|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่ สิทธิ ป่า เชียงราย ภาคเหนือ ประเทศไทย |
Author |
สมบัติ บุญคำเยือง |
Title |
ปัญหาการนิยามความหมายของป่า และการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่: กรณีศึกษาชาวลาหู่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
223 |
Year |
2540 |
Source |
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
การสร้างความจริงและการนิยามความหมายต่อพื้นที่ เป็นเรื่องยุทธศาสตร์อย่างหนึ่งของอำนาจและความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่สามารถปกปิดการปฏิบัติการจริงอำนาจเหนือพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ในสังคมโลกปัจจุบันการแสดงอำนาจเหนือพื้นที่และควบคุมจัดการทรัพยากรที่แสดงออกด้วยการใช้กำลังและความรุนแรง ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมและการยอมรับ จากผู้ถูกกระทำและประชาคมโลก ดังนั้น การปฏิบัติการจริงของอำนาจเหนือพื้นที่ของกลุ่มพลังอำนาจแต่ละกลุ่ม จึงมุ่งใช้ยุทธศาสตร์ของอำนาจที่ปกปิดความต้องการที่แท้จริง ดังกรณี การสร้างความจริงและนิยามความหมายต่อพื้นที่รัฐมอบให้กับผู้ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หากทว่า ในมิติของอำนาจและบริบทของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ การสร้างความชอบธรรมในการแสดงสิทธิครอบครองและความเป็นเจ้าของต่อพื้นที่ ในฐานะทรัพย์สินของบุคคลและครอบครัว ส่วนหน่วยงานของรัฐและโครงการขององค์กรพัฒนาเอกชนชาวเขา ซึ่งสร้างความจริงและนิยามความหมายต่อพื้นที่ในฐานะเขตที่ป่าอนุรักษ์ แต่นัยสำคัญที่ลึกลงไปคือ การสร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติการจริงของอำนาจเหนือพื้นที่ เช่น การกำหนดเขตที่ป่าอนุรักษ์ การปลูกสร้างสวนป่าและการควบคุมการใช้พื้นที่เพื่อการผลิต เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน การสร้างความจริงและการนิยามความหมายต่อพื้นที่ของชาวลาหู่ นอกจากนี้ มีความหมายในฐานะ “พื้นที่ป่าอนุรักษ์” แล้ว ความจริงและความหมายของพื้นที่ดังกล่าว ยังสะท้อนนัยสำคัญถึงการต่อสู่เพื่อสร้างความมั่นใจต่อความมั่นคงของชีวิตด้วย ส่วนการต่อสู้เชิงการนิยามความหมายต่อพื้นที่ ความจริงและความหมายของพื้นที่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย ในทางตรงกันข้าม สิ่งทีเรียกว่า “ความจริง” และ “ความหมาย” ของพื้นที่ กลับเป็นเรื่องของการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจในการผลิตหรือสร้างความจริงและนิยามความหมายต่อพื้นที่นั้น ความหมายของความจริงของพื้นที่จะเป็นความจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระบบของอำนาจ และการปฏิบัติการจริงของอำนาจในการผลิตสร้าง กำกับ ควบคุม และแจกจ่ายความหมายของความจริงนั้น ในกรณีของชาวลาหู่ การนิยามความหมายต่อพื้นที่ ไม่เป็นเพียงการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจ เพื่อสร้างความเป็นจริงของพื้นที่ตามสภาพภูมิศาสตร์กายภาพ สำหรับแสดงอำนาจเหนือพื้นที่และควบคุมจัดการทรัพยากรแล้ว หากยังมีนัยสำคัญถึง การสร้างความจริงต่อพื้นที่ในฐานะ “ระบบสัญลักษณ์” เพื่อแสดงออกถึง สิทธิในการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในความเป็นคน หรือสิทธิในความเป็นพลเมืองของรัฐชาติ และยังเป็นการสร้างความมั่นใจต่อ ความมั่นคงของชีวิต และความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคม รวมทั้งความมั่นใจต่อตำแหน่งแห่งที่ของชีวิต ทั้งใน “โลกนี้” และ “โลกหน้า” ด้วย นอกจากนี้ การสร้างความจริงและการนิยามความหมายต่อพื้นที่เป็น “เวทีการต่อสู้” เพื่อสร้างความเป็นตัวตนของทางชาติพันธุ์ กล่าวคือ ภายใต้เงื่อนไขการแผ่ขยายโครงสร้างอำนาจรัฐและระบบตลาด ชาวลาหู่ไม่เพียงแต่ถูกแย่งยึดพื้นที่ในฐานะปัจจัยทางการผลิต และผนวกกลืนแบบแผนทางชาติพันธุ์ และความเป็นตัวตนทางเศรษฐกิจสังคมแล้ว หากยังถูกทำลายความมั่นใจต่อความเป็นชาติพันธุ์ และความเป็นตัวตนทางชาติพันธุ์ด้วย แต่ด้วยเทคนิควิทยาของการสร้างความเป็นตัวตน ในบริบทและเงื่อนไขดังกล่าว การดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์พื้นที่ป่า จึงถูกชาวลาหู่สร้างความจริงต่อพื้นที่ในฐานะพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และนิยามความหมายต่อตนเองในฐานะ “ชาวไทยลาหู่ผู้อนุรักษ์” เพื่อสร้างความมั่นใจต่อความมั่นคงของตำแหน่งแห่งที่ของชีวิตของตนเองในระบบเศรษฐกิจสังคม การเมืองวัฒนธรรมแบบใหม่ |
|
Focus |
ปัญหาการช่วงชิงอำนาจในการสร้างความจริงและการนิยามความหมายต่อป่า ระหว่างกลุ่มพลังอำนาจ ในเขตพื้นที่แนวชายแดนไทย-พม่า การศึกษานี้มุ่งศึกษาถึงเทคนิควิทยาของอำนาจและการปฏิบัติการจริงของอำนาจในการสร้างความจริงและนิยามความหมายต่อป่า โดยให้ความหมายถึงอำนาจการกระทำบางอย่างเพื่อเปิดสร้างโอกาสและความเป็นไปได้ให้เกิดการกระทำบางอย่างบางประการ สำหรับกระทำกำหนด กำกับควบคุมความจริงและความหมายของป่า ซึ่งถูกสร้างและนิยาม โดยให้ความสำคัญกับ 1)บริบทและเงื่อนไขของการช่วงชิงอำนาจในการสร้างความจริงและการนิยามความหมายต่อพื้นที่ป่า ระหว่างกุ่มอำนาจที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในพื้นที่คือ หน่วยงานของรัฐองค์กรพัฒนาเอกชน กองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อย และองค์กรของชาวลาหู่ 2) การปฏิบัติการของอำนาจของกลุ่มพลังอำนาจที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยเฉพาะการปฏิบัติการจริงของอำนาจในการสร้างและการกำกับควบคุม ความจริงและความหมายของพื้นที่ป่าที่ถูกสร้างและนิยาม 3) การปรับเปลี่ยนความจริงและความหมายของพื้นที่ป่าของกลุ่มพลังอำนาจ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวลาหู่ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย และดูเหมือนว่าเป็นกลุ่มคนที่ด้วยพลังอำนาจมากกว่ากลุ่มพลังอำนาจอื่น |
|
Theoretical Issues |
งานศึกษานี้ ได้จัดแบ่งและทบทวนงานศึกษาและทฤษฏีที่เกี่ยวข้องเป็น 3 ประเด็นสำคัญคือ 1) ชาวเขาในประเทศไทยกับการนิยามหมายต่อป่า 2) นิเวศวิทยาการเมืองกับปัญหาการแย่งชิงอำนาจในการควบคุ่จัดการทรัพยากร 3) การสร้างความจริงและการนิยามความหมาย กับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
เดิม ชาวลาหู่รวมตัวเป็นชุมชนขนาดเล็กจำนวน 5-6 หลังคาเรือน อพยพเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ในเขตต้นน้ำแม่จัน-แม่สะลองมานานมากกว่า 3-4 ชั่วอายุคน บางพื้นที่ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าว อาจจะตั้งชุมชนบ้านเรือน อยู่อาศัยติดต่อกันเป็นเวลานับ 10 ปี แต่บางพื้นที่อาจจะอยู่ประมาณ 3 เดือน ต้องโยกย้ายหาถิ่นที่อยู่แห่งใหม่ และมีบางครั้ง บางครอบครัวอาจจะแยกตัวออกจากชุมชน ไปตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางไร่หรือกลางหุบเขาห่างไกลผู้คน แต่ในช่วง 2-3 ปีต่อมา กลุ่มเพื่อนบ้านญาติพี่น้องค่อยๆ อพยพโยกย้ายมาตั้งบ้านเรือนสมทบปีละ 1-2 หลังคาเรือน จนในที่สุดกลายเป็นชุมชนขนาด 15-20 หลังคาเรือน จนถึง 40 หลังคาเรือน เช่น บ้านจะอื่อหลวง (เก่า) บ้านจะบูสี (เก่า) บ้านจะคาต่อ (แฮก่วย) เป็นต้น ในด้านที่กลับกันในบางปีบางครัวเรือนอาจจะอพยพโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่พอเวลาล่วงเลยไป 2-3 ปี ครัวเรือนดังกล่าวก็กลับมาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ถิ่นเดิม (หน้า, 39-40) |
|
Settlement Pattern |
บ้านจะกอนะซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาริมฝั่งแม่น้ำฮาฮุ (ต้นน้ำแม่จัน-แม่สะลอง) ที่ตั้งหมู่บ้านอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร ก่อนปี พ.ศ. 2530 การคมนาคมติดต่อระหว่างชุมชนกับสังคมภายนอกเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องใช้การเดินเท้าเป็นหลัก ช่วงต่อมาในปี พ.ศ. 2517-2518 หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ (นพค.) กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้สร้างถนนสายบ้านป่าซาง-ดอยแม่สะลอง ชาวลาหู่จึงเดินทางติดต่อกับ อำเภอแม่จันได้สะดวกมากกว่าเดิม แต่ทั้งนี้ก็ต้องเดินเท้าประมาณ 2-3 ชั่วโมง (10-12 กิโลเมตร) จากหมู่บ้านมาขึ้นรถโดยสารที่ดอยแมะสะลอง หรือถ้าไปอำเภอฝางก็ต้องเดินเท้าประมาณ 1-2 ชั่วโมง ไปขึ้นรถโดยสารที่บ้านหัวเมืองงาม ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และด้านทิศใต้ของหมู่บ้านมีแนวภูเขาสูงล้อมรอบทั้ง 3 ด้าน แต่ในด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้มีช่องเขาเปิดเล็กๆ ซึ่งช่วยทำให้กระแสลมพัดผ่านสม่ำเสมอ และล่งผลให้ภูมิอากาศของหมู่บ้านเย็นสบายตลอดทั้งปี ประกอบพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมทำให้ภูมิอากาศบนยอดเขาเย็น และถ่ายเทสู่หมู่บ้าน ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาและไม่มีต้นไม้มาก ส่วนทางทิศเหนือของหมู่บ้านเป็นภูเขาไม่สูงชัน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้านจะกอนะ บ้านรวมใจ บางส่วนเป็นพื้นที่ปลูกป่าเฉลิมพระเกียติ พื้นที่ส่วนน้อยเป็นพื้นที่ทำกินของชาวบ้านแสนใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านจะกอนะประมาณ 3-4 กิโลเมตร ด้านทิศใต้ของหมู่บ้านเป็นพื้นที่สูงชัน ไม่เหมาะสมสำหรับทำการเกษตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ แต่มีพื้นที่ใกล้หมู่บ้านบางส่วนซึ่งก่อนปี พ.ศ. 2530 เคยเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่น และพืชผักในฤดูหนาวของชุมชน ในปัจจุบันได้ปล่อยพื้นที่ให้เป็นป่าอนุรักษ์ อย่างไรก็ตามพื้นที่ป่าในเขตนี้ ก็มีความสำคัญในฐานะเป็นแหล่งไม้ฟืนและใช้สอย ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นพื้นที่ทำนา ทำไร่และทำสวน พื้นที่บางส่วนอยู่ภายใต้การครอบครองของชาวบ้านจะกอนะ บางส่วนอยู่ในความครอบครองของชาวลาหู่ และชาวจีนฮ่อบ้านฉั่งหยิ่งตุง และบ้านรวมใจ ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชนบ้านจะกอนะ ตามระยะทางเดินเท้าประมาณ 1, 2 กิโลเมตรตามลำดับ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่ราบติดแม่น้ำฮาฮุ พื้นที่แทบทั้งหมดเป็นพื้นที่ทำนาของชาวบ้านจะกอนะ ในทิศนี้ยังมีถนนลำลองระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นเส้นทางติดต่อระหว่างหมู่บ้านกับสังคมภายนอก โดยไปบรรจบกับถนนสายแม่สะลอง-กิ่วสะไตที่บ้านรวมใจ ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นเนินเขาที่ค่อยสูงขึ้น พื้นที่ใกล้หมู่บ้านเป็นสวนผลไม้เมืองหนาว (บ๊วย, ท้อ, พลับ) และยังมีเส้นทางเดินเท้าจากหมู่บ้านไปออกกถนนสายแม่จัน-บ้านท่าตอน กล่าวคือ ถ้าเดินตรงไประยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ถึงบ้านอาซู ซึ่งมีถนนสายแม่จัน-บ้านท่าตอนอยู่ใกล้ ถ้าเลี้ยวซ้ายประมาณ 8 กิโลเมตรถึงบ้านสันติสุข ซึ่งมีถนนสายดังกล่าวผ่านกลางหมู่บ้าน ถ้าเลี้ยวขวาบ้านฮาฮุเก่าระยะทางเดินประมาณ 4 กิโลเมตร จะพบถนนสายแม่จัน-บ้านท่าตอน สำหรับทิศตะวันตกของหมู่บ้าน เป็นเขตต้นน้ำฮาฮุ ลักษณะภูมิศาสตร์ทางกายภาพของพื้นที่แทบทั้งหมดเป็นภูเขาหินสูงชัน มีพืชพันธุ์ไม้สำคัญคือ ไม่เนื้อแข็งตระกูลไม้ก่อและไม้สนขึ้นอยู่ทั่วไป พื้นที่ดังกล่าว ไม่มีความเหมาะสมสำหรับทำการเกษตร ในอดีตพื้นที่เขตป่าด้านนี้จะเป็นพื้นที่หาของป่า (ตัวต่อและน้ำผึ้ง) เก็บผัก ล่าสัตว์ รวมทั้งเป็นแหล่งเก็บสมุนไพรของชุมชน ปัจจุบัน ชุมชนกำหนดให้พื้นที่ป่าเป็นเขตที่ป่าอนุรักษ์ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 7,000 ไร่ และเป็นผืนป่าติดกับป่าใหญ่ในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า จากการอนุรักษ์พื้นที่ป่าในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ชาวลาหู่เชื่อว่า พื้นที่ป่าอนุรักษ์นี้เป็นพื้นที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก เมื่อเปรียบเทียบกับผืนป่าอื่นในเขตต้นน้ำแม่จัน-แม่สะลอง (หน้า, 39-40) |
|
Social Organization |
โปรดศึกษารายละเอียดหัวข้อ ลักษณะการปกครองในท้องถิ่น ที่ทำการวิจัย |
|
Political Organization |
ในบริบทของการแผ่ขยายโครงสร้างอำนาจรัฐและระบบทุนนิยมโลก ปรากฏการณ์ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในชุมชนโลกปัจจุบัน จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาในมิติของอำนาจและในบริบทของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ส่วนความสัมพันธ์เชิงอำนาจจะพิจารณาจากผลผลิตสร้างกำกับควบคุมและแจกจ่ายสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” และ “ความหมาย” ความจริงและความหมายนี้ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่เป็นความจริงและความหมายที่สังคมสร้างขึ้น โดยนัยสำคัญดังกล่าว ปัญหาความสัมพันธ์ทางสังคม รวมทั้งปัญหาความขัดแย้ง และการแย่งชิงอำนาจควบคุมจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยความหมายที่ลึกลงไปแล้วคือ ความไม่สอดคล้องของการสร้างความจริง และการนิยามความหมายต่อความจริง หรือทรัพยากรธรรมชาติ ระหว่างกลุ่มพลังอำนาจที่มีประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรมและแบบแผนการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน ในสภาวะวิกฤติของระบบธรรมชาติและวิกฤติปัญหาของสังคมมนุษย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่กลุ่มคนในสังคมต้องร่วมกันตรวจสอบสิ่งที่เรียกว่า “ความรู้” และ “ความจริงของสังคม” ตลอดจนต้องตรวจสอบหลักการหรือข้ออ้างของความชอบธรรมในการปฏิการจริงของอำนาจในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะหลักและข้ออ้างที่เรียกว่า “การพัฒนา” และ “การจัดการศึกษา” เพราะการตรวจสอบดังกล่าวจะนำมาซึ่งความเข้าใจถึง ความชอบธรรมของโครงสร้าง และสถาบันทางสังคมโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงสร้างและสถาบันที่ผลิตสร้าง กำกับควบคุมและแจกจ่ายสิ่งที่เรียกว่า “ความรู้” และ “ความจริง”โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างและสถาบันที่เรียกว่า “การปกครอง” และ “การศึกษา” และ “การแพทย์” หรือโครงสร้างและสถาบันอื่นที่จะกัดควบคุมสิทธิเสรีภาพ หรือโครงสร้างและสถาบันที่ลดทอนและทำลายคุณค่าของศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ โดยการตรวจสอบเช่นนี้ ในที่สุดแล้วสังคมจะเข้าใจถึงมายาภาพ ซึ่งบิดเบือนและปิดบังความสัมพันธ์ที่เสมอภาคระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับธรรมชาติ (หน้า, 42; 206-207) |
|
Other Issues |
ประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่เน้นในงานศึกษาวิจัย นอกเหนือจากหัวข้อที่กำหนดไว้ |
|
Map/Illustration |
แผนที่
สภาพพื้นที่อำเภอแม่จัน กิ่งอำเภอแม่ฟ้าหลวง และพื้นที่ศึกษา (พ.ศ. 2539) (หน้า, 40)
การเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ของชาวลาหู่ก่อนปี พ.ศ. 2504 (หน้า, 71)
การเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ของชาวลาหู่ในช่วง พ.ศ. 2504-2513 (หน้า, 86)
การเคลื่อนย้ายที่ตั้งบ้านเรือนของชาวลาหู่ในช่วงปี พ.ศ. 2514-2524 (หน้า, 84)
การทับซ้อนของพื้นที่ทำกินของชาวจีนฮ่อและชาวลาหู่ (หน้า, 91)
การขยายอำนาจรัฐจากการพัฒนาการคมนามคมในช่วงปี พ.ศ. 2516-2528 (หน้า, 133)
การขายอำนาจจากการพัฒนาการคมนาคมในช่วงปี พ.ศ. 2530-ปัจจุบัน (หน้า,134)
การจัดจำแนกประเภทพื้นที่เขตต้นน้ำแม่จัน-แม่สะลองในปี พ.ศ. 2540 (หน้า, 136)
การจำแนกพื้นที่ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของชาวลาหู่ (หน้า,172)
แผนภาพ
ระบบการใช้พื้นที่เพื่อการเพาะปลูกของชาวลาหู่ก่อนปี พ.ศ. 2504 (หน้า, 72)
ระบบการใช้พื้นที่เพื่อเพาะปลูกของชาวลาหู่ในช่วงปี พ.ศ. 2515-2527 (หน้า, 88)
ขยายตัวของการเกษตรยั่งยืนของชาวลาหู่ในช่วงปี พ.ศ. 2533-2537 (หน้า,151)
ตาราง
ภาวการณ์ชื้อขายสิทธิการใช้ที่ดินของชาวลาหู่ในช่วงปี 2531-2540 (หน้า, 152)
รายได้และสถานที่ทำงานรับจ้างของชาวลาหู่ในช่วงปี 2538-2540 (หน้า,159) |
|
|