|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาหู่ วัฒนธรรมชุมชน ภูมิปัญญา ผู้สูงอายุ จังหวัดเชียงใหม่ ภาคเหนือ |
Author |
ธีรพงษ์ บุญรักษา, ชูศักดิ์ สุวิมลเสถียร |
Title |
การจัดการวัฒนธรรมชุมชน: ภูมิปัญญาในการเสริมสร้างความมั่นคงผู้สูงอายุ กรณีศึกษา ชุมชนลาหู่ อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ลาหู่ ลาหู่ ละหู่ ลาฮู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
21 |
Year |
2559 |
Source |
วารสารศิลปกรรมบูรพา |
Abstract |
บทความวิจัยนี้ มีเป้าหมายในการนำเสนอผลการศึกษา ภูมิปัญญาการสร้างความมั่นคงให้กับผู้สูงอายุในชุมชน โดยเลือกพื้นที่ศึกษาใน 4 หมู่บ้าน ที่เป็นชุมชนชาวลาหู่ อำเภอแม่อายจังหวัดเชียงใหม่ งานวิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาแบบชาติพันธุ์วรรณนา โดยนักวิจัยเข้าไปสังเกตพฤติกรรมและวิถีชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อทำความเข้าใจถึงระบบวิธีคิด ความเชื่อ และค่านิยม ที่มีผลต่อวิถีการปฏิบัติกับผู้สูงอายุที่ได้พัฒนาจนกลายเป็นภูมิปัญญาในการสร้างความมั่นคงให้ผู้สูงอายุชาวลาหู่ ผลการศึกษาพบว่า ความมั่นคงของผู้สูงอายุชาวลาหู่ขึ้นอยู่กับการธำรงอยู่ของวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวลาหู่ที่มีการสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ภูมิปัญญาสำคัญที่จะธำรงรักษาวัฒนธรรมไว้ได้ คือ การจัดการวัฒนธรรมชุมชนให้มีความยั่งยืน ซึ่งพบว่า ชาวลาหู่มีการจัดการวัฒนธรรมเริ่มจากการถ่ายทอดความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับความกตัญญูกตเวที ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ได้แก่ วาทกรรมคำสั่งสอน ผู้นำทางความเชื่อ ศาสนสถาน ระบบการปกครอง ผีบรรพบุรุษพิธีกรรม ครอบครัวและชุมชน จนกลายเป็นค่านิยมกตัญญูกตเวที บรรทัดฐานสังคมและระบบเกื้อกูล ซึ่งนำไปสู่ความมั่นคงของผู้สูงอายุในชุมชนชาวลาหู่ บทความนี้ยังได้นำเสนอความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อวัฒนธรรมชุมชนชาวลาหู่ รวมทั้งแนวทางการจัดการวัฒนธรรมชุมชน เพื่อให้เกิดความมั่นคงในผู้สูงอายุลาหู่อย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบัน |
|
Focus |
บทความนี้นำเสนอข้อระหว่างปี พ.ศ.2553-2554 มีประเด็นสำคัญ คือ 1) บริบทของชาวลาหู่ในพื้นที่ศึกษา 2) บทบาทและคุณค่าของผู้สูงอายุในวัฒนธรรมลาหู่ 3) ความหมาย “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้สูงอายุ” ในทัศนะของชาวลาหู่ 4)ภูมิปัญญาในการเสริมสร้างความมั่นคงผู้สูงอายุด้านเศรษฐกิจและสังคม และ 5) ความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของวัฒนธรรมลาหู่ดั้งเดิม |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาประยุกต์แนวคิดผู้สูงวัยมาเป็นกรอบในการวิเคราะห์จากการศึกษางานภาคสนาม |
|
Study Period (Data Collection) |
|
Demography |
ชาวลาหู่มักอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ภายในหมู่บ้านมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ประมาณ 50 ไปจนถึง 130 หลังคาเรือน มีประชากรอาศัยอยู่ 200 คน จนถึงกว่า 600 คน (หน้า, 97) |
|
Economy |
อาชีพหลักของชาวลาหู่ คือ การทำเกษตรกรรม เช่น ทำไร่ ทำสวน ปลูกข้าว ข้าวโพด ผลไม้ และพืชหมุนเวียนเพื่อการบริโภคในครอบครัวและเพื่อขาย นอกจากทำการเกษตร ชาวลาหู่ยังนิยมการเลี้ยงสัตว์ควบคู่ไปด้วย เช่น หมู และไก่ ซึ่งจะมีการเลี้ยงไว้แทบทุกบ้าน เพื่อขายและใช้ประกอบพิธีกรรม รองลงมาคือการรับจ้างในเมือง ทำก่อสร้างในช่วงที่พักจากฤดูทำไร่ ทำสวน หมู่บ้านที่อยู่พื้นที่ราบมีชาวบ้านหลายรายที่ประกอบอาชีพค้าขาย เป็นพ่อค้าคนกลาง รับซื้อผลิตผลทางการเกษตรจากภายในหมู่บ้านต่างๆ แล้วนำไปขายต่อให้กับพ่อค้าในเมือง โรงงานและโรงสี รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายข้าว ข้าวโพด และมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อ ส่วนหมู่บ้านบนภูเขาชาวบ้านฐานะจะไม่ค่อยดีนัก เกือบทุกบ้านจะมีหนี้สินในการกู้ยืมเพื่อนำ มาลงทุนซื้อปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และเมล็ดพันธุ์รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินทำกิน นอกจากนั้นที่ดินส่วนใหญ่ถูกนายทุนเข้ามาซื้อ จำนวนมาก จึงทำให้หลายครอบครัวต้องไปรับจ้างทำงานในไร่ รับจ้างเก็บชา รับจ้างทำ และสวนส้ม เป็นต้น (หน้า, 98) |
|
Social Organization |
บทบาทและคุณค่าของผู้สูงอายุลาหู่ที่มีต่อชุมชนมีอย่างน้อย 4 มิติ คือ มิติที่ 1 คลังความรู้ : คัมภีร์ทางศาสนา เนื่องจากชนชาติลาหู่ไม่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรของตนเอง จึงไม่มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมความเชื่อไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่มีงานเขียนบันทึกไว้เป็นหลักฐาน จำเป็นต้องถ่ายทอดจากเรื่องเล่าของบรรพบุรุษและผู้สูงอายุในหมู่บ้านเป็นสำคัญ มิติที่ 2 ผู้ชี้นำการปกครองและผู้พิพากษาประจำ หมู่บ้าน บทบาทของผู้สูงอายุที่เด่นชัดมากในอดีต คือ บทบาทในด้านการปกครองของหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าผู้ที่จะมาดำ รงตำ แหน่ง “โตโบ” “อาดอ” และ “จ่าหลี๋” จะเป็นผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่มีความรู้และมีคุณสมบัติเหมาะสม มิติที่ 3 เจ้าพิธีหรือผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม บทบาทของผู้สูงอายุที่สำคัญประการหนึ่ง สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน คือ เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น การผูกข้อมือ การให้พรการล้างบาปและการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากผู้สูงอายุเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านพิธีกรรม และมิติที่ 4 ที่ปรึกษา ผู้สูงอายุลาหู่ส่วนใหญ่จะได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาในการดำ เนินชีวิตมาเป็นอย่างดีจากบรรพบุรุษรุ่นก่อน ทำให้มีความรู้และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้กับบริบทในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี (หน้า, 99-100) |
|
Political Organization |
โครงสร้างทางการปกครองของคนลาหู่ระดับหมู่บ้านในอดีตจะประกอบด้วยผู้นำ 3 ฝ่าย คือ 1) อาดอ หรือ คะแช เป็นผู้นำสูงสุดในการปกครองหมู่บ้านทำหน้าที่เสมือนผู้ใหญ่บ้าน คือ รักษาความสงบของหมู่บ้าน 2) โตโบเป็นผู้นำฝ่ายศาสนาและความเชื่อ ทำหน้าที่เสมือน นักบวช นักปราชญ์ ครูอาจารย์ คือ อบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี และ 3) จาหลี๋เป็นผู้นำฝ่ายผลิตเครื่องมือการเกษตรเพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ หมู่บ้านหนึ่งๆ จะต้องมีองค์ประการครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ ถ้าขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งจะไม่สามารถตั้งหมู่บ้านได้หรืออาจล่มสลาย ปัจจุบัน การปกครองของหมู่บ้านลาหู่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เนื่องจากชาวลาหู่ไม่ได้มีอาชีพเกษตรเพียงอย่างเดียว เพราะพื้นที่ทำการเกษตรลดน้อยลง ผู้คนเข้าไปเรียนหนังสือและทำงานในเมือง ระบบการปกครอง ของรัฐไทยที่เข้ามาบังคับใช้กฎหมาย ทำให้ระบบการปกครองแบบลาหู่ลดบทบาทลงไปตามลำดับ (หน้า, 100-105) |
|
Belief System |
ชาวลาหู่เชื่อว่า มนุษย์ทุกชนเผ่าเกิดมาจากผลน้ำเต้า โดย “ลาหู่” ถือเป็นพี่ใหญ่ของชนเผ่า ชาวลาหู่นับถือพระเจ้าอื่อซา คำสั่งสอนเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เพราะเชื่อว่า เป็นเทพผู้สร้างโลก การนับถือ “ผี” เป็นเสมือนบรรพบุรุษที่คอยคุ้มครอง อาทิ ผีเรือน ผีบ้าน ผีป่า ผีเขา เป็นต้น ต่อมามีมิชันนารีชาวต่างชาติเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ มีการสร้างโรงเรียน สร้างโบสถ์และศาสนาสถานขึ้นภายในหมู่บ้าน ต่อมาได้มีพระสงฆ์ได้เข้ามาเผยแผ่ศาสนาพุทธที่ชุมชนลาหู่ การสอนของพระสงฆ์นี้ไม่ค่อยถูกต่อต้านจากชาวลาหู่ เนื่องจากมีความยืดหยุ่น และสามารถบูรณาการเข้ากับวัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมของชาวลาหู่ได้ จึงมีชาวลาหู่จำนวนไม่น้อยที่หันมานับถือศาสนาพุทธ หรือบางคนนับถือทั้ง 2 ศาสนา คือแบบดั้งเดิมและพุทธศาสนาคู่กันไป ส่วนพิธีกรรมของชาวลาหู่ที่มีส่วนต่อการปลูกฝังความกตัญญูกตเวที เช่น
•พิธีกินแรงเป็นพิธีกรรมของชาวลาหู่เพื่อการตอบแทนบุญคุณของบุพการี ชาวลาหู่มีความเชื่อว่า คนหนึ่งคนเกิดขึ้นมา ได้กินเลือดของแม่ไปแล้ว 9 ก้อน (กินในขณะที่อยู่ในท้องแม่ 9 เดือน) และเติบโตขึ้นมาจนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่ออายุ 15 ปี ซึ่งต้องใช้ข้าวไป 15 ยุ้งฉางชาวลาหู่จึงมีการกินแรงเลี้ยงพ่อแม่ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูมาจนมีคู่ครอง การกินแรงคือการมาเลี้ยงดูพ่อแม่ ทำงาน หาอาหาร และทำประโยชน์ให้ครอบครัวพ่อแม่ของตนและคู่ครอง
•พิธีขอขมาเป็นพิธีกรรมที่ทำเพื่อรักษาคนไข้ที่มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และสภาพจิตใจไม่ค่อยดี ซึ่งชาวลาหู่เชื่อว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะมีการบาดหมางกับ พ่อ แม่ หรือปู่ย่า ดังนั้น จึงต้องทำพิธีไปขอขมา โดยจะใช้ไก่ 1 ตัว ทำอาหารให้กิน เพื่อเป็นการขอขมา
ส่วนการทำเครื่องเช่นไหว้ ใช้ประกอบพิธีเซ่นไหว้ เพื่อบูชาเทพเจ้าอื่อชา ช่วยดลบันดาลให้มีความสุข และหายจากโรคภัยต่างๆ โดยพิธีกรรมดังกล่าวประกอบด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ทำ เครื่องเซ่นไหว้จำนวนมาก อาทิ ก้อนหิน ก้อนดิน เทียนขี้ผึ้ง สำ ลี ธง เป็นต้น ซึ่งแต่ละชิ้นเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายทั้งสิ้น อาทิ สื่อถึงความเข้มแข็ง ความมีอายุยืนยาว การหายจากโรคภัย การพัดเอาสิ่งที่ไม่ดีออกจากบ้าน และหมู่บ้าน การเป็นเครื่องป้องกันสิ่งไม่ดี เป็นต้น ซึ่งการเตรียมการ และการประกอบพิธีจะต้องได้รับคำปรึกษา และคำแนะนำ จากผู้สูงอายุที่มีความรู้ พิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้เป็นการตอกย้ำถึงวิถีในการดำรงชีวิตในความเชื่อของชาวลาหู่ที่แสดงออกผ่านกิจกรรมต่างๆ นอกจากนั้นจะเห็นว่าผู้สูงอายุมีบทบาทในเรื่องพิธีกรรมอย่างมาก ทั้งในบทบาทของผู้รู้ ผู้ประกอบพิธีกรรม และผู้ได้รับการตอบแทน (หน้า, 95 ; 100-106) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การจัดการชุมชนให้เกิดการถ่ายทอดวัฒนธรรมกตัญญูกตเวทีตามความเชื่อของลาหู่ดั้งเดิมนั้นถือเป็นการธำรงชาติพันธุ์อย่างหนึ่งเพราะพบว่า ชาวลาหู่สร้างระบบกลไกสำคัญ คือ 1)วาทกรรมคำสั่งสอนชาวลาหู่: ความหมายของความเชื่อ แม้คนลาหู่จะไม่มีตัวอักษรในการเขียน แต่บรรพบุรุษลาหู่มีการสร้างวาทกรรมเกี่ยวกับความเชื่อในวิถีของคนลาหู่ขึ้นในรูปแบบของคำสั่งและคำสั่งสอนของบรรพบุรุษนี้ถือเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับสังคมลาหู่ดั้งเดิม เพราะคำสอนมีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ 2)โตโบ: ผู้ถ่ายทอดความเชื่อ “โตโบ” คือผู้นำศาสนาสูงสุดในหมู่บ้านลาหู่ทำ หน้าที่ในการเป็นผู้เผยแผ่อบรมสั่งสอนคนในหมู่บ้านให้เป็นคนดี รักษาศีลรักษาธรรมยึดถือคุณธรรม มีเมตตา มีความกตัญญูรู้คุณและการตอบแทนคุณบรรพบุรุษและบุพการี “โตโบ” จะให้พร ไถ่บาปเพื่อล้างสิ่งชั่วร้ายต่างๆ โดยผ่านพิธีกรรมต่างๆ 3) หอแหย่: พื้นที่หล่อหลอมความเชื่อ “หอแหย่” เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมด้านความเชื่อทางศาสนาแบบดั้งเดิมของชาวลาหู่ ที่ตั้งของหอแหย่จะอยู่สูงกว่าบ้านทุกหลัง และอยู่กลางหมู่บ้านโดยชาวลาหู่จะมารวมตัวกันที่หอเหย่ เพื่อประกอบพิธีสำคัญในแต่ละช่วงเวลา “หอเหย่” จึงถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวลาหู่ เพราะเป็นแหล่งรวมความเชื่อวัฒนธรรมและพลังชุมชนของคนลาหู่ มีบทบาทสำคัญมากในการถ่ายทอดวัฒนธรรมความเชื่อของชาวลาหู่ เพราะเป็นพื้นที่ในการสร้างและถ่ายทอดภูมิปัญญา หล่อหลอมความเชื่อและการจัดระเบียบชุมชนของชาวลาหู่ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างพิธีกรรมและองค์ความรู้ที่ทำให้เกิดความมั่นคงในชุมชน 4) ผีบรรพบุรุษ: เครื่องมือควบคุมความเชื่อ ผู้นำและชาวบ้านลาหู่ ชาวลาหู่ดั้งเดิม มีความเชื่อเรื่องผีต่างๆ อาทิ ผีเรือน ผีบ้าน ผีป่า ผีบรรพบุรุษและผีเขา เป็นต้น เพราะเชื่อว่าเป็นเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ เป็นวิญญาณของบรรพบุรุษที่คอยปกปักรักษาคนในหมู่บ้านและดูแลป่าที่ทำกินของชาวลาหู่ 5) ขนบธรรมเนียมประเพณี: วิถีปฏิบัติต่อความเชื่อ “ขนบธรรมเนียมประเพณี” ถือเป็นการสืบทอดวิธีคิด ความเชื่อและวัฒนธรรมต่างๆ ผ่านการปฏิบัติตัวในการดำเนินชีวิต ซึ่งคนในสังคมจะตกลงร่วมกันว่าอะไรควรปฏิบัติเพื่อความสุขในชุมชน 6) โครงสร้างการปกครอง: อำนาจจากความเชื่อ โครงสร้างทางการปกครองของชาวลาหู่ในอดีตนั้น ผู้นำ ชุมชนลาหู่เล่าให้ฟังว่า จะประกอบด้วยผู้นำ 3 ฝ่าย คือ (1) “อาดอ” หรือ คะแช เป็นผู้นำ สูงสุดในการปกครองหมู่บ้าน ทำ หน้าที่เสมือนผู้ใหญ่บ้าน คือ รักษาความสงบของหมู่บ้าน (2) “โตโบ” เป็นผู้นำ ฝ่ายศาสนาและความเชื่อ ทำ หน้าที่เสมือน นักบวช นักปราชญ์ ครูอาจารย์ คือ อบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี และ (3) จาหลี๋ เป็นผู้นำฝ่ายผลิตเครื่องมือการเกษตร เพื่อนำ ไปใช้ในการประกอบอาชีพ ในแต่ละหมู่บ้านจะต้องมีองค์ประกอบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ หากขาดไม่ครบถ้วนอาจล่มสลายได้ ชาวลาหู่จึงให้ความเคารพแก่บุคคลเหล่านี้เป็นอย่างมาก เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ทำ หน้าที่ให้เกิดความสงบสุข ร่มเย็น และมีกินมีใช้ให้แก่ทุกคนในหมู่บ้าน และ 7) ครอบครัว เครือญาติ และคนในชุมชน : แหล่งบ่มเพาะความเชื่อ ชาวลาหู่จะให้ความเคารพและเชื่อฟังคำ สอนของพ่อแม่ หรือผู้นำ ในครอบครัวเป็นสำคัญสมาชิกในครอบครัวมีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง (หน้า, 108-111) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อระบบวัฒนธรรมลาหู่ดั้งเดิม ได้แก่ ระบบเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ระบบการศึกษาและวัฒนธรรมจากภายนอกชุมชน
•ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจและสังคมภายในชุมชนลาหู่ ปัจจุบันพื้นที่ทำกินของชาวลาหู่ถูกนายทุนซื้อไปเกือบหมด นอกจากนั้นยังมีการกู้ยืมเงินที่เพิ่มขึ้น การรับจ้างบนที่ดินของนายทุน แต่ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นมากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจทำ ให้ชาวลาหู่รุ่นใหม่เห็นความสำคัญของ “มูลค่า” ของวัตถุมากกว่า “คุณค่า” ทางวัฒนธรรมลาหู่ดั้งเดิม
•ระบบการปกครองจากส่วนกลาง ระบบการปกครองสมัยใหม่ มีความเป็นราชการจึงเป็นระบบที่มีกฎหมายรองรับและมีการบังคับใช้ มีผลกระทบอย่างมากต่อระบบการปกครองดั้งเดิมของชุมชนลาหู่ ตัวอย่างเช่น การแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการ ทำให้มีผู้นำ ในหมู่บ้านทั้งทางราชการและตามวัฒนธรรม บางหมู่บ้านโครงสร้างที่เป็นทางราชการจะมีอำนาจเหนือกว่าโครงสร้างแบบดั้งเดิม และพยายามทำ ให้โครงสร้างตามจารีตประเพณีเดิมค่อยๆ หายไป
•ระบบการศึกษา มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาคนทั้งด้านความรู้ จิตวิญญาณคุณธรรมจริยธรรม กายภาพ และด้านสังคม ปัจจุบันระบบการศึกษาตามหลักสูตรมาตรฐานจากส่วนกลางมีการยึดโยงด้วยวัฒนธรรม และค่านิยมของคนท้องถิ่นน้อยมาก ความรู้ที่ได้รับภายในชุมชนกับความรู้ภายนอกชุมชนเป็นคนละชุดความคิด มีความแตกต่างและหักล้างกันอย่างสิ้นเชิงทำให้เยาวชนไม่สามารถผูกโยงเข้ากับบริบทเดิมของตนเองได้ และเสื่อมศรัทธาต่อความเชื่อดั้งเดิมในวัฒนธรรม ค่านิยม และจิตวิญญาณของชาวลาหู่
•ศาสนาและความเชื่อ ชาวลาหู่จำนวนไม่น้อยมีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา บางกลุ่มไม่ค่อยเคร่งครัดต่อการปฏิบัติศาสนพิธี การเปลี่ยนแปลงศาสนาจึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือศรัทธาทั้งระบบ ได้แก่ วัฒนธรรม ค่านิยม พิธีกรรม จารีต และวิถีปฏิบัติต่างๆ ของคนลาหู่
ปัจจัยภายใน ที่มีผลต่อระบบวัฒนธรรมลาหู่ดั้งเดิม ได้แก่ ผู้นำ ชุมชน ความขัดแย้งภายในชุมชน ความรู้สึกผูกพันต่อชุมชน และความสัมพันธ์ของคนในชุมชน
•ผู้นำ ชุมชน ถือเป็นปัจจัยที่สำ คัญมากต่อความอยู่รอดของวัฒนธรรมลาหู่ เพราะผู้นำเป็นผู้มีบทบาทในการนำชักจูง และสร้างคุณค่า/ความหมายของวัฒนธรรมชุมชนให้คนในชุมชนได้รับรู้และตระหนักถึง รวมทั้งเสริมสร้างความรู้สึกผูกพันต่อชุมชน และความสัมพันธ์ของคนในชุมชนอีกด้วย
•ความเชื่อ/พิธีกรรมบางประการที่ไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมสมัยใหม่ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของวัฒนธรรมลาหู่ เพราะอาจเป็นสาเหตุของความเสื่อมศรัทธา และความน่าเชื่อถือในแก่นคำสอนทางศาสนา และวัฒนธรรมล่าหู่ดั้งเดิมทั้งหมดได้
•ความรู้สึกผูกพันต่อชุมชน และความสัมพันธ์ของคนในชุมชน เป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อความรักในชุมชน บ้านเกิด วัฒนธรรมลาหู่ และคนในชุมชน ซึ่งถือเป็น “ทุนทางสังคม” ที่ดีของชาวลาหู่ แต่หากเกิดความขัดแย้งขึ้น ก็จะทำ ให้กลไกกระบวนสร้างวัฒนธรรมชุมชนเกิดความอ่อนแอลงได้ (หน้า, 108-110) |
|
Map/Illustration |
ภาพ
แสดงถึงการบูชาผีบรรพบุรุษของชาวลาหู่ (หน้า, 99)
แสดงการใช้ชีวิตภายในบ้านแบบดั้งเดิมของชาวลาหู่ในภาพเป็นครอบครัวของรองโตโบผู้อาวุโสของหมู่บ้านห้วยจันสี (หน้า, 99)
แสดงถึงสภาพแวดล้อมในหมู่บ้านลาหู่ที่อยู่บนที่ราบสูง ปลูกบ้านแบบดั้งเดิม (หน้า, 99) |
|
|