สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่, ศูนย์วัฒนธรรม, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย
Author อุสิธารา จันตาเวียง และคณะ
Title การศึกษาศักยภาพของชุมชนเพื่อจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าลาหู่ บ้านท่าฮ่อ ตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 59 Year 2555
Source มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
Abstract

ศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าลาหู่ บ้านท่าฮ่อ ตาบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ได้แก่ ศักยภาพด้านการดำรงวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม โครงสร้างทางสังคมและประวัติศาสตร์ ปัจจัยที่มีผลทำให้ชาวลาหู่เกิดศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรม คือ ประเพณีการกินข้าวใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวลาหู่ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และด้านการสนับสนุนขององค์กรต่างชาติที่จะช่วยเหลือในด้านงบประมาณ เช่น ที่ดิน การสร้างที่อยู่อาศัย ความเข้มแข็งในการรวมกลุ่มทางสังคมยังไม่เกิดการรวมกลุ่มที่เห็นเป็นรูปธรรมในเรื่องของวัฒนธรรมแต่การรวมกลุ่มส่วนใหญ่จะเห็นเด่นชัดในเรื่องของศาสนา

Focus

การวิจัยเรื่องนี้ให้ความสำคัญต่อการศึกษาศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผาลาหู่บ้านท่าฮ่อ ตาบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ตลอดจนศึกษาปัจจัยที่มีผลทำให้ชาวเขาเผ่าลาหู่เกิดศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ ชุมชนบ้านท่าฮ่อ ตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย  

Theoretical Issues

ผู้ศึกษาประยุกต์แนวคิดทุนทางสังคม ทฤษฎีการมีส่วนร่วม การจัดการความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เป็นแนวทางสร้างกรอบความคิดในการวิเคราะห์แนวทางการศึกษาศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผาลาหู่

Ethnic Group in the Focus

ลาหู่ 

Study Period (Data Collection)

งานเอกสารย้อนหลังปี พ.ศ. 2500 ถึงปี พ.ศ. 2555 ส่วนงานภาคสนาม ปี พ.ศ. 2554-2555   

History of the Group and Community

ลาหู่ เป็นอีกหนึ่งชนเผ่าที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย จะกระจายตัวอยู่ตามจังหวัดตาก จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ซึ่งทางเชียงรายก็มีชาวเขาเผ่าลาหู่ที่อาศัยอยู่เป็นจานวนมากในอาเภอเวียงป่าเป้า และอาเภอพาน ซึ่งในอาเภอพานนั้น ลาหู่จะอาศัยอยู่รวมกันที่ ม.6 บ้านท่าฮ่อ ต.ทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย บ้านท่าฮ่อ มีการก่อตั้งมาแล้วประมาณ 80 ปี เดิมคนส่วนใหญ่อพยพมาจากตาบลสันกลาง อำเภอพาน อำเภอแม่สรวย ตำบลใกล้เคียง และจังหวัดลำปาง ระยะแรกมีอยู่ประมาณ 10 หลังคาเรือน ที่มาของชื่อบ้านท่าฮ่อ คือ ในสมัยก่อนได้มีการว่าจ้างชาวจีนฮ่อให้มาขุดคลองส่งน้ำในหมู่บ้าน และหัวหน้าชาวจีนฮ่อได้มาเสียชีวิตที่ท่าน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านท่าฮ่อ ประมาณปี พ.ศ.2549 มีชาวเขาอพยพย้ายเข้ามาอยู่ 21 หลังคาเรือน มีลีซอ 17 หลังคาเรือน และลาหู่ 4 หลัง มีองค์กรจากต่างประเทศเข้ามาให้การช่วยเหลือสนับสนุนเรื่องที่อยู่อาศัย มีการจัดสรรที่อยู่ จึงทำให้ชาวลาหู่อพยพเพิ่มขึ้น 24 หลังเรือน ชาวลาหู่กลุ่มนี้อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศพม่ามาอยู่ในประเทศไทยในอำเภอแม่สรวยเป็นระยะเวลา 20 กว่าปี ชาวลาหู่ต้องการที่จะสร้างอัตลักษณ์ให้กับชนเผ่าของตัวเอง โดยผ่านทางศูนย์วัฒนธรรมและมีความต้องการที่จะจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมลาหู่ที่รวบรวมไว้ในเรื่องของประเพณี วัฒนธรรม การละเล่นต่างๆ ที่แสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นประเพณีการฉลองข้าวใหม่ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคมของทุกปีวันคริสมาสต์ วันปีใหม่ รวมทั้งสิ่งของที่แสดงถึงความเป็น เอกลักษณ์ของลาหู่ เช่น ชุดประจาเผ่า เครื่องดนตรีต่างๆ และการละเล่นประจาเผ่า จึงเพื่อให้คนที่สนใจเข้ามาศึกษาและมีความสนใจที่จะดำเนินการจัดตั้งให้เป็นศูนย์วัฒนธรรมของลาหู่ เพื่อดำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (หน้า, 37-40)

Settlement Pattern

ชาวลาหู่ที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาเป็นลาหู่นะ สาเหตุที่ย้ายมาเนื่องมาจากอาศัยอยู่บนดอยและเป็นพื้นที่เสี่ยงเรื่องของยาเสพติด ประกอบกับการศึกษาที่เข้าไม่ถึงและสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ไม่สะดวกสบาย จึงมีการชักชวนอพยพย้ายถิ่นจากเดิมมีแค่ 4 ครัวเรือน แต่ปัจจุบันที่อาศัยอยู่บ้านท่าฮ่อ (ห้วยหลวง) มีสมาชิกทั้งหมด 30 ครัวเรือน โดยมีทั้งชาวลาหู่และชาวกะเหรี่ยง ชาวล่าหู่มีผู้นำคนสำคัญที่มีส่วนช่วยในการหาที่อยู่อาศัย คือ หมอศาสนา ที่คอยติดต่อประสานงานกับทางมูลนิธิของต่างชาติ เพื่อของบประมาณในการสนับสนุนเรื่องที่อยู่อาศัย แต่จะมีข้อที่น่าสังเกต คือ ยังไม่มีหน่วยงานในภาครัฐ เข้าไปช่วยเหลือ แต่จากการสอบถามชาวลาหู่ส่วนใหญ่ได้รับบัตรปะจาตัวประชาชนหมดทุกคน แต่ในพื้นที่บ้านท่าฮ่อ (ห้วยหลวง) ชาวลาหู่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้เป็นของตัวเอง ต้องอาศัยไฟฟ้าพ่วงสายจากบ้านกำนัน (หน้า, 50)

Demography

ชาย 497 คน หญิง 545 คน รวม 1,042 คน

Economy

ชาวลาหู่บ้านท่าฮ่อมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่โดยทั่วไปโดยการรับจ้างทั่วไป เช่น รับจ้างทั่วไป ถางที่ดิน เผาพื้นที่เนินเขาเพื่อเตรียมไร่ข้าวโพด ทำเกษตรกรรม เช่น ปลูกข้าวไว้บริโภคเองและขาย ชาวลาหู่จะรับจ้างหรือทาเกษตรกรรม (หน้า, 52)

Social Organization

ชุมชนชาวลาหู่บ้านท่าฮ่อมี 12 ไร่ 24 ครัวเรือน ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน ผู้ช่วยผู้นำชุมชน ประธานคริสตจักร ครูศาสนา สมาชิกในชุมชน สถานที่สำคัญสำหรับการทำกิจกรรมในชุมชน คือ โบสถ์ และสนามกีฬา (หน้า, 53)

Political Organization

ลักษณะทางสังคมลาหู่ในหมู่บ้านจะมีองค์ประกอบสาคัญ 3 ประการ ซึ่งชาวลาหู่เรียกว่า “แซะ คือ แซะ หละ” หมายถึงก้นเส้าที่มี 3 ขา 3 มือ จึงจะสามารถตั้งขึ้นอย่างมั่นคงได้ คือ 1) อาดอ, คะแซ หรือผู้ใหญ่บ้าน (ชาย) 2)โตโบ หรือ นักบวช พระ(ชาย) และ 3) จาหลี หรือ ช่างตีเหล็ก ผลิตและซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร (ชาย) หากหมู่บ้านใดไม่มีจะถือว่าไม่สมบูรณ์ หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ชาวลาหู่ถือว่าไม่ครบองค์ประกอบของการจัดตั้งหมู่บ้านและจะล่มสลายในที่สุด ปีหนึ่งๆ ทุกหลังคาเรือนจะต้องไปช่วยทางานให้แก่บุคคลทั้งสามคนนี้ เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ทาหน้าที่ให้เกิดความสงบร่มเย็น สงบสุข มีกินมีใช้ในหมู่บ้าน (หน้า, 42)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การละเล่น:ในเทศกาลปีใหม่ของชาวลาหู่จะมีการละเล่น การตีลูกข่าง โดยจะเล่นเฉพาะผู้ชายเท่านั้น การเล่นสะบ้า ทั้งสองการละเล่นนี้เป็นการละเล่นที่มีมาช้านานแล้ว ปัจจุบันจะเพิ่มในเรื่องของการแข่งกีฬา
ดนตรี:ชาวลาหู่เป็นชนเผ่าที่ชื่นชอบการเล่นดนตรีเป็นอย่างมาก โดยจะมีเครื่องดนตรีเฉพาะ คือ แคน กลองยาว ฆ้อง และฉาบ และจะมีการเต้นควบคู่กัน

Folklore

ตำนานที่มาของชาวลาหู่มีเรื่องเล่าว่า ก่อนที่จะมีลาหู่เกิดขึ้น มีมนุษย์เผ่าอื่นเกิดขึ้นก่อนแล้ว โดยเล่ากันว่า เผ่าลาหู่เป็นน้องในบรรดาเผ่ามนุษย์ที่มีโลกนี้ จุดที่ลาหู่เกิดขึ้นนั้นเล่ากันว่า มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่กับคนอื่นในหมู่บ้าน วันหนึ่งมีสัตว์ประหลาดเข้ามาในหมู่บ้าน สัตว์ตัวนั้นได้อาละวาดก่อกวนชาวบ้าน ชายที่ไม่มีใครทราบชื่อคนดังกล่าวได้ฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนั้น ผู้คนพากันแห่มาดูเพราะไม่เคยเห็นสัตว์ชนิดนั้น และโดยบังเอิญผู้คนเหล่านั้นได้พากันร้องคาว่า “ลา” พร้อมกันขึ้น “ลา” แปลตามภาษาลาหู่ว่า เสือ และต่อมามีคาคาหนึ่งดังขึ้นอีก คือ คำว่า “หู่” เป็นคาอุทาน แปลว่า “ช่างมันเถอะ” ชายคนนั้นจึงได้ชื่อมาโดยบังเอิญ ตามที่ผู้คนเหล่านั้นได้กล่าวคือ คาว่า “ลาหู่” ซึ่งคา 2 คานี้มารวมกันแล้วแปลว่า เสือผู้เฝ้าป่า โดดเดี่ยว ตามภาษาลาหู่
นอกจากนี้ ชาวลาหู่ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับแผ่นดินอันไร้ขอบเขต หมายถึง พื้นที่อันกว้างไกลไร้ขอบเขต พื้นที่นั้นเสือจะวิ่งหนีจากตัวเราหนึ่งวัน คืนวันรุ่งขึ้นยังสามารถมองเห็นเสือตัวนั้นอยู่ เหตุนี้ ชาวลาหู่จึงมีวิถีชีวิตสังคมที่มีความเป็นอิสระเสรีตามลักษณะพื้นถิ่นที่กำเนิด ลาหู่จึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความเป็นไท และมีสำนึกความเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเองในความเป็นคนอยู่เสมอ กล่าวคือ แผ่นดินไหนที่ข้าอยู่ แผ่นดินนั้นจะเป็นของข้าเช่นกัน ข้าจะปกป้องแผ่นดินที่ข้าอยู่ ถือว่าโลกทั้งโลกนี้ พระเจ้าสร้างให้กับคนทุกคน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในผืนแผ่นดิน สังคมลาหู่จึงเป็นสังคมที่ไม่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น เพราะถือว่าการเบียดเบียนผู้อื่นจะทาให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับเผ่าและอารยธรรมของลาหู่ว่า พระเจ้าได้เรียกมนุษย์ 120 เผ่าพันธุ์มาชุมนุมกัน เพื่อประทานสิ่งของวิเศษ 2 อย่างคือ ลา-พือ-ต่อ (คันไถ) และ เจ๊ะเจ-ตู (ขวาน) ให้แก่มนุษย์ทั้ง 120 เผ่า โดยให้แต่ละเผ่าเลือกตามความพอใจของตนได้ 3 ครั้ง มนุษย์เผ่าอื่นๆมักจะเลือกเอาคันไถ แต่สำหรับลาหู่ได้เลือกเอาขวานทั้ง 3 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่า ที่ราบที่นามีไม่มากเหมือนกับป่า แต่ป่านั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมากนัก ดังนั้นจึงขอเลือกเอาขวาน พระเจ้าจึงประทานขวานให้แก่ชาวลาหู่และตรัสว่า เจ้าจงใช้สิ่งของที่ข้าให้ไว้และรักษาไว้ให้ดี แล้วจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเจ้า และจะเป็นภัยแก่ตัวเจ้า หากเจ้าไม่รู้จักใช้ ลาหู่จึงรับเอาขวานแล้วเข้าป่าไปในที่สุด (หน้า, 40-42)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ การธำรงชาติพันธุ์ พลวัตและการเปลี่ยนแปลงทางชาติพันธุ์

Map/Illustration

ภาพ
        กระบวนการจัดการความรู้ในโมเดลของTurban และคณะ (หน้า,14)
        ประเพณีกินข้าวใหม่ การขอบคุณพระเจ้าภายในโบสถ์ (หน้า, 38)
        ประเพณีกินข้าวใหม่ของชาวลาหู่บ้านท่าฮ่อ (หน้า, 38)
        ข้าวใหม่ที่ใช้ในประเพณีกินข้าวใหม่ (หน้า, 38)
        แผนที่เดินดิน (หน้า, 41)
        ร่วมเก็บข้อมูลแผนที่หมู่บ้านร่วมกับชาวลาหู่ (หน้า, 42)
        ประเพณีกินข้าวใหม่ การขอบคุณพระเจ้าภายในโบสถ์ (หน้า, 46)

ตาราง
        ปฏิทิน 12 เดือน (หน้า, 35)

Text Analyst เอกรินทร์ พึ่งประชา Date of Report 12 ก.ค. 2564
TAG ลาหู่, ศูนย์วัฒนธรรม, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง