สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่ สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เชียงใหม่ ภาคเหนือ ประเทศไทย
Author ลลิตา จรัสกร
Title สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่และการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 214 Year 2557
Source มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

เรือนลาหู่สามารถจำแนกตามลักษณะทางกายภาพนอกของเรือนได้เป็น 4 ประเภท คือ 1) เรือนแบบดั้งเดิม 2) เรือนแบบดั้งเดิมใช้วัสดุผสมผสาน 3)เรือนแบบประยุกต์หรือต่อเติม และ 4) เรือนแบบสมัยใหม่ ในเรือนแบบดั้งเดิมมีลักษณะเด่นเฉพาะตัวสะท้อนสู่รูปทรง ขนาด สัดส่วน พื้นที่การใช้งาน และวัสดุที่นำมาใช้ ซึ่งแฝงไปด้วยภูมิปัญญา วิถีชีวิต และความเชื่อ โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงอยู่ซึ่งอัตลักษณ์ของเรือนลาหู่ แต่ในปัจจุบันเรือนลาหู่มีรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  เนื่องมาจากปัจจัยทั้งภายในและปัจจัยภายนอก ที่เห็นได้ชัดคือ การรับเอากระแสวัตถุนิยมในการแสวงหาความมั่นคงทางวัตถุเพิ่มขึ้น ส่งผลก่อให้เกิดการกลายรูปของรูปแบบเรือนพื้นถิ่นลาหู่

Focus

งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งหาอัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่ ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของลักษณะที่อยู่อาศัยและแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของงานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น  

Theoretical Issues

รวบรวมและวิเคราะห์มุมมองผ่านงานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นเพื่อจัดระบบอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ผ่านเรือนพื้นถิ่น  

Study Period (Data Collection)

2556-2557 

History of the Group and Community

ชาวลาหู่มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ต่อมาประเทศจีนเกิดสงคราม ชีวิตความเป็นอยู่ไม่สงบสุข จึงอพยพลงมาทางตอนใต้ เข้ามาอยู่ในประเทศพม่าได้หนึ่งยุค ต่อมาได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยมาอยู่ที่ดอยสามจุก ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างพม่ากับไทย ก่อนอพยพมาอยู่ที่ดอยลานได้พักหนึ่ง ก่อนอพยพถิ่นฐานมาอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อยู่ได้ประมาณ 20 ปี ชาวลาหู่บางกลุ่มเกิดความคิดขึ้นมาว่า สถานที่อื่นน่าจะมีความสมบูรณ์กว่า จึงแยกย้ายกันไปตามพื้นที่ต่างๆ เช่น อำเภออมก๋อย อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย และอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่อำเภอแม่สอดจังหวัดตากส่วนชาวบ้านห้วยน้ำรินได้อพยพมาจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หลังจากนั้น ปี พ.ศ. 2495 จึงย้ายมาอยู่ที่บ้านแม่สอยลา จังหวัดลำปางแล้วย้ายมาที่บ้านแม่โถ ปี พ.ศ. 2505 ประมาณ 10 ปี ชาวบ้านคิดว่าอยู่ห่างไกลความเจริญเกินไป จึงพากันไปอยู่ที่บ้านดอยมด ปี พ.ศ. 2513 อยู่ได้ประมาณ 15 ปี เกิดความขัดแย้งกันในหมู่บ้าน จึงแตกออกเป็น 5 หมู่บ้าน คือ บ้านห้วยน้ำริน บ้านห้วยม่วง บ้านดอยมด บ้านแสนเจริญ และบ้านห้วยโป่ง สำหรับหมู่บ้านห้วยน้ำริน มาตั้งหมู่บ้านในปี พ.ศ. 2519 ปัจจุบันมีอายุ 38 ปี ประชากรส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าลาหู่เซเลทั้งหมด มีจำนวนประมาณ 450 คน มีจำนวนบ้าน 89 หลังคาเรือน (หน้า, 58-59)

Settlement Pattern

โปรดศึกษาหัวข้อ Community Site and Environment และ History of the Group and community

Economy

เดิม ชาวลาหู่บ้านขอบด้งมีรายได้หลักจากการปลูกฝิ่นขาย ต่อมาฝิ่นถือว่าเป็นพืชที่ผิดกฎหมายชาวบ้านจึงยกเลิกการปลูกฝิ่นและหันมาทำการเกษตรชนิดอื่นแทน โดยในปี พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งสถานีเกษตรหลวงอ่างขางขึ้นบริเวณบ้านคุ้มในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ เพื่อช่วยเหลือและส่งเสริมชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ชุมชนบนพื้นที่สูงโดยการเข้ามาให้ความรู้และพัฒนาพืชผลทางการเกษตรให้แก่ชาวบ้าน หมู่บ้านขอบด้งได้รับการส่งเสริมจากสถานีเกษตรหลวงอ่างขางให้มีการปลูกไม้ผลเมืองหนาว เช่น สตอเบอรี่ บ๊วย ท้อ เมื่อชาวบ้านได้ผลผลิตมาจะส่งไปขายให้กับโครงการหลวง ถือเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้ให้กับชาวลาหู่ ทำให้หมู่บ้านมีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ลาหู่บ้านขอบด้งมีการปลูกข้าวไร่ไว้บริโภคในครัวเรือน ปลูกผัก เช่น ข้าวโพด ฟักทอง เอาไว้เลี้ยงสัตว์ เพราะลาหู่นิยมเลี้ยงหมูและไก่ไว้ใช้ในการประกอบพิธีที่สำคัญ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีวันขึ้นปีใหม่ ส่วนอาชีพเสริมอื่นๆ ที่สร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้าน คือ การทำกำไลหญ้าอิบูแค โดยชาวบ้านไปเรียนวิธีการทำมาจากโครงการหัตถกรรมมูลนิธิของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มาถักเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กำไลข้อมือ ตุ๊กตา และกิ๊บติดผมและกระเป๋า จำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในหมู่บ้าน เป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่งที่สร้างมูลค่าให้แก่ชาวบ้าน ส่วนเศรษฐกิจหลักของลาหู่บ้านห้วยน้ำรินจะขึ้นอยู่กับการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยในปี พ.ศ. 2498 ช่วงที่ยังอยู่บริเวณบ้านแม่โถ ซึ่งอยู่เหนือบ้านห้วยน้ำรินในปัจจุบัน ได้มีการปลูกพืชที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวไร่ ข้าวโพด และฝิ่น แต่เนื่องจากสภาพของบ้านแม่โถไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไร่ เพราะบริเวณนั้น มีอากาศหนาวเกินไป ผลผลิตที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่พื้นที่บ้านแม่โถเหมาะสมกับการปลูกฝิ่นมากกว่าทำให้ชาวบ้านเริ่มหาพื้นที่ในการเพาะปลูกใหม่ ซึ่งพื้นที่ใหม่อยู่ต่ำลงมาจากหมู่บ้านเดิม คือ หมู่บ้านดอยมดในปัจจุบัน ผลผลิตจากการปลูกข้าวไร่และข้าวโพดในพื้นที่ใหม่ได้ผลดี แต่ประสบปัญหาเรื่องการขนส่งเนื่องจากพื้นที่บ้านดอยมดอยู่ห่างจากชุมชนบ้านแม่โถประมาณ 7 กิโลเมตร ชาวบ้านยงไม่สามารถหาพาหนะในการขนส่งผลผลิตได้ ทำให้ชาวบ้านตัดสินใจย้ายหมู่บ้านไปอยู่ที่บ้านป่าลาน อำเภอพร้าว ในปี พ.ศ. 2510 ในพื้นที่ป่าลานนี้มีชาวเขาเผ่าม้งและกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เกิดปัญหาการแย่งพื้นที่ทำกินกันชาวลาหู่จึงย้ายหมู่บ้านมาตั้งที่บ้านห้วยน้ำรินในปัจจุบัน จวบจนปี พ.ศ. 2517 กรมประชาสงเคราะห์เข้ามาส่งเสริมให้ชาวบ้านห้วยน้ำรินมีการปลูกถั่วแดงแทนการปลูกฝิ่นที่ถือเป็นพืชผิดกฎหมาย แต่ผลผลิตยังไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากชาวบ้านยังขาดความรู้และทักษะในการปลูกถั่วแดง หลังจากนั้น ปี พ.ศ. 2521 มีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยน้ำริน เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนลดการปลูกฝิ่น และเริ่มมีการส่งเสริมการเพาะปลูกการเกษตรใหม่ๆทั้งการปลูกไม้ผล และไม้ดอก เช่น พลับ ท้อ บ๊วย และไม้ดอกเฟริน์ เป็นต้น นอกจากปลูกพืชเป็นอาชีพหลักแล้ว ลาหู่บ้านห้วยน้ำรินยังมีอาชีพเสริมอื่นๆ เช่น การรับจ้าง ค้าขายและการเลี้ยงสัตว์ได้แก่ หมูและไก่ ไว้เพื่อประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีและเพื่อการบริโภคอีกด้วย (หน้า, 79-80)

Social Organization

ระบบเครือญาติโครงร่างทางสังคมของลาหู่บ้านขอบด้ง จะเริ่มต้นจากครัวเรือน คือ ในครัวเรือน 1 หลังจะประกอบด้วย พ่อ บ้าน ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ภรรยา บุตร บุตรเขย และหลาน โดยเน้นความความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติไม่นิยมให้บุคคลอื่นเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย ถ้าหากพ่อบ้านเสียชีวิตจะให้ภรรยาเป็นผู้นำครอบครัวแทน ส่วนการทำงานในครอบครัวจะมีการแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบงานในแต่ละวัน โดยผู้ชายจะมีหน้าที่ออกไปทำไร่นอกบ้านหาฟืนมาเก็บไว้ส่วนผู้หญิงจะอยู่เลี้ยงลูก เลี้ยงสัตว์และหุงหาอาหารให้กับคนในบ้าน ระบบในการปกครองของลาหู่บ้านขอบด้ง จะให้ความเคารพนับถือผู้นำศาสนาหรือป่าจองว่าเป็นคนสำคัญของหมู่บ้านป่าจองจะทำหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และมีอิทธิพลทางความเชื่อและความคิดมากกว่าผู้นำที่มาจากส่วนท้องถิ่นตำแหน่งป่าจองจะสืบทอดกันทางสายโลหิตหรือทางเครือญาติ บุคคลสำคัญอีกท่านที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ คือ ผู้ใหญ่บ้านหรือพ่อหลวงเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน โดยตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านจะมาจากการเลือกของคนในหมู่บ้าน นอกจากนี้ก็มีผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่ชาวบ้านให้ความเคารพและเชื่อฟัง ดังนั้น ระบบเครือญาติ โครงสร้างทางสังคมของลาหู่บ้านห้วยน้ำรินในปัจจุบันระบบการปกครองจะขึ้นอยู่กับการปกครองของบ้านเมืองน้อย คนที่มีบทบาทสำคัญจะเป็นแกนนำของระบบทางราชการ คือ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล แต่ชาวบ้านยังคงให้ความเคารพนับถือผู้นำทางจิตวิญญาณของตนที่ทำหน้าที่ในการจัดบทบาทควบคุมดูแลความสงบสุขของคนในชุมชน โดยแบ่งบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน คือ 1) แก่ลู้ป่า เป็นผู้นำทางศาสนามีความรู้ความเชี่ยวชาญในการประกอบพิธีกรรม สามารถสื่อสารกับ สิ่งเหนือธรรมชาติได้พิธีกรรมส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับชีวิตและอาชีพที่ต้องขึ้นกับดินฟ้าอากาศ โดยชาวบ้านจะให้ความสำคัญกับแก่ลู้ป่าเป็นอย่างมาก 2) คะแซเป็นคนตัดสินไกล่เกลี่ยคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านโดยทำหน้าที่ เหมือนผู้ใหญ่บ้านนั้นเอง 3) หนี่หงะป่าคือหมอผีประจำหมู่บ้าน เป็นผู้มีความรู้ในเรื่องพิธีกรรม ที่สามารถปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากหมู่บ้านได้ 4) สล่านะเซ่อะ หมอยาด้านสมุนไพร มีความรู้เรื่องสมุนไพรในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้กับชาวบ้าน 5) จาลี้หรือช่างตีเหล็กเป็นผู้มีความรู้ด้านการตีมีด สามารถซ่อมแซมอุปกรณ์ทางด้านการเกษตรให้กับคนในหมู่บ้าน 6) จ่อปี๋เป็นผู้รู้ทางด้านดนตรีหรือการเป่าแคน (หน่อกู่มา) ในการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในวันสำคัญต่างๆ ที่มีการเต้นจะคึ (หน้า, 73)

Belief System

การนับถือศาสนา ลาหู่บ้านขอบด้งจะนับถือเทพเจ้า (ผีบรรพบุรุษ) หรือที่ชาวลาหู่เรียก “กือซา” เป็นเทพเจ้าสูงสุด มีส่วนน้อยที่นับถือพุทธศาสนา โดยลาหู่เชื่อว่า กือซาจะช่วยคุ้มครองคนในหมู่บ้านและครอบครัวให้อยู่สุขสบาย และช่วยให้ผลผลิตทางการเกษตรได้ผลดี ชาวลาหู่บ้านขอบด้งโดยส่วนใหญ่จะใช้ภาษาลาหู่ในการพดูคุยระหว่างกัน โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่จะใช้แต่ภาษาลาหู่ ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ คนหนุ่มสาวที่อยู่ในหมู่บ้านจะพูดและฟังภาษาไทยได้และยังสามารถเขียนหนังสือไทยได้ ส่วนวัยผู้ใหญ่รุ่นพ่อแม่พูด ได้ทั้งภาษาลาหู่และภาษาไทย วันธรรมดาจะเห็นแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังคงใส่ชุดประจำเผ่าอยู่คือ ผู้หญิง สวมเสื้อตัวยาวถึงเข่า ผ้าหนาตลอดแขนยาว สาบเสื้อและริมผ้าตีกรอบด้วยผ้าแถบสีขาวและตีเป็นลายสลับตลอดแขน ส่วนผู้ชายเปลี่ยนมาใส่เสื้อแบบคนเมือง แต่ยังสวมกางเกงแบบชนเผ่า คือ เป็นกางเกงตัวหลวมยาวถึงเข่า และทั้งผู้หญิงและผู้ชายนิยมโพกศีรษะด้วยผ้าขนหนู ส่วนเด็กและวัยหนุ่มสาวไม่นิยมสวมเสื้อประจำเผ่าจะใส่เสื้อผ้าแบบคนพื้นราบ คือสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์นอกเสียจากจะมีประเพณีที่สำคัญที่พวกวัยหนุ่มสาวจะแต่งชุดประจำเผ่ากัน เช่น ประเพณีวันขึ้นปีใหม่โดยชุดประจำเผ่า ผู้หญิงลาหู่จะไปซื้อผ้ามาจากตลาดไชยปราการ และนำมาตัดเย็บไว้ใส่ในงานพิธีสำคัญ บางบ้านมีการทอย่ามไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ แต่งานทอผ้าไม่ปรากฏให้เห็นในหมู่บ้าน เนื่องจากงานทอผ้ากำลังจะสูญหาย มีแต่การเย็บปักถักร้อยเท่านั้นที่ผู้หญิงลาหู่บ้านขอบด้งยังคงสืบทอดกันอยู่  
วิถีชีวิตในรอบปี: ประเพณีที่สำคัญของลาหู่บ้านขอบด้ง เนื่องจากลาหู่บ้านขอบด้งนับถือเทพเจ้ากือซา หรือผีฟ้า และผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นศาสนาแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ทำให้ชาวลาหู่บ้านขอบด้งมีประเพณีที่สำคัญที่ยังคงรักษาและปฏิบัติกันอยู่  คือ ประเพณีขึ้นปีใหม่ (กินวอ) จะจัดขึ้นประมาณเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีซึ่งในการประกอบพิธีจะเป็นการบวรสรวงเทพเจ้ากือซา และประเพณีกินข้าวใหม่ (จะซือจ่าเลอ) เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับพืชผลทางการเกษตรของลาหู่ โดยพิธีนี้จะเริ่มจัดขึ้นในช่วงที่ต้นข้าวออกรวง ประมาณช่วงเดือนสิงหาคมของทุกปี เป็นการทำพิธีเพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือดลบันดาลให้ผลผลิตออกผลดีและมีคุณภาพ  
ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับชีวิต:ได้แก่ การเกิด การแต่งงาน และการตายการเกิด เมื่อคลอดบุตรแล้วจะใช้ไม้ไผ่ตัดสายสะดือ และนา สายสะดือล้างทำความสะอาดนำสายสะดือหรือรกของเด็กขุดหลุมฝังไว้ใต้ถุนบ้านบริเวณจุดใต้เตาไฟที่อยู่บนบ้าน ชาวลาหู่เชื่อว่าที่ฝังรกนี้เป็นชีวิตของเด็กน้อย พร้อมกับนำเฉลวที่ทำจากไม้ไผ่สานผูกติดไว้บนปลายไม้นำไปปักไว้ที่เชิงบันไดเพื่อเป็นการป้องกันผีร้ายไม่ให้เข้ามาในบ้าน
นอกจากนี้ ชาวลาหู่ยังมีข้อห้ามในหมู่บ้าน เช่น 1) ห้ามสัตว์เลี้ยงเช่น หมูสุนัข หรือสัตว์ป่าขึ้นบนหลังคาบ้าน 2) ห้ามให้ไก่ขึ้นไปไข่บนหลังคาบ้าน 3) ห้ามเข้าห้องทำพิธีหรือห้องผีของปู่ จองโดยเด็ดขาด และ 4) ห้ามยิงปืนกลางบ้าน ยกเว้น เทศกาลวันขึ้นปีใหม่ และในกรณีมีคนตายในหมู่บ้าน (หน้า, 72-73)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชุดประจำเผ่าลาหู่บ้านห้วยน้ำรินจะแต่งเฉพาะในช่วงที่มีเทศกาลสำคัญในหมู่บ้าน ผู้ชายจะสวมเสื้อแขนยาวใช้ผ้าสีดำกับน้ำเงิน สาบเสื้อด้านหน้าเปิดกว้าง ด้านหลังเย็บติดด้วยเม็ดเงิน สวมกางเกงยาวเลยเข่าคล้ายโสร่ง ส่วนของผู้หญิงสวมเสื้อสีดำยาวถึงหัวเข่าสาบหน้าและริมผ้าตีกรอบด้วยผ้าแถบสีขาวและตีเป็นลายสลับตลอดแขน ปัจจุบัน มีการซื้อผ้าสำเร็จที่มีลวดลายและสีสันสวยงามมาตัดเย็บเป็นเสื้อและกางเกงสำหรับสวมใส่ในวันธรรมดาจะพบเห็นผู้สูงอายุในหมู่บ้านมีการสวมชุดประจำเผ่าอยู่ทำงานในบ้านของตนเอง ส่วนวัยหนุ่มสาวมักจะแต่งกายด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนส์เหมือนคนพื้นราบ ส่วนสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่เป็นงานที่ได้รับสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ถ่ายทอดโดยบรรพบุรุษที่เกิดจากภูมิปัญญาเชิงช่างโดยคนในท้องถิ่นผสมผสานเข้ากับบริบทสภาพแวดล้อม เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีความน่าสนใจสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมความเชื่อวิถีชีวิตของคนในสังคมได้อย่างดีแสดงให้เห็นถึงคุณค่าในมิติต่างๆ คือ 1) คุณค่าต่อการดำรงชีวิต เรือนลาหู่เกิดขึ้นมาจากความต้องการที่อยู่อาศัยต้องการแหล่งพักพงให้ความอบอุ่น และให้ความปลอดภัย เรือนลาหู่จึงเป็นที่คุ้มแดดคุ้มฝน เป็นที่อยู่หลับนอน เป็นศูนย์รวมของคนในครอบครัว และเป็นที่สร้างชีวิตใหม่ เรือนจึงมีความผูกพันแนบแน่นกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของลาหู่ ซึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงประเพณีวัฒนธรรมความเชื่อ ที่มีการปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาของคนในสังคม เช่น กระบะเตาไฟ ที่มีอยู่ในเรือนลาหู่แบบดั้งเดิมทุกหลังชาวลาหู่จะให้ความสำคัญกับเตาไฟ ซึ่งลาหู่เชื่อว่าเป็นสถานที่ให้ชีวิตแก่สมาชิกในครอบครัว แม้ว่าในปัจจุบันในเรือนที่เป็นแบบสมัยใหม่จะไม่พบเห็นกระบะเตาไฟ แต่ลาหู่ก็ยังคงมีความเหนียวแน่นในการดำรงรักษาวัฒนธรรมของตนเองสืบต่อไป 2) คุณค่าทางด้านความงาม และความเป็นเอกลักษณ์ท้องถิ่น สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่ เป็นงานออกแบบที่สร้างสรรค์ ที่เกิดจากภูมิปัญญาเชิงช่างของคนในท้องถิ่น มีการปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างลงตัวมีการใช้วัสดุจากธรรมชาติที่สามารถหาได้ง่ายมีอยู่ในท้องถิ่นและเหมาะสมต่อลักษณะการใช้งาน มีขนาดสัดส่วน รูปทรงที่ออกแบบได้อย่างเหมาะสมกับผู้ที่อยู่อาศัยในเรือน เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเข้ากับบริบทได้ดีทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ถือเป็นอัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่  และ 3) คุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่ เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนในปัจจุบันสามารถเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้อย่างเป็นรูปธรรม สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราว ความเป็นมาของบรรพบุรุษและการตั้งถิ่นฐาน รูปแบบสถาปัตยกรรมเสมือนเป็นตัวบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในสังคม รวมทั้งประเพณีความเชื่อที่แฝงอยู่ในตัวเรือน บ่งบอกได้ถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวลาหู่ในยุคสมัยนั้นๆ (หน้า, 74-75; 185-190)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

อัตลักษณ์ชาวลาหู่สามารถพิจารณาจากงานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น เรือนลาหู่ที่จำแนกตามลักษณะกายภาพภายนอกของเรือนได้เป็น 4 ประเภท คือ เรือนแบบดั้งเดิม เรือนแบบดั้งเดิมใช้วัสดุผสมผสาน เรือนแบบประยุกต์หรือต่อเติม และเรือนแบบสมัยใหม่ ในการค้นหาอัตลักษณ์ของเรือนลาหู่จะให้ความสำคัญกับเรือนแบบดั้งเดิม เพราะเรือนแบบดั้งเดิมมีลักษณะเด่นเฉพาะตัว โดยใช้วิธีการสั่งสมภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนถูกนำเสนอผ่านวิถีชีวิตของลาหู่ สะท้อนสู่รูปทรง ขนาด สัดส่วน พื้นที่การใช้งานและวัสดุที่นำมาใช้ ซึ่งแฝงไปด้วยความเชื่อ ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ ที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงอยู่ซึ่งอัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่โดยมีอัตลักษณ์สำคัญที่ปรากฏในเรือนลาหู่ (หน้า, 183-186)

Social Cultural and Identity Change

อิทธิพลจากปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อเรื่อนพื้นถิ่นสรุปได้ คือ 1) ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เนื่องจากการโยกย้ายถิ่นฐานเดิมที่ลาหู่บ้านขอบด้งและลาหู่บ้านห้วยน้ำรินจะอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งมีการอพยพมาจากที่อื่น ก่อนที่จะมีการตั้งถิ่นฐานถาวรขึ้นในปัจจุบัน ลักษณะที่อยู่อาศัยแบบเดิมจึงมีลักษณะไม่คงทนถาวรเน้นสร้างได้ง่ายและรวดเร็ว ใช้วัสดุจากธรรมชาติเป็นสำคัญ เนื่องจากหาได้ง่ายและต้นทุนต่ำแต่ในปัจจุบันทรัพยากรทางธรรมชาติลดน้อยลง ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร และความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการออกกฎหมายคุ้มครองการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้วัสดุที่นำมาใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยลดจำนวนลง จึงทำให้ลาหู่หันมาใช้วัสดุสมัยใหม่ที่เกิดจากกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมที่มีความคงทนถาวรทดแทนวัสดุจากธรรมชาติที่หาได้ยากขึ้น 2)ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิถีชีวิต เดิมทีลาหู่บ้านขอบด้งและลาหู่บ้านห้วยน้ำริน มีวิถีชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติเป็นหลัก อาชีพหลักจึงเป็นอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ทำนา เลี้ยงสัตว์เพื่อการยังชีพ แต่ในปัจจุบันพื้นที่ทำการเกษตรลดน้อยลง ลาหู่จึงได้หันไปทำอาชีพอื่นๆ เช่น รับจ้าง เปิดร้านค้าขายของในชุมชน และปรับปรุงเรือนที่ใช้อยู่อาศัยเป็นโฮมสเตย์ เพื่อตอบสนองต่อนักท่องเที่ยวที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น และ 3)ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงทางด้านค่านิยม การที่ลาหู่มีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เศรษฐกิจภายในครัวเรือนมีฐานะดีขึ้น มีรายได้เพียงพอต่อความต้องการพื้นฐาน ทำให้ค่านิยมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปที่พบเห็นได้จากหมู่บ้านกรณีศึกษาคือ ค่านิยมจากการแสวงหาความมั่นคงทางวัตถุความต้องการที่อยู่อาศัยที่มั่นคงถาวร ที่ตอบรับกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป  
ขณะที่อิทธิพลจากปัจจัยภายนอก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกสังคม ที่ส่งผลกระทบต่อลักษณะที่อยู่อาศัยของลาหู่ สรุปได้ คือ 1) ปัจจัยการพัฒนาของหน่วยงานต่างๆ ทั้งทางด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการรวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของลาหู่ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการส่งเสริมทางด้านอาชีพเกษตรกรรม จากเดิมที่ลาหู่เคยหารายได้จากการปลูกฝิ่น ซึ่งถือเป็นพืชผิดกฎหมาย มีการส่งเสริมให้ลาหู่หันมาปลูกพืชผลเมืองหนาว เนื่องจากทำรายได้ได้ดีกว่า และเหมาะสมต่อสภาพพื้นที่บนภูเขาสูง 2) ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยีและความทันสมัย มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยการรับเอาวิทยาการความรู้ที่ทันสมัย ที่ได้จากสื่อทางโทรทัศน์ หรือจากการศึกษาเล่าเรียนในสถาบันการศึกษา หรือจากผู้มีความรู้จากหน่วยงานต่างๆ เข้ามาถ่ายทอดเทคโนโลยีทันสมัยให้กับคนในชุมชน และ 3) การยืมหรือลอกเลียนวัฒนธรรมข้างเคียงเข้ามาผสมผสาน ที่เห็นได้ชัดคือ ในเรื่องของการแต่งกาย มีการเปลี่ยนแปลงไปแต่งกายอย่างคนพื้นราบ พบเห็นมากในกลุ่มวัยรุ่น เปลี่ยนจากการแต่งชุดประจำ เผ่าไปใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์แทน และจะแต่งชุดประจำเผ่าเฉพาะในวันงานพิธีสำคัญ เช่น ประเพณีงานวันขึ้นปีใหม่ ประเพณีกินวอ เป็นต้น นอกจากนี้ผลกระทบทางด้านลักษณะที่อยู่อาศัยก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากการรับเอาวัฒนธรรมกระแสความทันสมัยจากคนพื้นราบเข้ามา ส่งผลต่อรูปแบบเรือนที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การสร้างบ้านติดพื้นดิน การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้สอยภายในการเปลี่ยนวัสดุในการก่อสร้าง และมีการประดับตกแต่งอาคารเพื่อให้ดีสวยงาม โออ่าเหมือนกับบ้านแบบอย่างคนพื้นราบ (หน้า, 190-192)

Map/Illustration

ภาพ
        เส้นทางอพยพของลาหู่ในประเทศจีน (หน้า, 10)
        การแต่งกายของลาหู่นะในเมือง Lincang ละลาหู่ญีในเมือง Lancang มณฑลยูนนาน ประเทศจีน (หน้า,11)
        การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของ Lahu Tabo ในเมืองเมิ่งเหลิ่น ประเทศจีน (หน้า,12)
        การเต้นระบำเฉลิมฉลองในวันขึ้นปีใหม่ของลาหู่ (หน้า, 13)
        การอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของลาหู่เข้าสู่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย (หน้า,14)
        การแตกแขนงออกเป็นกลุ่มของลาหู่ตามวิธีการของแบรดเลย์ (หน้า, 16)
        การแต่งกายของลาหู่ณี (หน้า,18)
        การแต่งกายของลาหู่นะ (หน้า,19)
        การแต่งกายของลาหู่เฌเล (หน้า, 20)
        การแต่งกายของลาหู่ณี  (หน้า, 21)
        ข้าวปุกที่ชาวบ้านทำในประเพณีขึ้นปีใหม่ของลาหู่ที่หมู่บ้านขอบด้ง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า, 26)
        การรดน้ำอวยพรผู้อาวุโสของหมู่บ้าน ที่หมู่บ้านขอบด้ง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่(หน้า, 26)
        หมอผีรักษาคนป่วยด้วยวิธีแบบดั้งเดิม (หน้า, 28)
        ลักษณะการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ (หน้า, 31)
        ผังหมู่บ้านลาหู่ ที่หมู่บ้าน Cataw ในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า,39)
        ผังพื้นและรูปแบบเรือนดั้งเดิมของลาหู่ (หน้า, 41)
        ห้องผีและเตาไฟในเรือนลาหู่ (หน้า, 42) 
        พื้นที่ใช้สอยใต้ถุนเรือน (หน้า, 169)
        บันไดที่ใช้เดินขึ้นลงเรือน (หน้า,170)

ตาราง
        แผนการดำเนินงาน (หน้า, 6)
        เกณฑ์ในการคัดเลือกหมู่บ้านลาหู่ (หน้า, 54)
        แสดงวิถีชีวิตในรอบปีของชาวลาหู่บ้านขอบด้ง (หน้า, 61)
        แสดงวิถีชีวิตในรอบปีของชาวลาหู่บ้านห้วยน้ำริน (หน้า, 75)
        กลุ่มเรือนกรณีศึกษาในหมู่บ้านขอบด้ง (หน้า, 92)
        กลุ่มเรือนกรณีศึกษาในหมู่บ้านห้วยน้ำริน (หน้า,128)
        ลักษณะผังพื้นเรือนลาหู่ที่พบจากกรณีศึกษา (หน้า,167)
        ส่วนประกอบของเรือนที่ศึกษาของ 2หมู่บ้าน (หน้า,173)
        อัตลักษณ์ที่สำคัญของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นลาหู่ (หน้า, 188)

Text Analyst เอกรินทร์ พึ่งประชา Date of Report 07 มิ.ย 2562
TAG ลาหู่, สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง