สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ทุนทางสังคม ศูนย์เรียนรู้ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ภาคกลาง ประเทศไทย
Author สุวัฒน์ชัย สวัสดิผล
Title ทุนทางสังคมกับการจัดการศูนย์เรียนรู้ : กรณีศึกษาพิพิธภัณฑ์ชุมชนมอญบางกระดี่ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity มอญ รมัน รามัญ, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 162 Year 2552
Source มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

ชุมชนมอญบางกระดี่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมากว่า 132 ปีมีอัตลักษณ์ทาวัฒนธรรมที่ได้รับสืบทอดจากบรรพบุรุษ ส่วนความเป็นชุมชนมอญที่เข้มแข็งทางวัฒนธรรมดำรงอยู่ได้เพราะระบบเครือญาติ รวมทั้งการมีผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลง เสียสละ การมีระบบครอบครัวขยาย ถือเป็นองค์ประกอบด้านทุนสังคมสำคัญที่มีส่วนช่วยให้ดำรงอยู่ได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ 

Focus

          ผู้ศึกษาต้องการอธิบายถึงพัฒนาการของชุมชนตั้งแต่ช่วงของการย้ายถิ่นมาตั้งถิ่นฐานได้รับผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัฒน์ที่เข้ามาในในชุมชนและช่วงการลดคุณค่าประเพณี ความเชื่อ ภูมิปัญญาที่มีอยู่ในรูปแบบวัตถุ สิ่งของที่จับต้องได้หรือการเล่าเรื่องผ่านตำนาน เกิดเป็นศูนย์เรียนรู้ในการฟื้นฟูวัฒนธรรมชุมชน เพื่อทำให้เห็นกลวัตของกระบวนทุนทางสังคมในการจัดการศูนย์การเรียนรู้

Theoretical Issues

          ผู้ศึกษาใช้แนวคิดเรื่องพิพิธภัณฑ์ชุมชน ศูนย์เรียนรู้ ชุมชนและทุนทางสังคม มาเป็นแนวทางและกรอบในการศึกษาเพื่อทำให้เห็นบทบาทที่สำคัญของศูนย์เรียนรู้ ก่อนทำการวิเคราะห์เพื่อให้เห็นแนวทางการฟื้นฟูศูนย์เรียนรู้ดังกล่าวภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงจากกระแสโลกาภิวัฒน์อย่างเป็นพลวัต  

Ethnic Group in the Focus

          มอญบางกระดี่

Study Period (Data Collection)

          ขอบเขตช่วงเวลาการย้ายถิ่นก่อนปี พ.ศ. 2515 ช่วงผลกระทบการพัฒนา ราวปี พ.ศ. 2515-2538 และการตั้งศูนย์เรียนรู้นับจาก ปี พ.ศ. 2539-2552 โดยเน้นการทำงานภาคสนาม 

History of the Group and Community

          การตั้งถิ่นฐานของ ชาวมอญ บ้านบางกระดี่ แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ไม่มีหลักฐานบันทึก ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน การอพยพ ของชาวมอญในชุมชนอื่นๆ เช่น ชาวมอญพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ชาวมอญเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และชาวมอญสามโคก จังหวัดปทุมธานี เป็นต้น ซึ่งมีการอพยพเข้ามาอย่างเป็นทางการ และเป็นที่ต้องประสงค์ของพระมหากษัตริย์ในยุคนั้นๆ เพื่อเป็นแรงงาน ทำราชการ และสร้างความเข้มแข็ง ของพระราชอาณาจักร โปรดฯ ให้จัดที่อยู่ให้เป็นหลักแหล่ง รวมทั้งมีการบันทึกการอพยพไว้อย่างเป็นทางการ แตกต่างจากชาวมอญบ้านบางกระดี่ เพราะชาวมอญที่บางกระดี่ไม่ได้อพยพโยกย้ายมาจากเมืองมอญโดยตรง อย่างชาวมอญในชุมชนอื่นๆ แต่คาดว่า เป็นการอพยพมาจากชุมชนที่เป็นชุมชนมอญอยู่แล้วของเมืองไทย เป็นการอพยพเพื่อหาหลักแหล่งทำมาหากินแห่งใหม่ เนื่องจากถิ่นเดิมแออัดยัดเยียด ขาดแคลนพื้นที่ทำกินและแสวงหาแหล่งทรัพยากรใหม่ๆ โดยสันนิษฐานได้ว่า ชาวมอญ ที่บ้านบางกระดี่ส่วนใหญ่ แพร่กระจายมาจากชุมชนมอญ ในจังหวัดสมุทรสาคร เพราะชุมชนมอญเก่าแก่อย่างสมุทรสาคร มีหลักฐานการตั้งชุมชนมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3เนื่องจากชุมชนมอญที่มหาชัยและคลองสุนัขหอน เป็นชุมชนมอญขนาดใหญ่ ต่อมาในระยะหลัง เกิดความแออัดขาดแคลนที่ทำมาหากิน จึงมีการขยับขยาย เพื่อจับจองที่ทำกินยังแหล่งใหม่ ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์กว่าที่บางกระดี่ ซึ่งเมื่อย้ายมาอยู่ที่ใหม่แล้ว ยังสามารถประกอบอาชีพเดิม อย่างที่เคยเมื่ออยู่ที่มหาชัยและคลองสุนัขหอนได้ คือเย็บจาก ตัดฟืน เผาถ่าน อีกทั้ง ใกล้แหล่งค้าขายสินค้าเหล่านั้นคือ ปากเกร็ด สามโคก ที่ต้องการฟืนและจาก ในการทำเครื่องปั้นดินเผา ต่อมาในระยะหลัง เมื่อมีการติดต่อค้าขายกันระหว่างชุมชนมอญ จึงมีชาวมอญอีกส่วนหนึ่ง โยกย้ายมาอยู่ที่บางกระดี่เพิ่มเติม จากการแต่งงาน และการค้าขายประกอบอาชีพ กับชาวมอญสามโคก ปากเกร็ด พระประแดง และย่านบางไส้ไก่ กรุงเทพมหานคร (หน้า, 57-76)

Settlement Pattern

          ชาวมอญบางกระดี่จะปลูกบ้านเป็นแนวตามขวางคลองสนามชัยทั้งสองฝั่งอย่างหนาแน่น ลักษณะของบ้านเรือนนั้นคล้ายๆ กับบ้านของคนไทย คือ เป็นเรือนไทยไต้ถุนสูง ซึ่งทำด้วยไม้ทั้งหลัง และที่เป็นครึ่งตึกครึ่งไม้รวมถึงเรือนแบบเก่าที่มุงด้วยใบจากและฝาบ้าน ยังเป็นฝาจาก บ้านของชาวมอญบางกระดี่จะมีเสาเรือนที่สำคัญอยู่ 3 เสา คือ เสาแรก หรือ เสาเอก เรียกว่า "เสาตัวผู้" เป็นเสาผีบรรพบุรุษหรือที่เรียกว่าเสา (ปะ-หนก) เสาที่สอง เป็นเสาโท ชาวมอญบางกระดี่เรียกว่า "เสาตัวเมีย" (ฮะ-ยาง-เบอะ) และเสาที่สาม เป็นเสาพระซึ่งจะอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน ในกรณีที่จะขยายบริเวณบ้านให้กว้างออกไปนั้น ตามโบราณที่ยึดถือกันมาคือให้ขยายได้เฉพาะด้านที่อยู่ทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้เท่านั้น ส่วนทางทิศตะวันออก ห้ามขยายเด็ดขาด ในกรณีที่มีการสร้างบ้านหลังที่สองที่ต่อเติมจากหลังแรกนั้น พื้นบ้านและหลังคาจะต้องต่ำจากหลังแรกด้วย สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่ง คือ บ้านทุกหลังจะมีบันไดขึ้นลงไว้หน้าบ้าน ทั้งนี้ได้รับการบอกเล่าจากชาวบ้านว่า เพื่อสะดวกในการนำศพออกจากบ้าน เพราะประเพณีของชาวมอญบางกระดี่ที่ปฏิบัติกันมานั้นไม่นิยมนำศพลอดใต้ถุนบ้าน ถ้าบ้านไหนไม่มีบันไดนอกตัวบ้านนั้นก็จะทำทางโดย เจาะช่องไว้สำหรับนำศพออกจากเรือน ไม่นิยมนำศพออกทางประตู เชื่อว่าไม่เป็นมงคล ส่วนภายในตัวบ้าน ภายในเรือนจะมีเสาผีหรือเสา (ปะ-หนก) ซึ่งคนมอญเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตย์ของผีบรรพบุรุษในตัวของเสา ชาวมอญบางกระดี่จะไม่ตอกตะปูเด็ดขาดและจะนำพวงมาลัย ผ้าสามสี ปิดทอง สำหรับเคารพบูชา (หน้า, 57-76)

Economy

          คนมอญบางกระดี่ในอดีตมีอาชีพทำฯ ไม้ฟืน เย็บจาก เมื่อได้ผลผลิตส่วนเกินความต้องการของชุมชน จะนำไปแลกเปลี่ยนกับชุมชนใกล้เคียง อาจแลกเปลี่ยนในฐานสินค้า ซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ โดยเฉพาะใบจาก ซึ่งมีความสำคัญในการแลกเปลี่ยนกับสินค้าพวกน้ำตาลจากนอกชุมชน การที่คนมอญบางกระดี่ผลิตไม้ฟืนยังส่งขายให้กับกลุ่มคนมอญที่เกาะเกร็ดใช้ผลิตเครื่องปั้นดินเผา เกิดการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนมอญต่างพื้นที่ อาจกล่าวได้ว่า วิถีคนมอญบางกระดี่มีระบบการผลิตที่ผูกพันกับทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนและนับเป็นอาชีพหลักที่สำคัญของชุมชน คือ การเย็บจาก และทำฟืน (หน้า, 59-62)    

Social Organization

          ชุมชนมอญบางกระดี่เกิดจากการย้ายถิ่นของผู้คนในพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้เมื่อเกิดการรวมตัวเป็นชุมชนจึงได้สร้างกฎเกณฑ์ร่วมกัน เนื่องจากคนมอญมีการสืบทอดผ่านระบบเครือญาติ การเคร่งครัดศาสนา การอยู่เป็นครอบครัวขยาย มีการนับถือผีบรรพบุรุษ สิ่งเหล่านี้ เป็นบรรทัดฐานทางสังคมทำให้คนมอญดำรงอยู่ได้ โดยเฉพาะมีการเข้าถึงฐานทรัพยากรอย่างเสมอภาค ทำให้ลดปัญหาความขัดแย้งในชุมชนขึ้น เช่น การใช้ประโยชน์จากป่าโกงกาง เป็นต้น  (หน้า, 67-70)

Belief System

          การนับถือผีเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากสมุทรสาครเข้ามายังบางกระดี่ เพื่อให้รู้จักกันในหมู่เครือญาติ ถือเป็นความโชคดีที่ทำให้เรารู้จักว่าตัวเองเป็น “มอญ” การนับถือผีทำให้เราไม่กลัวเพราะเรามีผี และ การนับถือผีแต่ละตระกูลไม่เหมือนกัน เช่น บางตระกูลมีการเลี้ยงผีปีละครั้ง หรือ สองปีครั้งหรือสิบปีครั้งแล้วแต่ตระกูลจะปฏิบัติสืบต่อกันมาหรือได้สัญญาไว้กับผีบรรพบุรุษการเลี้ยงผี (ฮะ-จิ-ปะ-หนัก) หรือเลี้ยงผีบรรพบุรุษ อาหารเลี้ยงผี หนึ่งสำรับ เรียกว่า “มัว-คาน” สองสำรับ เรียกว่า “บา-คาน” สามสำรับ เรียกว่า “ปั๊ว-คาน” การเตรียมก่อนถึงพิธีการเลี้ยงผี เลี้ยงแบบธรรมดา เราต้องตั้งเครื่องเซ่นสำรับกับข้าว เลี้ยงแบบเชิญเข้าทรงในร่างของคนทรง เราต้องตั้งเครื่องเซ่นสำรับกับข้าวเช่นกัน ในการใช้ร่างทรงนั้นก็เพื่อประโยชน์ในการสอบถามผีบรรพบุรุษได้ด้วยว่าเราปฏิบัติถูกต้องหรือเปล่า หรือเพื่อเป็นการทำนายทายทักเกี่ยวกับการทำการเกษตร พิธีการเลี้ยงผี เรียกอีกอย่างว่า “กินทั้งนั่ง” จะทำพิธีหน้าเสาผี (เสาเอกของบ้าน) ต้องนัดเวลาของคนทรงเนื่องจากในวันพระจะไม่สามารถทำพิธีได้ เมื่อนัดคนทรงได้แล้ว ก่อนถึงวันงานเลี้ยงผีเราต้องไปหาเต่ากี่ตัวแล้วแต่ว่าสืบทอดมาอย่างไร แต่มีหลักเกณฑ์อยู่ว่า เพิ่มได้แต่ลดลงไม่ได้ในเรื่องของสำรับสำหรับเลี้ยงผีที่สำคัญ คือ เต่า ไก่ กล้วย มะพร้าวอ่อน เหล้าขาว ข้าวเหนียวกวนน้ำตาลปี๊ป น้ำเปล่า ผลไม้ชนิดต่างๆ ที่หาได้ ขนมผีชนิดต่างๆ ส่วนการรำผีมอญเป็นประเพณีการรำบวงสรวงบรรพชน ซึ่งผีของคนมอญแบ่งออกคร่าวๆเป็น ผีบรรพชนคือผีปู่-ย่า ผีตา-ยาย ญาติผู้ใหญ่ที่เสียชีวิตไป ส่วนผีคือผีร้าย ผีต้นกล้วย ผีตานี ผู้จอมปลวก ผีเจ้าที่ การรำผีหมายถึงการรำให้แก่ผีบรรพชน ที่ป้องปักดูแลเรา โดยปกติคนมอญถือว่าเมื่อเกิดมาจะมีผีอยู่กับตัวหรือในสายเลือดอยู่แล้ว แต่คนที่ได้รับการสืบทอดให้เป็นผู้ดูแลผีบรรพชนจะเป็นลูกคนชายโตของตระกูล    

Education and Socialization

          วัดคือศูนย์กลางแหล่งบ่มเพาะปัญญาและถ่ายทอดความรู้ คนมอญบางกระดี่ใช้หลักการทางพุทธศาสนามาปฏิบัติจนเป็นจารีตของชุมชนเกิดกฎเกณฑ์ในการควบคุมคนทางสังคม รวมถึงทำให้เกิดการเรียนรู้หลักการอู่ร่วมกัน นอกจากนี้ วัดยังเป็นแหล่งถ่ายทอดภาษามอญผ่านหลักคำสอนทางศาสนา ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นบทบาทของพระสงฆ์ที่มีอิทธิทางความคิดของคนมอญบางกระดี่เป็นอย่างมาก ในอดีต ครั้งยังไม่ก่อตั้งโรงเรียนวัดบางกระดี่ ชาวบ้านจะเรียนและได้รับการขัดเกลาความรู้ต่างๆ ผ่านวัดบางกระดี่ นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์มอญบางกระดี่เป็นที่เก็บสะสมรวบรวมภูมิปัญญา และความเป็นมา ของชุมชนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน (หน้า, 70-71) 

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          การแต่งกายในชีวิตประจำวันของชาวมอญบางกระดี่ไม่แตกต่างจากชาวไทยในสมัยนี้ ผู้ชายนุ่งกางเกงขาสั้นหรือขายาวสามเสื้อเชิ้ตหรือเสื้อยืดตามสมัย ผู้หญิงแต่งกายตามสมัยนิยมของแต่ละวัย การแต่งกายตามประเพณีทำเมื่อมีงานประเพณีหรือเทศกาล เช่น ตรุษ สงกรานต์ เข้าพรรษา เป็นต้น เมื่อถึงเวลานั้น ฝ่ายชายจะนุ่งโสร่งตราหมากรุกสวมเสื้อกุยเฮงมีผ้าพาดไหล่ ฝ่ายหญิงจะนุ่งซิ่นสวมเสื้อลูกไม้ตัดตามนิยมและมีผ้าสไบ ผู้สูงอายุอาจนุ่งโจงกระเบนหรือนุ่งซิ่นสวมเสื้อผ่าอกตัดด้วยผ้าลูกไม้หรือผ้าชนิดอื่นๆ และผ้าสไบเฉียงเช่นกัน ผ้าพาดหรือผ้าสไบสำหรับฝ่ายชายนั้น จะมีวิธีพาดสำหรับผ้าพาดหรือผ้าสไบนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องแต่งกายของชาวมอญ เฉพาะชาวมอญทุกเพศทุกวัย แม้ไม่แต่งกายตามประเพณีเมื่อวัยเด็กก็จะยังคงใช้ผ้าพาดแบบสไบเฉียงทุกคน เป็นการแสดงความสุภาพต่อพระภิกษุสงฆ์ ทั้งยังเป็นผ้ากราบ (หน้า, 73-76)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          อัตลักษณ์สำคัญของคนมอญบางกระดี่ คือ ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ โดยมีพิธีรำผีมอญประกอบความเชื่อดังกล่าวที่ทำให้เกิดอัตลักษณ์เฉพาะกลุ่มชน  

Social Cultural and Identity Change

          การรำผีในแต่ละครั้งจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องรำกันหลายวันหลายคืน ในวรรณคดีราชาธิราชมีการกล่าวถึงการรำผี มีการรำกันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน แต่ในปัจจุบันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายจะลดการรำเหลือเพียงวันเดียว ส่วนไนรัฐมอญประเทศเมียนม่ามีการรำเพียงครึ่งวัน การรำผีจะประกอบด้วยดนตรีปีพาทย์ประกอบท่ารำ เครื่องแต่งกายที่ใช้จะแตกต่างกันไปในแต่ละท่าแต่ละเพลงที่รำ โดยผู้ที่ประกอบพิธีกรรม จะเรียกว่า “โต้ง”ซึ่งจะเป็นผู้ควบคุมพิธีทั้งหมด โดยมีขั้นตอนพิธีมากกว่า 40 ขั้นตอน การรำจะทำก็ต่อเมือคนในครอบครัวเจ็บป่วย คนในบ้านสูญหายออกจากบ้าน ในปัจจุบันจะมักนิยมใช้เพื่อบนบานสานกล่าวหากได้ผลสำเร็จตามที่ปรารถนา (หน้า, 150-157)

Map/Illustration

แผนที่
          แผนที่การตั้งถิ่นฐานของชุมชนมอญในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (หน้า, 62)
          แผนที่ชุมชนมอญบางกระดี่ (หน้า, 68)

ตาราง
          ตารางปฏิทินการทำนา ตัดฟืน ตัดจาก (หน้า, 68)
          ตารางข้อมูลพัฒนาการชุมชนมอญบางกระดี่ (หน้า, 137)
          ตารางสรุปกระบวนการทุนทางสังคมในการจัดศูนย์เรียนรู้ (หน้า, 141)
แผนภูมิ
          แผนภูมิกระบวนการทุนทางังคมของชุมชนมอญบางกระดี่ยุคพึ่งตนเอง (หน้า, 77)
          แผนภูมิกระบวนการทุนทางังคมของชุมชนมอญบางกระดี่ยุคพัฒนาความเจริญ (หน้า, 135)
          แผนภูมิกระบวนการทุนทางังคมของชุมชนมอญบางกระดี่ยุคศูนย์เรียนรู้ (หน้า, 135)

Text Analyst เอกรินทร์ พึ่งประชา Date of Report 07 มิ.ย 2562
TAG มอญ, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน, ทุนทางสังคม, ศูนย์เรียนรู้, จังหวัดกรุงเทพมหานคร, ภาคกลาง, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง