|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
เวียดนาม ความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม จังหวัดพัทลุง |
Author |
วิภู ชัยฤทธิ์ |
Title |
ความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมระหว่างชาวเวียดนามอพยพกับชาวไทยท้องถิ่นในจังหวัดพัทลุง |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
เวียด เหวียตเกี่ยว ไทยใหม่,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
115 |
Year |
2553 |
Source |
วิทยานิพนธ์ศิลปศาตรมหาบัณฑิต (ภูมิภาคศึกษา) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐเกี่ยวข้องกับชาวเวียดนามอพยพ ทั้งระดับมหาภาคและระดับท้องถิ่น ประเมินโลกทัศน์ด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ชาวเวียดนามอพยพผู้เป็น “คนนอก” กับชาวไทยท้องถิ่นผู้เป็น “คนใน” ซึ่งมีความผันแปรตามยุคสมัย และศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษาชาวเวียดนามอพยพในจังหวัดพัทลุงกับชนกลุ่มน้อยในท้องถิ่นอื่นๆ ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายต่อชาวเวียดนามอยู่ภายใต้บริบทของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจในภูมิภาคในขณะนั้น ส่วนความผันแปรของนโยบายภาครัฐอันเกิดจากการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชาวเวียดนามอพยพ ทั้งนี้รัฐยุคเสรีประชาธิปไตยให้สิทธิ์และเสรีภาพแก่ผู้อพยพมากกว่ารัฐยุคเผด็จการ ขณะที่ ชาวเวียดนามอพยพได้รับช่วยเหลือในการให้งานเพื่อดำรงชีพจากคนในท้องถิ่น เนื่องจากมีจำนวนน้อยจนไม่เห็นว่าสามารถจะเป็นภัยคุกคามต่อชุมชนท้องถิ่นได้ |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐที่สัมพันธ์กับชาวเวียดนามอพยพทั้งในระดับท้องถิ่นและมหภาค, ศึกษาโลกทัศน์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างชาวเวียดนามอพยพผู้เป็น “คนนอก” กับคนไทยท้องถิ่นผู้เป็น “คนใน” ซึ่งมีความแปรผันตามยุค, และศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษาชาวเวียดนามอพยพในจังหวัดพัทลุงกับชนกลุ่มน้อยในท้องถิ่นอื่นๆ |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษานำแนวคิดเกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม (Acculturation)แนวคิดเกี่ยวกับการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Assimilation) แนวความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม (Social and Cultural Change) และทฤษฎีเกี่ยวพัน (Linkage Theory) มาประยุกต์ศึกษาเป็นเป็นแนวทางหาคำตอบปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐที่สัมพันธ์กับชาวเวียดนามอพยพในระดับต่าๆ ขณะเดียวกันยังเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างชาวเวียดนามอพยพผู้เป็น “คนนอก” กับคนไทยท้องถิ่นผู้เป็น “คนใน” โดยใช้ตัวอย่างการศึกษาเปรียบเทียบกรณีศึกษาชาวเวียดนามอพยพในจังหวัดพัทลุงกับชนกลุ่มน้อยในท้องถิ่นอื่นๆ |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้ศึกษากำหนดขอบเขตงานเอกสารที่ใช้ในการค้นคว้าช่วงการอพยพของชาวเวียดนามหลังการเกิดรัฐชาติ ต่อเนื่องยุคการอพยพมายังประเทศไทยของชาวเวียดนามในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กระทั่งศึกษาถึงยุคการอพยพชาวเวียดนามจากจังหวัดหนองคายไปยังจังหวัดพัทลุงของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (พ.ศ.2496) |
|
History of the Group and Community |
ผู้ศึกษาให้ภาพคนเวียดนามในประเทศเวียดประสบปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศมาตลอดประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงถูกยึดครองจากประเทศมหาอำนาจตะวันตกในปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20ต่อเนื่องมาจนถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ตลอดจนสงครามอินโดจีน ทำให้เกิดการปราบปรามไล่ล่า ช่วงชิงทรัพยากร จนต้องหลบหนีภัยคุกคามออกนอกประเทศ ไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยและหนึ่งในพื้นที่อพยพก็คือจังหวัดพัทลุง (หน้า, 24-36) จังหวัดพัทลุงถูกเลือกให้เป็นจังหวัดที่จะให้คนเวียดนามอพยพ โดยเฉพาะในระดับแกนนำที่มีส่วนสนับสนุนการกู้ชาติเวียดนามมาอยู่อาศัย เนื่องจากเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลจากเวียดนามมากที่สุดซึ่งยังอยู่ในอำนาจรัฐไทย และไม่อยู่ประชิดติดชายแดนประเทศเพื่อนบ้านเมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดพัทลุงโดยทางรถไฟ ชาวเวียดนามอพยพได้ถูกควบคุมตัวให้เดินเท้าต่อไปยัง สถานกักกันบ้านควนกุฎ ต.ควนกุฎ อ.เมือง จ.พัทลุง25 อยู่ห่างออกไปจากเขตเมืองไม่ไกลนักเป็นพื้นที่ของราชพัสดุ มีชาวบ้านอยู่อาศัยใกล้เคียงในเวลานั้นเพียง 3ครัวเรือน ถือเป็นสาขาหนึ่งของเรือนจำกลาง เขตธารโต(หน้า, 25-26) |
|
Settlement Pattern |
คนเวียดนามในพื้นที่ปักษ์ใต้อย่างจังหวัดพัทลุง ตอนแรกคนกลุ่มนี้ถูกส่งไปอยู่สถานที่กักกัน ซึ่งเรียกว่าบ้านควนกุฎ ต่อมาไม่นานจึงปล่อยให้ทำมาหากินอิสระ หากแต่เกิดมีความอัตคัดทั้งโดยสถานภาพและชีวิตความเป็นอยู่ ต้องต่อสู้ดินรนกระทั่งได้รับสัญญาชาติไทยในรุ่นต่อมา (หน้า, 4-5) แม้ในคราวแรกที่ถูกควบคุมตัวมา ชาวเวียดนามอพยพจะถูกควบคุมมาเฉพาะแต่ชายฉกรรจ์ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ออกทำมาหากินได้เป็นอิสระ ไม่นานบุตรและภรรยาก็เดินทางติดตามมาจาก จ.หนองคาย ในระยะแรกชาวเวียดนามอพยพซึ่งโดยมากเป็นญวนใหม่ยังพูดภาษาไทยไม่ได้ การหางานรับจ้างไปตามที่ต่างๆ จึงค่อนข้างยากลำบาก แต่ด้วยชาวเวียดนามอพยพถูกอบรมมาว่าการทำงานคือสิ่งที่มีเกียรติ พวกเขาจึงไม่เลือกงานที่ทำ บางครอบครัวรับจ้างทาสีย้อมผ้า บางครอบครัวรับจ้างเป็นกรรมกร เลื่อยไม้ กระจัดกระจายกันไปรอบพื้นที่เทศบาลเมืองพัทลุง แต่เนื่องจากขาดความคุ้นชินกับสภาพพื้นที่ ทำให้พวกเขาต้องเช่าบ้านอยู่รวมกันจนกลายเป็นชุมชนชาวเวียดนามอพยพขนาดย่อมๆ บริเวณหน้าวัดคูหาสวรรค์ ซึ่งเป็นพระอารามหลวงของจังหวัดพัทลุง และต่อมากลายเป็นวัดที่มีชาวจังหวัดพัทลุงจำนวนหนึ่งเรียกกันว่าวัดญวน เนื่องเพราะเป็นพื้นที่แรกๆ ที่ให้ความอุปการะต่อชาวเวียดนามอพยพอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ โดยมีการจ้างงานในวัดให้ทำ เพราะเห็นว่าชุมชนชาวเวียดนามอพยพตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้กับวัด (หน้า, 71) |
|
Demography |
ให้ข้อมูลภาพรวม คนเวียดนามญวนอพยพหนีภัยสงครามการกวาดล้างของทหารฝรั่งเศสภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2เข้ามาในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2488-2489นั้น ปัจจุบันได้ให้กำเนิดบุตรหลานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จากสถิติประชากรคนญวนอพยพในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 42,211 คน (หน้า. 50) ส่วนจังหวัดพัทลุงยังมีคนไทยเชื้อสายเว๊ยดนามและผู้ถือบัตรต่างด้าวสัญชาติเวียดนามราว 20 ครอบครัว โดยส่วนใหญ่เมื่อได้สัญชาติไทยแล้วจะอพยพไปอยู่ขังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ดังเดิมของกลุ่มคนญงนอพยพฬนสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (หน้า, 6) |
|
Economy |
ชาวเวียดนามอพยพก็เริ่มใช้ทุนที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานหนักประกอบกิจการที่ตัวเองมีความถนัดเฉพาะด้าน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายอาชีพ อันล้วนแล้วแต่เป็นสาขาอาชีพขาดแคลนในท้องที่ เช่น ช่างรับซ่อมจักรยานยนต์ ช่างตัดผม แพทย์เถื่อน ตลอดไปถึงร้านซักรีด และร้านค้าขายทั่วไป โดยมีเอกลักษณ์ของความเป็นร้านคนเวียดนามอพยพคือ อุปกรณ์ต่างๆ ภายในร้าน จะถูกประดิษฐ์ขึ้นเองแทบทั้งหมด (หน้า, 71) ปัจจุบัน ชาวเวียดนามจังหวัดพัทลุงประกอบอาชีพขายวัสดุอุปกรณ์การเกษตร, เจ้าของอู่รถยนต์, ช่างทำเบาะ, รับจ้างซักรีด, และร้านขายอาหารเวียดนาม (หน้า, 6) |
|
Social Organization |
ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยท้องถิ่นจังหวัดพัทลุงกับชาวเวียดนามอพยพคือ ชาวบ้านไม่ชอบให้ชาวเวียดนามอพยพพูดภาษาเวียดนามในทุกกรณี ทั้งกับคนในครอบครัว หรือพูดกับเพื่อนชาวเวียดนามอพยพคนอื่นๆ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่ยอมอุดหนุนในกิจการของชาวเวียดนามอพยพคนนั้นๆ ทำให้ชาวเวียดนามอพยพถูกสภาพสังคมกดดันให้ต้องหัดพูดภาษาไทยให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อผลประโยชน์ในการประกอบอาชีพแต่ผลที่ได้หลังจากสามารถพูดภาษาไทยท้องถิ่นได้ คือ ทำให้ชาวเวียดนามอพยพยิ่งได้รับความเมตตาจากชาวไทยท้องถิ่นในด้านต่างๆ อีกหลายประการ ทั้งการรับเอาบุตรของชาวเวียดนามอพยพมาเป็นบุตรบุญธรรม การคุ้มครองช่วยเหลือไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ กระทั่งถึงการแต่งงานกับชาวเวียดนามอพยพ ด้วยประทับใจในความขยันขันแข็งไม่เกี่ยงงานหนัก (หน้า, 75) |
|
Political Organization |
รูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่น่าพิจารณาในงานศึกษาเรื่องนี้คือ สถานภาพทางสังคมที่ถูกเรียกว่าความเป็น “ญวน” กล่าวคือ ชาวเวียดนามอพยพที่เป็นลูกครึ่งระหว่างไทยกับเวียดนาม ผลลัพธ์จากความรู้สึกไม่มั่นคงในสวัสดิภาพและสถานภาพทางกฎหมายทำให้ชาวเวียดนามอพยพในรุ่นบุตรจำนวนมากพยายามหาทางออกด้วยวิธีหาคู่สมรสที่เป็นคนไทย โดยเฉพาะหากเป็นคนชาวเวียดนามอพยพที่เป็นสตรีจะมีโอกาสที่ดีกว่า คือ สามารถหาคู่ครองที่เป็นเจ้าหน้าที่ราชการระดับสูงซึ่งส่วนใหญ่มักจะเลือกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ครั้นเมื่อแต่งงานและติดตามสามีไปอาศัยในจังหวัดอื่นแล้ว สถานภาพความเป็น “ญวน” ก็จะถูกปกปิด พลังของวาทกรรม“ญวน” ที่มีความหมายด้านลบในสังคมพัทลุงจะไม่สามารถติดตามไปได้ แต่สำหรับผู้ชายชาวเวียดนามอพยพที่แต่งงานกับหญิงไทย หรือชาวเวียดนามอพยพที่แต่งกับชาวไทยซึ่งอยู่อาศัยอย่างถาวรในพื้นที่จังหวัดพัทลุง คนกลุ่มนี้มักจะคงมีความระหวาดระแวงในความหมายของคำว่า “ญวน” ที่จะส่งไปถึงรุ่นลูกซึ่งเป็นชาวเวียดนามอพยพรุ่นหลาน จึงมักจะมีการสั่งสอนให้บุตรมีความเข้าใจในสถานภาพของตนที่แตกต่างกับบุคคลทั่วไป และให้ยอมรับคำว่า”ญวน” ซึ่งหมายถึงเชื้อชาตินั้น สามารถจะกลายเป็นคำที่มีความหมายในเชิงดูถูกเหยียดหยามของบุคคลอื่นได้ตลอดเวลา ทั้งนี้หลายครอบครัวยังมีความพยายามในการที่จะปลูกฝังให้บุตรได้แสดงตัวตนต่อบุคคลอื่นอย่างชัดเจนว่าเป็นคนเชื้อสายเวียดนามหรือ “ญวน” เพื่อที่จะได้รับประกันว่าจะไม่กลายเป็นข้อดูถูกเหยียดหยามเมื่อเกิดทราบเรื่องดังกล่าวขึ้นภายหลัง ซึ่งกล่าวเฉพาะในทัศนคติของชาวเวียดนามอพยพรุ่นหลานเอง พวกเขามักจะไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวต่อนโยบายรัฐ หรือการจำกัดควบคุมดังเช่นชาวเวียดนามอพยพรุ่นก่อนๆ เพราะภายหลังการถอนกำลังทหารออกจากเวียดนามของสหรัฐอเมริกาในปี 2518 ได้ทำให้บรรยากาศของความหวาดระแวงที่มีต่อชาวเวียดนามอพยพคลี่คลายลงอย่างมาก เป็นผลให้นโยบายที่รัฐบาลไทยบังคับใช้กับชาวเวียดนามอพยพมีความผ่อนคลายลงในทางปฏิบัติ จนกระทั่ง รัฐบาลพลเรือนของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เปลี่ยนมาใช้นโยบายผสมกลมกลืนตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา จึงทำให้ชาวเวียดนามอพยพรุ่นนี้ที่ภายหลังได้รับสัญชาติไทยทั้งหมด ไม่มีความรู้สึกหวาดเกรงในผลที่จะเกิดมาจากการเป็นคนไทยเชื้อสายเวียดนามตามกฎหมาย เพราะพวกเขามีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่าคนไทยทั่วไปทุกประการ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางครอบครัวที่บิดามารดามีความพยายามที่จะจัดการให้บุตรของตนพ้นจากสถานภาพของการสืบเชื้อสายเวียดนามมาตั้งแต่การเกิด ด้วยการให้ตากับยายซึ่งเป็นคนไทยจดรับรองเป็นบุตรของตน หรือวิธีอื่นๆ ทั้งนี้ก็เพราะประสบการณ์ที่รัฐมีนโยบายส่งกลับประเทศและการถูกถอนสัญชาติยังคอยหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลานั้นเอง (หน้า, 103-105) |
|
Belief System |
ด้านความเชื่อในงานศึกษาเรื่องนี้นำเสนอเรื่องความเชื่อผีบรรพรุษ ดังเห็นจากภายในบ้านของชาวเวียดนามอพยพทุกครอบครัวจะมีหิ้งบูชาบรรพบุรุษ เพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ และภายในวัดที่บริเวณสถูปก็จะพบแท่นบูชาบรรพบุรุษด้วย ในวันครบรอบวันตาย วันเทศกาลประเพณีต่างๆ ญาติของผู้ตายจะไปชุมนุมกันโดยลูกชายคนโตของผู้ตายจะเป็นผู้นำในการเซ่นไหว้อาหารและธูป จากนั้นคนในครอบครัวทั้งหมดจะไปที่สุสานของผู้ตาย พิธีจบลงด้วยสมาชิกในครอบครัวคุกเข่าลงหน้าแท่นบูชา ความล้มเหลวในการบูชาบรรพบุรุษของลูกหลานจะถูกมองว่าเป็นการกระทำที่แสดงถึงความอกตัญญูต่อบิดามารดา เพราะทำให้บรรพบุรุษต้องเร่ร่อนอยู่ในนรก แต่การรับเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้าไปทำให้ระเบียบวิธีปฏิบัติของชาวเวียดนามอพยพในจังหวัดพัทลุงบางอย่างถูกปรับเปลี่ยน นั่นคือทุกครอบครัวยังคงมีหิ้งบูชาบรรพบุรุษประจำบ้าน แต่จะจุดธูปบูชาเฉพาะในวันพระ ส่วนการเคารพศพในวันครบรอบการตายเดี๋ยวนี้ไม่มีอีกแล้ว เนื่องจากเปลี่ยนมาเคารพศพในวันสารทเดือนสิบ ซึ่งเป็นวันทำบุญให้กับบรรพบุรุษผู้ล่วงลับตามความเชื่อของชาวไทยท้องถิ่นที่ว่าเป็นวันซึ่งยมโลกเปิดประตูให้ดวงวิญญาณมารับส่วนบุญส่วนกุศลที่ลูกหลานอุทิศให้ (หน้า, 76) |
