สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ความเชื่อ วิถีชีวิต ตะกวด กวยทำนา สุรินทร์
Author ฐิติรัตน์ เวทย์ศิริยานันท์
Title ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดกับวิถีชีวิตของชาวกูยบ้านตรึม ตำบลตรึม อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity กูย กุย กวย โกย โก็ย, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร  Total Pages 126 Year 2545
Source มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Abstract

เนื้อหาของงานเขียนได้ศึกษา ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวด ของชาวกูย บ้านตรึม ตำบลตรึม อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ชาวกูยที่ศึกษาเป็นกลุ่มชาวกูยทำนา ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เท่ากับชาวกูยเลี้ยงช้าง จากการศึกษาพบว่า ตามความเชื่อของชาวกูยบ้านตรึมนั้น เชื่อว่า ตะกวดเป็นผีปู่ตาของพวกเขา เพราะเมื่อชาวกูยมาตั้งหมู่บ้านที่บ้านตรึม บริเวณนี้ก็มีตะกวดชุกชุมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเดิมทีชาวกูยได้ให้ความเคารพหูหมูป่าเพราะเชื่อว่าเป็นดวงวิญญาณของปู่ตาของกลุ่มตน แต่เมื่อนานวันเข้าหูหมูป่าหายากจึงเปลี่ยนมานับถือตะกวด ซึ่งงานวิจัยได้ระบุว่า  ความเชื่อเรื่อปู่ตาตะกวดนั้นอยู่ในวิถีชีวิตของชาวกูยบ้านตรึม เช่นลายผ้าก็ทอเป็นลายตะกวด การอนุรักษ์ป่าชุมชน นอกจากนี้ชาวกูยบ้านตรึมยังได้ยกความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดนั้นอยู่เหนือความเชื่ออื่นๆ ดังจะสังเกตได้จาก คนที่เป็นจ้ำ หรือกลุ่มญาติพี่น้องในสายตระกูลจ้ำ มักจะได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน ความเชื่อเรื่องผีปู่ตาตะกวดนั้น เป็นความเชื่อที่เหนียวแน่น เจือด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เช่นหากคนในชุมชนไม่สมัครสมานสามัคคี หรือทะเลาะกัน ผีปู่ตาก็อาจจะไม่พอใจ ดลบัลดาลให้เกิดความแห้งแล้งได้ ดังนั้นความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดจึงมีส่วนเกื้อหนุนให้สังคมในชุมชนบ้านตรึมเกิดความสงบสุข และเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เช่นข้อตกลงเรื่องการใช้ป่าสาธารณะของหมู่บ้าน การดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับปู่ตาตะกวดนั้น มีส่วนในการอนุรักษ์ภาษา วัฒนธรรม ของกูย บ้านตรึมให้ดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่นและสอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป 

Focus

          เพื่อศึกษาความเป็นมาของชาวกูยและความเป็นกูย, ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดกับวิถีชีวิตของชาวกูย และกลไกในการดำรงไว้ซึ่งความเชื่อดังกล่าว (หน้า 3,111)

Theoretical Issues

          ในการศึกษา ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดกับวิถีชีวิตของชาวกูยบ้านตรึม ตำบล ตรึม  อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ได้นำแนวคิดและทฤษฎีมาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาดังนี้  
แนวคิดนิเวศวิทยามนุษย์
          มนัส สุวรรณ (2530:10) ได้ระบุถึงความหมายของนิเวศวิทยามนุษย์ว่า หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งออกเป็น สิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งมีชีวิต เช่นพืช สัตว์ กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต ได้แก่ ดิน น้ำ สายลม กับพลังงานต่างๆ  (หน้า 4) การศึกษาแนวคิดนิเวศวิทยามนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วให้ความสำคัญกับคนเป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อค้นหาว่า พฤติกรรมของคนมีความเกี่ยวข้อง และสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมอย่างไร โดยทั่วไปพฤติกรรมของคน ส่วนใหญ่เกิดจากระบบคิด การเรียนรู้ ความเชื่อในวัฒนธรรม การเรียนรู้ความเชื่อในวัฒนธรรมของตนเองที่ถูกถ่ายทอด ออกมาในรูปแบบของพฤติกรรมด้านวัฒนธรรม  (หน้า 5)
 
แนวคิดชาติพันธุ์นิเวศน์
          ผู้เขียนอธิบายว่า แนวคิดนี้ เป็นการอธิบายองค์ความรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของชาวบ้าน และความรู้ท้องถิ่นของชนบท  โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเกษตรกรรม กับสภาวะแวดล้อมธรรมชาติของคนในสังคมชนบท หรือคนในกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นองค์รวม สะท้อนให้เห็นถึงระบบคิดและความรู้ทางด้านนิเวศน์วิทยาของชาวชนบท ที่พยายามให้คุณค่ากับความรู้นิเวศวิทยาท้องถิ่น ที่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์และการเรียนรู้ทางธรรมชาติโดยตรงเป็นเวลายาวนาน  และเป็นระบบคิดที่แสดงให้เห็นความเข้าใจสภาพแวดล้อม  ไม่ว่าจะเป็นความคิดเรื่องดิน  พืช หรือการใช้ป่าเพื่อดำรงชีวิต แนวการศึกษาความรู้นิเวศวิทยาท้องถิ่นแบ่งลักษณะงานศึกษาออกเป็น 4 ลักษณะดังนี้  (หน้า 8)  
          ลักษณะที่หนึ่ง การศึกษาความรู้ในแนววิจัย และรวบรวมข้อมูล  ลักษณะที่สอง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเกษตรกรรมกับระบบนิเวศ  ลักษณะที่สาม การศึกษาวัฒนธรรมชุมชน และลักษณะที่สี่ การศึกษาในเชิงประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของการผลิตเพื่อยังชีพของชนในที่สูงหรือที่อยู่ในพื้นที่ป่าเขา  (หน้า 11)
 
ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่
          ที่ระบุว่า  Brown เป็นนักทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม เขาได้นำแนวคิดของ Boas ในแง่ของการเน้นการวิจัยสนาม และการเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมอย่างละเอียดมาผสมกับมโนทัศน์เรื่อง “โครงสร้าง” และ “หน้าที่” ของ Durkheim มาเป็นพื้นฐาน.ในการสร้างทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม ที่ Brown มองสังคมโดยเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิต เช่น ร่างกายของคนประกอบด้วยระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ซึ่งแต่ละระบบก็มี “โครงสร้าง” และ “หน้าที่” ของตน  เช่น ระบบย่อยอาหาร ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ เช่น กระเพาะ ลำไส้ และอื่นๆ  เพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารเป็นของเหลวและดูดซึมไปตามเส้นเลือด และอื่นๆ  ทุกๆระบบภายในร่างกายจะทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายเป็นปกติ หากระบบใดหยุดทำหน้าที่ก็จะทำให้เกิดอาการผิดปกติของร่างกาย สังคมก็เฉกเช่นกัน ประกอบไปด้วยระบบต่างๆ อาทิเช่น  ระบบครอบครัว  เศรษฐกิจ  ศาสนา  การเมือง เป็นต้น (หน้า 11)
 
ทฤษฎีสัญลักษณ์และการตีความ
          ในการศึกษาเรื่องความเชื่อปู่ตาตะกวดเป็นสัญลักษณ์ที่สังคมชาวกูยกำหนดขึ้นมาโดยแสดงออกผ่านสัญลักษณ์ตะกวด และสัญลักษณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษานี้  ผู้วิจัยได้นำแนวคิดทฤษฎี สัญลักษณ์ และการตีความมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษา โดยในงานวิจัย ผู้วิจัยนำแนวคิดสัญลักษณ์สำคัญ  แนวคิดคู่ตรงกันข้ามและแนวคิดช่วงชายขอบมากล่าวไว้ภายใต้ทฤษฎีสัญลักษณ์และการตีความ ดังนี้  (หน้า 17) แนวคิดสัญลักษณ์สำคัญคือแนวทางการศึกษาคุณสมบัติสามประการของสัญลักษณ์ ได้แก่  1) มีความโดดเด่นและชัดเจน   2) มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  3) ขั้วของความหมาย และแนวคิดช่วงชายขอบ คือ แนวทางการศึกษาวิเคราะห์พิธีกรรมของสังคมที่ตอบโต้กันอย่างเป็นเหตุ เป็นผลระหว่างภาวะคุณสมบัติมีโครงสร้างกับภาวะแห่งคุณสมบัติไร้โครงสร้าง  ซึ่งภาวะทั้งสองมีความเกี่ยวข้องสืบเนื่องกันตลอดเวลา  เป็นกระบวนการความแตกต่างระหว่างภาวะทั้งสอง โดยสามารถเห็นได้จากสัญลักษณ์ที่ถูกแสดงออกมาในรูปแบบวัฒนธรรมต่างๆ คือพิธีกรรม  (หน้า 20)
           
กรอบแนวคิดในการวิจัย
          ในการศึกษาผู้วิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิดของบริบทชุมชน ประกอบด้วย ระบบสังคม ได้แก่ ประชากร  ศาสนา  ความเชื่อ  การศึกษา เทคโนโลยี  การประกอบอาชีพ และระบบนิเวศของชุมชน ได้แก่สภาพภูมิประเทศที่ดิน แหล่งน้ำ และป่าไม้ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก ได้แก่นโยบายรัฐ  หน่วยงานภายนอก  หมู่บ้านและชุมชนภายนอก ทั้งนี้จากการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างระบบสังคมกับระบบนิเวศ รวมทั้งปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบกับบริบทชุมชน ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆที่แสดงถึงความเป็นกูย ได้แก่ ภาษา ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวด การแต่งกาย  การทอผ้า  ศิลปะ  นันทนาการ  และสถาปัตยกรรม (หน้า 25)

Ethnic Group in the Focus

กูยทำนา
         กลุ่มประชากรศึกษากลุ่มชาติพันธุ์กูยทำนา บ้านตรึม  ตำบลตรึม  อำเภอศีขรภูมิ  จังหวัดสุรินทร์  (หน้า 3) จากการศึกษาพบว่า  กูยแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กูยเลี้ยงช้าง กับกูยทำนา  สำหรับประชากรศึกษาในชุมชนบ้านตรึมเป็นกูยทำนา ที่มีความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวด (หน้า 28)  

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากูย
          ภาษากูยอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขากตุ ในไทย ลาวและเวียดนามมีอีกหลายภาษาที่อยู่ในภาษาเดียวกันเช่น ภาษาบรู  โซ่ และปะโฮก  เป็นภาษาที่มีเรจิสเตอร์ (Registers) ในระบบเสียงทั่วไป  พยางค์ในภาษากูยมีสองแบบได้แก่ พยางค์ที่มีสระเป็นเสียงก้อง (Voiced) แบบธรรมดา เช่น  min  แหลม tchuu  กรู กับพยางค์ที่มีสระเป็นเสียงก้องมีลม  (Breathy)  เช่น  min สิว  tchuu อ่อนแอ   จะเห็นจากตัวอย่างพยัญชนะต้น  กับตัวสะกดของคำทั้งสองชุดเหมือนกัน สิ่งที่ทำให้ความหมายไม่เหมือนกัน ได้แก่ลักษณะพิเศษบางอย่าง (Voice  Quality) ฉะนั้นพยางค์ที่มีสระเป็นเสียงก้อง มีลม เรียกว่า “พยางค์ก้อง-มีลม Breathy  Syllable) เป็นพยางค์แบบมีเรจิสเตอร์ที่ 2 โดยใช้สัญลักษณ์ทางสัทศาสตร์ [CV] ภาษากูยไม่มีความแตกต่างของเสียงวรรณยุกต์เช่นภาษาไทย   (หน้า 77) แต่พยางค์ก้อง-มีลม  จะมีระดับเสียงคล้ายเสียงวรรณยุกต์ ต่ำ-ขึ้นหรือเสียงจัตวาในภาษาไทย  ขณะที่พยางค์ปกติจะมีเสียงกลาง-ระดับ (L, เขียนลายเส้นเป็นมุมฉาก ประมาณ 45องศา ) (หน้า 78)
          กูยบ้านตรึมใช้ภาษากูยสนทนาในชีวิตประจำวัน หากอยู่ในกลุ่มชาวกูยด้วยกันก็จะพูดภาษากูยแต่ถ้าหากมีบุคคลภายนอกมาสนทนาด้วยก็จะสื่อสารด้วยภาษาไทยภาคกลาง  การพูดคุยภาษากูยในบ้านตรึมยังพูดคุยในชีวิตประจำวัน เช่นครูที่โรงเรียนบางครั้งก็คุยกับนักเรียนด้วยภาษากูย ภาษากูยมีความแตกต่างจากภาษาลาวและภาษาเขมร ตัวอย่างเช่น (หน้า 78)
            กินข้าว    ภาษาลาวว่า    กิ๋นเข่า
            กินข้าว    ภาษาเขมรว่า   ซีบาย
            กินข้าว    ภาษากูยว่า      จาโด๊ย
และมีบางคำที่ภาษากูยมีความใกล้เคียงกับภาษาเขมร เช่น
            เชือก      ภาษากูยว่า   แซร์
            เชือก     ภาษาเขมรว่า ซะแร  (ดูตัวอย่างหน้า 78)

Study Period (Data Collection)

          เก็บข้อมูลเป็นเวลาหนึ่งปี  ตั้งแต่พฤษภาคม 2544 ถึงเมษายน 2555 (หน้า 36,111) 

History of the Group and Community

ความเป็นมาของบ้านตรึม
          บ้านตรึมก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2145 มีอายุมากกว่า 300ปี ในปีพ.ศ. 2500 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน  ชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้อพยพไปตั้งบ้านเรือนรอบๆบ้านตรึม ต่อมาได้กลายเป็นหมู่บ้านต่างๆของตำบลตรึม  ต่อมาอีกประมาณ 26ปี เมื่อประชากรในหมู่บ้านเพิ่มมากขึ้น จึงมีการแบ่งบ้านตรึมออกเป็นสองหมู่  ได้แก่ หมู่1กับหมู่ 16 (หน้า 112) 

Settlement Pattern

บ้านของกูย
          บ้านเรือนเป็นแบบใต้ถุนสูง พื้นที่ใต้ถุนแบ่งการใช้สอยออกเป็นสามส่วนได้แก่  ส่วนแรก วางกี่ หรือหูกทอผ้า  ส่วนที่สองเป็นคอกวัว ควาย และอีกด้านหนึ่งของคอกจะใช้พาดหูกทอผ้า และส่วนที่สามทำเป็นร้านวางกระด้งไหม และเครื่องจักรสานต่างๆ ส่วนของใต้ร้านจะเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่  ฝาบ้านกั้นด้วยไม้ขัดแตะ  หลังคามุงหญ้าคา หรือไม้ (ผู้เขียนบอกว่าลักษณะการมุงเหมือนหลังคาสถานีรถไฟ) หน้าจั่วบ้านทั้งสองด้านติดแป้นลม ซึ่งแป้นลมของชาวกูย คือไม้ที่เหลายาวประมาณครึ่งฟุต  กว้างหนึ่งถึงสองนิ้ว ส่วนปลายไม้นั้นจะเหลาให้รีหรือกลม สำหรับการติดแป้นลมนั้นมีข้อดีคือเพื่อกันมุมกระเบื้อง และประดับประดาบ้านให้ชวนมอง (หน้า 83) (เรื่องและภาพหน้า 84)
          ความเชื่อเกี่ยวกับบ้านของชาวกูย ชาวกูยนั้นห้ามทำบันไดบ้านโดยหันหน้าบันไดไปทางด้านทิศตะวันตก  เพราะเชื่อว่าคำว่า “ตก” ไม่ดีจะส่งผลเสียให้คนในบ้านตกต่ำ ตกเป็นเบี้ยล่างของคนอื่น (หน้า 66) นอกจากนี้บันไดบ้าน เจ้าของบ้านต้องทำบันไดบ้านเป็นเลขคี่ ได้แก่  5, 7, 9 ไม่ควรทำขั้นบันไดเป็นเลขคู่ เพราะเชื่อว่า ถ้าทำบันไดบ้านเป็นเลขคู่ คือ “บันไดผี” เนื่องจากหลุมฝังศพของชาวกูยนั้น ไม้ที่นำไปรองที่หลุมศพเป็นเลขคู่ สื่อความหมายว่า เป็นเหมือนบันไดที่พาดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปสู่สุขคตินั่นเอง  (หน้า 66) คนที่อยู่จะอยู่อย่างไม่มีความสงบสุข  บันไดบ้านจะทำเป็นทางขึ้นและทางลงสองด้าน ได้แก่ทางขึ้นบ้านและทางลงบ้าน ส่วนบริเวณพื้นดินที่เป็นทางขึ้นหรือทางลงจะมีไม้สองด้าน เป็นสลักบันได เพื่อกันไม่ให้บันไดโยกเวลาขึ้นลง นอกจากนี้การสร้างบ้านของชาวกูยที่นิยมคือ ถ้าบ้านมีสามห้องจะใช้เสา 8ต้น  (หน้า 83)

Demography

ผู้ให้ข้อมูล และประชากร
          บ้านตรึม มีจำนวนครัวเรือน 200ครัวเรือน มีประชากร 1,045 คน เป็นผู้ชาย 505 คน  และผู้หญิงอีก 540 คน ประชากรส่วนมากมีอายุระหว่าง 16-45 ปี หรือ 50.33 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรในหมู่บ้าน นอกจากนี้มีชาวอ่างทองอีกสองครัวเรือน กับชาวเขมรอีกหนึ่งครัวเรือน จากการศึกษาพบว่า ครัวเรือนที่มีสมาชิกมากที่สุดมี 14คนมีหนึ่งครัวเรือน และครัวเรือนที่มีสมาชิกน้อยที่สุด 2คน มีจำนวนสามครัวเรือน  สมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 3-7คน และมีประชากรที่อยู่ใน  วัยทำงาน 2 ถึง 3คนต่อครัวเรือน (หน้า 47, หน้า 112)

Economy

เศรษฐกิจ
          การประกอบอาชีพพบว่า คนหมู่บ้านตรึมอายุ 28-45ปี ได้ออกไปทำงานนอกชุมชน เป็นจำนวนมาก ที่ไปทำงานเป็นจำนวนมากคือๆปทำงานรับจ้างตัดอ้อยที่จังหวัดอุทัยธานี  สุพรรณบุรี  กาญจนบุรี  สระแก้ว และชลบุรี จากการสัมภาษณ์พบว่า คนที่เดินทางไปรับจ้างตัดอ้อยมีมากถึง 60.84เปอร์เซ็นต์ของวัยแรงงานทั้งหมด คนที่ไปตัดอ้อยจะเดินทางไปตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม แล้วจะเดินทางกลับบ้านช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับวัยแรงงานที่ไปทำงานนอกชุมชนอีกส่วนจะไปทำงานราชการ และทำงานรับจ้างในตัวเมืองสุรินทร์ นอกจากนี้จะไปทำงานที่กรุงเทพฯ (หน้า 47)
          ชาวบ้านตรึมส่วนใหญ่ทำนาปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์  โดยแบ่งออกเป็นคนที่ทำนามีจำนวน 82เปอร์เซ็นต์ คนที่ทำนากับขายของมี 7เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 11เปอร์เซ็นต์ ทำงานราชการ ทำนาโดยเป็นลูกจ้างทำนาของเพื่อนบ้าน ส่วนอาชีพอื่นที่ทำเช่น  เลี้ยงสัตว์  เช่นเลี้ยงวัว  ควาย ทำงานรับจ้างตัดอ้อย  ในกลุ่มผู้หญิงจะหารายได้นอกจากทำนาเช่นทอผ้าไหม  (หน้า 48) สำหรับอาชีพการเกษตรและอาชีพอื่นๆ มีดังนี้
          ทำนา    ข้าวที่ชาวบ้านปลูกส่วนใหญ่เป็นข้าวจ้าว ส่วนข้าวเหนียวปลูกไม่ค่อยมาก ความสามารถในการปลูกข้าวจะปลูกได้เหลือกินในครอบครัว ส่วนที่เหลือจะนำไปขาย เฉลี่ยแล้วโดยมากแต่ละครอบครัวจะขายข้าวได้ประมาณ เจ็ดหมื่นบาทต่อปี ในการทำนาคนบ้านตรึมมีเครื่องมือการเกษตรที่ช่วยให้การทำงานมีความสะดวกรวดเร็วได้แก่รถไถนาแบบเดินตาม  เครื่องนวดข้าว  ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง  (หน้า 48)
          เลี้ยงสัตว์      ในหมู่บ้านตรึมมีวัว  400 ตัว  มีควาย  50  ตัว  พื้นที่เลี้ยงสัตว์จะเป็นที่นาของตนเองหรือบริเวณป่ารอบป่าช้าของหมู่บ้าน  (หน้า 48) ส่วนการขายวัวขายจะขายเมื่อจำเป็นเพื่อใช้จ่ายในครัวเรือน (หน้า 49)
          อาชีพอื่นๆ     คนในหมู่บ้านทำงานรับราชการ เช่นเป็นครู  พยาบาล 22 ครัวเรือน  ขายของอีก 5 ครัวเรือน แต่ละครัวเรือนนั้นจะทำนาด้วย บ้างก็จ้างคนทำนาเพื่อจะได้มีข้าวกินในครัวเรือน สำหรับอาชีพอื่นๆ ที่ทำได้แก่ รับจ้าง และทอผ้า รับจ้างตัดอ้อย  และอื่นๆ (หน้า 49)
            การถือครองที่ดิน      ที่ดินทำกินของคนในหมู่บ้าน ที่ดินในหมู่บ้านเป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดชาวบ้านจำนวน  81.50เปอร์เซ็นต์ มีที่นาเป็นของตนเอง และอีก 17เปอร์เซ็นต์ ทำกินบนที่ดินของพ่อแม่ ส่วนคนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองมี 1.50 เปอร์เซ็นต์  สำหรับการถือครองที่นา ส่วนใหญ่มีที่นา 6-10ไร่ อันดับสองมีที่นา 11-20ไร่ และที่ดินจำนวน 21-30ไร่  (หน้า 47ดูตารางหน้า 48)
            ทรัพย์สินอื่นๆ  ได้แก่ ยานพาหนะในหมู่บ้านมีดังนี้รถเก๋งสามคัน รถกระบะจำสี่คัน  รถบรรทุกหกล้อ  16 คัน  รถจักรยนต์  190 คัน  และจักรยานอีก 40 คัน  (หน้า 39)
 
ตลาดและหนี้สิน
          เวลาจะซื้อข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน ชาวกูยบ้านตรึมจะไปซื้อที่ตลาดศีขรภูมิ แต่ถ้าเป็นอาหารโดยมากจะซื้อจากรถเร่ที่มาขายในหมู่บ้าน โดยจะเร่มาขายทุกวันในเวลาเช้ากับช่วงเย็น (หน้า 49) ส่วนการเป็นหนี้ โดยมากจะเป็นหนี้ด้านการเกษตร ชาวกูยจะไปกู้ยืมจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ กับสหกรณ์การเกษตร (หน้า 49)  
 
สาธารณูปโภค
          งานเขียนได้กล่าวถึงสาธารณูปโภคที่สำคัญได้แก่ ไฟฟ้า  โรงสี และโทรศัพท์ดังนี้    
          ไฟฟ้า      บ้านตรึม เริ่มมีไฟฟ้าใช้เมื่อ พ.ศ. 2526ทุกวันนี้ชาวกูยในหมู่บ้านมีไฟฟ้าใช้ทุกหลังคาเรือน  หลังจากที่มีไฟฟ้าใช้กำให้วิถีชีวิตของชาวกูยในหมู่บ้านมีการเปลี่ยนแปลง  เช่น ในบ้านเรือนแต่ละหลังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นจากการรับสื่อโทรทัศน์ เช่นการแต่งงกายของวัยรุ่นที่แต่งเนื้อแต่งตัวตามสมัยนิยม นอกจากนี้ก็ตั้งชื่อลูกตามดาราที่มีชื่อเสียง ดังนั้นจึงทำให้ชาวกูย รุ่นใหม่ไม่รู้จักชื่อปู่ย่า ตายาย (หน้า 50)
          โรงสี    ในหมู่บ้านมีโรงสีใหญ่สี่โรงให้บริการสีข้าวและรับซื้อข้าวแล้วสีเอาข้าวไปขายนอกชุมชน (หน้า 51) 
          โทรศัพท์   บ้านตรึมมีโทรศัพท์สาธารณะครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2540 ตู้แรกตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของสหกรณ์สาธิตบ้านตรึมและอีกตู้ตั้งอยู่ที่หน้ายุ้งฉางของหมู่บ้าน ส่วนโทรศัพท์บ้านมีจำนวน หกครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีชาวกูยจำนวนไม่น้อยที่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้ จึงทำให้การติดต่อสื่อสารมีความรวดเร็วและสะดวก (หน้า 51)

Social Organization

ครอบครัว
          ครอบครัวส่วนใหญ่เป็นแบบครอบครัวเดี่ยว  มีครอบครัวขยายบางส่วน เพราะว่า เป็นครอบครัวที่ลูกต้องอยู่กับพ่อแม่ เพื่อดูแลยามแก่เฒ่า  (หน้า 47) การแบ่งมรดก พบว่า ในครอบครัวชาวกูยนั้นทั้งลูกชาย หญิง จะได้รับมรดกเท่ากัน กรณีที่มีลูกคนใดเลี้ยงดูพ่อแม่จนแก่ชรา ก็จะได้รับส่วนแบ่งมรดกมากกว่าพี่น้องอื่นๆ ดังตัวอย่างในงานเขียนที่กล่าวว่า เช่นครอบครัวหนึ่งมีที่ดิน 12ไร่ หากมีลูกสามคน ลูกสองคนแรกจะได้รับที่ดินคนละ สามไร่ ส่วนลูกที่เลี้ยงดูพ่อแม่จะได้ที่ดิน หกไร่และได้บ้านที่อยู่กับพ่อแม่เป็นมรดก และถ้าหากลูกที่เลี้ยงดูพ่อ แม่ และได้รับบ้านของพ่อแม่เป็นมรดก หลังจากที่มีลูก ตามธรรมเนียมแล้วก็จะต้องตั้งชื่อลูกคนใดคนหนึ่งเหมือนชื่อปู่ เพื่อรำลึกถึงปู่ย่าตายาย นั่นเอง (หน้า 54)
 
การแต่งงาน
          ในอดีตกูยในหมู่บ้านตรึมมักจะแต่งงานกับคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน การจัดงานจะจัดตามกำลังฐานะเน้นที่ความประหยัด การแต่งงานหากหนุ่มสาวรักชอบพอกัน คนที่เป็นฝ่ายชายนั้นจะมอบหมายให้ญาติผู้ใหญ่ไปสู่ขอที่บ้านฝ่ายหญิง  หลังจากที่ตกลงเรื่องค่าสินสอด และวันแต่งงานได้แล้ว ก็จะไปบอกกล่าวญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงในหมู่บ้านอย่างทั่วถึง ในการแต่งงานนั้นชาวกูยมีข้อปฏิบัติดังนี้ (หน้า 53)   
          หนึ่ง   เรื่องสินสอดและข้อปฏิบัติ งานเขียนได้กล่าวถึงเรื่องสินสอดว่า ในการแต่งงานนั้นฝ่ายหญิงจะบอกญาติพี่น้องที่มาร่วมงานว่าเงินสินสอดเป็นเงินเท่าไหร่ เช่นที่ผู้เขียนยกตัวอย่างบอกว่าสินสอด สี่หมื่นบาท แต่ที่เป็นจริงเจ้าบ่าวจะให้เงินเพียง 40บาท โดยเจ้าบ่าวจะให้เจ้าสาว 20บาท แล้วติดค้างไว้อีก 20บาท ที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อเป็นหลักประกันในการครองเรือนใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพราะถ้าหากอยู่จนแก่ชราเงินที่ค้างไว้ก็ไม่ต้องคืน แต่ถ้าหากผู้ชายเป็นฝ่ายขอหย่าก็ต้องใช้เงินที่ติดค้างไว้จนครบตามกำหนด แต่ถ้าผู้หญิงเป็นฝ่ายขอหย่าก็ต้องคืนส่วนที่รับไว้กับฝ่ายชาย  (หน้า 53)
          สอง  หลังจากแต่งงานแล้วเจ้าบ่าวจะมาอยู่ที่บ้านเจ้าสาว ถ้าลูกเขยทำตัวไม่เหมาะสมเช่น ติดการพนันหรือไม่ขยันทำงานทำการ พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะบอกกล่าวหากไม่ปรับปรุงตัวเอง  พ่อตา แม่ยายก็จะขับไล่ลูกเขยออกจากบ้าน แต่ถ้าลูกสาวอยากอยู่กับลูกเขยก็ให้ไปอยู่ด้วยกันต่อไป (หน้า 53)
          ทุกวันนี้การแต่งงานได้มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากคนในชุมชนได้มีการติดต่อกับสังคมภายนอก ประกอบกับเทคโนโลยีด้านการติดต่อและข่าวสาร  ดังนั้นจึงมีการเพิ่มค่าสินสอดให้มากขึ้น (หน้า 53) เช่น  มีการเพิ่มค่าสินสอดเป็นทองหนักตั้งแต่ 5-15บาท แล้วแต่ฐานะของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว  ผู้เขียนบอกว่า การแต่งงานแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวกูยยึดถือเหมือนเช่นในอดีตคือเจ้าบ่าวแต่งงานแล้วต้องเข้าบ้านฝ่ายหญิง (หน้า 54)
          อย่างไรก็ตามในเรื่องการแต่งงานและการแยกไปสร้างบ้านนั้น พบว่า หลังจากที่แต่งงานแล้ว เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะไปอยู่กับบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิงในช่วงเวลาหนึ่ง จนกว่าจะสร้างบ้านของตนเอง  การสร้างบ้านจะสร้างบนที่ดินของฝ่ายหญิง ซึ่งพ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะให้สร้างบ้านบนที่ดินใกล้ๆ บ้าน  กรณีที่เป็นลูกสาวคนสุดท้อง ส่วนมากจะอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ส่วนลูกชายที่แต่งงานมีครอบครัวแล้วถ้าหากบ้านของภรรยาอยู่ไม่ไกล ก็จะไปเยี่ยมพ่อแม่และนำกับข้าวไปฝากพ่อ แม่ เป็นประจำ (หน้า 54) นอกจากนี้เป็นเพราะว่าหมู่บ้านตรึม ก่อตั้งมาเป็นเวลาหลายปี ฉะนั้นชาวกูยในหมู่บ้านจึงมีการแต่งงานระหว่างกลุ่มเครือญาติ ดังนั้นคนในหมู่บ้านจึงมีความสนิทสนมกลมเกลียวกัน ทั้งหมู่บ้าน (หน้า 54)
 
การรวมกลุ่มทางสังคม
          ในหมู่บ้านตรึมมีการรวมกลุ่มทางสังคมต่างๆ อันประกอบด้วย (หน้า 52)
          กลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์     ในหมู่บ้านตรึมชาวกูยทุกหลังคาเรือนเป็นสมาชิก หากมีคนในหมู่บ้านถึงแก่กรรม ก็จะมีตัวแทนมาเก็บเงินกับสมาชิก ครัวเรือนละ 50บาท  เมื่อเก็บเงินจนครบทุกหลังคาเรือน ก็จะนำไปช่วยเหลือญาติของผู้ล่วงลับในการจัดงานศพต่อไป (หน้า 52)
          กลุ่มตัดอ้อย      กลุ่มนี้ชาวกูยในหมู่บ้านตรึม รวมกลุ่มกันเวลาไปรับจ้างตัดอ้อย ในหมู่บ้านมีหัวหน้ากลุ่มหลักๆ อยู่หกคน ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีลูกน้องราว 20คน การจ้างงานประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เถ้าแก่จะโทรศัพท์มาหาหัวหน้ากลุ่ม เพื่อเตรียมคนและนัดวันเวลาแล้วส่งรถมารับที่หมู่บ้าน ส่วนคนที่เป็นหัวหน้าก็จะเรียกลูกน้องมาตกลงวันเวลาที่จะไปทำงาน สำหรับที่ตัดอ้อยจะเป็นจังหวัดที่เถ้าแก่ไปเช่าที่ดินปลูกอ้อย ส่วนลูกน้องในกลุ่มนั้นไม่ได้อยู่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแน่นอน เพราะอาจเปลี่ยนกลุ่มได้ ขึ้นอยู่กับค่าตอบแทน ถ้ากลุ่มไหนให้ค่าตอบแทนมากก็จะไปกลุ่มนั้น (หน้า 52) สำหรับคนที่เป็นหัวหน้าก็จะมีหน้าที่ติดต่อกับเถ้าแก่ และดูแลลูกน้องที่ไปทำงานตัดอ้อย (หน้า 53)
          กลุ่มชาวนา       ก่อตั้งครั้งแรกโดยกำนันวัง ดัชถุยาวัตร และชาวบ้านเมื่อ พ.ศ. 2525โดยร่วมกันจัดตั้งยุ้งฉางของชาวบ้าน หรือธนาคารข้าวประจำหมู่บ้าน ตอนที่เปิดทำการใหม่ๆนั้น สมาชิกจะต้องเอาข้าวเปลือกมาฝากสองถังต่อคน ถ้าสมาชิกข้าวไม่พอกินในครัวเรือนก็จะมายืมข้าวที่ธนาคารข้าว และจะนำข้าวมาชำระคืนเมื่อถึง เดือนสาม  การชำระคืนนั้นไม่คิดดอกเบี้ย สำหรับการฝากข้าวในแต่ละปี สมาชิกจะต้องเอาข้าวมาฝากเพิ่มคนละหนึ่งถัง ซึ่ง ทุกวันนี้ชาวกูยยังนิยมนำข้าวมาฝากเช่นเดิม(หน้า 53)
 
กลไกการดำรงอยู่ของความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวด
         กลไกการดำรงอยู่ของความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวด ชาวกูยบ้านตรึมได้ทำให้ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดมีความสำคัญในวิถีชีวิต สามประเด็น ได้แก่  1) การทำให้ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดอยู่เหนือความเชื่ออื่นในชุมชน  โดยสะท้อนจากการมีพิธีเซ่นไหว้ผีปู่ตาประจำปี  2) การนำความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดมาจัดระเบียบสังคม เช่นการรักษาทรัพยากรส่วนรวมของชุมชน ทั้งป่าไม้และแหล่งน้ำ  3) การใช้ความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดในการค้ำจุนอำนาจของผู้นำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เนื่องจากความเชื่อเรื่องผีปู่ตาอยู่เหนือความเชื่ออื่นในชุมชน  ผู้ที่ทำหน้าที่ สื่อสารกับผีปู่ตาได้ย่อมเป็นผู้ที่มีอำนาจในชุมชน เช่น จ้ำ  จากการศึกษาพบว่า คนที่เป็นจ้ำกับกลุ่มเครือญาติในสายตระกูลจ้ำ มักจะเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน  (หน้า ข,114) 

Political Organization

การเมืองการปกครอง
          ในหมู่บ้านตรึมมีผู้นำอย่างเป็นทางการ และผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ ในอดีตบ้านตรึมมีผู้นำชุมชนเรียกว่า “หลวง” มีหน้าที่รับผิดชอบเหมือนกับ กำนัน ในทุกวันนี้ ผู้เขียนได้กล่าวถึงการคัดเลือกคนที่จะมาเป็นหลวงไว้ดังนี้ การคัดเลือกหลวง หากนัดวันเวลาได้แล้ว คนในหมู่บ้านก็จะมาชุมนุมที่บ้านของจ้ำ หรือไปที่บ้านของผู้หลักผู้ใหญ่ที่คนในหมู่บ้านให้ความเคารพนับถือ ชาวกูยในหมู่บ้านจะเสนอชื่อ ชายหนุ่มที่มีอายุ 25ปีขึ้นไป คนที่จะมารับการคัดเลือกต้องมีความเป็นผู้นำ มีความประพฤติดี หากย้ายมาจากหมู่บ้านอื่น ถ้าต้องเข้ารับการคัดเลือกเป็นหลวง ต้องอยู่ในหมู่บ้านตรึม สามเดือนเป็นอย่างน้อย หลังจากที่ลงคะแนนเสียงได้คนที่จะมาทำหน้าที่ “หลวง” ได้แล้ว คนที่เป็นหลวงจะเลือกผู้ช่วยสองคนเรียกว่า “เฒ่าแก่”  ซึ่งต้องเป็นคนที่ชาวบ้านให้การยอมรับ แต่ถ้าชาวบ้านไม่เห็นด้วย ก็ต้องเลือก “เฒ่าแก่” ใหม่จนคนในหมู่บ้านจะเห็นชอบด้วย ในการดำรงตำแหน่งหลวงนั้น หลวงจะอยู่ได้นานหรือไม่นานก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคนในหมู่บ้าน  หากหลวงทำตัวไม่ดี ชาวบ้านก็จะให้หลวงพ้นจากตำแหน่งแล้วดำเนินการคัดเลือกหลวงคนใหม่ (หน้า 51)  ซึ่งผู้ให้ข้อมูลระบุถึงคนที่เป็นหลวงที่ผ่านมาว่า  หลวงบ้านตรึม ประกอบด้วย      
          1)  หลวงอาวุธ  ดัชถุยาวัตร (หน้า 51)
          2)  หลวงระคร (ไม่ระบุนามสกุล)
          3)  หลวงอธิบดี  ดัชถุยาวัตร
          4)  หลวงประทุม  บุสยาตรัส
          5)  หลวงอุดม  วังนุราช  (หลวงคนสุดท้าย ดูที่หน้า 51) 
                    ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่บ้าน ได้แก่ (หน้า 51)
                    1)  ผู้ใหญ่เนียม  ดัชถุยาวัตร (เป็นผู้ใหญ่บ้านคนที่หนึ่ง)
                    2)  ผู้ใหญ่จำปา  วังสันต์
                    3)  ผู้ใหญ่พันธ์ (ไม่ระบุนามสกุล)
                    4)  ผู้ใหญ่เนียม  ดัชถุยาวัตร (เป็นผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง)
                    5)  ผู้ใหญ่ผิว  ดัชถุยาวัตร (หน้า 51)  
                    6)  ผู้ใหญ่สนั่น  ดัชถุยาวัตร
                    7)  ผู้ใหญ่มุติ  บุสยาตรัส
                    8)  ผู้ใหญ่บุญ  วังนุราช
                    9)  ผู้ใหญ่วัง  ดัชถุยาวัตร
                    10) ผู้ใหญ่ทองสุข  ดัชถุยาวัตร(หน้า 51) ทั้งนี้ผู้ใหญ่วัง กับ ผู้ใหญ่ทองสุข (หน้า 51)ได้เป็นกำนันตำบลตรึมด้วย (หน้า 52)
                    11) ผู้ใหญ่ประพันธ์  บุตรงาม (เป็นผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน) (หน้า 52)
ที่ผ่านมาบ้านตรึมมีหลวงทั้งหมด 7 คน (รายชื่ออาจจะไม่ครบทั้งหมด) ผู้ใหญ่บ้าน 11คน และในจำนวนนี้มีสองคนได้แก่ ผู้ใหญ่วัง ดัชถุยาวัตร กับผู้ใหญ่ทองสุข  ดัชถุยาวัตร ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านตรึมและกำนันตำบลตรึม ด้วย
ปัจจุบันในหมู่บ้านมีผู้นำอย่างเป็นทางการ ได้แก่ ผู้ใหญ่ประพันธ์ บุตรงาม และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 4คน ได้แก่ฝ่ายปกครอง อันประกอบด้วย นายอุ่น  ดัชถุยาวัตร กับนายเจริญ แต่งงาม (หน้า 52) ฝ่ายรักษาความสงบ ประกอบด้วย นายสุวรรณ  บุตรงาม กับนายดี  วังสันต์ และกรรมการหมู่บ้านอีกแปดคน  (หน้า 52)
 
กลุ่มผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ
          ประกอบด้วยจ้ำ กับแม่มอ หรือ “แม่มดใหญ่”  จ้ำมีหน้าที่ติดต่อสื่อสารกับผีปู่ตา ซึ่งจ้ำเป็นผู้นำด้านการทำพิธีที่เกี่ยวกับผีปู่ตา และแม่มอ ถ้ามีการเล่นมอเจ้าของบ้านจะเชิญ แม่มอไปเป็นประธานในการทำพิธีเล่นมอ  กรณีที่มีคนในหมู่บ้านมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ชาวบ้านจะมาที่บ้านจ้ำเพื่อเชิญจ้ำ แม่มอ กับผู้สูงอายุ มาตัดสินข้อพิพาทที่เกิดขึ้นและไกล่เกลี่ยความขัดแย้งนั้น (หน้า 52) จากการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้นำทั้งเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้มีคนในตระกูลดัชถุยาวัตร เป็นผู้นำมากกว่าคนตระกูลอื่นๆ ที่อยู่ในชุมชน (หน้า 52)

Belief System

การนับถือผี
          ชาวกูยมีความเชื่อเรื่องผีโดยแบ่งออกเป็นสองอย่างได้แก่ 
          1) ผีปู่ตา  โดยชาวกูยให้ความเคารพผีปู่ตา เนื่องจากเชื่อว่าตะกวดเป็นตัวแทนของผีปู่ตา โดยจะมีการประกอบพิธีเซ่นไหว้ผีปู่ตาทุกปี ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ กับเดือนพฤษภาคม  การทำพิธีในหมู่บ้านมีสถานที่หลักๆ ดังนี้  ที่ป่าหนองกา, ต้นมะขามโบราณ, ที่วัด กับที่ทำนบประปาผิวดิน  (หน้า 54)แต่ละแห่งมีสัญลักษณ์ของผีปู่ตาดังนี้  พื้นที่ป่าหนองกา สัญลักษณ์ของผีปู่ตา เป็นไม้ยอสองท่อน (ภาพหน้า 55) บริเวณต้นมะขามโบราณ  ผีปู่ตามีสัญลักษณ์เป็นดินจอมปลวก  (หน้า 55ภาพหน้า 56) ที่วัดปู่ตามีเสมาโบราณเป็นเครื่องหมาย  ที่ชาวกูยได้ทำการย้ายใบเสมาจากโคนต้นมะขามใหญ่มาตั้งที่วัด (หน้า 55 ภาพหน้า 56) ส่วนที่ทำนบน้ำประปาผิวดิน  ผีปู่ตามีเครื่องหมายเป็นตุ๊กตาปู่ตา (หน้า 55ภาพหน้า57)
          และ 2) ผีบรรพบุรุษสายตระกูล  ซึ่งมีมอ และออ ทำหน้าที่เป็นร่างทรงในการติดต่อกับผีบรรพบุรุษ  การสังเกตอำนาจหน้าที่ของผีปู่ตา และผีบรรพบุรุษ สังเกตจากการทำพิธีเซ่นไหว้ ของมอและออ การทำพิธีจะบอกกล่าวดวงวิญญาณผีปู่ตาก่อนเสมอ ส่วนการเซ่นไหว้ผีปู่ตาเป็นพิธีระดับชุมชน สำหรับพิธีกรรมของออกับมอ เป็นพิธีกรรมในกลุ่มสายตระกูล ที่ชาวกูยถือปฏิบัติจนถึงทุกวันนี้ (หน้า 55)
 
          ผีปู่ตา  ชาวกูยมีความเชื่อว่าตะกวดเป็นตัวแทนของผีปู่ตา เนื่องจากตะกวดมาอยู่บริเวณนี้ก่อนที่ชาวกูยจะเข้ามาตั้งหมู่บ้านตรึม ชาวกูยจะให้ความนับถือตะกวดที่เชื่อว่าเป็นผีปู่ตา โดยทำพิธีเซ่นไหว้ผีปู่ตาทุกปี ซึ่งทำติดต่อกันมากว่า 400ปี จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งความเชื่อเรื่องปู่ตาตะกวดนั้นมีความข้องเกี่ยวกับชีวิตของชาวกูยตั้งแต่เกิดมากระทั่งสิ้นลมหายใจ  (หน้า 58)
 
          ผีบรรพบุรุษ  ในการติดต่อดวงวิญญาณผีบรรพบุรุษ เป็นหน้าที่ของ “มอ” และ “ออ” ทั้งที่ผีบรรพบุรุษที่เป็นผู้หญิงและเป็นผู้ชาย ในการประกอบพิธีถ้าผีบรรพบุรุษเป็นผู้ชาย เมื่อมาเข้าร่างของมอก็จะมีอากัปกิริยาเหมือนกับผู้ชาย เช่น  บอกให้นำผ้าโสร่งมาสวมใส่ สูบบุหรี่บางครั้งก็ดื่มสุรา ท่าทางเข้มแข็ง หากผีบรรพบุรุษเป็นผู้หญิงเมื่อดวงวิญญาณมาเข้าร่างมอ ก็จะมีท่าทางเหมือนกับผู้หญิง ได้แก่ นุ่งซิ่น ทาแป้ง และอื่นๆ  ซึ่งในแต่ตระกูลจะมีมอหนึ่งคนทำหน้าที่สืบเชื้อสายทางแม่ (หน้า 59)
 
          มอ ประกอบด้วย หัวหน้าแม่มด หรือ “แม่มอ” กับลูกศิษย์ของแม่มด หรือ “มอ”  สำหรับคนที่จะมาทำหน้าที่แม่มด คนที่จะมาทำหน้าที่นี่ต้องเป็นผู้ที่มอมาสิงอยู่ในร่างกายเป็นเวลานานกว่ามอคนอื่น สำหรับคนที่เป็นหัวหน้าแม่มด ต้องทำหน้าที่ต่างๆ เช่น  หากมีชาวกูยบ้านไหนจะเล่นมอ มอของบ้านนั้นก็จะมาแจ้งวันเวลาที่จะเล่นมอกับหัวหน้าแม่มด (แม่มอ) ต่อมาหัวหน้าแม่มดก็จะเอาเครื่องเซ่นไหว้ผีปู่ตา เพื่อนำไปมอบให้จ้ำเอาไปบอกกล่าวที่ป่าหนองกาเพื่อขออนุญาตปู่ตาเล่นมอ (หน้า 59 ) และเมื่อจะเล่นมอนั้น เจ้าของบ้านที่จะจัดพิธีเล่นมอ จะเอาหมากพลูไปให้มอทุกคนที่จะมาเล่นมอ โดยมอบให้คนละสองคำ เพื่อให้มอนำหมากพลูนั้น ไปบอกกล่าววันเวลา และที่ทำพิธีเล่นมอที่หิ้งบูชามอของตนเอง  (หน้า 59) 
          ต่อมามอของบ้านที่เป็นเจ้าภาพจะเอาใบไม้ (ปีล)หนึ่งคู่ เพื่อนำมาเชิญหัวหน้าแม่มด (แม่มอ)ไปเป็นประธานในการประกอบพิธีการเล่นมอ เมื่อถึงวันจัดงาน มอที่มาทำพิธีจะนำขันตักน้ำที่บ้านของตนเองมาใช้ในการทำพิธี เมื่อเริ่มมีการทำพิธี มอจะเข้าร่วงของแม่มดเป็นอันดับแรก ต่อมาก็จะเข้าร่างลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ในวง (หน้า 60) 
          การสืบทอดการเล่นมอ ผู้เขียนได้สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลดังนี้ การสืบทอดการเป็นมอของครอบครัวยายศรี เริ่มจากยายของยาย(หน้า 60) นางเพ็ง หงส์เพชร แต่งงานกับตาอ๊อด  ทรัพย์เจริญ นางเพ็งเป็นมอของตระกูลหงษ์เพชร ตากับยายของยายศรีมีลูกทั้งหมด 4คน ได้แก่ นายสา  นายเพชร  นางบุญ และนายโคก เมื่อนางเพ็งเสียชีวิตแล้ว นางบุญผู้เป็นลูกสาวกรับหน้าที่เป็นมอต่อจากนางเพ็ง (หน้า 60)
          ถัดมานางบุญ แม่ของยายศรีแต่งงานกับนายโย พ่อของยายศรี มีลูกเก้าคนได้แก่  นางแก้ว  นายเงา  นายภา  นางสา  นางศรี(ยายศรี) นางไพ นายทา นางเพ็ง และนายเข็มทอง เมื่อนางบุญ แม่ของยายศรีเสียชีวิต นางแก้วได้เป็นมอ  เมื่อนางแก้วเสียชีวิต นางไพก็รับเป็นมอต่อ กระทั่งวันหนึ่งตอนที่นางไพเป็นมอ  วันหนึ่งนางไพจะไปเล่นมอ ผัวของนางไพห้ามนางไพไม่ให้ไปเล่นมอ ทำให้มอโกรธจึงหนีหายออกจากร่างของนางไพ (หน้า 60)  เนื่องจากคนที่เป็นมอมีข้อปฏิบัติอยู่ ถ้าจะไปเล่นมอไม่ให้คนในครอบครัวห้ามปรามเนื่องจากจะทำให้มอโกรธแล้วหนีออกจากร่างกาย (หน้า 60)
          สาเหตุที่นางไพทราบว่ามอออกจากร่างของตนเพราะว่า คืนวันที่ผัวของนางไพห้ามไม่ให้นางไพไปเล่นมอนั้น นางไพฝันว่า  ดวงวิญญาณของพ่อแม่ของนางไพมาเข้าฝันว่า รู้สึกไม่พอใจที่ลูกเขยห้ามนางไพไม่ให้ไปเล่นมอ ในช่วงที่มีการทำพิธีเลือกมอคนใหม่ของตระกูล มอได้มาเข้าร่างของนางไพ จากนั้นนางไพก็ลุกขึ้นฟ้อนรำจนมอปลื้มเปรมใจ  ต่อมานางไพก็นั่งลงที่พื้นจับที่ขันแล้วก็สลบลงกับฟื้น อันเป็นสิ่งยืนยันว่ามอออกจากร่างกายนางไพ แล้วมอก็เข้าร่างของยายศรี จนยายศรีมาเป็นมอจนถึงทุกวันนี้ (เรื่องและภาพหน้า 60)
          ข้อห้ามของมอแต่ละตระกูล ที่เหมือนกันได้แก่  ไม่ให้คนในครอบครัวห้ามปรามเมื่อจะไปเล่นมอ  กับไม่ให้มีชายหนุ่ม คนเมาเหล้า หรือคนทะเลาะวิวาทมาอยู่ที่บริเวณเล่นมอ  (หน้า 61)
          ข้อห้ามแล้วแต่ละตระกูล เช่นข้อห้ามของมอในตระกูลของยายผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ไม่ให้กินเนื้อสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น วัว  ควาย หมู กับไม่ให้กินสัตว์ที่เสียชีวิตเอง (หน้า 61)
            การเล่นมอ (แกลมอ) มีสามโอกาสดังนี้
            เล่นมอเพื่อเลือกมอคนใหม่  การเลือกมอจะเกิดขึ้นเมื่อ มอของตระกูลสิ้นลมหายใจ หรือมอหนีออกจากร่างกาย การเลือกผู้หญิงในตระกูลนั้นทุกคนไม่ว่าจะมีอายุเรื่องกำหนดวันจัดทำพิธี  ต้องนัดกันเพื่อเลือกวันในการประกอบพิธีเลือกมอใหม่ ตัวอย่างในงานเขียนได้เลือกวันอังคาร 8ค่ำ  ในวันทำพิธี คนที่เข้าร่วมพิธีได้นั่งล้อมวงบนเสื่อที่ปูอยู่บริเวณลานบ้าน  ถือขันใส่ข้าวสารประมาณครึ่งขัน และมีเทียนปักไว้ตรงกลางขัน และใกล้กับบ้านของปู่ย่า ตายายก็จะเป็นประรำพิธี โดยมีหมอกลอง  หมอแคน ยืนอยู่ด้านข้างของประรำพิธี ส่วนบนเสื่อก็จะมีถาดที่วางคาย ได้แก่ ดอกไม้ 100กรวย ข้าวสารหนึ่งถ้วย  แป้ง  น้ำมันมะกอก เหล้าขาวหนึ่งขวด  ผ้าขาวม้าหนึ่งผืน ผ้าถุงหนึ่งผืน  ส่วนแม่มอก็จะใส่เงินไว้ที่ผ้าถุงจำนวน 112บาท  สำหรับผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นแม่มอคนใหม่นั้นจะใส่เงินไว้คนละ 172บาท  ต่อมาหมอแคนและผู้ตีกลองก็จะเริ่มเล่นดนตรี กระทั่งมอเข้าร่างของแม่มอ  เมื่อมอเข้าร่างของหญิงในตระกูลนั้นคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็จะเป็นมอคนใหม่ จากนั้นแม่มอและมอคนใหม่ที่ได้รับเลือกก็จะฟ้อนรำไปรอบวง ติดตามด้วยหมอแคนกับคนตีกลอง  หากมอเมื่อยล้าก็จะหยุดพัก  แล้วเจ้าภาพก็จะนำหมากพลูกับเหล้ามาให้มอ ต่อมาผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นมอคนใหม่ก็จะไหว้    แม่มอ ส่วนแม่มอก็จะผูกข้อมือด้วยด้าย ติดตามด้วยแม่มอคนอื่นๆก็จะเข้ามาไหว้แม่มอเช่นกัน ส่วนแม่มอก็จะผูกข้อไม้ข้อมือให้ ก่อนที่มอจะออกจากร่างนั้น คนที่เป็นแม่มอก็จะเอาเงินที่ใส่ไว้ในคาย นำมาแบ่งให้กับลูกน้องในวงอย่างเท่าเทียมกัน ตอนที่มอกำลังจะออกจากร่างกายก็จะแตะที่ขันสั่นสั่นเทิ้มแล้วฟุบลงที่เสื่อ ต่อมาร่างทรงของแม่มอกับร่างทรงอื่นๆ ก็จะฟื้นก็เป็นการจบการประกอยพิธีทั้งหมด (หน้า 61 ภาพหน้า 62)
 
            เล่นมอในวันปีใหม่  วันปีใหม่ของชาวกูย ตรงกับวันอังคารขึ้น 8ค่ำของเดือนยี่ วันนี้มอของตระกูลต่างๆ จะนำสิ่งต่างๆ มามอบให้แม่มอได้แก่ ข้าวต้มมัดหนึ่งมัด กับสุราขาวอีกหนึ่งขวด  โดยจะนำมามอบให้แม่มอที่บ้านยายของแม่มอ ส่วนการจัดประรำพิธีก็จะใกล้เคียงกับการเล่นมอเพื่อเลือกมอคนใหม่  แต่จะต่างกันที่ไม่มีการใส่เงินในคาย กับไม่นำเครื่องคายของมอมาไว้ที่ประรำพิธี การเล่นมอในวันปีใหม่เป็นการจัดเพื่อความบันเทิงใจ โดยมอจะมาทำพิธีร่วมกันโดยมีแม่มอเป็นประธานของการจัดงาน และจะมีมอจากตระกูลทั้งหลายที่อยู่ในหมู่บ้านที่เป็นลูกศิษย์แม่มอ หลังจากที่มอเข้าร่างแม่มอกับลูกศิษย์ที่มาร่วมพิธี เหล่าลูกศิษย์ของมอก็จะมาไหว้แม่มอ ส่วนแม่มอก็จะผูกด้ายแล้วสู่ขวัญให้กับลูกศิษย์ แล้วมอกับลูกศิษย์ก็จะใช้แป้งกับขมิ้นในถาดมาทาร่างกาย จากนั้นแม่มอก็จะยกถาดคายสูงเหนือหัวแล้วยกให้ลูกศิษย์วนคายรอบวงสามรอบ เมื่อครอบแล้วแม่มอและลูกศิษย์ก็จะลุกขึ้นฟ้อนรำอย่างเบิกบานใจ จนมอออกจากร่างกายแล้วก็ถือว่าเสร็จสิ้นการเล่นมอ  (หน้า 62)
            การเล่นมอเพื่อรักษาคนป่วย เมื่อมีคนในหมู่บ้านเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ชาวกูยเชื่อว่า เป็นเพราะผีปู่ตา มอ หรือ ออ ทำให้เจ็บป่วย จึงต้องทำพิธีเล่นมอ (หน้า 62)
       
            ออ  จากการศึกษาพบว่า “ออ” คือ “แม่มดออ” ที่เป็นร่างทรงของดวงวิญญาณผีบรรพบุรุษ ซึ่งในแต่ละตระกูลจะมีผู้หญิงที่เป็นมอหนึ่งคน ส่วนการสืบเชื้อสายของออนั้นคล้ายกับการสืบเชื้อสายของมอ  บางครั้งคนหนึ่งคนก็เป็นทั้งมอและออ หากเป็นเช่นนี้ เมื่อจะเล่นออก็ให้เล่นมอก่อน หลังจากที่มอออกจากร่างทรงก็จะเล่นออ เป็นลำดับต่อไป  ซึ่งเมื่อก่อนเล่นออ เจ้าภาพจะเอา ธูป เทียน ยอดใบไม้หรือกรวยหนึ่งคู่ นำไปมอบให้ออทุกคนที่มาให้ออ เพราะร่างทรงของออจะได้นำสิ่งต่างๆ ที่เจ้าภาพมอบให้นั้น ไปใช้บอกกล่าวออ ในร่างของตนเองว่า จะไปเล่นออให้ผู้ใด เล่นเพื่ออะไรรวมทั้งวันเวลาและสถานที่  ส่วนแม่ออก็จะเอาเครื่องไหว้ปู่ตา เดินทางไปมอบให้จ้ำ เพื่อบอกปู่ตาว่าจะ   เล่นออ   (หน้า 64)
          ผู้เขียนกล่าวถึงการเล่นออว่าใช้เวลาในการประกอบพิธีมากกว่า  เล่นมอ เช่น การเล่นมอจะเริ่มตั้งแต่เวลา 8.00 น.ถึงเวลา 12.00 น.  แต่ถ้าเล่นออ ถ้าเริ่มเมื่อเวลา 8.00 น. เมื่อถึงเวลากลางวันเจ้าภาพก็จะเลี้ยงอาหารกลางวันออด้วย  ขนมบัวลอย และดื่มน้ำ หลังจากพักเหนื่อยก็จะรำจนมืดค่ำ บางครั้งก็แล้วแต่ออว่าจะสิงอยู่ในร่างทรงนานขนาดไหน  สำหรับคุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นออนั้นต้องเป็นคนอยู่ในศีลธรรม รักษาคำพูดไม่พูดจาเหลวไหล ส่วนคนที่เป็นทั้งมอและออนั้น ต้องธรรมะธรรมโมเป็นคนดีที่คนในชุมชนให้ความเคารพนับถือ (หน้า 64)
 
            เล่นออเพื่อเลือกมอคนใหม่  ขั้นตอนต่างๆเหมือนกับการเลือกมอ แต่ไม่เหมือนการเล่นมอสามอย่างคือ  1) คายของออเป็นลำต้นกล้วยที่ประดับประดาด้วยดอกลั่นทม (ดอกจำปา) ทั้งตูมและดอกบาน แล้วนำมาวางไว้ตรงกลางสื่อทำพิธี  ต่อมาจะนำถาดใส่คาย ซึ่งประกอบด้วยผ้าขาวม้า  ผ้าซิ่น  ธูปเทียน  แป้ง หวี  กระจก ขมิ้นผง  กรวย 100อัน  เหล้าขาวหนึ่งขวด  ถ้วยใส่ข้าวสารหนึ่งถ้วย ในถ้วยจะใส่ข้าวสารไว้แล้วเอาไข่ดิบมาไว้กลางถ้วย  ส่วนด้านข้างของไข่ก็จะปักเทียนข้างละอัน รอบถ้วยปักกรวย 4อัน โดยปักพลูสองคำ กับบุหรี่หนึ่งมวน นำมาวางไว้ที่ใต้ลำต้นกล้วย   2) จำนวนเงินที่ใช้เป็นคาย  ออใช้จำนวนเงินมากกว่ามอ ได้แก่  แม่ออ จะใส่เงินไว้ 300บาท แต่คนที่จะทำการคัดเลือก  เป็นออคนใหม่ จะใส่เงินไว้ 424บาท    3) การเข้าร่างทรง เมื่อมอเข้าร่างทรง ร่างทรงจะจับขันแล้วโยกไปมา (ซ้าย  ขวา) แต่ถ้าเป็นออเข้าร่าง มือของร่างทรงที่กำลังพนมมือไหว้จะสั่นแล้วโยกไปมา (หน้า  หลัง)  ต่อมาแม่ออจะนำกรวยดอกไม้สองกรวยใส่ไว้ในมือของออกคนใหม่ (หน้า 64 ภาพหน้า 65)
 
            เล่นออในวันเข้าพรรษา/ออกพรรษา  จะเล่นในวันอังคาร ขึ้น 15ค่ำ เป็นการเล่นมอ เพื่อความเพลิดเพลิน เพื่อความสมบูรณ์พูนสุข โดยจะเล่นที่ดินโบราณของแม่ออ ซึ่งขั้นตอนต่างๆ ก็จะใกล้เคียงกับการเล่นมอ (หน้า 65) 
 
            เล่นออเพื่อรักษาคนป่วย  เมื่อมีคนในหมู่บ้านป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอทรงจะนั่งทรงดูและพบว่า เกิดจากการกระทำของออ ขั้นตอนต่างๆจะใกล้เคียงกับมอ แต่จะไม่เหมือนกันตรงที่มอเล่นช้างกับม้า ส่วนออเล่นดอกไม้ เจ้าภาพที่เป็นบ้านที่มีคนป่วย จะหาลำต้นกล้วย  แล้วเอาไม้ไผ่ที่เสียบดอกลั่นทมสีขาวมาปักไว้รอบลำต้นกล้วย ที่เปรียบเหมือนเป็นต้นไม้ ขณะเดียวกันจะหาชายหญิงหนึ่งคู่ มาเฝ้าต้นไม้นั้น ต่อมาเจ้าภาพก็จะเอาผ้าสีขาวมาคลุมต้นไม้นั้นไว้  พอออ เข้าร่างทรง แม่ออก็จะออกมาฟ้อนรำเพื่อหาดอกไม้ แต่ชายหญิงสองคนที่เฝ้าต้นไม้จะไม่ยอมให้ดอกไม้กับแม่ออ  แม่ออ ต้องให้ค่าจ้าง (อาจเป็นสุราหรือเงิน) กับคนเฝ้าต้นไม้จนพอใจ ต่อมาจะมอบดอกไม้ให้แก่แม่ออ แม่ออก็จะฟ้อนรำมาเอาดอกไม้ไปยื่นให้ลูกศิษย์ออจนครบทุกคน  เมื่อออ ออกจากร่างทรงจนหมดทุกคน ก็ถือว่าจบพิธี ต่อจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ ผู้ป่วยจะเริ่มทุเลาจนหายจากเจ็บป่วย  (หน้า 65) 

Education and Socialization

การศึกษา
          ในด้านการศึกษาเล่าเรียนของชาวกูย ในหมู่บ้านตรึม มีโรงเรียนสองแห่งได้แก่ โรงเรียนประถมศึกษา กับโรงเรียนขยายโอกาส สำหรับโรงเรียนบ้านตรึมวิทยานุเคราะห์  ที่เป็นโรยงเรียนระดับประถมศึกษา ก่อตั้ง เมื่อ พ.ศ. 2466มีนักเรียนจำนวน 243คน และมีครู 12คน เมื่อนักเรียนสำเร็จการศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ก็จะไปศึกษาต่อที่โรงเรียนขยายโอกาสที่เปิดรับนักเรียนในพื้นที่ตำบลตรึม และตำบลนารุ่ง ซึ่งที่โรงเรียนขยายโอกาสมีนักเรียนทั้งหมด 430 คน มีครู 27 คน หลังจากนักเรียนเรียนจบชั้นมัธยมต้น ก็จะไปเรียนต่อที่โรงเรียนศีขรภูมิพิสัย (หน้า 49)
          ส่วนความคิดเห็นด้านการศึกษาพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชาวกูยบ้านตรึมไม่ค่อยชอบส่งลูกหลานให้เรียนสูงๆ เพราะเท่าที่เห็นที่ผ่านมาพวกเขารู้สึกว่า คนที่เรียนจบปริญญาตรีเมื่อเรียนจบแล้วก็กลับมาอยู่บ้านไปยอมไปหางานทำ และในขณะเดียวกันก็ไม่ไปช่วยเหลือแรงงานในไร่นา ดังนั้น เมื่อ พ.ศ. 2533 คณะครูของโรงเรียนบ้านตรึมจึงออกไปเยี่ยมเยียนและส่งเสริมให้นักเรียนไปศึกษาต่อ โดยไปพบนักเรียนและผู้ปกครองเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งทุกวันนี้ ชาวกูยบ้านตรึมส่วนมากเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ส่วนคนที่เรียนจบระดับชั้นมัธยมต้น  ปวช.  ปวส. และปริญญาตรี   มี 27เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนคนในหมู่บ้านตรึม (หน้า 49)  

Health and Medicine

การรักษาพยาบาล
          ถ้าหากเป็นไข้ เล็กๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่ชาวกูยจะไปซื้อยาที่ร้านขายยาในอำเภอศีขรภูมิ แต่ถ้าหากปวดกระดูก แมลงกัดต่อย ก็จะให้หมอเป่าในหมู่บ้าน กรณีเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ชาวกูยเชื่อว่าเป็นน้ำมือของผีปู่ตา ต้องให้ มอ และออ ทำพิธีเซ่นไหว้บูชา(หน้า 50) แต่ถ้าป่วยหนักก็จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลศีขรภูมิ กับที่โรงพยาบาลสุรินทร์  ส่วนในชุมชนมีสถานีอนามัยประจำตำบลสองแห่ง  (หน้า 50)
 
เล่นมอเพื่อรักษาคนป่วย       
          หากชาวกูย เป็นไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ ชาวกูยเชื่อว่า คนที่เป็นไข้ไม่สบายนั้น ต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผีปู่ตา  มอ หรือออ โกรธเคือง ถ้าเจ็บป่วยไม่ทราบสาเหตุต้องไปสอบถามหมอทรงประจำหมู่บ้านตรึม  (หน้า 62) เพื่อให้ดูว่าเป็นฝีมือของผีปูตา  มอ  หรือ ออ ที่ทำให้ได้รับความเจ็บป่วย ดังนั้นต้องทำพิธีเซ่นไหว้ (หน้า 63)
          ถ้าความเจ็บป่วยเป็นน้ำมือของมอ  บ้านที่มีคนป่วยก็จะทำพิธีเล่นมอ ในวันอังคาร โดยจะจัดกี่ค่ำก็ไม่เป็นไร ขั้นตอนการทำพิธี การรักษาจะให้ผู้ป่วยนอนอยู่บนบ้าน หลังจากมอเข้าร่างทรงจนครบทุกคนที่อยู่ในวง ในพิธีจะมีถาดคายวางไว้กลางเสื่อ ส่วนเครื่องคายของมอวางไว้ในประรำพิธี  ส่วนรองแม่มออีกสองคนก็จะถือไผ่ซึ่งมีห่วงใส่ไข่วิ่งรอบวงที่ประกอบพิธี  ส่วนแม่มอก็จะถือใยแมงมุมที่ทำด้วยด้ายไหมพรม (หรือปงวาย)เพื่อไล่ผีมอที่มาทำให้คนเจ็บป่วย  ส่วนมืออีกข้างจะถือด้ายฝ้ายหนึ่งปอยสะบัดไปมาหลังจากไล่เรียบร้อยแล้ว  แม่มอกับลูกศิษย์มอก็จะเริ่มฟ้อนรำรอบถาดคายที่วางไว้ตรงกลางเสื่อสามรอบ (หน้า 63)
          ต่อมาเจ้าของบ้านที่จัดงานก็จะให้ชายหญิงหนึ่งคู่ มาลักช้างกับม้าที่เป็นคายของมอที่อยู่ในประรำพิธี ส่วนแม่มอก็จะจ้างวานผู้ที่อยู่บริเวณประกอบพิธี ไปค้นหา ช้างกับม้าของตนเองกลับสู่ประรำพิธี ส่วนการว่าจ้างก็อาจเป็นเหล้าหรือบางครั้งอาจจ้างด้วยเงิน หลังจากที่คนที่ถูกจ้างพบคนที่ลักช้างกับม้าของมอแล้ว ก็จะรีบวิ่งมาบอกมอสามครั้ง โดยในครั้งที่สามนี้มอจะมอบเศษกระดาษเปล่าที่ม้วนเอาไว้ที่ชาวกูยเรียกว่า “พิมพ์” กับผู้ถูกจ้างวานให้นำมาเป็นหลักฐานยืนยันกับชายหญิงทั้งสองคนนั้นที่ลักช้างกับม้าไปซุกซ่อนเอาไว้ว่า เป็นช้างกับม้าของมอ ต่อมาคนที่ได้รับการจ้างวานก็จะเอาช้างกับม้าของมอมาคืนให้มอ  แล้วมอก็จะเอาช้างกับม้ามาเก็บไว้ในคายที่ตั้งไว้ในประรำ เมื่อได้ช้างกับม้ากลับมาแล้วแม่มอก็จะฟ้อนรำด้วยความสุขใจ มอก็จะรำต่อไป บางครั้งก็อาจเรียกสิ่งต่างๆ ได้แก่ เหล้า  หมากพลู ซิ่น และอื่นๆ กับเจ้าภาพ และเจ้าภาพก็จะหาสิ่งต่างๆ ที่ขอนั้นมาให้มอจนกว่ามอจะรู้สึกพึงพอใจแล้วออกจากร่างทรง  ก็ถือว่าเสร็จพิธีการรักษาคนที่ป่วยไม่สบาย  จากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์อาการป่วยก็จะทุเลาจนร่างกายแข็งแรง ซึ่งโดยมากแล้วผู้ป่วยที่มารับการรักษาจากมอนั้นจะหายป่วยทุกคน  (เรื่องและภาพหน้า 63)
 
เล่นออเพื่อรักษาคนป่วย 
          จะทำพิธีเมื่อมีอาการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ การรักษาจะคล้ายๆกับมอ จะต่างกันในส่วนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น (หน้า 65)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย
          ผู้หญิงชาวกูย  สวมเสื้อคอกลมแขนกระบอกย้อมคราม บริเวณคอเสื้อช่วงหน้าอก ติดกระดุมเงิน ตรงคอเสื้อ  ใต้วงแขน ส่วนที่ผ่าอกเสื้อถึงชายเสื้อ และส่วนด้านข้างของลำเสื้อจะทำแซว ผู้เขียนบอกว่า การทำแซว หมายถึงการนำด้ายสีเหลือง สีขาว  และสีแดง นำมาปักไขว้กัน  ซึ่งตามความเชื่อของชาวกูยเชื่อว่า สีที่ใช้ทำแซวคือสีของหางตะกวด กับนุ่งผ้าซิ่นไหมควบ  (หน้า 78)ในภาษากูยเรียกว่า “ค๊วบ” ผ้าซิ่นไหมค๊วบ หมายถึงการเอาเส้นไหม 3-4เส้นนำมาตีเกลียว การควบเส้นไหมจะทำครั้งละสองสี ได้แก่ สีแดงควบกับสีเหลือง  สีเขียวควบกับสีแดง  สีเหลืองควบกับสีเขียว  ต่อมาก็เอามาตีเกลียวเส้นไหมเข้าด้วยกันแล้วเอามาทอ  โดยมีเปิ้นเป็นหัวซิ่น (หน้า 78) มักทำเป็นพื้นสีแดง ลายขิต ข้อดีของการทำหัวซิ่น คือทำให้ผ้านุ่งมีความทนทาน นอกจากนี้เวลานุ่ง ชาวกูยจะพับเป็นรูปสามเหลี่ยมไว้เก็บเงิน และข้าวของเล็กๆ น้อยๆ  (หน้า 79) บริเวณตีนซิ่นจะเย็บกับกะบูล ด้วยด้ายสีแดง หรือสีขาว ส่วนผ้าโพกหัวลายขิตที่ทั้งชายหญิงชาวกูยชอบใช้นั้นเรียกว่า “สไบเจียดตรุย”  เมื่อมีงานบุญตามประเพณี  (หน้า 79)
 
          ผู้ชายชาวกูย  สวมเสื้อคอกลมแขนสั้นย้อมคราม สวมผ้าค๊วบเหมือนกับนุ่งผ้าโสร่ง เมื่อมีงานบุญประเพณีหรือเดินทางไปทำธุระภายนอกชุมชนจะสวมเสื้อแขนยาวสีขาวหรือสีดำ (หน้า 79) หลังจากประมาณ 20ปีผ่านมา เมื่อมีถนนตัดเข้าสู่ชุมชน และมีการรับสื่อทางโทรทัศน์ การแต่งกายของชาวกูยก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก วัยรุ่นชาวกูยนิยมแต่งกายตามสมัยนิยม และอื่นๆ (หน้า 79) 

Folklore

ความศักดิ์สิทธิ์ของปู่ตาตะกวด
          มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาของชาวกูย ที่ได้พร่ำสอนกับลูกหลานว่าไม่ให้ทำร้ายหรือนำตะกวดมาฆ่าทำอาหาร เพราะชาวกูยเชื่อว่าตะกวดคือปู่ตา ดังคำบอกเล่าของชาวกูยเล่าว่า เคยมีคนหมู่บ้านอื่นเข้ามาขโมยจับตะกวดไปจำหน่าย แต่หัวชโมยเหล่านั้นก็ประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ที่ผ่านมา เคยมีคนลักลอบขโมยตะกวดไปฆ่าแล้วปรุงเป็นกับข้าว แต่ก็ต้องสิ้นใจ ทั้งที่ในปากยังเคี้ยวเนื้อตะกวด บางทีก็เสียชีวิตในวันต่อมา จากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทำให้ชาวกูยเพิ่มความเคารพและเชื่อมั่นว่าตะกวดมีความศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 58)
          ที่ผ่านมาก็ไม่เคยพบว่าตะกวดขบกัดคนในหมู่บ้าน จะพบบ้างในบางครั้งที่เด็กชาวกูยมาดูตะกวดหลายคน บางครั้งก็ยกหางตะกวดเล่น แต่ถ้าตะกวดไม่พอใจก็จะสะบัดหาง เด็กๆ ก็จะวิ่งอ้าวไปเล่นที่ใหม่ (หน้า 58) 

Other Issues

ความแตกต่างระหว่าง “ตะกวด”กับ “เหี้ย”
          “ตะกวด” ปากมน หัวกลม ชอบอยู่บนบก โดยพฤติกรรมแล้วชอบอยู่รวมกลุ่มกันเป็นฝูง คนในภาคอีสานมักเรียกตะกวดว่า “แลน” ตะกวดชื่นชอบอากาศเย็นและชื้น เช่นในหน้าฝน ตะกวดชอบออกมาเดินสูดอากาศกับหากินในช่วงเช้าและช่วงเย็น หากเป็นในหน้าหนาวถ้าอากาศเย็นกับชื้นตะกวดก็ออกมาเล่นเหมือนในหน้าฝน ส่วนในหน้าร้อนตะกวดมักไม่ค่อยออกมาเล่นเท่าที่ควร แต่จะเร้นกายอยู่ในโพรงหรือไม่ก็นอนเล่นบนกิ่งไม้ ในขณะที่ในหน้าร้อนตะกวดไม่ค่อยออกมาด้านนอกบางครั้งอาจออกมาครั้งหรือสองครั้ง  การหากินของตะกวด ในอดีตที่ผ่านมา ตะกวดชอบหากินอยู่สามแห่ง ได้แก่ ที่ท้องนา  ที่ป่าไม้ กับที่หมู่บ้าน  การหาอาหารเมื่ออยู่ทุ่งนานั้น ตะกวดจะกินพวกกุ้ง  กบ  เขียด หอย ปู ปลา และอื่นๆ แต่ถ้าอยู่ในป่า ตะกวดก็จะปีนต้นไม้ถ้าพบรังนกก็จะกินไข่นกเป็นอาหาร แต่ถ้าอยู่ในหมู่บ้าน ที่ใต้ถุนบ้านของชาวกูยบ้านตรึม บ้านจะเป็นใต้ถุนสูงเป็นคอกวัว ควาย กับเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่  ตะกวดก็จะมากินไข่ไก่ กินไข่เป็ด บางครั้งก็จะกินลูกไก่ ลูกเป็ด  หากชาวกูยมาพบตะกวดแอบกินไข่ไก่ ไข่เป็ด พวกเขาก็จะปล่อยให้กินโดยไม่ทำร้ายตะกวด แต่จะให้กินโดยไม่ทำอันตรายใดๆ (หน้า 58)
          ขณะที่ทุกวันนี้ที่หากินของตะกวดมีสองที่คือ ที่ท้องนา กับที่ป่าไม้  เพราะว่า    ทุกวันนี้เกษตรอำเภอได้ส่งเสริมให้ชาวกูยเอาเป็ด ไก่ ไปเลี้ยงที่ท้องนา แต่ก็ยังมี  ชาวกูยอีกส่วนหนึ่งที่ยังคงเลี้ยงเป็ด ไก่ ไว้ที่ใต้ถุนบ้านเหมือนในอดีต(หน้า 58 ภาพหน้า 59)
          “เหี้ย”  ปากค่อนข้างแหลม มีพฤติกรรมชอบอยู่ในน้ำอย่างมาก (หน้า 58)

Map/Illustration

ตาราง
          ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูล วิธีการศึกษา (หน้า 31) เหตุการณ์สำคัญในหมู่บ้านตรึม   (หน้า 46) ร้อยละของจำนวนครัวเรือน จำแนกตามกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน และการกระจายการถือครองที่นาของชาวกูย ในชุมชนกรณีศึกษา (หน้า 48)
 
ภาพ
          แสดงความสัมพันธ์ระหว่างระบบสังคมกับระบบนิเวศน์ (หน้า 6) กรอบแนวคิดในการวิจัย  (หน้า 27) ศาลผีปู่ตาที่โคนต้นมะขามใหญ่ (หน้า 34) การบอกกล่าวขออนุญาตผีปู่ตาภายในศาลผีปู่ตาที่โคนต้นมะขามใหญ่ (หน้า 34) ที่ตั้งและอาณาเขตของบ้านตรึม  ตำบลตรึม  อำเภอศรีขรภูมิ  จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 41) สัญลักษณ์ของผีปู่ตา “ท่อนไม้ยอ”ที่ป่าหนองกา (หน้า 55) สัญลักษณ์ของผีปู่ตา “ดินจอมปลวก” ภายในศาลผีปู่ตา ที่โคนต้นมะขาม (หน้า 56) สัญลักษณ์ของผีปู่ตา “ใบเสมาโบราณ” ที่วัด (หน้า 56) ศาลผีปู่ตาที่ทำนบน้ำประปาผิวดิน (หน้า 57) สัญลักษณ์ของผีปู่ตา “ตุ๊กตาปู่ตา” ที่ทำนบน้ำประปาผิวดิน (หน้า 57) รูปร่างลักษณะของตะกวด (หน้า 59) แสดงการสืบทอดการเป็นมอของตระกูลหงษ์เพชร (หน้า 60) ปะรำพิธีการเล่นมา และคายของมอ (หน้า 62) การไล่ผีของมอ (หน้า63) ปะรำพิธีของออ และคายของมอ (หน้า 65)
          การปักแซวเป็นลายหางตะกวดบนตัวเสื้อของสตรีชาวกูย (หน้า 79) การแต่งกายของชาวกูยเมื่อไปร่วมงานมงคล (หน้า 80) การแต่งกายของสตรีชาวกูยวัยกลางคนในปัจจุบัน (หน้า 80) การแต่งกายแบบเดิมของผู้เฒ่าชาวกูยในปัจจุบัน (หน้า 81) ผ้าสไบเจียดตรุยที่มีลายเกล็ดหางตะกวด (หน้า 82) การติดแป้นลมที่หน้าจั่วของหลังคาบ้าน (หน้า 84)บ้านของชาวกูย ที่มีบันไดขึ้นลง 2ทาง (หน้า 85) ชาวกูยทำการเซ่นไหว้ผีปู่ตาบนบ้านของผีปู่ตา (ดุงเผ็ะจู๊ฮ) ที่ป่าหนองกา  (หน้า 89) ตำแหน่งของไม้ยอในการประกอบพิธีกรรม (หน้า 89) ชาวกูยร่วมกันทำนายคางไก่  (หน้า 90) การวางข้าว และกับลงบนดินที่ทำพิธีหลังจากเสร็จสิ้นพิธี (หน้า 90) เครื่องเซ่นผีปู่ตาชุดใหญ่ (หน้า 92) กะต๊าจ และหูหมูป่าอันเดิมที่ถูกพันไว้ด้วยด้ายผสมกับขมิ้น (หน้า 92) การนำผ้าควบมาคลุมศพ (หน้า 96) การเป็นจ้ำของตระกูลดัชถุยาวัตร (หน้า 105)
 
แผนที่
          เส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านตรึม  ตำบลตรึม  อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ (หน้า 40)ความหนาแน่นของการตั้งถิ่นฐานของชาวกูยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หน้า 70) 

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 07 มิ.ย 2562
TAG ความเชื่อ, วิถีชีวิต, ตะกวด, กวยทำนา, สุรินทร์, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง