สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาหู่, หัตถกรรมท้องถิ่น, โครงการหลวง, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย
Author ธันยา พรหมบุรมย์, วิสุทธร จิตอารี
Title การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาหัตถกรรมท้องถิ่นและการตลาดในพื้นที่โครงการหลวง: กรณีศึกษาผ้าทอชาติพันธุ์ลาหู่
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 99 Year 2550
Source สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
Abstract

ชาวลาหู่กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นลาหู่ดำ (Lahu Na) ส่วนใหญ่เห็นว่า การทำหัตกรรมเป็นสิ่งที่ดี และน่าภาคภูมิใจ เป็นรายได้เสริมโดยใช้เวลาที่ว่างจากการเกษตร และได้สืบทอดกรรมวิธีการทอผ้า ทั้งนี้ผู้หญิงลาหู่จะถ่ายทอดงานหัตกรรมให้กับลูกสาว แต่ก็ขึ้นกับความสนใจของแต่ละคนด้วย ผู้ผลิตเห็นว่าเด็กในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยสนใจงานหัตกรรม ผู้ผลิตมีความต้องการความช่วยเหลือด้านเงินทุนและอยากให้มีตลาดที่รองรับแน่นอน ส่วนในประเด็นของการมาส่งเสริมให้ผลิต ลักษณะงานฝีมือที่ใช้เวลาในการทำนาน แต่ให้ราคาสูงกว่างานทั่วไป ก็อยากจะทำ จะได้ไม้ต้องหาตลาดเอง ยินดีสอนกรรมวิธีการทอผ้าในปัจจุบันให้กับคนอื่น คาดหวังอยากให้คนภายนอกรู้จักสินค้าของชาวลาหู่มากยิ่งขึ้น ผู้ผลิตที่บ้านหนองเขียวอยากมีการตั้งกลุ่มขึ้นมา เพื่อจะได้ผลิตสินค้าออกขายเพิ่มมากขึ้น และไม่กล้าที่จะทำคนเดียว กลัวทำไม่ได้ ขณะที่ศักยภาพในการผลิต ชาวลาหู่ทอผ้าเป็นเกือบทุกหลังคาเรือน มีกรรมวิธีทอผ้าแบบกี่เอว กว้าง 4.5 นิ้ว กลุ่มผาใต้เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีศักยภาพสูง เนื่องจากมีผู้นำที่มีความสามารถ ความคิดกว้างไกล รักงานหัตกรรม เชี่ยวชาญในด้านการตัดเย็บและเป็นคนสำคัญในถ่ายถ่ายทอดการตัดเย็บให้กับสมาชิก ส่วนกลุ่มบ้านหนองเขียวยังมีศักยภาพการผลิตน้อย เนื่องจากไม่มีการจัดตั้งกลุ่มในปัจจุบันเหมือนกับในอดีตที่เคยมีมา กลุ่มในอดีตได้ก่อตั้งและเลิกประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด และการผลิตของกลุ่มมีผลผลิตไม่แน่นอนกำหนดไม่ได้ แต่หากมีคนสั่งชื้อก็สามารถผลิตให้ได้ ส่วนประเด็นการผลิตเชิงวัฒนธรรม ผลิตภัณฑ์รูปแบบดั้งเดิมจะเป็นย่ามทำไว้เพื่อใช้เองมากกว่าขาย โดยมีการทอสายย่าม และตบแต่งตัวกระเป๋าโดยนำผ้ามาเย็บต่อกันเป็นรูป 3 เหลี่ยมหรือ 4 เหลี่ยม เป็นลักษณะเฉพาะของชนเผ่า ลายเย็บตั้งเดิม ได้แก่ ลานเขี้ยวหมา ลายตาเดียว และลาย 2 ตา เป็นต้น ผู้ผลิตไม่ทราบหรือไม่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของชิ้นงานได้ เนื่องจากไม่มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้ ลวดลายการทอผ้าในปัจจุบัน ผู้ผลิตได้มีการประยุกต์ลายใหม่ๆ ที่คิดขึ้นเองหรือเห็นลายของชนเผ่าอื่นแล้วนำมาประยุกต์ เช่น ลีซอ ลายปัจจุบันจะปนไปทั้งลายเก่าและลายใหม่ ขณะที่ปัญหาด้านการผลิต ได้แก่ กลุ่มบ้านผาใต้เห็นว่า มีปัญหาเงินทุนในการชื้อวัตถุดิบไม่เพียงพอ ไม่มีทุนหมุนเวียนโดยเฉพาะช่วงว่างจากการเกษตร อยากได้เงินทุนมาลงทุนชื้อวัตถุดิบเพื่อผลิตชิ้นงาน สำหรับเก็บไว้ขายให้นักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากในช่วงหน้าหนาวจึงทำให้เสียโอกาส สำหรับผู้ผลิตบ้านหนองเขียวเห็นว่าปัญหาที่สำคัญ คือ ด้านตลาดไม่แน่นอน ทำแล้วขายไม่ได้ ต้นทุนวัตถุดิบแพงและระยะหลังพ่อค้าที่รับชื้อไม่มีเงินสดจ่าย จึงทำให้หลายคนเลิกผลิตเพื่อขายเนื่องจากคิดว่าไม่คุ้มที่จะทำ ปัญหาด้านการบริการจัดการ ปัญหาของกลุ่มบ้านผาใต้ คือ ไม่มีกองทุนเพียงพอ เนื่องจากต้องนำเงินไปหมุนเวียนเพื่อชื้อวัตถุดิบของกลุ่มและสำรองวัตถุดิบให้กับสมาชิกด้วยโดยมีการจ่ายคืนโดยคิดดอกเบี้ยเล็กน้อย ทั้งนี้ปัญหาด้านการตลาดพบว่า กลุ่มบ้านผาใต้ จะมีกรรมวิธีการทอผ้าแบบกี่เอว แล้วนำผ้าทอมาตัดเย็บเป็นรูปแบบต่างๆ หรือมีการตัดเย็บตบแต่งสินค้า เช่น ที่ห้อยขวดน้ำ กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าใส่เครื่องสำอาง และ หมวก เป็นต้น และก็ทำย่ามแบบดั้งเดิมด้วย เพื่อขายให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดท่าเรือล่องไปจังหวัดเชียงรายใกล้ๆ หมู่บ้าน แต่ตลาดไม่แน่นอน มักขึ้นกับนักท่องเที่ยวที่มา และมีการผลิตตามคำสั่งชื้อ โดยแบ่งงานกันทำในกลุ่มสมาชิก สำหรับผู้ผลิตบ้านผาใต้รูปแบบสินค้าในปัจจุบันจะไม่หลากหลายเหมือนในอดีตที่มีการแปรสินค้าหลากหลายเพื่อส่งขายให้ร้านหัตกรรมชาวบ้านในจังหวัดเชียงใหม่ ในระยะหลังมีปัญหาตลาดและเลิกผลิตเพื่อส่ง ปัจจุบันผู้ผลิตจะทอผ้าผืนและส่งขายให้กับพ่อค้าชาวลีซอขายเป็นเมตร แต่ก็ยังมีการทอย่ามแบบดั้งเดิมหากมีผู้สั่งชื้อ

Focus

เพื่อศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับทัศนคติ ความต้องการของชาติพันธุ์ลาหู่ที่มีต่อความต้องการผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นบ้านผ้าทอ ด้านการผลิต ปัญหาและอุปสรรคการดำเนินการ ตลอดจนการวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดของผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรมสำหรับตลาดบน พร้อมทั้งเสนอแนะโอกาสทางการตลาดของผลิตภัณฑเชิงวัฒนธรรม 

Theoretical Issues

ผู้ศึกษาประยุกต์แนวคิดทางการตลาดมาศึกษาผลิตภัณฑ์ ราคา การจำหน่าย การส่งเสริมทางการตลาด ผสานเข้ากับแนวคิดทัศนคติเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลพัฒนาผลิตภัณฑ์  

Study Period (Data Collection)

2549-2550  

History of the Group and Community

ลาหู่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ประเทศธิเบต เมื่อถูกชาวจีนรุกรานค่อยๆ ถอยร่นลงมาทางใต้ในศตวรรษที่ 17 และ 18 พวกลาหู่ตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองบริเวณเขตแดนพม่า-จีน มีหัวหน้าปกครองกันเอง เมื่อ พ.ศ. 2423-2433 ลาหู่ถูกจีนรุกราน จึงอพยพลงมาทางใต้ บางพวกเข้าไปอาศัยในลาว รัฐฉาน และประเทศไทย ปัจจุบันส่วนใหญ่ลาหู่อาศัยอยู่ในจังหวัด กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ลำปาง และพะเยา ชาวลาหู่ที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทยแบ่งออกเป็น 4 พวก คือ 1) ลาหู่แดงมีจำนวนเป็นที่สองรองจากลาหู่แดง เรียกตัวเองว่า ลาหู่นะ 2) ลาหู่ดำมีจำนวนเป็นที่สองรองจากลาหู่แดง เรียกตัวเองว่า ลายูนะหรือลาหู่คนไทยภาคเหนือและไทยใหญ่เรียก ลาหู่ดำ 3) ลาหู่ซิมีจำนวนน้อยที่สุด คนไทยเรียก ลาหู่กุย หรือลาหู่เหลือง มี 2 เชื้อสายคือ เชื้อสาย บาเกียว และบาลาน 4) ลาหู่เซเลมีจำนวนเป็นอันดับสามรองจากลาหู่ดำ เรียกตัวเองว่า ลาฮูนาเมี้ยว (หน้า, 13-14)

Settlement Pattern

บ้านเรือนของเผ่าลาหู่ส่วนมากปลูกยกพื้นใต้ถุนบ้านใช้เป็นที่เก็บฟืน เสาบ้านเป็นไม้เนื้อแข็ง พื้นฟาก ฝาฟาก มุงด้วยหญ้าคาหรือใบก้อ วิธีมุงหลังคาด้วยหญ้าคาของชาวลาหู่จะทำเป็นฟ่อนทับกันหนาแน่น การมุงแบบนี้ทำให้ใช้ได้ทนและอบอุ่นในฤดูหนาว ตัวบ้านแบ่งออกเป็น 2 ตอน ตอนหน้าเป็นชานนอกชายคา ปูด้วยไม้ฟาก มีบันไดเป็นไม้ท่อนยาวพาด จากพื้นดินขึ้นไปสู่บ้าน ตอนหลังเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้าง 3-4 เมตร มีฝาสานรอบทุกด้าน สูงประมาณ 1 เมตรครึ่ง ทำด้วยไม้ไผ่ล้วน ไม่มีเพดาน ตรงกลางห้อง มีเตาไฟ 1 เตา สำหรับทำอาหาร รอบๆ เตาไฟเป็นที่นอน และใช้เป็นที่ต้อนรับแขกด้วย สำหรับบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านจะใหญ่โตกว่าบ้านของลูกบ้านราว 2 เท่า มีห้องนอนสำหรับต้อนรับแขก กับห้องนอนของครอบครัว เตาไฟทำไว้ 2 แห่ง เพราะบรรดาแขกผู้ไปเยือนหมู่บ้านจะไปหาหัวหน้าหมู่บ้านก่อน และพักค้างแรมอยู่ภายในบ้านผู้เป็นหัวหน้า (หน้า, 17)

Demography

งานศึกษาเรื่องนี้นำเสนอภาพรวมด้านประชากรของชาวเขาเผ่าลาหู่อาศัยกระจัดกระจายโดยทั่วไปในประเทศไทย จากการสำรวจพบว่าในปี 2542 มีชาวเขาเผ่าลาหู่ รวมทั้งสิ้น 419 หมู่บ้าน จำนวนหลังคาเรือน 14,696 ครัวเรือน จำนวน 84,262 คน (หน้า, 37)

Economy

ระบบเศรษฐกิจลาหู่ขึ้นอยู่กับการเกษตรแบบทำไร่เป็นหลักและมีการเลี้ยงสัตว์ ล่าสัตว์และหาของป่า พืชหลักของชาวลาหู่ได้แก่ ข้าวและข้าวโพด ในอดีตชาวลาหู่ปลูกฝิ่นกันแทบทุกหมู่บ้านแต่ปัจจุบันเลิกปลูกฝิ่นกันหมดแล้ว และหันมาปลูกพืชทดแทนฝิ่นตามโครงการต่างๆ ที่ทางราชการและองค์กรเอกชนเข้ามาส่งเสริมการปลูกพืชผักชนิดต่างๆ สำหรับขาย เช่น มะเขือเทศ มันฝรั่ง ถั่งแดง ถั่วลันเตา ผักกาดหอม ผักสลัด ผลไม้ ได้แก่ เสาวรส ท้อ เป็นต้น (หน้า, 37-38)

Social Organization

ระบบครอบครัวลาหู่มีลักษณะเป็นครอบครัวเดียว ภายในครอบครัวหนึ่งจะมีสมาชิกอยู่หลายคน คือ พ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว หลานและผู้เฒ่าผู้แก่ด้วย ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นในครัวเรือน หรือกับสมาชิกคนใดคนหนึ่ง สมาชิกทุกคนในครัวเรือนนั้นๆ จะช่วยแก้ไขปัญหาร่วมกัน และถ้าหากในครัวเรือนมีงานแต่งงานเกิดขึ้นไม่ว่าของบุตรชาย หรือบุตรสาว หัวหน้าครัวเรือนคือพ่อต้องจัดงานแต่งงานตามระบบจารีตประเพณีของลาหู่ที่มีอยู่ให้กับบุตรของตน ส่วนการตัดสินคดีความหรือเรื่องราวต่างๆ ในสมัยก่อนการตัดสินคดีความหรือเรื่องราวต่างๆ จะเป็นหน้าที่ของผู้นำหมู่บ้านและผู้อาวุโสในการตัดสิน และเมื่อมีกรณีทะเลาะวิวาทในหมู่บ้าน วิธีการตัดสินคือผู้นำหมู่บ้านจะต้องเชิญผู้อาวุโสมาด้วย ให้ผู้อาวุโสไกล่เกลี่ยหาข้อตกลง ผู้อาวุโสจะถามทั้งสองฝ่ายอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาวุโสรับฟังเหตุการณ์จากทั้งสองฝ่าย แล้วจะรู้เลยว่าคนไหนถูก-ผิด ผู้นำหมู่บ้านและผู้อาวุโสจะตัดสินโดยเด็ดขาดเลยว่าใครผิดใครถูก ทั้งสองฝ่ายจะต้องยอมรับการตัดสินของผู้นำและผู้อาวุโส สมัยนี้การตัดสินคดีความหรือเรื่องราวต่างๆ ส่วนมากจะไปใช้ตามกฎหมายของรัฐบาล จะไม่ค่อยใช้การตัดสินของผู้เฒ่าผู้แก่ ต่างคนต่างมีความรู้ จะไปใช้ตามกฎหมายของรัฐบาล มีส่วนน้อยที่จะใช้กฎของหมู่บ้าน เพราะว่าคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และมีการพัฒนาตนเองอย่างสูงเลย ใช้ตามกฎหมายของรัฐบาลเป็นสื่อกลาง เพราะว่าอีกส่วนหนึ่งก็เกี่ยวข้องว่าเราอยู่ในเมืองไทยจะต้องให้ความเคารพในกฎหมายไทย ไปไหนมาไหนก็มีแต่กฎหมายบังคับทุกที่ทุกแห่ง ชาวลาหู่ในปัจจุบันนี้จะต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกที่เข้ามาสู่ในชุมชน การประชุมหมู่บ้านของชาวลาหู่จะมีวิธีการให้ผู้นำหมู่บ้าน ประกาศหาผู้เฒ่าผู้แก่มาก่อน แล้วหลังจากนั้นก็สมาชิกหัวหน้าครอบครัวจะตามมาและให้ผู้นำบอกกล่าวถึงเรื่องราวที่อยากแจ้งให้คนในชุมชนทราบ โดยให้ผู้เฒ่าผู้แก่และสมาชิกในหมู่บ้านรับฟังด้วย และคุยหาข้อตกลงต่างๆ กัน ชาวลาหู่มีการสืบตระกูลทางฝ่ายแม่ ตัวอย่างที่สนับสนุนความคิดเช่นนี้ได้แก่การที่เด็กๆ ตั้งแต่เกิดมาก็อาศัยอยู่ในครอบครัวของฝ่ายแม่จนกระทั้งแต่งงาน ผู้ชายแต่งงานแล้วต้องออกจากบ้านไปอยู่บ้านภรรยา แต่เป็นที่สังเกตว่าผู้ชายชาวลาหู่เซเล เมื่อแต่งงานและอาศัยอยู่กับครอบครัวของภรรยาตามประเพณีแล้วมักจะหาเหตุขัดแย้งกับพ่อแม่ทางฝ่ายหญิงหรือฝ่ายภรรยาอยู่บ่อยๆ เพื่อแยกตัวไปสร้างบ้านเรือนใหม่ โดยจะสร้างบ้านและจัดหาพื้นที่ในการสร้างบ้านเอง เมื่อมีการประกอบพิธีกรรมก็มักจะรวมกับญาติทางฝ่ายสามีและไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับญาติทางฝ่ายภรรยาเท่าใดนัก ฝ่ายสามีจะเป็นผู้สืบสกูลแทนเมื่อบิดามารดาของตนเสียชีวิต ลาหู่มีชื่อที่ใช้เรียกกันเพียงชื่อแรกชื่อเดียว ไม่มีแซ่หรือนามสกุลสำหรับผู้ที่มีนามสกุลนั้น มีใช้อยู่เพราะว่ามีผู้เข้ามาตั้งให้ มีคติของลาหู่กล่าวไว้ว่า “ลาหู่” ทุกคนจะต้องช่วยเหลือผู้อื่นที่ต้องการความช่วยเหลือเพราะเป็นญาติพี่น้องกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จึงทำให้ดูเหมือนว่าทั้งหมู่บ้านเป็นญาติพี่น้องกันหมด แม้จะเป็นญาติใกล้ชิดที่มิได้ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ก็นับถือเป็นญาติทั้งสิ้น ความสัมพันธ์ทางเครือญาติเช่นนี้ ก่อให้เกิดความร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่เสมอ แนวความคิดเรื่องการนับญาติเช่นนี้ยิ่งทำให้ระบบเครือญาติขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ จากการนับญาติภายในครอบครัวเรื่อยไปถึงลูกพี่ลูกน้องทั้งจากฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ ลูกของลูก ลูกของลูกพี่ลูกน้อง ตลอดขึ้นไปจนถึงนับญาติในช่วงอายุที่นับลงถึงลูกหลานในอนาคตอีกชั่วอายุหนึ่งลงมา โดยนัยนี้ บางครั้งก็เป็นปัญหาสำหรับบางครัวเรือนต้องแยกย้ายตัวออกไปจากหมู่บ้านเพราะความที่มีญาติพี่น้องคอยให้ความช่วยเหลืออยู่มากจนไม่อาจแบกภาระการช่วยเหลือญาติที่ยากจนได้ตลอดไป (หน้า, 16)

Political Organization

โครงสร้างการปกครองของลาหู่จะมีการปกครองระดับชุมชนตามระบบจารีตประเพณีการปกครอง เมื่อมีการร้องเรียนของชาวบ้านมาถึงผู้นำ ผู้นำจะต้องเรียกคู่กรณีทั้งสองฝ่ายและหัวหน้าครอบครัวทุกคนมา เพื่อชี้แจงและตัดสินชี้ขาด ถ้าหากผลการตัดสินเกิดความขัดแย้งขึ้นจะให้ผู้อาวุโสตัดสินเพื่อที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมกันทุกฝ่ายอย่างอิสระ ถ้ามีการปรับเป็นเงินตามอัตราที่ตามจารีตประเพณีมีไว้ แต่ถ้าเป็นกระทำผิดที่รุนแรง แล้วผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษโดยการถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้านไป ผู้นำหมู่บ้าน มีอำนาจที่ในการปกครองดูแลลูกบ้านในด้านความสงบสุข ความปลอดภัย ชักจูงให้ลูกบ้านเริ่มปฏิบัติงานเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในสังคมลาหู่นี้การปกครองและการตัดสิน จะเกี่ยวข้องกับจารีตประเพณีทุกอย่าง ส่วนการคัดเลือกผู้นำของชาวลาหู่จะเกิดขึ้นโดยการออกเสียงของชาวบ้าน อาจจะมีการสืบเชื้อสายกันบ้าง แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะเลือกกันเองมากกว่า จะไม่มีการเกษียณอายุ อยู่ที่ผู้นำว่าจะลาออกหรือไม่ แต่ถ้าเกิดผู้นำทำความผิดเช่น ไม่ดูแลหมู่บ้านหรือไม่พัฒนาหมู่บ้าน อาจจะโดนไล่ออกได้โดยเสียงของประชาชนในพื้นที่ การเป็นผู้นำจะต้องมีความสามารถหลายด้าน เช่น พูดแล้วชาวบ้านเชื่อฟังและต้องมีศักยภาพที่ดี มีความสามารถในการพัฒนาหมู่บ้าน (หน้า, 17)

Belief System

ศาสนาของชาวลาหู่ได้รับอิทธิพลอยู่อย่างกว้างขวางในระยะที่ผ่านมา จากสังคมพื้นราบ แต่จะแตกต่างกันในที่หนึ่งๆ จึงทำให้ชุมชนลาหู่มีความเชื่อและการปฏิบัติที่แตกต่างกันมาก การแยกระบบทางด้านศาสนาโดยทั่วไปได้ เช่น บางพวกได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ นับตั้งแต่ได้อพยพจากพม่าเข้าสู่ประเทศไทย บางพวกได้รับนับถือศาสนาคริสต์ เช่น ชาวลาหู่นะ (ลาหู่ดำ) แต่ชาวลาหู่ส่วนใหญ่จะเชื่อในผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ เช่นเดียวกับชาวเขาเผ่าอื่น ซึ่งมีอำนาจมากที่สุด ได้แก่ผีฟ้า ซึ่งชาวลาหู่ เรียกว่า งือซา (Guisha) ชาวลาหู่นับถือผีฟ้าว่าเปรียบเสมือนเป็นพระเจ้าของพวกเขาและเชื่อว่าผีฟ้าเป็นผู้สร้างสรรค์พสิ่งที่ดีงามทั้งหลายในโลกนี้ นอกจากผีฟ้าแล้วผีที่นับถือ ได้แก่ ผีเรือน และผีหมู่บ้าน ผีดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วจะมีการเซ่นไหว้เป็นประจำหรือในยามเจ็บป่วย สำหรับผีร้ายที่ชาวลาฮูเกรงกลัวมีอยู่มากมาย เช่น ผีน้ำ ผีป่า ผีไร่ ผีภูเขา ชาวลาฮูนะ (ลาหู่ดำ) ในไทยส่วนใหญ่จะอพยพมาจากพม่าพวกนี้จะนับถือศาสนาคริสต์ตั้งแต่อยู่ในพม่าแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นคริสต์เตียนแต่ยังคงนับถือผีอยู่ และยังคงพิธีกรรมต่างๆ ไว้เช่นกัน ขณะที่พื้นฐานความเชื่อของลาหู่จะนับถือพระเจ้า หรือ (อื่อซา) ชาวลาหู่มีความเชื่อเรื่องภูต ผี ขวัญ วิญญาณ ผสมผสานไปด้วยกัน ความเชื่อของลาหู่ เป็นทั้งแบบนับถือพระเจ้าองค์เดียวและในเวลาเดียวกันมีความเชื่อในเรื่องผีสางเทวดาด้วย เพราะเชื่อว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ทรงสร้างโลกและมนุษย์ขึ้น ความเชื่อเช่นนี้สอดคล้องกับแนวทางหรือปรัชญาความคิดของคริสต์ศาสนาเป็นผลให้การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในชนเผ่านี้เป็นไปได้ง่าย พระเจ้าสร้างโลกของลาหู่ที่นับถือเป็นพระบิดาพระนามว่า “กื่อซา” ลาหู่ได้สร้างวัดอุทิศให้พระองค์ในทุกหมู่บ้าน เขามีความเชื่อว่าพระเจ้าของพวกเขาเป็นผู้สร้างความดีทั้งมวล อย่างไรตาม นอกเหนือจากพระเจ้าแล้งยังเชื่อถือในภูตผีวิญญาณอันได้แก่ ผีเรือน ผีประจำหมู่บ้าน ผีป่า ผีดอย ผีพายุ ผีฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้ พระเจ้าหรืออื่อซาถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ให้กำเนิดโลกและความดีทั้งปวง การบูชาสวดอ้อนวอน อื่อซา ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะบันดาลให้ทุกคนสมบูรณ์พูนสุข ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ อย่างเช่นเทศกาลปีใหม่ หรือกินวอ (ฟเขาะจาเว) ช่วงปลายเดือนมกราคมหรือเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ทุกหลังคาเรือน ทุกกลุ่มบ้าน หรือหมู่บ้านที่ต้องการบูชาและสวด ผลผลิตที่ได้ในรอบปีนั้นๆ ให้กับอื่อซา เพื่อได้รับประทาน และได้รับรู้ รับทราบ บวกกับขอโชคลาภในปีต่อไป เช่น ปีนี้ผลผลิตได้เท่านี้ทำถวายให้ท่านอื่อซา หนึ่งถ้วย-จาน ท่านอื่อซารับประทาน และได้รับรู้ ปีหน้าขอผลผลิตให้ได้เก้าเท่า เก้าถ้วย-จาน เป็นต้น (หน้า, 19-21)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

อดีตลาหู่ทอผ้าใช้เอง ปัจจุบันแทบจะไม่มีการทอผ้าใช้เอง นอกจากจะทอพวกของใช้ที่มีขนาดเล็กๆ เช่น ย่าม หรือสายสะพายย่ามเท่านั้น เสื้อผ้าของชาวลาหู่จะใช้ผ้าดำ หรือผ้าสีฟ้าซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นลาหู่กลุ่มใด และตกแต่งด้วยผ้าหลากสีเป็นลวดลายสวยงาม ลาหู่มีหลายกลุ่มรูปแบบของตัวเสื้อและลายบนตัวเสื้อผ้าจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่ม แต่ทุกกลุ่มจะนุ่งซิ่นเช่นเดียวกัน เสื้อของหญิงลาหู่ดำจะมีสองตัว ตัวในจะเป็นเสื้อแขนยาวตัวสั้นแค่เอว ส่วนตัวนอกจะเป็นเสื้อแขนยาวตัวเสื้อยาวถึงน่อง ตกแต่งด้วยผ้าหลากสีและเครื่องเงิน สำหรับเสื้อผ้าของผู้ชายลาหู่ทุกกลุ่ม ทั้งเสื้อและกางเกงจะใช้ผ้าสีดำ ใช้ผ้าสีต่างๆ ทำเป็นแถบยาวซ้อนกันบริเวณปลายขากางเกง ปลายแขนเสื้อ และด้านหน้าตัวเสื้อ แต่จะมีลวดลายมากเหมือนกับเสื้อผ้าของผู้หญิง ผู้ชายลาหู่สวมถุงน่อง ผู้หญิงไม่สวม ส่วนการแต่งกายของผู้หญิงลาหู่ดำมีลักษณะเป็นกางเกงหลวมขายาวถึงข้อเท้า เสื้อยาวถึงข้อเท้า แต่ผ่าด้านในจนถึงเอว ตกแต่งด้วยกระดุมเงินมากมายหลายแถว แขนเสื้อหลวมๆ มีผ้าลายเหลืองสลับสีขาวสีแดงเย็บขลิบติดถึง 3-4 ตอน หญิงลาหู่ดำนิยมโพกศรีษะด้วยผ้าดำยาว หญิงลาหู่ดำนิยมเจาะหูทั้งสองข้างสำหรับใส่ตุ้มหู ซึ่งทำด้วยโลหะเงิน ส่วนการแต่งกายของผู้ชายใส่เสื้อดำด้วยฝ้าย เสื้อรั้งสูงเลยเอวขึ้นมา ส่วนมากเวลาใส่เสื้อจะไม่ติดกระดุม มีผ้าโพกหัวสีดำ หรือน้ำเงิน กางเกงจะมีลักษณะคล้ายกางเกงนอนตัวใหญ่ขายาวเลยเข่า มีผ้าคาดเอวบางคนใช้ผ้าพันขาด้วย เครื่องประดับมีความสำคัญต่อชุมชนของลาหู่อย่างมาก เป็นเอกลักษณ์ของชาวลาหู่เพื่อใช้ประดับให้เกิดความสวยงาม เครื่องประดับของชาวลาหู่ มีดังนี้ ตุ้มหู สร้อยคอ เข็มกลัด สร้อยข้อมือ และเม็ดโลหะเงินและอลูมิเนียมเล็กๆ (หน้า, 17-22)

Folklore

มีนิยายปรัมปราเรื่องหนึ่ง คือ มนุษย์คนแรกกำเนิดมาจากน้ำเต้า นิยายหรือตำนานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญต่อสังคมลาหู่ เป็นนิยาที่เด็กลาหู่จะรับฟังจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ตั้งแต่เด็กมีความเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความแตกแต่งของเพศ และทันทีที่เด็กๆ เริ่มถามพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ใกล้ชิด ผู้ใหญ่ก็มักจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง นับว่าเป็นนิทานเรื่องแรกที่เด็กจะได้รับฟัง นิยายเรื่องนี้พอจะสรุปได้ว่า มีพระเจ้าองค์หนึ่งได้ทรงปลูกเครือน้ำเต้าไว้เครือหนึ่งใกล้กับที่สรงน้ำของพระองค์วันหนึ่งเครือน้ำเต้าก็ออกผล พระองค์จึงได้เสกวิญญาณของมนุษย์เข้าไปในผลน้ำเต้านั้น ขณะที่ผลน้ำเต้ายังไม่แก่พอที่จะเก็บนั้น มีอีเก้งตัวหนึ่งนอนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ขณะนั้นมีนกตัวหนึ่งนกตบยุงได้บินไปเกาะกิ่งไม้เหนืออีเก้งทำให้กิ่งไม้นั้นหักลงมาทับ ทำให้เก้งตกใจกลัวและกระโดดวิ่งหนี ขณะที่กระโดดไปนั้นขาข้างหนึ่งได้ไปเกี่ยวสะดุดเครือน้ำเต้าเป็นเหตุให้ผลน้ำเต้าหลุดร่วงออกจากเครือและกลิ้งไปตกที่ทะเลสาบน้อเซ้น้อเล่า พระองค์จึงตรัสสั่งให้สัตว์ทั้งหลายบนโลกช่วยเอาน้ำเต้าออกมาจากทะเลสาบนี้ ดังนั้นสัตว์ทุกชนิดได้ใช้ความพยายามจะเอาออกมาแต่ไม่สำเร็จและในที่สุดปูเป็นผู้ที่สามารถใช้กระดองดันออกมาได้ ทำให้พระองค์พอพระทัยมาก จึงให้ปูมีความสามารถพิเศษกว่าสัตว์อื่นๆ คือ สามารถเดินได้ทั้งสองข้าง (หมายถึงทั้งซ้ายและขวา) หลังจากปูได้ผลักน้ำเต้าออกมาจากทะเลสาบได้แล้ว พระองค์มีพระประสงค์ที่จะให้สัตว์ช่วยกัดแทะน้ำเต้าให้เป็นรู เพื่อให้มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในน้ำเต้าออกมาได้ ฉะนั้นสัตว์ทุกชนิดก็ได้ใช้ความพยายามอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ และในที่สุดหนูบ้านเป็นผู้มีความสามารถกัดแทะน้ำเต้าให้มนุษย์ออกมาได้ ปรากฏว่ามีมนุษย์ยักษ์ชื่อ “จะตี่” อยู่ในน้ำเต้า พระองค์ทรงพอพระทัยมากจึงได้ให้หนูบ้านเป็นสัตว์ที่ได้กินข้าวจากยุ้งฉางของมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นผู้ปลูก หลังจากที่มนุษย์ผู้นี้ออกมาจากน้ำเต้า พระองค์ให้เป็นผู้ดูแลสิ่งสานพัดทั้งปวงที่อยู่บนโลก ทำให้เขาเกิดความเหนื่อยหน่ายมาก ฉะนั้นเขาจึงแอบหนีเข้าไปอยู่ในน้ำเต้าอีก พระองค์เห็นเช่นนั้นจึงได้เสกผู้ช่วยเข้าไปในน้ำเต้าให้อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ชื่อ “นาตี่” ในที่สุดทั้งคู่ได้ออกมาจากน้ำเต้าและเป็นต้นตระกูลของมนุษยชาติ นอกจากนี้ ยังมีนิทานเก่าแก่เกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์ อีกเรื่องหนึ่งที่ชาวลาหู่เล่าต่อกันมาว่า เทพเจ้าผู้สร้างโลกได้สร้างผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาให้อยู่กับสัตว์ต่างๆ ซึ่งสามารถพูดภาษาคนได้ แต่ชายคนนี้รู้สึกเหงาและเปล่าเปลี่ยวมากจึงได้ตัดสินใจอยู่กับปลาตัวเมียตัวหนึ่ง ซึ่งปลาตัวนี้ในที่สุดแล้วกลายมาเป็นมนุษย์ผู้หญิง ทำให้ชายคนนี้มีความสุขที่ได้อยู่กับผู้หญิง แต่ไม่นานต่อมาเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่บนโลก ทำให้สัตว์ทั้งปวงรวมทั้งมนุษย์คู่แรกนี้ต้องเข้าไปหลบอยู่ในผลฟักทอง ปล่อยให้ลอยไปตามน้ำ ต่อมาเมื่อมนุษย์ผู้หญิงตั้งท้องได้ 3 ปี เกิดลูกออกมาพร้อมกันหลายคน เช่นเดียวกับปลาที่ออกลูกทีละหลายตัว และรุ่นคนนี้เองถือว่าเป็นบรรพบุรุษแรกของชาวลาหู่ (หน้า, 13-15)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

โปรดดูรายละเอียดหัวข้อ Belief Systems (beliefs, values, ideology, religious rites and practices)และ Folklore (myths, legends, stories and literature)

Map/Illustration

ภาพ
        ลักษณะบ้านเรือนดั้งเดิมของชาวลาหู่ (หน้า, 18)
        ลักษณะบ้านเรือนของชาวลาหู่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองเขียว อ.เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม (หน้า,19)
        ชุดแต่งกายหญิงชาวลาหู่ดำแบบดั้งเดิม (หน้า, 21)
        ขวาชุดชายลาหู่ดำ หมู่บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ (หน้า, 21)
        ชุดแต่งงานสมัยก่อนของชาวลาหู่ดำ บ้านผาใต้ อำเภอแม่สาย จ.เชียงใหม่ (หน้า, 26)
        ต้นวอและการเล่นลูกข่างในช่วงประเพณีปีใหม่ชาวลาหู่ (หน้า, 29)
        การเต้นจะคึชาวลาหู่เพื่อฉลองปีใหม่ (หน้า, 32)
        ลักษณะลูกข่างชาวลาหู่ (หน้า, 32)
        การเป่าแคนของชาวลาหู่ (หน้า, 33)
        สภาพหมู่บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน และท่าเรือภายในหมู่บ้านไปจังหวัดเชียงราย (หน้า, 38)
        ผลิตภัณฑ์กลุ่มหัตกรรมบ้านผาใต้ ต.ท่าตอน อ.แม่สาย จ.เชียงใหม่ (หน้า, 39)
        ย่ามลายคะจู่ตา หรือลายรูตะกร้าของชาวลาหู่ดำบ้านผาใต้ (หน้า, 40)
        ย่ามทอลายดั้งเดิมลายดาว ลายดอกคริสมาสต์ และย่ามตัดเย็บแบบลาหู่บ้านผาใต้ (หน้า, 46)
        การนำเศษผ้ามาตัดชิ้นเล็กๆ และนำมาปักเย็บเป็นลวดลายต่างๆ บนตัวกระเป๋า (หน้า, 47)
        มีการทอสายย่ามจากกี่เอวนำมาเย็บประกอบกันเป็นย่ามภาพลายปักของผู้ชายและผู้หญิงเป็นรูปต่างๆ ของชาวลาหู่ (หน้า, 48)
        เสื้อและกางเกงผู้ชายลาหู่ดำมีการปักตบแต่งขอบขากางเกงบ้านผาใต้ (หน้า, 49)
        เสื้อของผู้หญิงลาหู่ดำประยุกต์และตบแต่งด้วยการปักเย็บบ้านผาใต้ (หน้า, 49)
        ผ้าทอเป็นผืนหน้าแคบ ขนาดความกว้าง 4.5 นิ้ว ตามคำสั่งชื้อพ่อค้าชาวลีซอ (หน้า, 59)
        อุปกรณ์ที่ใช้ในการทอผ้าของชาวลาหู่บ้านหนองเขียวเหมือนกับบ้านผาใต้ (หน้า, 60)
        ย่ามแบบดั้งเดิมของชาวลาหู่บ้านหนองเขียว (หน้า, 62)
        ผ้าทอลายคริสมาสต์ทำส่งให้กับร้านหัตกรรมชาวเขา และย่ามลายดาวเป็นลายดั้งเดิมลาหู่ (หน้า, 63)
        ช่องทางการจำหน่ายสินค้าเป็นผาใต้ (หน้า, 70)
        ช่องทางการจำหน่ายสิค้าบ้านหนองเขียว (หน้า, 77)

Text Analyst เอกรินทร์ พึ่งประชา Date of Report 03 ต.ค. 2567
TAG ลาหู่, หัตถกรรมท้องถิ่น, โครงการหลวง, เชียงใหม่, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง