สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ พิธีกรรมความตาย นนทบุรี ภาคกลาง ประเทศไทย
Author เกตุอัมพร ชั้นอินทร์งาม
Title การศึกษาพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวมอญเกาะเกร็ด
Document Type อื่นๆ Original Language of Text -
Ethnic Identity มอญ รมัน รามัญ, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
[เอกสารฉบับเต็ม]
Total Pages 68 Year 2550
Source มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Abstract

พิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย ชาวมอญเกาะเกร็ดแบ่งลักษณะการตาย เป็น 2 ประเภท คือ ตายแบบปกติ และตายแบบไม่ปกติ การตายแบบปกติมีขั้นตอนและพิธีกรรมคือ การบอกข่าวการตาย การอาบน้ำศพ การแต่งตัวศพ การนำหมากและเงินใส่ปากศพ การปิดปากศพด้วยใบพลู การมัดศพ การตั้งศพ การนำศพลงโลง การเคลื่อนย้ายและการจูงศพ การฝังศพ การจัดวางฟืนเผาบนเชิงตะกอน การเผาศพ ซึ่งมีพิธีโยนผ้าราไฟ การกลับจากการเผาศพ การเก็บอัฐิ พิธีปล่อยพระ ส่วนพิธีกรรมการจัดการศพแบบไม่ปกติ มีขั้นตอนที่แตกต่างจากศพปกติ คือ เมื่อมีคนตายต้องรีบฝัง จะไม่มีการทำบุญเลี้ยงพระ จะทำได้หลังจากวันตายแล้ว 7 วัน ทำทานด้วยอาหารดิบ การขุดศพขึ้นมาเผานั้นต้องไม่ต่ำกว่า 3 ปี ยกเว้นศพที่เป็นโรคติดต่อจะไม่มีการเผาที่ตายแบบปกติ ส่วนการจัดพิธีกรรมแบบการสร้างปราสาทเพื่อฌาปนกิจนั้นขึ้นอยู่กับสมณศักดิ์ตั้งแต่พระพิธีธรรมขึ้นไป และการจำพรรษานานตั้งแต่ 20 พรรษา รวมทั้งพระที่เป็นเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส พระผู้ใหญ่ที่มีอายุมาก การจัดพิธีกรรมเกี่ยวกับศพของพระภิกษุสงฆ์ ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะชาวมอญมีความเชื่อว่าได้อานิสงส์เหมือนถวายเพลิงพระพุทธเจ้า มีขั้นตอนการบอกข่าวการตาย โดยใช้สัญญาณการเคาะระฆัง การอาบน้ำศพ ไม่มีการมัดตราสัง ไม่ต้องนำเหรียญ หมากใส่ปากศพ และไม่มีการประพรมเครื่องหอม มีพิธีสวดพระอภิธรรม 7 วัน การฌาปนกิจจะสร้างปราสาท แทนเมรุ ไม่ต้องจุดไฟเผา จะใช้การจุดลูกหนูแทน มีมอญร้องไห้วัตถุสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้ในพิธีกรรมนั้นเป็นปริศนาธรรมที่มีคุณค่าต่อชาวมอญเป็นอย่างมากต่อมาพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวมอญเกาะเกร็ดเปลี่ยนแปลงไป เรื่องการจัดพิธีศพที่ตายแบบไม่ปกติเดิมจะต้องฝังแล้วขุดขึ้นมาเผา ปัจจุบันจะเผาอย่างเดียว สวดพระอภิธรรมได้ตามแต่เจ้าภาพกำหนด เพราะไม่มีสถานที่ฝังศพ รวมทั้งเป็นความยุ่งยากของเจ้าภาพ และความเจริญทางวัตถุนิยม เดิมจะจัดพิธีกรรมที่บ้านมีขั้นตอนพิธีกรรมมาก แต่ปัจจุบันลดขั้นตอนลงและใช้วัดประกอบพิธีกรรมเป็นส่วนใหญ่  

Focus

          ศึกษาพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวมอญเกาะเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

Theoretical Issues

          ผู้เข๊ยนใช้งานเอกสารและการลงภาคสนามเพื่อนำเสนองานเขียนเชิงพรรณนาเพื่อทำให้เห็นพิธีกรรมแห่งความตายของคนมอญเกาะเกร็ด   

Ethnic Group in the Focus

          มอญเกาะเกร็ด 

Study Period (Data Collection)

          เอกสารประกอบย้อนยุคสมัยอยุทธยาจนถึงปี พ.ศ. 2550 ร่วมกับข้อมูลการทำงานภาคสนามในช่วงปี พ.ศ. 2549-2550  

History of the Group and Community

          การอพยพเข้ามาในประเทศไทยของชาวมอญในอดีตนั้น ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า ชาวมอญอพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การอพยพครั้งนี้เป็นช่วงที่พระองค์ทรง ประกาศอิสรภาพ ณ เมืองแครง พ.ศ. 2127 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มาตั้งถิ่นฐานรอบพระนครศรีอยุธยา และชาวมอญอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทยอีกหลายสมัย การอพยพของชาวมอญที่เป็นมอญแท้ คือ มาจากเมืองหงสาวดี เมาะตะมะ และกวานอาม่าน คือ ชุมชนชาวมอญเกาะเกร็ด ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารว่า ชาวมอญเกาะเกร็ดอพยพมาในไทย 2 ครั้ง คือ ครั้งแรก พ.ศ. 2317 สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวมอญของเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ซึ่งเป็นนายทหารหัวหน้ามอญมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีและที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี มอญที่เข้ามาอยู่ครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวทหารและได้ร่วมกับทหารมอญเก่าครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาและทหารไทย ทำสงครามขับไล่พม่าอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศึกสงครามเก้าทัพ ทหารมอญมีบทบาทอย่างมากในการขับไล่ข้าศึกและได้รับพระราชทานยศเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่จำนวนมาก เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากคลองบางตลาด ภายหลังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยามหาโยธานราธิปดีศรีพิไชยณรงค์ สมัยรัชกาลที่ 1 และเป็นต้นสกุล “คชเสนี” ชาวมอญที่อพยพมาอยู่ปากเกร็ดนั้นจะมาจากเมืองหงสาวดี เมืองเมาะตะมะ และกวานอาม่าน จะตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นกลุ่มที่บริเวณหนึ่งของเกาะเกร็ดตั้งแตวั่ดเสาธงทอง อ้อมเกร็ดมาจนถึงวัดฉิมพลี การอพยพครั้งที่สอง ราว พ.ศ. 2358 ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 2 ว่า สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ เสด็จพระราชดำเนินไปรับครอบครัวมอญซึ่งหนีภัยพม่ามาอยู่ด้านด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี และโปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาอภัยภูธร สมุหนายก ไปรับครอบครัวมอญที่เข้ามาทางด้านแม่ละเมา แม่สอด เมืองตาก ให้ครอบครัวมอญเหล่านี้ อยู่ที่นนทบุรี ปทุมธานี เมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) เมื่อชาวมอญเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เกาะเกร็ดจึงมีการประกอบอาชีพหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาปั้นโอ่ง อ่าง ฯลฯ ระหว่างคลองวัดปากอ่าว ถึงวัดเสาธงทอง หมู่บ้านชาวมอญกลุ่มนี้มีชื่อเรียกว่า“บ้านโอ่งอ่าง” ซึ่งชุมชนมอญมีอยู่ 3 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่1 บ้านลัดเกร็ด หมู่ที่ 6 บ้านเสาธงทองและหมู่ที่ 7 บ้านโอ่งอ่าง (หน้า, 1; 5-6)

Settlement Pattern

          การตั้งถิ่นฐานของประชาชนบริเวณเกาะเกร็ดตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่ตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่นบริเวณรอบๆ เกาะเกร็ดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งวิถีชีวิตส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม จึงเลือกทำเลที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพราะสามารถจะนำน้ำมาใช้ในการเพาะปลูกใช้อุปโภค และบริโภคในชีวิตประจำวันตลอดจนความสะดวกสบาย การถ่ายเทของเสียลงแม่น้ำลำคลอง สมัยก่อนใช้ทางน้ำเป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งการตั้งบ้านเรือนบริเวณเกาะเกร็ด แบ่งได้สองลักษณะใหญ่ คือ แบบแรก เป็นการตั้งบ้านเรือนแบบเกาะกลุ่มกันตามริมน้ำ และริมทางเดินเท้าสาธารณะรอบเกาะ ลักษณะการเกาะกลุ่มของที่อยู่อาศัยรวมกันอยู่ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ เช่น วัดโรงเรียน โรงงาน โดยเป็นชุมชนเล็กๆ มีร้านขายอาหาร ของชำ เป็นต้น แบบที่สองคือการตั้งถิ่นฐานแบบกระจายตามพื้นที่ทำกิน เนื่องจากอาชีพส่วนใหญ่ของประชาชนคืออาชีพเกษตรกรรม ดังนั้นจึงตั้งบ้านเรือนกระจายไปตามพื้นที่สวนเพื่อสะดวกในการดูแลสวนผลไม้ลักษณะการตั้งถิ่นฐานดังกล่าว ทำให้เกิดสภาพสังคมแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกันและรู้จักกันภายในกลุ่มละแวกบ้านของตนเอง ชาวมอญที่อพยพเข้ามาส่วนมากอยู่บริเวณหมู่ที่ 1 หมู่ ที่ 6 และ หมู่ที่ 7 ของบริเวณเกาะเกร็ด กลุ่มชนนี้มีความรักในพื้นที่ เนื่องจากอยู่มานานจึงได้ถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินจากมรดกตกทอดกันมา ส่วนคนไทยพื้นเพเดิมนั้น อยู่ในหมู่ที่ 2, 3, 4 และ 5 ซึ่งพื้นที่เป็นสวน กระจายกันไปตามที่ทำกิน ไม่เกาะกลุ่มเหมือนคนมอญ ลักษณะการตั้งถิ่นฐานเกาะกลุ่มของคนมอญ จึงทำให้เกิดสภาพแบบช่วยเหลือเกื้อกูลกันและรู้จักกันภายในกลุ่มของตน สำหรับสภาพบ้านเรือนที่ปลูกนั้น เมื่อญาติพี่น้องหรือลูกหลานที่แต่งงานแลว้ แยกบ้านไป จะปลูกบ้านอยู่ใกล้หรืออยู่ติดกันกับบ้านของพ่อแม่ บ้านเรือนที่ตั้งขึ้นใหม่มีลักษณะไม่เป็นระเบียบ ชายคาบ้านแต่ละหลังเกือบจะติดกั้น บ้านปลูกใหม่จะมีรั้วกันขอบเขตแน่นอน ต่างจากบ้านที่ปลูกนานแล้วที่ไม่มีรั้วกั้นปัจจุบันเนื่องจากที่ดินไม่เพียงพอ และสภาพชุมชนเริ่มแออัด ผู้ที่แต่งงานใหม่จะแยกบ้านเรือนไปอยู่ที่แห่งใหม่ภายในชุมชนซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพ่อแม่ หรือย้ายออกนอกพื้นที่เกาะเกร็ดไปหาที่ตั้งหลักแหล่งใหม่ เพื่อความสะดวกในการไปทำงาน (หน้า, 6-8; 18-35)

Demography

          ประชากรท้องถิ่นตำบลเกาะเกร็ด มีจำนวนประมาณ 6,200 คน เป็นชาย 2,956 คน เป็นหญิง 3,244 คน มีจำนวนครัวเรือน 1,215 ครัวเรือน ความหนาแน่นเฉลี่ย 1,473 คน/ตารากิโลเมตร ประชาชนท้องถิ่นเชื้อสายมอญ ร้อยละ 43 ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในหมู่ที่ 1, 6 และ 7 ส่วนหมู่ที่ 2, 3, 4 และ 5 เป็นประชาชนเชื้อชาติไทย ไทย-จีน ร้อยละ 42 และไทย-อิสลาม ร้อยละ 15 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 85 ศาสนาอิสลาม ร้อยละ 15 (หน้า, 12-13)

Economy

          นอกจากคนมอญเกาะเกร็ดจะทำเครื่องปั้นดินเผา เช่น จาน ชาม ไห กระถาง ครก หม้อข้าว หม้อแกง อ่าง โอ่ง ยังนิยมทำการเกษตรพวกเรือกสวนไร่นาเนื่องจากพื้นที่เกาะเกร็ดรายล้อมด้วยน้ำ ส่วนปัจจุบัน คนไทยเชื้อสายมอญส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผา ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และพนักงานบริษัท 

Belief System

          พิธีกรรมศพมอญ โดยเฉพาะพิธีกรรมศพพระภิกษุสงฆ์ถือว่าเป็นพิธีกรรมที่มีคุณค่าทางพระพุทธศาสนา ชาวมอญมีความเชื่อว่า การนำศพประชุมเพลิงพระภิกษุสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้นจะได้อานิสงส์เท่ากับการถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า เมื่อมีพระภิกษุสงฆ์มรณภาพชาวมอญจะบอกข่าวการมรณภาพโดยใช้สัญญาณการเคาะระฆังช่วงเวลาอาบน้ำศพ หลังจากนั้นจะนำผ้าไตรชุดใหม่นุ่งห่มครองสังฆาฏิครบชุด จะไม่มีการมัดด้ายสายสิญจน์ ไม่ต้องนำเหรียญ หมากใส่ปากศพ และไม่ประพรมเครื่องหอมจะสวดพระอภิธรรมจนกว่าจะถึงวันทำบุญ 7 วัน การเก็บศพนั้นถ้าศพเป็นเจ้าอาวาสต้องเก็บไว้ในกุฎิที่ท่านเคยอยู่ศพ พระลูกวัดเก็บไว้ที่เมรุวัดปรมัยยิกาวาส วัดเสาธงทอง การเก็บศพไว้เพื่อฌาปนกิจนั้นขึ้นอยู่กับข้อตกลงของกรรมการจัดงานศพ การฌาปนกิจพระภิกษุสงฆ์ของชาวมอญเกาะเกร็ดนั้น จะนิยมสร้างปราสาทแทนเมรุทั่วไปเพราะถือว่าท่านเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ปนกับศพทั่วไป การจุดไฟเผาศพจะใช้จุดไฟจากลูกหนูแทน คนที่ไปงานศพพระภิกษุสงฆ์ เรียกว่า “เฟ–วะ– ซาง” จะหยิบดอกไม้จันทน์ไปวางที่จิตกาธาน โดยไม่ต้องจุดไฟแบบธรรมดา แต่จะจุดไฟโดยใช้ลูกหนูวิ่งไปที่โลงศพแล้วไฟก็จะลุกขึ้นเอง การเก็บอัฐิจะมีลักษณะคล้ายกับพิธีของการจัดการศพแบบปกติ แต่จะไม่มีพิธี อะ-โหย่ง-จ๊าตหรือพิธีปล่อยพระ และมอญร้องไห้จะมีเฉพาะพระสงฆ์ผู้ใหญ่ ขั้นตอนการปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดศพฆราวาสที่ตายแบบปกติ ชาวมอญจะมีการบอกข่าวการตายกันอย่างทั่วถึงถือเป็นหน้าที่สำคัญและจะมาร่วมงานกันถือว่าเป็นการสร้างกุศลอย่างหนึ่ง การอาบน้ำศพ อาบด้วยน้ำส้มป่อยเพื่อเป็นการล้างบาปเวรกรรมที่ยังมีตอนมีชีวิตอยู่ ดวงวิญญาณจะได้ไปสู่สุคติ การแต่งตัวศพโดยการประพรมศพด้วยของหอม ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงเรียกว่า “โปง-มอย” โดยสวมกลับหน้าเป็นหลัง กลับหลังเป็นหน้าแต่ไม่กลับตะเข็บ เพราะเดิมชาวมอญจะสวมกางเกงแทนผ้านุ่ง การตำหมาก การเอาเงินใส่ปากศพ จะปิดปากศพด้วยใบพลูและนำเงินใส่ปากศพ มีความเชื่อว่าผู้ตายจะได้นำไปใช้ในสวรรค์ การตั้งศพนั้นชาวมอญนิยมนำศพวางบนเตียงไม้ไผ่ เรียกว่า“โจ้ง –เนียะ”การสวดพระอภิธรรม เดิมสวด 7 วัน ปัจจุบันกำหนดกี่วันขึ้นอยู่เจ้าภาพ การนำศพลงโลงชาวมอญมีธรรมเนียมที่เคร่งครัดมากห้ามนำโลงศพขึ้นบนบ้าน การนำศพลงใส่โลงนั้นต้องทำนอกตัวบ้าน ก่อนยกศพใส่โลงจะทำพิธีเบิกโลงโดยเจ้าพิธีเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม การเคลื่อนย้ายและการจูงศพ จะเคลื่อนศพออกทางประตูผี ลงบันไดผี และเวียนศพจะเวียนซ้ายสามรอบ มีความเชื่อว่าให้ดวงวิญญาณหลงทางกลับบ้านไม่ถูก การฝังศพจะขุดหลุมโดยให้ความยาวของหลุมหันไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ฝังศพโดยศีรษะหันไปทางทิศเหนือ การจัดวางฟืนเผาบนเตาเชิงตะกอน เจ้าพิธีจะให้ผู้ชายช่วยกันจัดวางฟืนบนเชิงตะกอนเตรียมไว้ก่อน แล้วจึงนำศพออกเผาโดยนำฟืนมากองไว้แล้วนำด้ายสายสิญจน์พันเวียนซ้ายรอบกองฟืน 7 รอบ และขณะเผาศพนั้นมีพิธีกรรมเรียกว่า “โยนผ้าราไฟ”เป็นปริศนาธรรมให้เรียนรู้ว่ามนุษย์ต้องตัด โลภะ โทสะ โมหะ การทอดผ้าบังสุกกุลศพเจ้าภาพจะมอบให้ใครทอดผ้าก็ได้ พระภิกษุรูปที่ชักผ้าบังสุกุลรูปสุดท้ายต้องทำหน้าที่สอนสามเณรบวชหน้าไฟ การกลับจากเผาศพเจ้าภาพจะมีน้ำล้างที่ผสมใบส้มป่อยหรือขมิ้นไว้ให้ผู้มาร่วมงานล้างมือล้างเท้าเพราะมีความเชื่อว่าเป็นการล้างสิ่งที่ไม่เป็น

Education and Socialization

          ประชาชนที่เกาะเกร็ดส่วนใหญ่เข้ารับการศึกษาภาคบังคับตามที่รัฐบาลกำหนดมีโรงเรียนทั้งหมด 5 แห่ง ดังนี้ หมู่ที่ 5 โรงเรียนอนุบาลเอกชน 1 แห่ง หมู่ที่ 1 โรงเรียนประถมศึกษา 3 แห่งหมู่ที่ 1 โรงเรียนมัธยมศึกษา 1 แห่ง ประชากรท้องถิ่นส่วนใหญ่จบการศึกษาภาคบังคับและนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สามารถเข้าศึกษาต่อระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนประจำอำเภอ และจังหวัดนนทบุรีปัจจุบันประชากรที่เกาะเกร็ด มีโอกาสศึกษาต่อระดับสูง (หน้า, 14) 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          งานศึกษาเรื่องนี้มองอัตลักษณ์ชาติพันธุ์มอญผ่านพีธีกรรมแห่งความตายของชาวมอญเกาะเกร็ดทำให้เข้าใจวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวมอญมากขึ้น สิ่งที่เด่นชัดคือความสามัคคี การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชุมชน แสดงให้เห็นอัตลักษณ์ด้านพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประเพณีและความเชื่อที่ชาวมอญเกาะเกร็ดยังคงอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

Social Cultural and Identity Change

          จากอดีตถึงปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมและชุมชนที่เคยมีวัฒนธรรมวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ก็ค่อยๆ คลี่คลายไปซึ่งรวมทั้งความเป็นไปของชุมชนชาวมอญเกาะเกร็ดด้วยโดยเฉพาะพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวมอญเกาะเกร็ดซึ่งเดิมมีขั้นตอนต่างๆ มากมายรวมถึงรายละเอียดในการประกอบพิธีและวัตถุสิ่งของที่เกี่ยวกับความเชื่อทั้งหลายก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของชาวมอญเกาะเกร็ด มีขั้นตอนพิธีกรรมบางประการที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น การจัดพิธีศพพระภิกษุสงฆ์ เดิมเก็บไว้ไม่กี่คืนแล้วจึงฌาปนกิจ ปัจจุบันเก็บไว้หลายปีได้เพราะมียาฉีดรักษาศพและเพื่อทางคณะกรรมการจัดงานจะได้เตรียมการจัดหาทุนเพื่อจัดงานได้อย่างสมเกียรติ ทั้งการบอกข่าวการตายมีความสะดวกมากขึ้นเพราะทุกบ้านมีโทรศัพท์การช่วยงานของเพื่อนบ้านจะช่วยด้วยเงินเพื่อความสะดวกของเจ้าภาพที่จะจัดซื้อของสำหรับงานศพการตั้งสวดพระอภิธรรมเดิมจะวางศพไว้บนเตียงไม้ไผ่ เรียกว่า “โจ้ง–เนียะ” ปัจจุบันจะนำศพใส่โลงตั้ง สวดพระอภิธรรมที่วัด ทั้งนี้เพราะชาวมอญเกาะเกร็ดจะตายที่โรงพยาบาลจึงนำศพไปทำพิธีที่วัดเพื่อความสะดวกในการจัดหาอุปกรณ์และการนำศพเข้าบ้านชาวมอญเกาะเกร็ดมีความเชื่อว่าไม่เป็นสิริมงคล จึงนิยมจัดงานศพที่วัดปรมัยยิกาวาส และวัดเสาธงทอง หรือวัดสนามเหนือซึ่งเป็นวัดมอญฝั่งตรงข้ามกับเกาะเกร็ด ประกอบกับสภาพบ้านเรือนมีพื้นที่จำกัดในการจัดงานรับรองผู้มาช่วยงานการสวดพระอภิธรรมศพซึ่งเดิมจะมีผู้รู้ภาษามอญ อ่านนิทานให้เพื่อนที่มาอยู่เป็นเพื่อนศพได้ฟังค่อยๆ เลิกปฏิบัติไปพร้อมกับความเจริญของชุมชน ค่านิยมของชาวมอญสมัยใหม่ก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยเจ้าภาพจัดมหรสพมาแสดง เช่น ลิเก โขนและภาพยนตร์ การจัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายของศพที่ตายแบบไม่ปกติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากซึ่งเดิมจะฝังอย่างเดียวแล้วขุดขึ้นมาเผา ปัจจุบันชาวมอญเกาะเกร็ดจะเผาอย่างเดียว เพราะไม่มีสถานที่สำหรับฝังศพเพราะข้อจำกัดทางด้านพื้นที่ ส่วนโกดังหรือเมรุเก็บศพของชาวมอญเกาะเกร็ด มี 2 แห่ง คือ วัดปรมัยยิกาวาส และศาลาเก็บศพวัดเสาธงทอง อย่างไรก็ตาม การจัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างนั้นนับเป็นธรรมดาของการเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่สิ่งที่ยังคงอยู่ของชาวมอญเกาะเกร็ด คือ ความสัมพันธ์กันในชุมชน ความร่วมมือร่วมใจในการช่วยงานทำให้ชุมชนชาวมอญเกาะเกร็ดนี้มีความสงบสุขแสดงถึงความเป็นอัตลักษณ์ที่เด่นชัด (หน้า, 68-69)

Map/Illustration

ภาพ
          ภาพลักษณะการตั้งถิ่นฐานของชาวมอญเกาะเกร็ด ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาหมู่ที่ 7 บ้านโอ่งอ่าง ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 77)
          ภาพท่าเรือข้ามฟากวัดสนามเหนือ ไปท่าเรือข้ามฟากวัดปรมัยยิกาวาส หมู่ที่ 7ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่เวลา 06.00 -21.00 น.(หน้า, 79)
          ภาพใบลานภาษามอญวางบนกากะเยีย พิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาส หมู่ที่ 7 ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 84)
          ภาพการแห่ธงตะขาบ คติความเชื่อของชาวมอญเกาะเกร็ดในงานวันสงกรานต์ ประจำปี 2549 วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2549 (หน้า, 90)
          ภาพการอาบน้ำศพพระครูปลัดวันชัย วายาโม เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมหมู่ที่ 6 บ้านเสาธงทอง ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 92)
          ภาพ มอญรำ เป็นการรำของชาวมอญ ในวันสวดพระอภิธรรมศพพระครูปลัดวันชัย วายาโม เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ตำบลเกาะเกร็ดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 94)
          ภาพการสร้างปราสาทเผาศพ พระครูปลัดวันชัย วายาโม เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมหมู่ที่ 6 ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 96)
          ภาพปราสาทเผาศพ พระครูปลัดวันชัย วายาโม เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมหมู่ที่ 6 ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 98)
          ภาพการเชิญศพพระครูปลัดวันชัย วายาโมศพอยู่ในโลงแก้วซึ่งทำขึ้นพิเศษสำหรับเจ้าอาวาส
ในวันพระราชทานเพลิงศพ วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2550 ณ วัดไผ่ล้อม ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 101)
          ภาพภาพชาวมอญจากวัดมอญต่างๆ นำลูกหนูมาจุดช่วยในงานพระราชทานเพลิงศพ พระครูปลัดวันชัย วายาโม เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2550 ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 104)

แผนที่
          แผนที่รูปถ่ายทางอากาศ ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พ.ศ.2540 (หน้า, 75)
          แผนที่แสดงขอบเขตหมู่บ้าน ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี (หน้า, 76)  

Text Analyst เอกรินทร์ พึ่งประชา Date of Report 07 มิ.ย 2562
TAG มอญ, พิธีกรรมความตาย, นนทบุรี, ภาคกลาง, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง