันแม่ ที่ได้จัดขึ้นที่อำเภอเชียงดาว เป็นต้น ประการที่หก ส่งเสริมให้ทำบัญชีครัวเรือน เพื่อการเปรียบเทียบรายรับ รายจ่ายจากการที่ผลิตข้าวซ้อมมือไว้บริโภคเองสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้มาก (หน้า, 51-53)

Map/Illustration

ตาราง
- ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มประชากร (หน้า, 40) 

Text Analyst เอกรินทร์ พึ่งประชา Date of Report 01 ต.ค. 2564
TAG ลาหู่, การฟื้นคืนวัฒนธรรม, ข้าวซ้อมมือ, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง