|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่, การฟื้นคืนวัฒนธรรม, ข้าวซ้อมมือ, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย |
Author |
อมร แก้วเป็ง |
Title |
รูปแบบการเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่: กรณีการผลิตข้าวซ้อมมือ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
62 |
Year |
2553 |
Source |
วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Abstract |
จากการเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ ที่มีกระบวนการทั้งการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์และคุณค่าของข้าวซ้อมมือ การบริหารจัดการ การผลิตข้าวซ้อมมืออย่างเป็นระบบครบวงจร ในส่วนที่เกินศักยภาพของชุมชนได้ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและวิถีดั้งเดิมของวัฒนธรรมให้มั่นคงและยั่งยืน กรณีการผลิตข้าวซ้อมมือนี้คนในชุมชนมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับประโยชน์ของการบริโภคมากขึ้น ความสำเร็จดังกล่าวเห็นได้จากการได้รับความร่วมมือของคนในชุมชนขุนข้อนทุกครัวเรือนมารวมกลุ่มกันตำข้าว ผลผลิตจากการตำข้าวซ้อมมือที่เหลือจากบริโภคนำไปจำหน่ายที่อำเภอเชียงดาว สำนักงานส่วนราชการในพื้นที่ รวมทั้งมีการทำบัญชีครัวเรือน พบว่าชาวบ้านมีรายรับจากการจำหน่ายข้าวซ้อมมือและมีรายจ่ายลดลงจากการที่ตำข้าวซ้อมมือไว้กินเอง โดยไม่นำไปสีในโรงสีต่างหมู่บ้าน ซึ่งรูปแบบการดำเนินงานเสริมสร้างชุมชนนี้เองก็สามารถนำแนวทางไปปรับใช้กับชุมชนอื่นในตำบลเมืองงายต่อไปได้ |
|
Focus |
เพื่อเสริมสร้างชุมชนขุนข้อนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ เกี่ยวกับการผลิตข้าวซ้อมมือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ |
|
Theoretical Issues |
ข้อเสนอหรือแนวคิดที่ผู้เขียนใช้ในการศึกษาชิ้นนั้น ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึง การทบทวนทฤษฎีตามที่ระบุในงาน แต่เป็นการประมวล และเชื่อมโยงปรากฏการณ์ต่างๆ ในการศึกษา ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Study Period (Data Collection) |
|
Demography |
พื้นที่รับผิดชอบของ เทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ มีเนื้อที่รับผิดชอบทั้งหมด 159.86 ตารางกิโลเมตร มีเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ ตำบลเมืองงาย มีจำนวนชุมชนทั้งหมด 11 ชุมชน มีการแบ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออกเป็น 2 องค์กร คือ เทศบาลตำบลเมืองงายและเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ มีชุมชนอยู่ในความรับผิดชอบเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำทั้งหมด 8 ชุมชน ซึ่งแยกเป็นชุมชนที่รับผิดชอบเต็มชุมชน และที่รับผิดชอบบางส่วน ดังนี้ ชุมชนที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ บางส่วน จำนวน 4 ชุมชน ได้แก่ ชุมชน 5 บ้านสบงาย , ชุมชน 6 บ้านหนองขะแตะ,ชุมชน 7 บ้านขุนข้อน, ชุมชน 8 บ้านสหกรณ์ (หน้า, 2-3) |
|
Economy |
ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรม 80% รับจ้างทั่วไป 10% รับราชาร 5% ค้าขาย 5% เนื่องจากลักษณะพื้นที่ของชุมชนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบมีความอุดมสมบูรณ์เพราะมีน้ำหลายสายไหลผ่าน อาทิเช่น แม่น้ำปิง แม่น้ำงาย น้ำแม่ข้อน การเกษตรส่วนใหญ่ ได้แก่ การปลูกข้าว กระเทียม ถั่ว ข้าวโพด และผักชนิดต่างๆ เป็นต้น อาชีพเสริม หลังจากประกอบอาชีพหลัก ชาวบ้านมีการรวมกลุ่มกันแปรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น มะม่วงดอง กระเทียมดอง เป็นต้น กลุ่มทำปุ๋ยหมัก กลุ่มทำน้ำพริก กลุ่มจักสาน และกลุ่มดอกไม้ประดิษฐ์ (หน้า, 4-5) |
|
Belief System |
ชาวบ้านร้อยละ 90 นับถือศาสนาพุทธ มีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ วัดที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ มี 2 แห่ง คือ วัดชัยมงคล ชุมชน 5 บ้านสบงาย และวัดสหกรณ์ (ดอยนาง) ชุมชน 8 บ้านสหกรณ์ ชาวบ้านร้อยละ 9 นับถือศาสนาคริสต์ โดยมีโบสถ์เป็นศูนย์รวมจิตใจ โบสถ์ที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ มี 4 แห่ง คือ โบสถ์คริสต์บ้านหนองขะแตะ ชุมชน 6 โบสถ์คริสต์บ้านขุนข้อน ชุมชน 7 โบสถ์คริสต์บ้านลีซอแม่จาใต้ ชุมชน 9 และโบสถ์คริสต์บ้านห้วยโป่งขาม ชุมชน 11 ทั้งนี้ ชาวบ้านร้อยละ 1 นับถือศาสนาอื่นๆ เช่นนับถือ ศาสนาอิสลาม และนับถือภูตผีส่วนประเพณีที่สำคัญ คือ ประเพณีกินวอของเผ่าลีซอหรือลีซูเป็นประเพณีเฉลิมฉลองปีใหม่ของเผ่าลีซอ ซึ่งประเพณีกินวอของเผ่าลีซอ จะจัดขึ้นตรงกับวันตรุษจีนของทุกปีใน พิธีประกอบด้วยพิธีทางศาสนา การเต้น เพื่อถวายและบูชาเจ้าที่เจ้าทาง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ซึ่งชาวบ้านทุกคนต่างพร้อมใจการเข้าร่วมพิธี ประเพณีกินวอจัดขึ้นทุกปี คือระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคมของทุกปี จะมีการเรียนเชิญแขกมาร่วมรับประทานอาหาร การจัดประเพณีในแต่ละคราวนั้นจะจัดประมาณ 7 วัน 7 คืน มีการทำข้าวปุก (ภาษาท้องถิ่น) ซึ่งเป็นข้าวที่นึ่งแล้วนำมาตำให้ละเอียดแล้วนำมาตากให้แห้ง และทุกครอบครัวจะการล้มหมู (หรือฆ่าหมู) โดยนำหมูมาหั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อเอาไว้ไปดำหัวผู้ที่เคารพนับถือ ทุกวันจะมีการดื่มสังสรรค์ ตอนกลางคืนจะเป็นการละเล่นพื้นเมืองคือ การเต้นรำ โดยจะมีหญิงสาวใส่เสื้อผ้าชุดประจำเผ่าออกมาเต้นรำและมีการใช้เครื่องดนตรีในการเป่า ลักษณะคล้ายแคน ของคนอีสาน โดยคนเป่าจะทำการเป่าไปรอบๆ กองไฟ และมีกลุ่มหนุ่มสาว ออกมาเต้นรำเป็นคู่ๆ และเวลาคนต่างถิ่นหรือนักท่องเที่ยวเข้าไป ก็จะได้รับการเชื้อเชิญให้มีการเต้นรำกับชนเผ่านี้ เป็นการละเล่นที่สนุกสนาน เน้นความสมัครสมานสามัคคี ของคนในชุมชน โดยมีการเต้นและการละเล่นทุกคืนที่มีประเพณีนี้ และวันก่อนจะถึงวันสุดท้าย ชาวบ้านจะออกมาจากหมู่บ้านเพื่อเดินทางไปดำหัว ผู้ใหญ่ในตำบลหรือผู้ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ คือ ผู้นำท้องถิ่น หน่วยงานราชการในพื้นที่ โดยนำเนื้อหมูและข้าวปุกเป็นของที่จะใช้ดำหัว และมีการนำน้ำ คล้ายๆ น้ำส้มป่อย มารดมือ ซึ่งก่อนจะดำหัวมีการเต้น เรียกว่าเต้นจะคึ ให้ดู 1 รอบ จากนั้นดำหัวเสร็จจะรับพรจากผู้ใหญ่ เป็นประเพณีของชาวเผ่านี้ ประเพณีกินวอ จะทำการเวียนกันไปทุกหมู่บ้านที่เป็นชนเผ่าลาหู่
นอกจากนี้ยังมี เทศกาลกินข้าวใหม่ จัดขึ้นวันที่ 10 เดือน 7 ในสมัยแรกคนอิสราแอล เมื่อถึงวัน และเดือนที่พระเจ้ากำหนด เขาทุกคนจะนำเอาพืชผล ที่ได้ผลิตจากไร่นามาถวายให้กับพระเจ้าและเอาฟ่อนข้าวรุ่นแรกที่นำมาถวายให้กับพระเจ้า เมื่ออาจารย์นำไปถวายให้กับพระองค์ และฟ่อนข้าวรุ่นแรกทำพิธียื่นถวายพระเจ้าเสร็จ ผู้ปกครองของโบสถ์จะนำพืชผล และฟ่อนข้าวที่นำมาถวายนั้นประกาศขาย และเงินที่ได้มาจะเป็นเงินกองทุนของโบสถ์ หลังจากทำพิธีเสร็จอาจารย์จะประกาศให้ชาวบ้านทุกครอบครัว หรือทุกหลังคาเรือนนำอาหารที่ทำสุกแล้วมารวมกันที่เดียวกันเพื่อทำพิธีถวายให้กับพระเจ้าเมื่อทำพิธีถวายเสร็จชาวบ้านจะร่วมกันรับประทานอาหารร่วมกัน ในวันนั้น ห้ามไม่ให้ใครทำการทำงานเพราะเชื่อว่าเป็นวันที่พระชาวบ้านรับพรจากพระเจ้า
ส่วนประเพณีแซก่อมีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษปฏิบัติมาและสืบทอดต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน ชนเผ่าลาหู่ที่นับถือพุทธ (ผี) ซึ่งแซก่อ ตรงกับวันที่ 14 เมษายนของทุกปี ละเป็นวันสงกรานต์ไทย ชนเผ่าลาหู่จะมีประเพณีแซก่อ เป็นประเพณีที่ปฏิบัติเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศล ให้กับสิ่งที่ล่วงลับที่ทำไปแล้วในการประกอบอาชีพ ทำไร่ ทำสวน โดยที่ฆ่าสัตว์โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เชื่อว่าทำพิธีแซก่อแล้ว จะทำให้ไม่มีบาป แล้วอาชีพการทำไร่ ทำสวนผลผลิตจะได้ดี และชีวิตการเป็นอยู่เย็นเป็นสุข (หน้า, 10-14) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องแต่งกายของสตรีลีซู ตั้งแต่ส่วนบ่าและต้นแขนของเสื้อซึ่งใช้แถบผ้าเล็กๆ ซ้อนทับสลับสีไล่กันไปรอบๆ คอ และไส้ไก่ปลายเป็นปุยมากมายที่ห้อยสยายลงมาจากปลายผ้ารัดทางด้านหลัง ทั้งเครื่องประดับเงิน และมีแต่งทับสลับซับซ้อนเป็นแผงเต็มอกไม่มีที่วาง การแต่งกายของสตรีลีซอเปลี่ยนแปลงไปจากดั้งเดิมมาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดในบริเวณช่วงไหล เนื่องจากสมัยก่อนใช้การเย็บด้วยมือ แต่สมัยนี้เย็บด้วยจักร การเย็บจะประณีตและสวยกว่า แต่เล็กกว่าแบบดั้งเดิม เดิมที่ลีซูทำเสื้อผ้าฝ้ายไยกัญชา แต่ทุกวันนี้หญิงลีซูแถบเหนือจะใช้ผ้าฝ้าย ส่วนพม่าในจีนยังคงนุ่งกระโปรงผ้าไยกัญชาจีบสลับซับซ้อน ลีซูในพม่าการแต่งกายจะแตกต่างกัน และหลายแบบซึ่งไม่เหมือนกันชนเผ่าลีซอในเมืองไทย หญิงลีซอในเมืองไทยหันมาใช้ผ้าฝ้าย หรือผ้าใยสังเคราะห์ซึ่งมีขายทั่วไปในท้องตลาด ตัวเสื้อทรงหลวมยาวผ่าข้างทั้งสองขึ้นมาถึงเอว ด้านหน้าคลุมเข่า ด้านหลังห้อยลงไปคลุมน่อง คอกลมติดสาบเฉียงแบบจีนกลางคอลงไปถึงแขนขวา ผ้าชิ้นอกของเสื้อมักต่างกันส่วนอื่นๆ ตัวเสื้อมักเป็นสีฟ้าอมเขียวหรือสีอื่นๆ ชิ้นอกมักใช้ผ้าสีขาวหรือฟ้าใสไปเลยส่วนมากบ่าของเสื้อ ใช้ผ้าดำตัดเป็นวงกลมคว้านวงคอตรงกลางแล้วจึงใช้แถบผ้าสีสด หลากหลายเย็บเรียงซ้อนกันเข้าไปจัดเส้นรอบวงนอก และทำแบบเดียวกันที่ต้นแขน ผู้สาวใหญ่ หรือผู้มีอายุแถบสีผ้าจะไม่ค่อยมีสี แต่สำหรับสาวรุ่นใหญ่ยิ่งซ้อนสลับสีต่างๆ แถบไว้ที่บ่า และต้นแขนจะทำให้ดูโดดเด่นได้มากก็เป็นที่ฮือฮากว่าสาวทั้งหลาย ใต้เสื้อยาวนี้สตรีสวมกางเกงขาก๊วยสีดำและรัดน่องแดง แต่งขอบด้วยสีฟ้า แถมปักประดับด้วยสีอื่น รอบเอวพันไว้แน่นหนาด้วยผ้าดำผืนกว้าง ยาวถึงหกเมตร ด้านหลังห้อยพู่หางม้าหนึ่งคู่ยาวครึ่งเมตร แต่ละสายในหางม้านี้เป็นไส้ไก่ผ้าม้วนเสียแน่นหนา แล้วเย็บตรึงดด้วยไหมสีตัดกับผ้า ที่ปลายเส้นยังติดตุ้มไหมพรมหลากสีเล็กๆ ไว้อีก แต่ก่อนนี้แต่ละพู่ จะมีไส้ไก่ราว ที่ความที่หญิงลีซูต่างคนก็ต่างไม่ยอมแพ้กัน ทุกวันนี้พู่ของใครมีน้อยกว่า 100 เส้น คนนั้นเป็นขี้เกียจ รวมแล้วประมาณ 550 เส้น แต่ปัจจุบันหญิงลีซอจะทำแค่ 150 เส้น เพราะว่ามันเยอะเกินไปดูแล้วไม่สวย ผู้สาวใช้ผ้าโพกศีรษะดำเวลาแต่งเต็มยศ ซึ่งทำด้วยแถบผ้าพับให้กว้างราว 3-4 เซนติเมต วัดรอบศีรษะขนาดพอดี แล้วจึงใช้หัวเข้าตัวเองเป็นหุ่นพันแถบผ้านี้หลายรอบจนเป็นหมวกรูปทรงที่เห็นเย็บตรึงให้แน่นหนา แล้วใช้เส้นไหมพรมหลากสีติดกัน ออกจากหลืบผ้าด้านบนซ้ายของหมวกอ้อมใต้ชะโงกด้านหน้า แล้วปัดขึ้นอย่างเก๋ทางด้านขวาไปห้อยเป็นหางม้าจากกลางกระหม่อมด้านหลังเส้นไหม ส่วนอ้อมใต้หน้าหมวกประดับด้วยลูกปัดแก้ว และปุยไหมพรมอย่างงดงาม ส่วนสาวใหญ่ใช้แถบผ้าดำพันศีรษะหลวมๆ เรียบๆ เท่านั้น (หน้า, 51-52) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากวิถีชีวิตเรียบง่ายในชนบท จวบจนความเจริญเข้ามาสู่หมู่บ้าน ไม้ว่าจะเป็น การคมนาคมและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย นอกจากนี้ ยังมียานพาหนะที่จะนำข้าวเปลือกไปสีในโรงสีข้าวต่างหมู่บ้าน หรือในอำเภอเชียงดาว ซึ่งง่ายและสะดวกรวดเร็วกว่า การตำข้าวซ้อมมือจะใช้เวลามากกว่า รวมไปถึงชาวบ้านไม่รู้ถึงประโยชน์ของข้าวซ้อมมือ จึงไม่ค่อยนิยมในการบริโภค หันไปบริโภคข้าวที่ขัดสีขาวสวยงามและอุปกรณ์ในการตำข้าวซ้อมมือไม่เพียงพอ ต้องไปใช้ที่ส่วนกลางคือทั้งสามป๊อกในหมู่บ้านจะมีอุปกรณ์เพียงหนึ่งชุดต่อหนึ่งป๊อก บางทีต้องรอคิวในการใช้ ส่งผลให้ชาวบ้านขุนข้อนที่เลิกการผลิตข้าวซ้อมมือ เกิดจากความไม่เข้าใจหลักการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใช้ในการดำรงชีวิต ขาดความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์ของการบริโภคข้าวซ้อมมือ เห็นแก่ความรวดเร็วและสะดวกสบายจึงนำข้าวเปลือกไปโรงสีข้าวต่างหมู่บ้านแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นซึ่งบางครอบครัวไม่มีรายได้พอที่เสียค่าสีข้าว ผลจากการดำเนินการตามรูปแบบเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ กรณีผลิตข้าวซ้อมมือ คนในชุมชนมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของข้าวซ้อมมือมากขึ้น มีการรวมกลุ่มการผลิตเพื่อการผลิตข้าวซ้อมมือไว้บริโภคในครัวเรือนและจำหน่าย ซึ่งครัวเรือนในชุมชนขุนข้อนได้จัดทำบัญชีครัวเรือนเพื่อเปรียบเทียบรายได้ ค่าใช้จ่าย ก่อนและหลังการส่งเสริมให้ผลิตข้าวซ้อมมือเพื่อบริโภคในครัวเรือน ซึ่งจะเห็นได้ว่าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ต้องเสียไปจากการนำข้าวไปสีในโรงสีต่างหมู่บ้าน และมีรายได้เพิ่มเติมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวซ้อมมืออีกด้วย และจากการรวมกลุ่มกันผลิตข้าวซ้อมมือ ทำให้ผลิตได้เร็วขึ้น คนในชุมชนได้ลานวัฒนธรรมการตำข้าวซ้อมมือเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่างๆ มีความสามัคคีกันมากขึ้น และยังส่งผลให้สุขภาพของคนในชุมชนดีขึ้นอีกด้วย (หน้า, 51-53) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การกำหนดรูปแบบเสริมสร้างชุมชนให้กลับฟื้นคืนวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวเขาเผ่าลาหู่ กรณีการผลิตข้าวซ้อมมือ ดังนี้ ประการแรกเป็นสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการผลิตข้าวซ้อมมือไว้บริโภคเองว่าเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการขนส่งข้าวไปสีในที่อื่น โดยการจัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์ และกลุ่มปฏิบัติงานในพื้นที่ เป็นผู้นำในการสร้างความรู้ความเข้าใจกับชาวบ้าน ประการที่สอง ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มเพื่อผลิตข้าวซ้อมมือให้เพียงพอต่อการจำหน่าย เป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ๆ ละ 15 ครัวเรือน ตามความสมัครใจของแต่ละครัวเรือน กำหดวันเวลาที่สามารถรวมกลุ่มกันเองในการผลิตข้าวซ้อมมือแต่ละครั้ง ประการที่สาม ส่งเสริมด้านวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในการผลิตข้าวซ้อมมือ โดยสร้างมองตำข้าวเพิ่มขึ้นจำนวน ป๊อกละ 4 อัน สถานที่จัดสร้าง ลานวัฒนธรรมประจำป๊อก ให้สามารถใช้ร่วมกันและไม่ต้องรอนานเกินไป และจัดสรรตารางเวลาการใช้งานของแต่ละกลุ่ม ประการที่สี่ จัดหาบรรจุภัณฑ์ในระยะเริ่มแรกได้ใช้งบประมาณของเทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำในการจัดชื้อถุงพลาสติก และจ้างทำสติกเกอร์ฉลากบรรจุภัณฑ์ สำหรับการพัฒนาคุณภาพข้าว ได้ให้ชาวบ้านทำการแยกข้าวดี ที่สมบูรณ์ออกมา ให้มากที่สุด แล้วจึงนำไปบรรจุในถุงพลาสติก ประการที่ห้า หาตลาดรองรับการผลิตข้าวซ้อมมือของชาวบ้าน และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในเทศบาล ได้บริโภคข้าวซ้อมมือ จึงให้พนักงานเจ้าหน้าที่ช่วยชื้อข้าวซ้อมมืออาทิตย์ละ 2 กิโลกรัม นอกจากนั้นนำไปประชาสัมพันธ์ขายที่ อำเภอเชียงดาว สำนักงานส่วนราชการในพื้นที่และตามงานต่างๆ เช่นงานวันแม่ ที่ได้จัดขึ้นที่อำเภอเชียงดาว เป็นต้น ประการที่หก ส่งเสริมให้ทำบัญชีครัวเรือน เพื่อการเปรียบเทียบรายรับ รายจ่ายจากการที่ผลิตข้าวซ้อมมือไว้บริโภคเองสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้มาก (หน้า, 51-53) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
- ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มประชากร (หน้า, 40) |
|
|