|
Education and Socialization |
เมื่อเข้าไปอยู่ในพื้นที่จังหวัดพัทลุงในระยะแรก ชาวเวียดนามอพยพแทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาเลย เพราะทั้งภรรยาและบุตรทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยแบ่งเบาภาระด้วยการประกอบอาชีพ หรือเป็นลูกมือของบิดา ต่อมาเมื่อสถานะทางเศรษฐกิจของชาวเวียดนามอพยพจำนวนหนึ่งเริ่มดีขึ้น จึงมีการสนับสนุนให้บุตรหลานของชาวเวียดนามอพยพได้เรียนรู้ภาษาเวียดนาม เพื่อสืบทอดความคิด เจตนารมณ์ และความรู้สึกร่วมในการเป็นชาวเวียดนามที่ต้องกลับไปกอบกู้ประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ในบรรดาชาวเวียดนามอพยพที่ถูกควบคุมตัวมานั้นประกอบไปด้วยคนหลากหลายอาชีพ หลายระดับการศึกษา จึงให้ความสำคัญต่อการศึกษาไม่เหมือนกัน พบว่าในชาวเวียดนามอพยพรุ่นบุตรนั้น ผู้หญิงโดยส่วนใหญ่จะไม่ได้รับการสนับสนุนให้เข้าเรียนในสถานศึกษา ให้อยู่ช่วยงานบิดามารดา และเมื่อแต่งงานก็ต้องออกเรือนไป ส่วนผู้ชายมักจะได้รับการสนับสนุนให้ศึกษาเล่าเรียนในระบบจนจบระดับชั้นมัธยมต้น การได้มีเพื่อนเป็นคนไทยทำให้ปมเรื่องชาติพันธุ์ถูกเจือจางลงไป ทั้งยังได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ เนื่องจากบุตรหลานของชาวเวียดนามส่วนใหญ่เรียนดีกว่าเด็กในท้องถิ่น แต่ต่อมาบุตรหลานของชาวเวียดนามอพยพหลายคนต้องประสบปัญหาคล้ายกัน คือต้องหยุดเรียนกลางคัน เนื่องจากรัฐบาลไทยมีนโยบายส่งชาวเวียดนามอพยพกลับประเทศ ทำให้ชาวเวียดนามอพยพไม่เห็นประโยชน์ที่จะศึกษาต่อในโรงเรียนไทย เพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศเวียดนาม(หน้า, 77)นอกจากนี้ เมื่อชาวเวียดนามอพยพจำนวนหนึ่งเริ่มสามารถที่จะลงหลักปักฐาน จึงมีความพยายามที่จะรักษาอัตลักษณ์และอุดมการณ์ชาตินิยมเวียดนามเอาไว้ ด้วยการพยายามประชุมพบปะกันสม่ำเสมอ และการเปิดโรงเรียนสอนภาษาเวียดนามขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งใกล้กับตลาดเพียรยินดีซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเทศบางเมืองพัทลุงในปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นที่จะให้บุตรหลานของชาวเวียดนามอพยพสามารถที่จะใช้ภาษาเวียดนามได้เช่นเดียวกับรุ่นบิดามารดา และยังดำรงรักษาวัฒนธรรมการแต่งงานแบบคลุมถุงชนผ่านแม่สื่อ เพื่อให้เด็กที่เกิดมามีสายเลือดเวียดนาม โดยมักจะเลือกให้บุตรชายหรือบุตรสาวได้แต่งงานกับชาวเวียดนามอพยพที่อยู่ในเขตจังหวัดหนองคายหรืออุดรธานี เพื่อจะได้ถ่ายทอดความเป็นเวียดนามที่เข้มข้นด้านความเชื่อ ประเพณี และอุดมการณ์ต่างๆ ให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้นพร้อมที่จะสืบสานปณิธานในการกอบกู้ชาติ จากการตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดินิยมอเมริกา (หน้า, 72) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์อาจพิจารณาได้จากการที่ชาวเวียดนามอพยพมีการประยุกต์ใช้วัฒนธรรมทางความเชื่อที่รับเข้ามาใหม่กับความเชื่อดั้งเดิมของบรรพบุรุษในรูปแบบของการค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตามเวลาแบบเป็นขั้นเป็นตอน และได้มีการหยิบยืมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาซึ่งไม่มีร่องรอยของวัฒนธรรมเดิมเหลืออยู่เลย ภายใต้กรอบนิยามนี้ผู้ศึกษาไม่พบการหยิบยืมแบบแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไปตามความศรัทธาในสถาบันทางศาสนาและตามโลกทัศน์ของชาวเวียดนามอพยพรุ่นหลังๆ ซึ่งมีความคุ้นชินกับสังคมท้องถิ่นโดยเฉพาะภายหลังที่รัฐไทยจงใจจะใช้นโยบายผสมกลมกลืนกับคนกลุ่มนี้นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็นเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม แม้จนปัจจุบันร่องรอยของวัฒนธรรมแบบเวียดนามก็ยังคงเหลืออยู่ และบางครั้งก็พบว่ากลับมีการปรับเปลี่ยนแบบย้อนคืนไปสู่ความเป็นเวียดนามมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยของการโยกย้ายถิ่นเข้ามาของชาวเวียดนามอพยพกลุ่มใหม่ที่เกิดในประเทศไทย แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีชาวเวียดนามอพยพอาศัยอยู่มาก จึงสามารถดำรงรักษาอัตลักษณ์ของความเป็นชาวเวียดนามเอาไว้ได้มากและด้วยความภาคภูมิใจ (หน้า, 105-107) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การพยายามปรับตัวของชาวเวียดนามอพยพ ภายใต้แรงกดดันเรื่องภาษา วัฒนธรรม และความต้องการปัจจัยในการดำรงชีวิต จนกระทั้งต้องยอมละทิ้งจากอัตลักษณ์และอุดมการณ์แบบเวียดนามไปเพื่อดำรงชีพอยู่ในสังคมเมืองพัทลุงสะท้อนให้เห็นการปรับเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่เนื่องจากบุคคลต่างวัฒนธรรมกัน มีการติดต่อโดยตรงต่อเนื่องกัน จึงยังมีผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ในแบบอย่างดั้งเดิมของวัฒนธรรมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือทั้งสองกลุ่ม ซึ่งในที่นี้ด้วยปัจจัยด้านพื้นที่ จำนวนประชากร และความเข้มแข็งของวัฒนธรรมท้องถิ่น มีผลให้ชาวเวียดนามอพยพต้องเป็นฝ่ายปรับตัวดังกล่าวแล้ว โดยเฉพาะภายหลังจากที่สถาบันศาสนาในท้องถิ่นเข้ามามีอิทธิพลต่อชาวเวียดนามอพยพมากขึ้น การปรับเปลี่ยนพิธีกรรมและรูปแบบความเชื่อในระยะต่อๆ มาก็มิได้เกิดจากความจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตเพียงถ่ายเดียว แต่กลับเกิดมาจากความศรัทธาในสถาบันทางศาสนาด้วย และมีผลทำให้มีความสัมพันธ์กับท้องถิ่นในลักษณะที่ผสมกลมกลืนกันง่ายขึ้นในทางวัฒนธรรม เนื่องจากมีที่มาของโครงสร้างวัฒนธรรมจากแก่นแกนเดียวกัน (หน้า, 106-107) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
ตารางสรุปการใหสัญชาติไทยแก่ชาวเวียดนามในจังหวัดพัทลุง (หน้า, 87)
ภาพ
ภาพโรงเรียนบ้านควนกุฎในปัจจุบัน ซึ่งอดีตเคยเป็นสถานที่กักกันชาวเวียดนามอพยพ (หน้า, 69)
ภาพตัวอย่างหิ้งบูชาบรรพบุรุษ (หน้า, 76)
ภาพเรือโดยสารที่สภากาชาดเวียดนามนำชาวเวียดนามกลับมาตุภูมิ ณ ท่าเรือคลองเตย (หน้า, 78)
ภาพบรรยากาศในพิธีศพของชาวเวียดนามอพยพที่นั่งอยู่ด้านล่าง คือ คณะเจ้าภาพซึ่งเป็นลูกหลานของผู้ตาย (หน้า, 89) |
|
|