|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,อัตลักษณ์,เครือญาติ,สังคมสมัยใหม่,เชียงใหม่ |
Author |
Prasit Leepreecha |
Title |
Modernization and the Construction of Hmong Kinship Identity |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
28 |
Year |
2541 |
Source |
Social Research Institute Chiang Mai University |
Abstract |
สังคมม้งเป็นสังคมแบบเครือญาติ ตามแบบแผนประเพณีดั้งเดิมความสัมพันธ์ทางเครือญาติเกี่ยวข้องทั้งในด้านระบบเศรษฐกิจ ศาสนา การเมืองและสังคม การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ (Modernization) และการเป็นไทย ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติของม้ง แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีรูปแบบความสัมพันธุ์อัตลักษณ์ทางเครือญาติ (Kinship Identity) ที่ยังคงอยู่ (หน้า 1) |
|
Focus |
ผู้วิจัยเน้นความสนใจของ ความเป็นไทยและโลกาภิวัตน์ ความเป็นสมัยใหม่เข้าไปมีผลอย่างไปต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติของม้ง และกระบวนการรับความเป็นสมัยใหม่ของกลุ่มม้งในหมู่บ้าน |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง หมู่บ้านแม่สาใหม่ จังหวัดเชียงราย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
รัฐคาดหวังให้ทุกคนพูดภาษาไทยได้และถือเป็นภาษากลางที่ใช้ ภาษาของกลุ่มย่อยไม่ได้รับความสนใจ ที่โรงพยาบาล สถานที่สาธารณะไม่มีล่าม และการพูดภาษาม้งอาจได้รับความไม่พอใจจากคนเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ (หน้า 11) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Economy |
การเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมของม้งได้ถูกแทนที่ด้วยโครงการต่าง ๆ ของรัฐที่เข้ามาสนับสนุนการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ตั้งแต่ช่วงปี 1970 เป็นต้นมา พืชที่ปลูกเช่น กาแฟ มันฝรั่ง แครอท ยาสูบ สตอร์เบอร์รี่ ข้าวโพด ลิ้นจี่ ฯลฯ ลิ้นจี่ได้รับการนิยมปลูกมากที่สุด ในปัจจุบันการปลูกข้าวลดน้อยลง บางครอบครัวปลูกข้าวเฉพาะที่ใช้ในพิธีกรรมเท่านั้นแล้วซื้อข้าวจากตลาดในการบริโภค และในระบบการผลิตแบบใหม่ศูนย์กลางการผลิตได้เปลี่ยนจากครอบครัวไปสู่ปัจเจก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตกลงระหว่างภายนอกกลุ่มในการทำธุรกิจรูปแบบเครือญาติยังคงมีส่วนช่วยในการสร้างเครือข่ายในธุรกิจแบบสมัยใหม่ นอกจากนี้การท่องเที่ยวได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ชาวบ้านผลิตของที่ระลึกและทำงานเกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยว และมีการออกไปทำงานเป็นแรงงานรับจ้างภายนอกหมู่บ้าน ผู้หญิงออกมาขายของที่ตลาด Night Baazar (หน้า 15-18) |
|
Social Organization |
ระบบความสัมพันธุ์ทางเครือญาติของม้งมีอยู่ 2 แบบคือ Ku Ti และ Neng Sha ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้ - Ku Ti คือ ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มตระกูลเดียวกัน (Clan) หรือ (Xeem) ในภาษาของม้ง ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดในเครือญาติคือ กลุ่มนับถือผีร่วมกัน รองลงมาคือการทำพิธีกรรมร่วมกันและสายเครือญาติในตระกูล กล่มตระกูล (Clan) มีความสัมพันธ์ในเรื่องของการแต่งงาน โดยจะห้ามแต่งงานในกลุ่มเดียวกัน และกลุ่มตระกูล (Clan) ยังมีหน้าที่ในบางพิธีกรรมความเชื่อ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มย่อยในตระกูล คือ สายตระกูล (Lineage) เป็นสมาชิกที่นับถือผีบรรพบุรุษร่วมกัน ผู้ที่อยู่ในสายตระกูลเดียวกันเท่านั้นที่จะสามารถตายในบ้าน การเปลี่ยนตระกูลอาจจะทำได้หากไปอยู่อาศัยห่างไกลจากเครือญาติ แต่ต้องได้รับการยอมรับของคนในตระกูล (หน้า 2, 4) - Neng Sa คือกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในสายตระกูลเดียวกัน (Clan) เป็นคำใช้โดยเฉพาะกับ ภรรยา หรือแม่ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติอนุญาตให้ทั้งสองมีความสัมพันธ์ร่วมกันได้ อาจใช้คำเรียกชื่อทางเครือญาติในสายตระกูลแต่จะเป็นคำที่แตกต่างไปจากที่ใช้ใน Ku Ti (หน้า 2 ) ในสังคมแบบดั้งเดิมความสัมพันธ์ทางเครือญาติเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของม้ง เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทุกเรื่องราวในชีวิตของม้ง การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัยได้ส่งผลให้มีการเปิดสังคมออกสู่ภายนอก (หน้า 4) |
|
Political Organization |
รัฐได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางสังคมของกลุ่มม้ง การกำหนดให้มีการใช้นามสกุลรวมถึงการสร้างจิตสำนึกความเป็นไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ให้สังคมสูญเสียอำนาจในการจัดการชุมชนผ่านความสัมพันธ์แบบเครือญาติในแบบดั้งเดิม (หน้า 6-7) |
|
Belief System |
ม้งที่บ้านแม่สาใหม่ มีความเชื่อดั้งเดิม และการนับถือศาสนาใหม่ เช่น นับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ ในความเชื่อแบบดั้งเดิมประเพณีเลี้ยงผีถือเป็นสิ่งแสดงความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เนื่องจาก เป็นงานที่สมาชิกในเครือญาติเดียวกันจะต้องเข้าร่วม หากไม่เข้าร่วม เพราะถือศาสนาใหม่จะถือว่าเป็นเหมือนคนนอกกลุ่มเครือญาติ ศาสนาพุทธ มีโครงการพระธรรมจาริกเข้ามาในหมู่บ้านในช่วงปี 1965 พระสงฆ์ที่เข้ามาไม่ได้ทำหน้าที่สอนศาสนาอย่างเดียวแต่มีความร่วมมือกับรัฐในการสอนความเป็นไทยให้กับชาวบ้าน เช่น สอนภาษาไทย นำเด็กออกบวชเป็นสามเณรเข้าเรียนหนังสือในโรงเรียนไทย รวมถึงการจัดการด้านสาธารณสุข ให้ยาสามัญประจำบ้าน และยาสมุนไพร ในการรักษาโรค แม้จะมีการบวชเป็นพระสงฆ์และสามเณรเป็นจำนวนมากแต่เมื่อครบกำหนดพรรษาก็สึก หรือรอจนจบการศึกษาจากโรงเรียน ศาสนาคริสต์ มิชชันนารีต่างมีความเห็นว่าศาสนาคริสต์มีความแตกต่างและตรงข้ามกับความเชื่อดั้งเดิม โดยกล่าวว่าศาสนาดั้งเดิมของม้งเป็นเหมือนปีศาจหรือซาตานจากนรก เป็นศาสตร์มืด ความขัดแย้งทางศาสนาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติในกลุ่มที่นับถือศาสนาแตกต่างกัน (หน้า 19-22) |
|
Education and Socialization |
ระบบการศึกษาจัดโดยรัฐบาลไทย เป็นไปโดยหลักการใหญ่คือการให้ความรู้ เพื่อนำไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ โรงเรียนแห่งแรกเกิดขึ้นในหมู่บ้านในปี 1970 หนึ่งปีหลังจากการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โรงเรียนอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันเปิดสอนถึงระดับประถมศึกษามีนักเรียน 380 คน ครู 15 คน และมีโรงเรียนอนุบาล และโรงเรียนสอนผู้ใหญ่ในวันเสาร์อาทิตย์ในหมู่บ้านเช่นเดียวกัน การศึกษาเป็นกระบวนการสำคัญที่รัฐใช้เพื่อให้เด็กๆ กลายเป็นไทย รัฐคาดหวังให้ทุกคนพูดภาษาไทยได้และถือเป็นภาษากลางที่ใช้ ในโรงเรียนเฉพาะภาษาไทยกลางเท่านั้นที่ได้รับอนุญาติให้พูด รวมถึงครูพยายามให้ผู้ปรกครองพูดภาษาไทยกับนักเรียนเมื่ออยู่ที่บ้านเช่นกันเพื่อช่วยฝึกฝน โดยอ้างว่าภาษาไทยกลางจะเป็นประโยชน์มากกว่าในการติดต่อสื่อสารกับผู้คนภายนอก (หน้า 11-12) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นสมัยใหม่และการกลายเป็นไทย ส่งผลกระทบต่ออัตลักษณ์ทางเครือญาติในสังคมม้ง ไม่ว่าจากการเปลี่ยนนามสกุล สื่อต่าง ๆ ทำให้มีการใช้ศัพท์ภาษาไทยในการเรียกชื่อทางเครือญาติแทนคำดั้งเดิม รวมทั้งการรับศาสนาใหม่ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้คงอยู่ในสังคมแบบสมัยใหม่ (หน้า 24-25) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมของม้งเกิดขึ้นในช่วงปี 1950 รัฐบาลไทยได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาแก้ไขปัญหา การศึกษา ความยากจน คุณภาพชีวิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่เฉพาะม้งแต่เป็นทุกกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง (หน้า 5) การรับวัฒนธรรมใหม่ก่อให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของระบบเครือญาติขึ้น (หน้า 6) ปัจจัยที่ส่งกระทบโดยตรง คือ การใช้นามสกุล ซึ่งพบว่าในกลุ่มตระกูลเดียวกันมีนามที่หลากหลายรวมอยู่ ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านแสดงความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อคนในรุ่นหลังที่อาจจะแต่งงานกันในกลุ่มตระกูลเดียวกัน เนื่องจากใช้กันคนละนามสกุลและไม่รู้ระบบความสัมพันธ์ของเครือญาติแบบดั้งเดิมอีกต่อไป (หน้า 8) |
|
|