|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่, ศูนย์วัฒนธรรม, เชียงราย, ภาคเหนือ, ประเทศไทย |
Author |
อุสิธารา จันตาเวียง และคณะ |
Title |
การศึกษาศักยภาพของชุมชนเพื่อจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าลาหู่ บ้านท่าฮ่อ ตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
59 |
Year |
2555 |
Source |
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย |
Abstract |
ศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าลาหู่ บ้านท่าฮ่อ ตาบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ได้แก่ ศักยภาพด้านการดำรงวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม โครงสร้างทางสังคมและประวัติศาสตร์ ปัจจัยที่มีผลทำให้ชาวลาหู่เกิดศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรม คือ ประเพณีการกินข้าวใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวลาหู่ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และด้านการสนับสนุนขององค์กรต่างชาติที่จะช่วยเหลือในด้านงบประมาณ เช่น ที่ดิน การสร้างที่อยู่อาศัย ความเข้มแข็งในการรวมกลุ่มทางสังคมยังไม่เกิดการรวมกลุ่มที่เห็นเป็นรูปธรรมในเรื่องของวัฒนธรรมแต่การรวมกลุ่มส่วนใหญ่จะเห็นเด่นชัดในเรื่องของศาสนา |
|
Focus |
การวิจัยเรื่องนี้ให้ความสำคัญต่อการศึกษาศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผาลาหู่บ้านท่าฮ่อ ตาบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ตลอดจนศึกษาปัจจัยที่มีผลทำให้ชาวเขาเผ่าลาหู่เกิดศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ ชุมชนบ้านท่าฮ่อ ตำบลทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาประยุกต์แนวคิดทุนทางสังคม ทฤษฎีการมีส่วนร่วม การจัดการความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เป็นแนวทางสร้างกรอบความคิดในการวิเคราะห์แนวทางการศึกษาศักยภาพในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมของชาวเขาเผาลาหู่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Study Period (Data Collection) |
งานเอกสารย้อนหลังปี พ.ศ. 2500 ถึงปี พ.ศ. 2555 ส่วนงานภาคสนาม ปี พ.ศ. 2554-2555 |
|
History of the Group and Community |
ลาหู่ เป็นอีกหนึ่งชนเผ่าที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย จะกระจายตัวอยู่ตามจังหวัดตาก จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย ซึ่งทางเชียงรายก็มีชาวเขาเผ่าลาหู่ที่อาศัยอยู่เป็นจานวนมากในอาเภอเวียงป่าเป้า และอาเภอพาน ซึ่งในอาเภอพานนั้น ลาหู่จะอาศัยอยู่รวมกันที่ ม.6 บ้านท่าฮ่อ ต.ทรายขาว อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย บ้านท่าฮ่อ มีการก่อตั้งมาแล้วประมาณ 80 ปี เดิมคนส่วนใหญ่อพยพมาจากตาบลสันกลาง อำเภอพาน อำเภอแม่สรวย ตำบลใกล้เคียง และจังหวัดลำปาง ระยะแรกมีอยู่ประมาณ 10 หลังคาเรือน ที่มาของชื่อบ้านท่าฮ่อ คือ ในสมัยก่อนได้มีการว่าจ้างชาวจีนฮ่อให้มาขุดคลองส่งน้ำในหมู่บ้าน และหัวหน้าชาวจีนฮ่อได้มาเสียชีวิตที่ท่าน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อหมู่บ้านท่าฮ่อ ประมาณปี พ.ศ.2549 มีชาวเขาอพยพย้ายเข้ามาอยู่ 21 หลังคาเรือน มีลีซอ 17 หลังคาเรือน และลาหู่ 4 หลัง มีองค์กรจากต่างประเทศเข้ามาให้การช่วยเหลือสนับสนุนเรื่องที่อยู่อาศัย มีการจัดสรรที่อยู่ จึงทำให้ชาวลาหู่อพยพเพิ่มขึ้น 24 หลังเรือน ชาวลาหู่กลุ่มนี้อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากประเทศพม่ามาอยู่ในประเทศไทยในอำเภอแม่สรวยเป็นระยะเวลา 20 กว่าปี ชาวลาหู่ต้องการที่จะสร้างอัตลักษณ์ให้กับชนเผ่าของตัวเอง โดยผ่านทางศูนย์วัฒนธรรมและมีความต้องการที่จะจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมลาหู่ที่รวบรวมไว้ในเรื่องของประเพณี วัฒนธรรม การละเล่นต่างๆ ที่แสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นประเพณีการฉลองข้าวใหม่ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคมของทุกปีวันคริสมาสต์ วันปีใหม่ รวมทั้งสิ่งของที่แสดงถึงความเป็น เอกลักษณ์ของลาหู่ เช่น ชุดประจาเผ่า เครื่องดนตรีต่างๆ และการละเล่นประจาเผ่า จึงเพื่อให้คนที่สนใจเข้ามาศึกษาและมีความสนใจที่จะดำเนินการจัดตั้งให้เป็นศูนย์วัฒนธรรมของลาหู่ เพื่อดำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (หน้า, 37-40) |
|
Settlement Pattern |
ชาวลาหู่ที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาเป็นลาหู่นะ สาเหตุที่ย้ายมาเนื่องมาจากอาศัยอยู่บนดอยและเป็นพื้นที่เสี่ยงเรื่องของยาเสพติด ประกอบกับการศึกษาที่เข้าไม่ถึงและสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ไม่สะดวกสบาย จึงมีการชักชวนอพยพย้ายถิ่นจากเดิมมีแค่ 4 ครัวเรือน แต่ปัจจุบันที่อาศัยอยู่บ้านท่าฮ่อ (ห้วยหลวง) มีสมาชิกทั้งหมด 30 ครัวเรือน โดยมีทั้งชาวลาหู่และชาวกะเหรี่ยง ชาวล่าหู่มีผู้นำคนสำคัญที่มีส่วนช่วยในการหาที่อยู่อาศัย คือ หมอศาสนา ที่คอยติดต่อประสานงานกับทางมูลนิธิของต่างชาติ เพื่อของบประมาณในการสนับสนุนเรื่องที่อยู่อาศัย แต่จะมีข้อที่น่าสังเกต คือ ยังไม่มีหน่วยงานในภาครัฐ เข้าไปช่วยเหลือ แต่จากการสอบถามชาวลาหู่ส่วนใหญ่ได้รับบัตรปะจาตัวประชาชนหมดทุกคน แต่ในพื้นที่บ้านท่าฮ่อ (ห้วยหลวง) ชาวลาหู่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้เป็นของตัวเอง ต้องอาศัยไฟฟ้าพ่วงสายจากบ้านกำนัน (หน้า, 50) |
|
Demography |
ชาย 497 คน หญิง 545 คน รวม 1,042 คน |
|
Economy |
ชาวลาหู่บ้านท่าฮ่อมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่โดยทั่วไปโดยการรับจ้างทั่วไป เช่น รับจ้างทั่วไป ถางที่ดิน เผาพื้นที่เนินเขาเพื่อเตรียมไร่ข้าวโพด ทำเกษตรกรรม เช่น ปลูกข้าวไว้บริโภคเองและขาย ชาวลาหู่จะรับจ้างหรือทาเกษตรกรรม (หน้า, 52) |
|
Social Organization |
ชุมชนชาวลาหู่บ้านท่าฮ่อมี 12 ไร่ 24 ครัวเรือน ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน ผู้ช่วยผู้นำชุมชน ประธานคริสตจักร ครูศาสนา สมาชิกในชุมชน สถานที่สำคัญสำหรับการทำกิจกรรมในชุมชน คือ โบสถ์ และสนามกีฬา (หน้า, 53) |
|
Political Organization |
ลักษณะทางสังคมลาหู่ในหมู่บ้านจะมีองค์ประกอบสาคัญ 3 ประการ ซึ่งชาวลาหู่เรียกว่า “แซะ คือ แซะ หละ” หมายถึงก้นเส้าที่มี 3 ขา 3 มือ จึงจะสามารถตั้งขึ้นอย่างมั่นคงได้ คือ 1) อาดอ, คะแซ หรือผู้ใหญ่บ้าน (ชาย) 2)โตโบ หรือ นักบวช พระ(ชาย) และ 3) จาหลี หรือ ช่างตีเหล็ก ผลิตและซ่อมแซมอุปกรณ์การเกษตร (ชาย) หากหมู่บ้านใดไม่มีจะถือว่าไม่สมบูรณ์ หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ชาวลาหู่ถือว่าไม่ครบองค์ประกอบของการจัดตั้งหมู่บ้านและจะล่มสลายในที่สุด ปีหนึ่งๆ ทุกหลังคาเรือนจะต้องไปช่วยทางานให้แก่บุคคลทั้งสามคนนี้ เป็นการตอบแทนบุญคุณที่ทาหน้าที่ให้เกิดความสงบร่มเย็น สงบสุข มีกินมีใช้ในหมู่บ้าน (หน้า, 42) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การละเล่น:ในเทศกาลปีใหม่ของชาวลาหู่จะมีการละเล่น การตีลูกข่าง โดยจะเล่นเฉพาะผู้ชายเท่านั้น การเล่นสะบ้า ทั้งสองการละเล่นนี้เป็นการละเล่นที่มีมาช้านานแล้ว ปัจจุบันจะเพิ่มในเรื่องของการแข่งกีฬา
ดนตรี:ชาวลาหู่เป็นชนเผ่าที่ชื่นชอบการเล่นดนตรีเป็นอย่างมาก โดยจะมีเครื่องดนตรีเฉพาะ คือ แคน กลองยาว ฆ้อง และฉาบ และจะมีการเต้นควบคู่กัน |
|
Folklore |
ตำนานที่มาของชาวลาหู่มีเรื่องเล่าว่า ก่อนที่จะมีลาหู่เกิดขึ้น มีมนุษย์เผ่าอื่นเกิดขึ้นก่อนแล้ว โดยเล่ากันว่า เผ่าลาหู่เป็นน้องในบรรดาเผ่ามนุษย์ที่มีโลกนี้ จุดที่ลาหู่เกิดขึ้นนั้นเล่ากันว่า มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่กับคนอื่นในหมู่บ้าน วันหนึ่งมีสัตว์ประหลาดเข้ามาในหมู่บ้าน สัตว์ตัวนั้นได้อาละวาดก่อกวนชาวบ้าน ชายที่ไม่มีใครทราบชื่อคนดังกล่าวได้ฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนั้น ผู้คนพากันแห่มาดูเพราะไม่เคยเห็นสัตว์ชนิดนั้น และโดยบังเอิญผู้คนเหล่านั้นได้พากันร้องคาว่า “ลา” พร้อมกันขึ้น “ลา” แปลตามภาษาลาหู่ว่า เสือ และต่อมามีคาคาหนึ่งดังขึ้นอีก คือ คำว่า “หู่” เป็นคาอุทาน แปลว่า “ช่างมันเถอะ” ชายคนนั้นจึงได้ชื่อมาโดยบังเอิญ ตามที่ผู้คนเหล่านั้นได้กล่าวคือ คาว่า “ลาหู่” ซึ่งคา 2 คานี้มารวมกันแล้วแปลว่า เสือผู้เฝ้าป่า โดดเดี่ยว ตามภาษาลาหู่
นอกจากนี้ ชาวลาหู่ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับแผ่นดินอันไร้ขอบเขต หมายถึง พื้นที่อันกว้างไกลไร้ขอบเขต พื้นที่นั้นเสือจะวิ่งหนีจากตัวเราหนึ่งวัน คืนวันรุ่งขึ้นยังสามารถมองเห็นเสือตัวนั้นอยู่ เหตุนี้ ชาวลาหู่จึงมีวิถีชีวิตสังคมที่มีความเป็นอิสระเสรีตามลักษณะพื้นถิ่นที่กำเนิด ลาหู่จึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความเป็นไท และมีสำนึกความเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเองในความเป็นคนอยู่เสมอ กล่าวคือ แผ่นดินไหนที่ข้าอยู่ แผ่นดินนั้นจะเป็นของข้าเช่นกัน ข้าจะปกป้องแผ่นดินที่ข้าอยู่ ถือว่าโลกทั้งโลกนี้ พระเจ้าสร้างให้กับคนทุกคน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในผืนแผ่นดิน สังคมลาหู่จึงเป็นสังคมที่ไม่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น เพราะถือว่าการเบียดเบียนผู้อื่นจะทาให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับเผ่าและอารยธรรมของลาหู่ว่า พระเจ้าได้เรียกมนุษย์ 120 เผ่าพันธุ์มาชุมนุมกัน เพื่อประทานสิ่งของวิเศษ 2 อย่างคือ ลา-พือ-ต่อ (คันไถ) และ เจ๊ะเจ-ตู (ขวาน) ให้แก่มนุษย์ทั้ง 120 เผ่า โดยให้แต่ละเผ่าเลือกตามความพอใจของตนได้ 3 ครั้ง มนุษย์เผ่าอื่นๆมักจะเลือกเอาคันไถ แต่สำหรับลาหู่ได้เลือกเอาขวานทั้ง 3 ครั้ง โดยให้เหตุผลว่า ที่ราบที่นามีไม่มากเหมือนกับป่า แต่ป่านั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลมากนัก ดังนั้นจึงขอเลือกเอาขวาน พระเจ้าจึงประทานขวานให้แก่ชาวลาหู่และตรัสว่า เจ้าจงใช้สิ่งของที่ข้าให้ไว้และรักษาไว้ให้ดี แล้วจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเจ้า และจะเป็นภัยแก่ตัวเจ้า หากเจ้าไม่รู้จักใช้ ลาหู่จึงรับเอาขวานแล้วเข้าป่าไปในที่สุด (หน้า, 40-42) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ให้รายละเอียดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ ความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ การธำรงชาติพันธุ์ พลวัตและการเปลี่ยนแปลงทางชาติพันธุ์ |
|
Map/Illustration |
ภาพ
กระบวนการจัดการความรู้ในโมเดลของTurban และคณะ (หน้า,14)
ประเพณีกินข้าวใหม่ การขอบคุณพระเจ้าภายในโบสถ์ (หน้า, 38)
ประเพณีกินข้าวใหม่ของชาวลาหู่บ้านท่าฮ่อ (หน้า, 38)
ข้าวใหม่ที่ใช้ในประเพณีกินข้าวใหม่ (หน้า, 38)
แผนที่เดินดิน (หน้า, 41)
ร่วมเก็บข้อมูลแผนที่หมู่บ้านร่วมกับชาวลาหู่ (หน้า, 42)
ประเพณีกินข้าวใหม่ การขอบคุณพระเจ้าภายในโบสถ์ (หน้า, 46)
ตาราง
ปฏิทิน 12 เดือน (หน้า, 35) |
|
|