สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เศรษฐกิจ อัตลักษณ์ ฝิ่น ม้ง เชียงใหม่
Author ประสิทธิ์ ลีปรีชา
Title การค้าขายข้ามพรมแดนกับอัตลักษณ์ม้ง
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร  Total Pages 97 Year 2558
Source มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Abstract

งานเขียนได้กล่าวถึง การสร้างอัตลักษณ์ของม้งดอยปุยจากผู้ค้าฝิ่น ในมุมมองของคนโดยทั่วไป เปลี่ยนมาเป็นผู้ประกอบการค้า ที่นำฝิ่นมานำเสนอในแง่มุมของการท่องเที่ยว นอกจากนี้งานเขียนได้เล่าประวัติการค้าฝิ่นในอดีตแบบกว้างๆ ซึ่งมีมาตั้งแต่อยู่ในประเทศจีน ที่ชาวตะวันตกนำมามอมเมาชาวจีน เพื่อให้ง่ายต่อการเข้ามาครอบครองดินแดนจีน กระทั่งเกิดการสู้รบระหว่างจีนกับชาติตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม หลังจากที่ชาติตะวันตกออกไปแล้วทางการจีนในขณะนั้นได้สนับสนุนให้ชนกลุ่มน้อยบนดอยปลูกฝิ่น หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างม้งกับคนจีน ม้งได้อพยพมาสู่ดินแดนต่างๆ ทั้งไทย ลาว พม่า สำหรับม้ง ดอยปุยนั้นมีความเป็นมาพร้อมกับฝิ่น หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศให้ฝิ่นเป็นสิ่งเสพติดผิดกฎหมาย ม้งได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาสเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว และมีการปรับตัวให้เข้ากับกระแสโลกาภิวัตน์ เพื่อติดต่อสื่อสารกับม้งที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก เพื่อสร้างความทรงจำทางประวัติศาสตร์ ผ่านสิ่งตีพิมพ์  วีดีทัศน์และลายผ้า เพื่อถ่ายทอดความเป็นมาและสร้างความภาคภูมิใจในกลุ่มชาติพันธุ์ของตน ผ่านกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรมและอักษรม้งที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยมิชชันนารีชาวตะวันตกและม้งในหลวงพระบาง ประเทศลาว ที่ต่อมาได้รับความนิยมจากม้งในประเทศต่างๆ รวมทั้งม้งดอยปุยที่อยู่ในงานเขียนนี้ด้วย 

Focus

          เพื่อศึกษาบริบททางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคมและการเมืองที่ส่งผลต่อการปรับตัวเพื่อทำการผลิตและการค้าในรูปแบบต่างๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในชุมชนดอยปุย, เพื่อศึกษาวิธีการ และกระบวนการที่ชาวบ้านใช้ตอบโต้ ต่อรองและประสานความร่วมมือต่อการถูกกดทับจากภายนอก กับการสร้างพื้นที่ทางสังคมแก่ตนเองภายใต้บริบทของรัฐไทยและท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ และเพื่อสร้างความเข้าใจ การอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้สังคมแห่งความหลากหลายซึ่งวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ (หน้า 2) 

Theoretical Issues

          กรอบของการวิจัย การนำเอาการค้ามาเป็นกลไกในการปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ระหว่างม้งบ้านดอยปุย กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตอุทยานแห่งชาติ ชาวบ้าน พื้นราบ จีนฮ่อ กับการเปิดพื้นที่ทางสังคมในบริบทของรัฐไทย  รวมทั้งการนำเอาการค้ามาเป็นกลไกในการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ในกระแสโลกาภิวัฒน์ (หน้า 2)

Ethnic Group in the Focus

          ม้ง (Hmoob/ Moob) คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน  ภาคเหนือของประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม ประเทศไทยและประเทศตะวันตก ในประเทศจีนชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ “ม้ง” บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “แม้ว” หรือ “เหมียว”  ที่หมายถึง ต้นข้าวอ่อน  หน่อ วัชพืช กับที่นา มีความหมายว่าลูกของแผ่นดิน กับชนพื้นเมือง ซึ่งเมื่อก่อนปลูกข้าวเป็นอาชีพ ต่อมาภายหลังคำเรียกดังกล่าวมีนัยยะแห่งการดูถูกเหยียดหยามด้านชาติพันธุ์ด้วยการเลียนเสียงร้องของแมว โดยสื่อถึงความไม่มีวัฒนธรรม คำเรียกดังกล่าวอยู่ในหลักฐานประวัติศาสตร์ของจีน ในชื่อ “เหมียวหมิน” “หยูเหมียว” “ซานเหมียว” ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ที่ราบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงกับแม่น้ำฮวงโห เมื่อประมาณ 2200 ปี ก่อนคริสตศักราช (หน้า 7)
          เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เข้าปกครองประเทศจีน เมื่อ ค.ศ. 1949  ภายใต้นโยบายการจัดแบ่งกลุ่มชนชาติของรัฐบาลจีน  กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเป็นเพียงกลุ่มย่อยที่ถูกรวมอยู่ในกลุ่มชนชาติเหมียว ที่ประกอบด้วยสามกลุ่มที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มที่เรียกตนเองว่า “ขอซ่ง (Qhov  Xyooj) “ฮมู้” (Hmub) หรือ “ฮม้อ” และกลุ่ม “ม้ง” (Hmoob) สำหรับภาษาพูดทั้งสามกลุ่มไม่เหมือนกันและไม่อาจพูดคุยกันรู้เรื่อง นอกจากนี้การแต่งกายและประเพณีความเชื่อก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย (หน้า 7)  ในมณฑลยูนนาน  ประเทศจีน กลุ่มชาติพันธุ์ม้งแบ่งออกเป็น 7กลุ่ม ได้แก่ ม้งเด๊อ (Hmoob  Dawb) ม้งจั๊ว (Moob  Ntsuab) ม้งชื้อ (Moob Swb) ม้งเป่ (Hmoob  Peg) (หน้า 7) ม้งเซา (Hmoob Xauv ) ม้งซัว (Hmoob  Sua) ม้งปัว (Hmoob Pua) แต่ละชื่อในอดีตมีที่มาจากที่อยู่อาศัยกับชื่อผู้นำกลุ่ม ขณะที่ในปัจจุบันการแยกชื่อกลุ่มจะแยกตามภาษาพูดและการแต่งกาย (หน้า 8)
          ส่วนในประเทศไทยมีม้งสองกลุ่มได้ แก่ “ม้งขาว” หรือ “ม้งเด๊อ Hmoob  Dawb กับ “ม้งดำ หรือ ม้งเขียว” แต่คนโดยทั่วไปเรียกว่า “ม้งน้ำเงิน กับ ม้งลาย” ส่วนกลุ่มนี้เรียกตนเองว่า ม้งจั๊ว Moob Ntsuab(หน้า 8)  
 
ม้งในประเทศไทย
          การเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยของม้งกลุ่มแรกจากการสัมภาษณ์พบว่า  บรรพบุรุษกลุ่มแรกของม้งได้อพยพข้ามแม่น้ำโขง เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทยระหว่างช่วง พ.ศ. 2390-2420  ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่กองกำลังทหารของจีน ได้ปราบปรามชนกลุ่มน้อยต่างๆ และมุสลิม ที่อยู่ในมณฑลกุ้ยโจว กับมณฑลยูนนานของจีน  เนื่องจากชนกลุ่มน้อยต่างๆ ไม่พอใจการเก็บภาษีของรัฐบาลจีน (หน้า 10) คนจีนเรียกสงครามนี้ว่า สงครามกบฏชาวเหมียว ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่อยู่ในประเทศไทยเรียกว่า Suav Faj  Chij ด้านกลุ่มม้งที่อยู่ในมณฑลยูนนานเรียกว่าสงครามธงแดง-ธงขาว เนื่องมาจากกองกำลังฝ่ายรัฐบาลใช้ธงสีแดงกับสีเหลือง ส่วนฝ่ายกองกำลังชนกลุ่มน้อยใช้เครื่องหมายธงสีขาว (เชิงอรรถหน้า 16)  ซึ่งในช่วงเวลานั้นฝรั่งเศสและอังกฤษได้เข้ามาแบ่งพรมแดนประเทศอาณานิคมของชาติตนเองในบริเวณนี้  ฉะนั้นแล้วการที่ม้งหลบหนีความเดือดร้อนจากการต่อสู้ในประเทศจีน  บรรพบุรุษของม้งไม่ทราบว่า ได้ข้ามเส้นแบ่งเขตแดนหรือไม่รู้ว่าอยู่ในเขตประเทศใด แต่ได้ใช้พื้นที่ทางภูมิศาสตร์เป็นตัวกำหนด  ได้แก่  แม่น้ำแดง  แม่น้ำเขียว  น้ำทา  ภูซาง  เมืองฮุน  เมืองหงสา  แม่น้ำโขง  ดอยผ่าหม่น  ภูชี้ฟ้า  ภูแวและอื่นๆ หลังจากกลุ่มชาติพันธุ์ม้งมาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัย จึงมีการแบ่งเส้นเขตแดนประเทศ (หน้า 10) ตัวอย่างที่ผู้เขียนกลุ่มถึงคือ ใกล้กับชุมชนม้ง ยอดดอยต่างๆ จะมีชื่อเรียกเช่น ดอยฝรั่ง(เศส) ปักธงชาติ (Fuablab  tsa  ntoo) หรือ ดอยอังกฤษ (Roob  Kuabluab) (หน้า 11) คำว่า Kuabluab หรือ “กั๊วลั๊วะ” คนอังกฤษใช้เรียกคนพื้นราบในภาคเหนือว่า “กุลา” (ดูเชิงอรรถหน้า 16) ส่วนเส้นทางที่กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเข้าสู่ประเทศไทยมีดังนี้ (หน้า 11)
          ทางที่หนึ่ง  เป็นพื้นที่ชายแดนจังหวัดน่านกับพะเยา ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ดอยภูแวกับภูลังกา ต่อมาจึงย้ายไปอยู่ที่ดอยขุนสถาน (ในเขตจังหวัดน่านและจังหวัดแพร่) ดอยช้าง  ดอยอ่างขาง  ภูหินร่องกล้า  เขาค้อ ดอยลานสาง หรือดอยระแหง (Roob  Looj  Heem) และอื่นๆ (หน้า 11)
          ทางที่สอง  เข้ามาทางด้านภูชี้ฟ้า ดอยผาหม่น กับพื้นที่ราบของเมืองเชียงของและเมืองเชียงแสน ต่อมาจึงข้ามมาที่ดอยยาว ดอยช้าง  ดอยอ่างขาง  ดอยผ้าห่มปก (Laim  Phuas Puv) กับดอยจักตอก (Laim  Caaj  Tuj) ที่อยู่ในเขตประเทศพม่าในทุกวันนี้ และข้ามมาที่ดอยเชียงดาว  ดอยสุเทพ  ดอยอินทนนท์ ดอยปางอุ๋ง  ดอยหมากพริก ที่อื่นๆ  (หน้า 11)
          ทางสายที่สาม   ข้ามแม่น้ำโขงทางตอนบนในส่วนประเทศลาวและประเทศพม่าเหนือท่าขี้เหล็ก จากนั้นก็ลงมาทางขุนหัวแม่คำ ใกล้กับบ้านหินแตก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย สำหรับกลุ่มที่เข้ามาเส้นทางนี้คือกลุ่มที่เข้ามาหลังสุดประมาณ พ.ศ.2480 (หน้า 11)

Language and Linguistic Affiliations

          คำว่า ม้ง Hmoob / Moob (หน้า 7) เป็นคำภาษาม้งที่ใช้ตัวเขียน RPA (R0manized  Popular Alphabet) ที่กลุ่มมิชชันนารีจากชาติตะวันตกที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนากับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในประเทศลาว เมื่อประมาณ พ.ศ. 2496 ได้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเขียนภาษาม้ง (เชิงอรรถหน้า 16)
          งานเขียนได้กล่าวถึงความทรงจำร่วมทางประวัติศาสตร์ของม้งซึ่งประกอบด้วย สื่อสิ่งพิมพ์  วีดีทัศน์และลายผ้า (หน้า 68) ในส่วนของสื่อสิ่งพิมพ์ได้กล่าวถึงการประดิษฐ์ตัวอักษรม้งดังนี้  แต่เดิมม้งที่อยู่ในมณฑลยูนนาน  ประเทศจีน, เวียดนาม, ลาว, ไทย และประเทศพม่า ยังไม่มีตัวหนังสือใช้เขียนสื่อสารกัน จนถึง พ.ศ. 2496 มิชชันนารีชาติตะวันตก ที่ประกอบด้วย บาทหลวงอีฟ  เบอร์เทร (Yves  Bertrais) อาจารย์สมอเลย์ (Smalley) ศิษยาภิบาลเบอร์นี่ย์ (Burney) กับกลุ่มม้งที่อยู่ในแขวงหลวงพระบาง  ประเทศลาว ได้ร่วมกันประดิษฐ์ระบบตัวเขียนของม้ง ตัวหนังสือได้ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ  ต่อมาตัวเขียนได้รับความนิยมในกลุ่มม้ง ในลาวและไทย (หน้า 69)  
          ในชุมชนม้ง ดอยปุย ตัวหนังสือภาษาม้งได้รับความนิยม เนื่องจากชุมชนเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ศาสนาคริสต์ของชาติตะวันตก  นับจาก พ.ศ. 2510 ภาษาม้งจึงได้รับความนิยมเพราะมีการเรียนการสอนในโบสถ์คริสต์  และเพื่อให้อ่านคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาม้ง และใช้เป็นภาษาเขียนติดต่อในกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ที่อยู่อาศัยในไทยและต่างประเทศ (หน้า 69)  จนเมื่อ พ.ศ. 2518 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะ ปกครองประเทศลาว ดังนั้นกลุ่มม้งที่ร่วมรบช่วยสหรัฐอเมริกา จึงต้องอพยพเข้ามาอยู่ในค่ายอพยพตามแนวบริเวณชายแดนในเขตประเทศไทย จึงทำให้เกิดการติดต่อระหว่างม้งดอยปุยกับม้งที่อยู่ในศูนย์อพยพ เมื่อม้งดอยปุยไปซื้อผ้าลายปักกับผ้าเขียนฝีมือของม้งที่อยู่ในศูนย์  จนเมื่อม้งในศูนย์อพยพเดินทางไปอยู่ประเทศที่สาม เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆ จึงทำให้การติดต่อด้วยตัวอักษรม้งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในชุมชนม้งที่กระจายอยู่ทั่วโลก (หน้า 69) นอกจากเขียนจดหมายติดต่อกันในกลุ่มม้งด้วยกัน นอกจากนี้ม้งยังได้ผลิตนิตยสาร เพื่อเผยแพร่ในกลุ่มม้งที่อยู่ในประเทศต่างๆ และมีการเขียนประวัติศาสตร์ของตนเองเพื่อให้ทราบความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธุ์ตน สร้างสำนึกความเป็นม้ง และเพื่อให้เห็นการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่นการติดต่อและการสู้รบกับคนจีน ตอนที่ยังอยู่ในประเทศจีน เป็นต้น (หน้า 70) 

Study Period (Data Collection)

          ได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ดำเนินการวิจัยระหว่างปี  พ.ศ. 2546-2548 (หน้าคำนำ)

History of the Group and Community

ประวัติความเป็นมาของการปลูกฝิ่นของม้ง
          จากการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ไม่น่าจะผลิตฝิ่นเพื่อการค้าก่อน ค.ศ. 1820 ที่เป็นช่วงเวลาก่อนที่อังกฤษเจ้าอาณานิคมในเวลานั้นได้ค้าขายฝิ่นกับจีน ซึ่งในเวลานั้นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ที่ในเวลานี้เป็นมณฑลกวางสี มณฑลกุ้ยโจว และมณฑลยูนนานของจีน หลังจากที่จีนแพ้สงครามฝิ่น รัฐบาลจีนในเวลานั้นจึงส่งเสริมกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่บนพื้นที่สูง ปลูกฝิ่นเพื่อขายให้กับคนเสพที่อยู่ในประเทศจีน เพื่อทดแทนการนำเข้าจากอังกฤษ (หน้า 3) กับประเทศเจ้าอาณานิคมตะวันตกอื่นๆ  ดังนั้นจึงทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ม้งและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่บนที่สูงได้เริ่มปลูกฝิ่น ส่วนชาวจีนฮ่อและมุสลิมในยูนนานก็เปลี่ยนมาเป็นพ่อค้าคนกลางรับซื้อฝิ่นจากม้งและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ แล้วนำไปขายต่อให้พ่อค้าและคนเสพที่อยู่ในเมือง ในเวลาต่อมาเมื่อถึงศตวรรษ 1800 ม้ง จีนฮ่อและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ต่างได้รับผลกระทบทางการเมืองในจีน ดังนั้นจึงย้ายที่อยู่มาอยู่ที่ภาคเหนือของไทยอันเป็นที่อยู่ในทุกวันนี้ แต่การปลูกและค้าขายฝิ่นระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ม้งกับจีนฮ่อยังคงอยู่แม้ว่าเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว (หน้า 4)
 
          ส่วนความเป็นมาของม้ง  มีด้วยกันสามแนวคิดดังนี้
          แนวคิดที่หนึ่ง  มาจากแนวคิดของบาทหลวงซาวิน่า ชาวฝรั่งเศส นิกายโรมันคาธอลิก  ที่สัมภาษณ์ม้งที่อยู่ภาคเหนือของประเทศเวียดนามในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนที่เวียดนามเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ที่ระบุว่า บรรพบุรุษของม้งโยกย้ายที่อยู่มาจากขั้วโลกเหนือ ซึ่งในตำนานของม้งเล่าว่า พื้นที่แห่งนั้นอากาศแสนหนาวเหน็บมีหิมะปกคลุม ในช่วงกลางวันมองเห็นดวงตะวันหกเดือนส่วนอีกหกเดือนนั้นมองไม่เห็น คาดว่าในเวลาต่อมากลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้ย้ายที่อยู่มาทางตอนเหนือของประเทศจีนเข้าสู่มองโกเลียแล้วย้ายลงมาถึงภาคใต้ของจีน แล้วเดินทางเข้าสู่พื้นที่ที่ทุกวันนี้คือรอยต่อของประเทศจีน  เวียดนาม  ลาว  ไทยและประเทศพม่า  แนวคิดนี้ได้มีบางส่วนที่ให้การสนับสนุน โดยยกตัวอย่าง เด็กม้งบางคนที่มีผิวและผมสีขาว มีนันน์ตาสีฟ้าเหมือนชาวยุโรป (หน้า 8)
 
          แนวคิดที่สอง  เป็นแนวคิดของม้งสำนักบ้านวินัย ใกล้เคียงกับแนวคิดของบาทหลวงซาวิน่า ที่ได้รับแนวความเชื่อจากตำนานลาวกับจีน โดยกล่าวถึงความคล้องจองของชื่อ “สินชัย” (Xeem Xais)  “ม้ง” (Hmoob/Moob) กับ “มองโกเลีย” (Muanm  NKauj  Liag) โดยเชื่อมเข้ากับวัฒนธรรมของม้งกับอีกสองกลุ่ม รวมทั้งการเกิดระบบตัวเขียนพ่าเฮ่า (Phaj  Hauj) ในพื้นที่ประเทศลาวในช่วงก่อนสงครามเวียดนามยุติลง (หน้า 8)

          แนวคิดที่สาม  แนวคิดนี้รู้จักอย่างแพร่หลายของกลุ่มม้งที่อยู่ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ที่ระบุว่าบรรพบุรุษของม้งย้ายที่อยู่มาจากชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกของประเทศจีน (หรือทะเลเหลือง) จากนั้นก็ย้ายมาทำกินบริเวณแม่น้ำฮวงโห (แม่น้ำเหลือง หรือ Dej  Dag) แล้วย้ายมาอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศจีน  กระทั่งมาปะทะกับมองโกล จึงย้ายลงมาจากต้นแม่น้ำเหลือง กับแม่น้ำแยงซีเกียง (Dej  Ntev) กลุ่มม้งได้ย้ายที่อยู่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เข้ามาอยู่ที่อยู่ในทุกวันนี้  ดูจากหลักฐานทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทะเลและแม่น้ำเหลือง ได้แก่ ลายผ้ารูปก้นหอย เส้นตัดขวางสองเส้นบนลวดลายกระโปรงของม้งจั๊วะ ที่หมายถึงแม่น้ำเหลืองกับแม่น้ำแยงซีเกียง รวมทั้งภาษิตกับตำนานที่เล่าถึงแม่น้ำเหลืองของม้งและอื่นๆ (หน้า 8) แนวคิดที่สามตามหลักฐานประวัติศาสตร์จีน ที่บอกว่า  ถิ่นที่อยู่ของชนชาติเหมียวมีความข้องเกี่ยวกับ “ซานเหมียว” และ “หนานหมาน”  เมื่อประมาณห้าพันปีที่ผ่านมา ซึ่งรายงานระบุว่า บรรพบุรุษชาวเหมียว หรือ “ม้ง” นั้นมาจากสัมพันธมิตรชนเผ่า ที่เรียกกลุ่มตนเองว่า “จิวลี่” ที่ตั้งที่อยู่ในบริเวณที่ราบภาคตะวันออกของประเทศจีน ในพื้นที่ที่ราบลุ่มแม่น้ำเหลือง กับแม่น้ำแยงซี กลุ่มนี้มีจีเย่อ (Txiv) เป็นผู้นำกลุ่ม ในเวลาต่อมา “จีเย่อ” ได้ถูก “ห้วงตี่” (Faj  Tim) ผู้นำอีกกลุ่มหนึ่ง ที่คาดว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวจีน ที่นำกำลังพลมาจากตอนบนของลุ่มแม่น้ำเหลือง มาสู้รบและยึดครองพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง หลังจากนั้นกลุ่มเหมียวหรือม้ง จึงโยกย้ายที่อยู่ไปด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ มาที่พื้นที่ทะเลสาบต้งถึง (Dong  Ting) ทะเลสาบโปยาง (Po Yang) กระทั่งย้ายมาอยู่ เขตมณฑลเสฉวน  กุ้ยโจว และมณทลยูนนาน (หน้า 9)

Settlement Pattern

          ในชุมชนมีร้านค้าที่ขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว มีทั้งร้านที่สร้างอย่างถาวร กับร้านที่ตั้งโต๊ะขาย มีจำนวน 135 ร้าน และร้านอาหารมี 11 ร้าน (หน้า 14)  

Demography

          ชุมชนดอยปุยประกอบด้วยครัวเรือนม้งจำนวน 109 ครัวเรือน  อันดับสองเป็นกลุ่มคนพื้นราบที่มาขายของ 13 ครัวเรือน  กลุ่มชาติพันธุ์จีนฮ่อ  7 ครัวเรือน  กะเหรี่ยงอีกสี่ครัวเรือน  ครอบครัวญี่ปุ่นหนึ่งครัวเรือน  และคนเนปาลอีกสองคน รวมประชากรทั้งหมด 1,391 คน  (หน้า 14) 

Economy

          การประกอบอาชีพของม้งดอยปุยตั้งแต่ก่อตั้งหมู่บ้าน เมื่อ พ.ศ. 2496 ขณะนั้นม้งยังประกอบอาชีพเหมือนกับในอดีต เช่น  ปลูกข้าวไร่  ทำไร่ข้าวโพดและปลูกฝิ่น  เวลานั้นทางการได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ป่าหวงห้ามเมื่อ พ.ศ. 2492 เมื่อมีการตัดถนนเข้าสู่ชุมชนจึงส่งผลให้กลุ่มม้งได้รับความสนสนพระทัยจากในหลวงและพระราชวงศ์ และหน่วยงานราชการ เช่น โครงการในพระราชดำริที่ต่อมาเป็นโครงการหลวงก็ได้เริ่มต้นที่บ้านดอยปุยจนม้งดอยปุยเปลี่ยนมาปลูกพืชเมืองหนาวทดแทนการปลูกฝิ่นจนถึงทุกวันนี้ ประกอบกับบ้านม้งดอยปุยนั้นอยู่เส้นทางเดียวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น วัดพระธาตุดอยสุเทพ กับพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ดังนั้นหมู่บ้านดอยปุยจึงมีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวชมหมู่บ้านและไปซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก (หน้า 15)
          องค์ประกอบที่ทำให้ดอยปุยกลายเป็นชุมชนท่องเที่ยว
          1) พื้นที่ตั้งของชุมชน และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 50)
          2) การส่งเสริมของในหลวง และราชินี (หน้า 50)
          3) การส่งเสริมของหน่วยงานราชการและเอกชน (หน้า 50)  การท่องเที่ยวคือหนังสือเดินทางที่นำไปสู่สันติภาพ (Tourism  is  the passport  to peace)  เมื่อ พ.ศ. 2510 (หน้า 56) ประชุมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (หน้า 56) ปี พ.ศ. 2530 รัฐบาลประกาศให้เป็นปีท่องเที่ยวไทย และปี พ.ศ.2541-2542 เป็นปี Amazing  Thailand 1998-1999 เชียงใหม่เป็นเมืองรองรับนักท่องเที่ยวเป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2510-2530(หน้า 56)

          รูปแบบการค้าของม้งมี 4อย่างดังนี้ 
          การค้าของม้งกับคนนอกชุมชนมีสี่อย่างได้แก่ ยาเสพติด  พืชพาณิชย์ สินค้าที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายกับสื่อบันเทิง นอกจากนี้ยังรวมถึง กระบวนการถ่ายทอดการเรียนรู้ และการผลิตให้ได้มาซึ่งสินค้า  (หน้า 2)
          1) ยาเสพติด การผลิตและค้าฝิ่นกลายเป็นอัตลักษณ์ของม้ง ซ่ึงอัตลักษณ์นี้เป็นผลตกทอดตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมของอังกฤษและชาติตะวันตกต่างๆ ที่นำฝิ่นมาเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนเพื่อครอบครองประเทศจีนในสมัยนั้น  ดังนั้นการปลูกฝิ่นจึงตกทอดถึงกลุ่มชาติพันธุ์ม้งและกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่บนที่สูงอื่นๆ เนื่องจากสภาพอากาศบนภูเขามีอากาศหนาวเย็นเหมาะกับการปลูกฝิ่น เนื่องจากรัฐบาลจีนนั้นต้องการสนับสนุนให้กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ปลูกฝิ่นเพื่อจำหน่ายให้กับคนภายในประเทศ ทดแทนการนำเข้าจากตะวันออกกลาง (หน้า 81,84) หลังจากที่ม้งโยกย้ายที่อยู่เข้ามาอยู่ภาคเหนือของไทยจึงได้นำการปลูกฝิ่นและการเสพฝิ่นเข้ามาด้วย  ในยุคการเป็นเมืองขึ้นของตะวันตก กระทั่งถึงยุคสงครามเย็น ม้งที่อยู่ในพื้นที่นี้ได้ถูกฝรั่งเศสเจ้าอาณานิคม  สหรัฐอเมริกา (ซีไอเอ) และรัฐบาลไทยใช้ให้ปลูกฝิ่นเพื่อการค้าและการเสพของคนจีนในประเทศ จนภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อมีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ  องค์กรนี้ได้กลายเป็นกลไกสำคัญของชาติตะวันตกที่ได้รับผลกระทบจากฝิ่นและเฮโรอิน ที่ผลิตจำนวนมหาศาลในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ รวมไปถึงพื้นที่ที่ม้งตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัย (หน้า 84) (หน้า 85)
          2) พืชเชิงพาณิชย์ การปลูกพืชเชิงพาณิชย์นั้นได้ทำให้ม้งถูกคนภายนอกมองว่าเป็นกลุ่มที่ทำลายป่าไม้ และใช้สารเคมี ม้งก็ปรับเปลี่ยนตนเองโดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อุทยาน โดยทำหน้าที่เป็นนักอนุรักษ์และร่วมแรงร่วมใจกันพิทักษ์ไฟป่า  (หน้า 81, 85)
          3) สินค้าท่องเที่ยวและหัตถกรรมฝีมือ การขายของเป็นอัตลักษณ์ที่ชัดเจนที่คนภายนอกชุมชนจำม้งได้ การขายสินค้างานฝีมือ เครื่องประดับ เป็นภาพที่คนนอกชุมชนจำม้งได้เป็นอย่างดี (หน้า 81) (หน้า 85)
          4) สื่อบันเทิง เช่นหนังเกี่ยวกับชีวิตของม้ง ที่สร้างสำนักร่วมทางประวัติศาสตร์ในกลุ่มม้งด้วยกันเองที่กระจายกันอยู่ในดินแดนต่างๆทั้งโลก (หน้า 81,71-73)
 
          การที่ม้งเปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจ มีสาเหตุสองอย่างคือ 1) รัฐบาล ประกาศให้ฝิ่นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย นับจาก พ.ศ. 2502 แล้วเริ่มมีโครงการส่งเสริมพืชทดแทนฝิ่นเข้ามาในชุมชนม้ง เช่น โครงการพระราชดำริ ที่เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2510  (หน้า 34)  2)  การที่รัฐบาลประกาศให้พื้นที่ของหมู่บ้านดอยปุยกลายเป็นเขตอนุรักษ์ และเริ่มมีมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดกวดขัน นับตั้งแต่ พ.ศ. 2492 เมื่อรัฐบาลประกาศให้พื้นที่ดอยสุเทพเป็นเขตป่าหวงห้าม กระทั่ง พ.ศ.2507 ประกาศให้เป็นเขตป่าสงวน และประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย เมื่อ พ.ศ. 2524 และต่อมา พ.ศ. 2528 และพ.ศ. 2529 พื้นที่ตั้งของหมู่บ้าน ถูกจัดให้เป็นพื้นที่ชั้นคุณภาพ ลุ่มน้ำ 1B (หน้า 34) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2528 และ 29 ตุลาคม 2529 กำหนดให้มีการแบ่งชั้นคุณภาพลุ่มน้ำเป็น 6 เขต โดยอาศัยจากปัจจัยทางกายภาพ เช่น ความลาดชัน, ความสูงจากระดับน้ำทะเล ลักษณะดินและพืชเป็นเกณฑ์การแบ่ง คือชั้นหนึ่งมีสองเขต คือ 1A  เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือป่าสงวนและทรัพยากร, ต้นน้ำ เป็นพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรม และยังคงมีหรือควรมีป่าปกคลุมถาวร  (หน้า 48)
          ส่วน 1B คือพื้นที่ป่าประเภทเดียวกับ 1A แต่มีการใช้ประโยชน์ทางการเกษตรและควรปลูกป่าเพื่อการอนุรักษ์ ส่วนชั้นสองคือพื้นที่ป่าทางเศรษฐกิจ, ชั้นสามเป็นพื้นที่ปลูกไม้ผล, ชั้นสี่เป็นพื้นที่การเกษตรบนที่สูง และชั้นห้าเป็นพื้นที่การเกษตรที่ราบลุ่ม  (หน้า 48)  
          ส่วนการปลูกพืชพาณิชย์ โดยเฉพาะลิ้นจี่เข้ามาทดแทนฝิ่นของม้งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะพืชพาณิชย์มาพร้อมกับเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ที่เป็นภัยต่อสภาพแวดล้อม เนื่องจากหน่วยงานราชการขยายพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นที่สูงมากขึ้น ตลอดจนเกิดความแห้งแล้ง  ดังนั้นจึงมีอุปสรรคหลายอย่างตามมา ทั้งปัญหาที่มาจากการปลูกลิ้นจี่  การเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ กับชาวบ้านพื้นราบที่อยู่ท้ายน้ำ  เนื่องจากสถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ม้งดอยปุยจึงปรับวิธีการในการทำงานกับหน่วยงานราชการ และเครือข่ายต่างๆ ที่อยู่ภายนอกชุมชน (หน้า 34) เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพแวดล้อม และราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ขายได้ราคาไม่ดี และอัตลักษณ์ของการเป็นกลุ่มที่ทำลายทรัพยากรต้นน้ำและใช้สารเคมี ในมุมมองของคนนอกชุมชน ม้งก็พยายามปรับเปลี่ยนภาพพจน์ให้เป็นผู้อนุรักษ์ (หน้า 34)
 
ประเภทสินค้าของม้ง
          ยุคแรก พ.ศ.2510-2520 สินค้าที่ขายเป็นเครื่องประดับขนาดเล็ก เช่น สร้อย  แขวน  กำไลข้อมือ ที่สามารถนำมาขายริมทาง ซึ่งสินค้าเหล่านี้  พ่อค้า แม่ค้าม้งซื้อมาจากพ่อค้าที่ขายส่งที่ตลาดต้นลำไย ที่ตัวแทนจำหน่ายซื้อมาจากกรุงเทพฯ อีกต่อหนึ่ง  ยุคนี้ดอยปุยเปิดสู่สังคมภายนอก โดยการท่องเที่ยว หลังจากที่มีการสร้างพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ จึงทำให้เกิดการติดต่อระหว่างม้งบนดอยปุยกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ (หน้า 58) นอกจากลาหู่แล้วก็มีจีนฮ่อ และคนเมืองจากเชียงใหม่ อีกเจ็ดหลังคาเรือน มาเปิดร้านขายของ กระทั่ง พ.ศ. 2512 คนพื้นราบจำนวนมาก จากเชียงใหม่และภาคกลาง ได้เข้ามาเช่าและซื้อที่ของม้ง และคนจีน ที่สองฝั่งถนนสายหลักในหมู่บ้าน เพื่อเปิดร้านขายของและร้านอาหาร (หน้า 59) หลังจากมีการแข่งขันมากขึ้น ชาวบ้านส่วนหนึ่งจึงได้เข้าไปขายของบริเวณพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์, วัดพระธาตุดอยสุเทพ และในตัวเมืองเชียงใหม่ เช่น บริเวณตลาดวโรรส, หน้าโรงแรมศรีโตเกียว, โรงภาพยนตร์เวียงพิงค์, ตลาดอนุสาร , ถนนท่าแพและถนนช้างคลาน เป็นต้น (หน้า 59) ในช่วง พ.ศ.2515 มีแต่กลุ่มม้งจากดอยปุย กลุ่มคนธิเบตและเนปาลที่ขายสินค้าที่บริเวณถนนท่าแพ ต่อมา พ.ศ. 2517 โรงเรียนสหศึกษา (ช่องฟ้า-ซินเซิง) ที่ตั้งบริเวณไนท์บาซาร์ในทุกวันนี้ ได้เปิดให้วางขายของได้ที่บริเวณสนามโรงเรียนในช่วงเย็นและค่ำ ต่อมาโรงเรียนได้ย้ายไปอยู่ที่ถนนเชียงใหม่-ลำปาง  ภายหลังมีนักลงทุนมาซื้อที่ดินทำเป็นตลาดไนท์บาซาร์ หลังจากที่เปิดเป็นตลาดไนท์บาซาร์ ม้งจากดอยปุยกับหมู่บ้านใกล้เคียงจึงลงมาขายของมากขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีลาหู่มาขายของที่ระลึกให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน  (หน้า 59)
          นอกจากนี้ พ่อค้า แม่ค้ากลุ่มชาติพันธุ์ม้งยังเดินทางไปขายสร้อย แหวน และของที่ระลึก  ที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยแต่งกายด้วยชุดม้งแล้วขึ้นรถโดยสารไปเป็นกลุ่ม  โดยไปพักรวมกันในเวลากลางคืน แล้วแยกย้ายกันไปขายของในช่วงเวลากลางวัน  ดังนั้นจึงเป็นภาพที่คุ้นเคยของคนพื้นราบที่เห็นม้งมาขายของ ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์จากดอยที่มาขายของในเมือง  (หน้า 59)
          ยุคที่สอง พ.ศ.2520-2530  เป็นช่วงที่มีการประยุกต์ผ้าลายเขียนกับลายปักของม้งนำมาปรับปรุงและเย็บเป็นผ้าคลุมเตียง, ปลอกหมอน, ผ้าปูโต๊ะ และอื่นๆ โดยพ่อค้าจากดอยปุยกับตลากไนท์บาซาร์ (หน้า 59) โดยไปรับสินค้าจากม้งที่อยู่ในศูนย์อพยพที่อยู่ใกล้ชายแดนไทย ลาว ได้แก่ ศูนย์อพยพบ้านวินัย จังหวัดเลย, บ้านน้ำขาว จังหวัดน่าน,  บ้านแก จังหวัดพะเยา เนื่องจากม้งในศูนย์อพยพ  เนื่องจากมีเวลาผลิตสินค้าและมีการแข่งขันอย่างมาก จึงทำให้ราคาสินค้า ค่อนข้างถูก เนื่องจากมีองค์กรการกุศลเข้าไปช่วยเหลือผู้อพยพที่อยู่ในศูนย์  พัฒนาฝีมือและหาตลาด ฉะนั้นตลาดไนท์บาซาร์กับบ้านดอยปุยจึงกลายเป็นที่ขายของที่ระลึก ในยุคที่สองม้งดอยปุยผลิตสินค้า น้อยลง แต่เป็นแบบพ่อค้า แม่ค้าคนกลางที่ซื้อสินค้ามาขาย (หน้า 60)
          ยุคที่สาม พ.ศ.2530-2540  ยุคนี้ได้นำผ้าของม้งไปจ้างช่างตัดเย็บคนพื้นราบเพื่อทำผ้าคลุมเตียง ปลอกหมอน  เสื้อกันหนาว กระเป๋า แล้วนำมาขายในยุคนี้ลูกค้าชื่นชอบสินค้าที่เป็นของเก่า ด้วยการเอาเศษผ้าเก่าจากลายกระโปรงดำ กับปกหลังกับขอบชายเสื้อของหญิงม้งขาว แล้วนำมาดัดแปลง ประดับบนเสื้อกันหนาว และชาวพื้นราบเป้  กระเป๋าสะพายของผู้หญิง รองเท้าและอื่นๆ  สำหรับสินค้าที่หามาได้มาจากกลุ่มสตรีแม่บ้านม้งจากจังหวัดน่าน กับจังหวัดพะเยาได้ออกไปรับซื้อเสื้อผ้าเก่าจากหมู่บ้านม้งทั้งในประเทศไทยและประเทศลาว แล้วนำมาขายให้พ่อค้า แม่ค้าม้ง ที่ตลาดไนท์บาซาร์และดอยปุย แล้วพ่อค้าก็ไปจ้างช่างพื้นราบตัดเป็นสินค้า เพื่อนำไปจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยวต่อไป    (หน้า 60)
          ยุคสุดท้าย-ปัจจุบัน  ยุคนี้มีสินค้าให้เลือกมากมายแต่ไม่มีอัตลักษณ์ความเป็นม้งเหลืออยู่เลย โดยพ่อค้า แม่ค้าม้งได้รับสินค้าหลายอย่างมาขายให้กับนักท่องเที่ยว เช่น ผ้าที่มีลวดลายเป็นรูปสัตว์นานาชนิด จากประเทศเนปาล กับธิเบต  ไม้แกะสลัก  เครื่องประดับเพชร พลอย  เรซิ่นที่ทำเป็นรูปปั้นช้าง กับพระพุทธรูป  เสื้อผ้า  อาหารและผลไม้ที่รับมาจากในเมือง และอื่นๆ (หน้า 60)  (หน้า 60) (หน้า 61) (หน้า 66) 

Social Organization

เครือข่ายทางสังคมของม้ง
          ปัจจุบันม้งมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ติดต่อกันไปทั่วโลก โดยผ่านการทำการค้าที่เป็นอัตลักษณ์ที่ม้งสร้างขึ้นเพื่อลบเลือนภาพผู้ค้ายาเสพติดในอดีต ดังนั้นการถ่ายทอดความทรงจำร่วมทางประวัติศาสตร์ของม้งจึงทำให้เกิดเครือข่ายที่โยงใยกันไปในสังคมม้ง ที่อยู่ในดินแดนต่างๆ รวมทั้งชุมชนม้งดอยปุย ที่มีส่วนติดต่อกับม้งทั่วทุกมุมโลกผ่านการค้า  และงานศิลปะที่สื่อนัยยะผ่านสิ่งพิมพ์  วีดิทัศน์ และลายผ้า สิ่งเหล่านี้ได้ตอกย้ำความทรงจำทางสังคมของม้ง จากภาพประวัติศาสตร์ในอดีตที่เคยต่อสู้กับจีนจนทำให้ต้องอพยพไปทั่วโลก ดังจะเห็นนัยะซ่อนเร้นในลายผ้าที่ม้งในศูนย์อพยพได้ผลิตออกเผยแพร่ ซึ่งกลุ่มที่ซื้อสินค้าก็เป็นกลุ่มม้งที่อยู่ประเทศตะวันตก (หน้า 76-78) ผู้เขียนกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้เครือข่ายทางสังคมของม้งดอยปุย และที่อยู่ในชุมชนต่างๆ เกิดเครือข่าย ข้ามพรมแดนรัฐชาติเนื่องจากมีกลไกจากสามเครือข่ายที่สำคัญคือ เครือข่ายระบบเครือญาติในสังคมม้ง เครือข่ายการค้าที่เป็นปฏิบัติการหลักของระบบทุนนิยมและเครือข่ายศาสนา   (หน้า 79)

Political Organization

การอพยพของม้งอันเนื่องมาจากการเมือง
          ตั้งแต่อดีตม้งได้อพยพหลายครั้งเนื่องมาจากการแย่งชิงทรัพยากรและเหตุผลทางการเมือง เช่น ถูกชาวฮั่น มองโกล และแมนจู โจมตีหลายครั้ง (หน้า 9) นอกจากนี้ การสร้างรัฐชาติการเก็บภาษีจากรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นอย่างหนัก จึงส่งผลให้ม้ง ต่อต้านและมีการต่อสู้หลายครั้งจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจีน เช่นกบฏไถ้ผิง  กบฎธงแดง –ธงขาว (ค.ศ.1856-1872) กบฏฮ่อธงดำทำให้ม้งต้องทิ้งบ้านเรือนจากประเทศจีนมาอยู่พื้นที่ตอนเหนือของประเทศเวียดนาม  ลาว  ไทย และประเทศพม่า ในกลุ่มม้งที่เข้ามาอยู่ภาคเหนือของประเทศไทยคาดว่า ม้งโยกย้ายที่อยู่มาตั้งบ้านเรือนระหว่างช่วงต่อคริสตศักราช 1800 และ 1900 รายงานระบุว่าม้งมาสร้างบ้านเรือนตั้งหมู่บ้านอยู่ในพื้นที่จังหวัดตาก ก่อน ค.ศ.1929 (หน้า 10)
          อีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ม้งต้องย้ายไปอยู่หลายประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะและปกครองประเทศลาวเมื่อ พ.ศ. 2518 ดังนั้นม้งที่อยู่ในประเทศลาวที่เคยอยู่ฝ่ายทหาร ซี.ไป.เอ. ของประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อร่วมต่อสู้กับกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ของลาว จึงต้องหนีร้อนมาพึ่งเย็นเข้ามาอยู่ในศูนย์อพยพในประเทศไทย จากนั้นจึงเดินทางไปอยู่ประเทศที่สาม ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ประเทศฝรั่งเศส, กิอาน่าฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย,เยอรมัน และประเทศอาร์เจนติน่า เป็นต้น   (หน้า 10)
          การย้ายครอบครัวเข้ามาอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันของไทยนั้น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างม้งกับผู้นำท้องถิ่นของไทยที่อยู่ชุมชนใกล้เคียง เช่นการขออนุญาตผู้นำชุมชน ที่อยู่ใกล้เคียง ที่ตั้งชุมชนอยู่ก่อน และแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องถิ่น เช่น ผู้ใหญ่บ้าน  กำนัน  เจ้าเมือง  ข้าหลวง เป็นต้น  โดยส่วนใหญ่จะนำของป่าได้แก่ งาช้าง  หนังสัตว์  น้ำผึ้ง และอื่นๆ มามอบให้ผู้นำท้องถิ่นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน นอกจากนี้ในช่วงแรกที่เข้ามาตั้งที่อยู่อาศัยของม้งนั้น ผู้นำของม้งที่อยู่ในหลายชุมชน ต่างได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าเมือง และข้าหลวงให้เป็นพญา หรือผู้ใหญ่บ้านเพื่อเป็นผู้นำชุมชนบนดอย ตัวอย่างเช่น พญาพิภักดิ์  บ้านพญาพิภักดิ์  จังหวัดเชียงราย  (หน้า 11) 

Belief System

พิธีบนบานป้องกันไฟป่า
          ความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพกับม้งดอยปุยได้แก่ ความร่วมมือเรื่องการป้องกันไฟป่า (ภาพหน้า 43)  การร่วมมือป้องกันไฟป่าเริ่มมาจากที่ เจ้าหน้าที่ได้ตั้งหน่วยป้องกันไฟป่า เมื่อ พ.ศ. 2525แต่ไม่สามารถทำงานดูแลพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงเนื่องจากพื้นที่ป่ามีบริเวณกว้างขวาง นอกจากนี้เมื่อเกิดไฟป่าคนในพื้นที่มักถูกเพ่งเล็งว่าทำให้เกิดไฟป่า  ฉะนั้นม้งดอยปุยจึงตกลงร่วมกับหน่วยดับไฟป่า และเจ้าหน้าที่อุทยาน  เพื่อกำหนดพื้นที่ดูแลไฟป่าของทั้งสองฝ่าย  ต่อมาได้เริ่มทำแนวป้องกันไฟป่าของชุมชนเมื่อ พ.ศ. 2529ครอบคลุมพื้นที่กว่า 7กิโบเมตร รอบหมู่บ้าน ในภายหลังได้พัฒนาความร่วมมือเป็น “เครือข่ายม้งรักษาป่าดอยสุเทพ-ปุย แบ่งแบ่งเขตรับผิดชอบระหว่างหมู่บ้าน  (หน้า 44) (หน้า 45)

Education and Socialization

การศึกษา (หน้า 25)
          โรงเรียนรัฐบาลที่ก่อตั้งในชุมชนม้งแห่งแรก คือบ้านนายเลาต๋า  อำเภออุ้มผาง  จังหวัดตาก  โรงเรียนแห่งนี้ตั้งเมื่อ พ.ศ. 2478 สังกัดกรมสามัญศึกษา  กระทรวงศึกษาธิการ  (หน้า 10)      
          ส่วนพื้นที่ศึกษาบ้านดอยปุยโรงเรียนแห่งแรกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยกองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดนเขต 5ได้ตั้งโรงเรียนชื่อ โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดนสงเคราะห์ 11ดอยปุย  กระทั่ง พ.ศ. 2505พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9ได้พระราชทานเงิน สามหมื่นบาท เพื่อพัฒนาโรงเรียนและพระราชทานชื่อให้ใหม่ว่า “โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ 1”   (หน้า 14)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

วารสารสิ่งพิมพ์
          ความทรงจำร่วมทางประวัติศาสตร์ของม้งมีสามอย่างคือ สิ่งพิมพ์  วีดีทัศน์ กับลายผ้า (หน้า 68) ในส่วนของสิ่งพิมพ์นั้น มีขึ้นหลังจากที่บาทหลวงชาวตะวันตกสามคนและกลุ่มม้งในหลวงพระบาง ประเทศลาว ได้ร่วมกันประดิษฐ์อักษรม้ง เมื่อ พ.ศ.2496 (หน้า 69) การติดต่อสื่อสารของม้งที่ใช้อักษรที่ประดิษฐ์ขึ้น สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวของม้งและประวัติศาสตร์ของม้งได้ถูกถ่ายทอดอย่างต่อเนื่อง คือการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ วารสารที่ทำขึ้นชื่อ “เหยี่ยวและนกนางแอ่นส่งข่าว” (Liaj  Lux xa moo) ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ประเทศกิอาน่า  เมื่อ พ.ศ. 2525 โดยกลุ่มบาทหลวง ศาสนาคริสต์นิกายคาธอลิก  วารสารออกปีละสองฉบับ วารสารนี้ได้เปิดรับบทความ, เรื่องราว เกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมที่เขียนโดยม้งจากทุกมุมโลก  (หน้า 70)
 
ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ของม้ง
          เป็นหนังเรื่องราวชีวิตในอดีตของม้ง ที่ถูกกดขี่จากคนชาติอื่น การสู้รบกับจีน เมื่อครั้งยังอยู่ในประเทศจีน จนอพยพมาอยู่ในลาวและไทย และประเทศอื่นๆทั่วโลก เรื่องที่กล่าวไว้ในงานเขียนมีสี่เรื่องดังนี้
          เรื่องแรก แปดจักรพรรดิ
          ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชาวม้งที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา เริ่มเรื่องจากฉากการทำงานของม้งในสหรัฐอเมริกา แล้วพระเอกจึงชักชวนเพื่อนๆ เดินทางกลับมากู้ชาติในประเทศลาวหรือที่รู้จักในชื่อขบวนการเจ้าฟ้าและเรื่องก็เล่าเรื่องในประเทศลาว แต่ในความจริงภาพยนตร์ได้มาถ่ายทำบางส่วนที่หมู่บ้านม้งในดอยสุเทพและที่จังหวัดน่าน เรื่องนี้มีผู้แสดงหลายคนเป็นคนจากบ้านดอยปุยกับบ้านขุนช่างเคี่ยน และบ้านป่ากลาง เนื้อหาของเรื่องถ่ายทอดความโหดร้ายของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่มาฆ่าชาวม้ง จนในที่สุดทหารม้งเหล่านี้ก็จับปืนขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองและประชาชน (หน้า 71) ผู้เขียนกล่าวว่า นอกจากจะเป็นหนังสงคราม หนังยังซ่อนเรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาว ที่ทำงานเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง  ถึงผู้ชมจะทราบว่าเป็นเพียงเรื่องที่แสดงที่มีฉากสู้รบ และเรื่องราวความรัก แต่เนื้อหาของหนังได้ทำให้เกิดความรู้สึกปวดร้าว ที่เกิดจากฉากสงคราม ดังนั้นเมื่อคิดย้อนเชื่อมโยง ถึงสมัยที่มีการสู้รบของฝ่ายทหารกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ในหมู่บ้านม้งที่อยู่ในหลายพื้นที่ของไทย (หน้า 72)
 
          เรื่องที่สอง  นายพลวังเปากับสงครามลับในลาว ปี 1960-1975
           ภาพยนตร์สร้างโดยเจ้าของหนังสือม้งแห่งในในมลรัฐมินเนโซต้า โดยได้นำภาพเหตุการณ์สู้รบในสมัยสงครามลับ ที่ทหารซีไอเอ ของสหรัฐอเมริกา สนับสนุนให้ทหารม้งที่มีนายพลวังเปา เป็นผู้นำได้ทำการสู้รบกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ในแขวงเชียงขวง ประเทศลาว  ภาพและเหตุการณ์ ผู้ผลิตได้มาจากแหล่งต่างๆ ได้แก่ หน่วยงานทางทหาร นักข่าวของสหรัฐอเมริกา โดยได้ถ่ายทำและรวบรวมนับตั้งแต่ช่วงที่ทำสงครามสู้รบในประเทศลาว จากนั้นผู้สร้างได้นำมาตัดต่อแล้วบรรยายเนื้อหาด้วยภาษาม้ง สิ่งที่สื่อให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในเรื่องก็คือ การที่ทหารม้ง ที่มีนายพลวังเปาเป็นผู้นำได้มีโอกาสและใช้เทคโนโลยีในการสู้รบที่ทันสมัยในเวลาดังกล่าว รวมทั้งการพัฒนาด้านการศึกษา กับถนนที่สหรัฐอเมริกาให้ความสนับสนุน ผู้เขียนระบุว่า ส่วนที่สื่อถึงความรู้สึกเจ็บปวดในกลุ่มม้งหรือคนที่ได้ชมภาพยนตร์ คือความสูญเสียอันเกิดจากสงคราม  ทั้งชีวิต สัตว์เลี้ยงและบ้านเรือน (หน้า 72) รวมทั้งประเทศชาติ จนในที่สุดต้องจากบ้านเกิดอพยพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ในส่วนของม้งดอยปุย ถึงเนื้อหาของภาพยนตร์ เหมือนเป็นเรื่องไกลตัว เนื่องจากไม่ได้อยู่ในประเทศลาวในช่วงที่เกิดการสู้รบนั้น  แต่เนื่องจากเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้งเหมือนกัน จึงทำให้เกิดความรู้สึกทั้งความภาคภูมิใจ รวมทั้งการสูญเสียที่มาจากสงคราม (หน้า 73)
 
          เรื่องที่สาม เกี่ยวกับชาวเหมียว (ม้ง) ในมณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน
          หนังเรื่องนี้เป็นหนังเก่าที่สร้างโดยชาวเหมียวในมณฑลกุ้ยโจว ผู้เขียนบอกว่าต้นฉบับของเสียงในฟิล์มเป็นภาษาจีน แต่ในเวลาต่อมาชาวม้งที่อยู่ในมณฑลยูนนาน ได้นำมาแปลเป็นสำเนียงม้งที่อยู่ในยูนนาน  ต่อมานักธุรกิจม้ง ที่อยู่มลรัฐมินเนโซต้า  สหรัฐอเมริกาได้ซื้อลิขสิทธิ์แล้วนำไปผลิตใหม่อีกครั้งเพื่อจำหน่ายในรูปของวีดิทัศน์  จากนั้นนำมาทำเป็นแผ่นซีดีในประเทศลาว กระทั่งนำมาขายต่อในหมู่บ้านม้งที่อยู่ในประเทศไทยและประเทศลาว รวมทั้งกลับเข้าไปขายในประเทศจีนอีกครั้ง  เรื่องราวในหนังกล่าวถึงการสู้รบระหว่างคนจีนกับม้ง (เหมียว) ที่มลฑลกุ้ยโจว  ประเทศจีน  เนื้อหากล่าวถึงความขัดแย้งในด้านการเมืองระดับผู้นำ รวมไปถึงความขัดแย้งเรื่องปัญหาที่ทำกินของชาวบ้านสองกลุ่มจนเกิดเป็นความกระทบกระทั่งระหว่างเผ่า กระทั่งผู้นำม้งถูกจับและถูกฆ่า ดังนั้นจึงทำให้พวกเขาต้องโยกย้ายบ้านเรือนลงมาทางใต้ในหนังมีกลองสัญลักษณ์ในการระดมพลและทำให้เกิดกำลังในในกลุ่มทหารชาวเหมียว (หน้า 73)
           ผู้เขียนอธิบายเนื้อหาของภาพยนตร์เกี่ยวกับอัตลักษณ์ม้งว่า ประเด็นหลักของหนังนั้น คือม้งได้ใช้เครือข่ายความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับการค้าแล้วส่งผ่านหนังสือนี้เพราะว่าชาวเหมียวที่อยู่ในมณฑลกุ้ยโจวมีภาษาและวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนม้ง ที่อยู่ในมณฑลยูนนาน และที่อยู่ประเทศอื่นๆ จนถึงผู้ชมที่อยู่ดอยปุย (หน้า 73) ส่วนเรื่องเนื้อหาของหนังนั้น  ที่จริงหนังต้นฉบับดั้งเดิมเป็นหนังที่สร้างโดยชาวเหมียวที่อยู่ในมณฑลกุ้ยโจว  แต่เมื่อเสียงในฟิล์มเป็นภาษาจีนแล้วถูกนำมาแปล เป็นสำเนียงของม้งในมณฑลยูนนาน  จึงทำให้ม้งที่อยู่ในหลายประเทศสามารถฟังเข้าใจ ฉะนั้นม้งดอยปุยกับม้งที่อยู่ในที่ต่างๆ เมื่อได้ชมหนังเรื่องนี้ จึงทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกัน รู้สึกปวดร้าวและโกรธคนจีนที่อยู่คนละฝ่ายในหนังเรื่องนี้  ผู้เขียนระบุว่าจากที่ได้พูดคุยกับคนที่ได้ชมหนังเรื่องนี้นั้นต่างก็พูดเหมือนกันว่า มีเครื่องแต่งกายของดาราชาวเหมียวที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้งคือ ผ้าโพกศีรษะสีดำกับกำไลคอ (หน้า 73)
 
          เรื่องที่สี่ชื่อ  ตามรอยเลือด:ประวัติศาสตร์ม้งในจีน
          หนังเรื่องนี้สร้างโดยคนเดียวกับหนังเรื่องที่สอง หนังเริ่มจากการถามตัวเองและผู้ชมว่า ตนเองเป็นม้งที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา เขาสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าเขาเป็นใคร สิ่งที่ผู้สร้างหนังได้เรียนรู้จากพ่อแม่และผู้สูงอายุทั้งหลายต่างก็กล่าวกันว่า บรรพบุรุษของเขาอพยพมาจากเมืองจีน แล้วมาอยู่ที่ประเทศลาว (หน้า 73) กระทั่งมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้วเขาจึงกลับไปหารากเหง้าของตนเอง จากนั้นภาพจึงตัดมาที่ประเทศจีน โดยเริ่มจากพื้นที่ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงปักกิ่ง  โดยฉายให้เห็นสองถึงสามแห่ง โดยที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นหลุมฝังศพของจีเย่อ (TxivYawg) คนซึ่งชาวม้งจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะม้งที่อยู่ในประเทศจีนคาดว่าเป็นผู้นำม้งคนแรกที่ได้สู้รบกับห้วงตี่ (Faj  Tim) ซึ่งคาดว่าเป็นบรรพบุรุษของคนจีน จากที่เขาไปสัมภาษณ์นักวิชาการของจีน กับผู้นำชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้น โดยเขาได้แนะนำตนเองว่าเป็นลูกหลานของจีเย่อ  ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า ผู้สร้างหนังพยายามจะบอกว่าตนเองเป็นม้ง แต่คนที่อยู่บริเวณนั้นก็ไม่ได้เรียกตนเองว่าเป็นเหมียว หรือม้ง  (หน้า 74)
          ต่อมาจึงชี้ให้เห็นภาพอื่นๆ ได้แก่ ถ้ำที่มีโลงศพมากมาย ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชาวม้งที่ต้องตายด้วยน้ำมือคนกลุ่มอื่น ภาพของทะเลสาบต้งถิง (Dong  Ting) กับแผนที่ที่ผู้สร้างหนังได้อธิบายให้เห็นถึงเส้นทางอพยพมาทางตะวันตกเฉียงใต้ จนมาถึงมณฑลกุ้ยโจว  ซึ่งจุดน่าสนใจของเรื่องนี้เป็นภาพชาวเหมียวกำลังทำพิธี แสดงความเคารพอนุสาวรีย์ของอดีตผู้นำของเขา ได้แก่ จาง ซื่อ เหม่ (คศ. 1823-1872)  คนที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นนผู้นำชาวเหมียวในอดีต ที่ได้ต้านต่อสู้กับศัตรูที่มาก่อกวน  ผู้เขียนอธิบายว่าที่นี่ก็เหมือนกัน ที่ชนเผ่าเหมียวที่เห็นนั้น ไม่ได้มีลักษณะร่วมทางภาษา และ เครื่องแต่งกาย กับม้งแม้แต่น้อย  ในขณะที่ผู้บรรยายได้โยงให้เห็นความสัมพันธ์ โดยเฉพาะการเพี้ยนเสียงของชื่อผู้นำคนดังกล่าว มาเป็นสำเนียงม้ง  และในช่วงท้ายของเรื่อง ผู้เล่าเรื่องยังชวนให้พี่น้องชาวม้ง ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ว่าให้ช่วยบริจาคเงิน เพื่อซ่อมแซม อนุสาวรีย์ กับสวนสาธารณะแห่งนี้ให้งดงามมากตามลำดับ (หน้า 74)
          ส่วนม้งดอยปุย กับที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ  เรื่องราวขิงสถานที่ ชื่อผู้นำทั้งหลาย  ซึ่งผู้สร้างหนังเรื่องนี้ ที่ได้สร้างหนังทำออกมาล้วนแต่เป็นเรื่องใหม่ ไม่เคยมีตำนานหรือนิทาน  ที่พวดเขาสืบทอดมาจากบรรบุรุษ แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไกลตัว   (หน้า 74) แต่เนื่องจากคำบรรยายที่ใช้ความพยายามเชื่อมโยงความเป็นม้งกับเหตุการณ์และสถานที่ทั้งหลาย  ก็ทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมในระดับหนึ่ง หรืออย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็ได้สร้างตำนานเกี่ยวกับความทรงจำร่วมของพวกเขาขึ้นอีกตำนานหนึ่ง เพื่อนำไปพูดคุย  ถกเถียงนั่นเอง (หน้า 75)
 
เรื่องเล่าบนลายผ้าปักและผ้าเขียน
          ลายผ้าของม้งได้บอกเล่าเรื่องราวของการดำรงชีวิตในอดีต นอกจากนี้ยังมีลายผ้ายุคใหม่ที่ผลิตโดยม้งที่อยู่ในศูนย์อพยพที่คิดค้นลายผ้าใหม่ๆ เช่นภาพคนเก็บผลผลิตทางการเกษตร สัตว์ป่า ต้นไม้ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง และอื่นๆ
          ผู้เขียนกล่าวว่า แต่เดิมนั้นลวดลายผ้าของม้งมักกล่าวถึงธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงด้านลายผ้าปักและผ้าเขียนได้เกิดขึ้นครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มม้งจากประเทศลาวได้เข้ามาอยู่ในศูนย์ และในช่วงนั้นที่มีการพัฒนาลายผ้าอย่างมาก คือช่วง พ.ศ. 2520-2530 ในยุคหลังนอกจากลายผ้าแบบเก่าแล้ว ผู้ออกแบบยังแฝงด้วยความคิดที่พยายามบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของตนลงผืนผ้า (หน้า 75)
          การปักผ้า และผ้าเขียนนั้นเป็นงานหลักของหญิงม้ง ซึ่งเป็นงานฝีมือซึ่งในอดีตครอบครัวม้งได้ปักผ้า และเขียนผ้าใช้ในครัวเรือน ซึ่งแต่เดิมเป็นลวดลายธรรมชาติ แต่ต่อมาเมื่อชุมชนดอยปุยได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ดังนั้นการคิดค้นลายผ้าใหม่ๆ จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับม้งดอยปุยได้มีโอกาสเผยแพร่งานฝีมือของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเอง  (หน้า 75)
          นอกจากนี้ยังมีการปักลายผ้าที่บอกเล่าเรื่องราวการอพยพของม้งไปยังดินแดนต่างๆทั่วโลก  เรื่องราวบนผืนผ้านั้น ได้แสดงให้เห็นความตั้งใจของผู้ปัก เช่นการอพยพจากประเทศจีน มาไทยและสหรัฐอเมริกา ภาพลายปักได้แสดงให้เห็นถึงการที่ชาวจีน โจมตีและแย่งที่ทำกินของม้ง จนต้องอพยพมาที่เวียดนาม ลาว ไทย และพม่า  ภาพทหารคอมมิวนิสต์ถืออาวุธไล่ฆ่าชาวม้ง ดังนั้นจึงต้องอพยพมาฝั่งประเทศไทย แล้วมีทหารตำรวจมาคุ้มกันดูแล มีรถเมล์มาจอดรับพามาอยู่ศูนย์อพยพ จากนั้นก็เป็นภาพขี่เครื่องบินไปตั้งรกรากที่ประเทศอื่นๆทั่วโลก  นอกจากนี้ยังต้องการถ่ายทอดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองไปสู่ลูกหลานต่อไป ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มลูกค้าที่ชอบซื้อผ้าลายปักและผ้าเขียนนั้นส่วนใหญ่เป็นม้ง โดยเฉพาะม้งจากประเทศตะวันตก (เรื่องและภาพผ้าปักหน้า 76)
          ส่วนลายผ้าเขียนซึ่งเป็นงานฝีมือของหญิงม้งเขียว หรือม้งดำ ผู้เขียนบอกว่าถึงผ้าเขียนไม่ได้ดัดแปลงหรือประยุกต์เอาระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ก็ได้สื่อถึงอัตลักษณ์และความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของม้ง ซึ่งมีที่มาว่า ผ้าเขียนและลายปักผ้าของม้งมีที่มาจากประวัติศาสตร์เพราะว่าเป็นการเอาระบบตัวเขียนของชาวม้งมาประยุกต์เป็นลวดลายบนผ้าเพื่อให้ดูสวยงาม และเพื่อไม่ให้คนจีนสามารถขโมยเอาไปใช้ได้ นับตั้งแต่ยุคที่มีการต่อสู้และแช่งชิงดินแดนกันในจีนเมื่อครั้งอดีต  ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าเหตุใดม้งไม่มีตัวอักษรเป็นของตนเอง ดังคำกล่าวของแม่ค้าม้งเขียวรายหนึ่งได้กล่าวถึงลวดลายที่ซ่อนเร้นความหมายทางประวัติศาสตร์ของม้งไว้ว่า  (หน้า 77)
          จากที่ได้เดินทางไผซื้อเสื้อผ้าจากม้งที่อยู่เมืองเหวินชาน มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ผู้สูงอายุที่อยู่ที่นั่นได้อธิบายถึงความหมายของลายปักผ้าว่า เส้นสีแดงสองเส้นตามแนวขวางที่กลางกระโปรงของผู้หญิงม้งเขียว หรือม้งลาย เป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำฮวงโห หรือแม่น้ำเหลือง (dlej  dlaag) กับแม่น้ำแยงซีเกียง (dlej  ntev) อันเป็นพื้นที่ที่บรรพบุรุษของม้งตั้งรกรากอาศัยอยู่ในอดีต เมื่อต้องถูกแย่งชิงบ้านและที่ดินแล้วจึงอพยพลงทางใต้ ดังนั้นบรรพบุรุษของม้งจึงเอามาใส่ หรือบันทึกเป็นสัญลักษณ์ไว้ที่ลายกระโปรงเพื่อสอนลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์ม้งในรุ่นต่อมา (หน้า 77)
          ฉะนั้นสิ่งพิมพ์ วีดิทัศน์ และลายผ้าต่างก็บ่งบอกอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ที่ซ่อนความหมายทางประวัติศาสตร์เอาไว้ ในบริบททางประวัติศาสตร์ที่มีปฏิสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานกับคนจีน ที่ผู้เขียนบอกว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกในการสูญเสียดินแดนและเสรีภาพ จนต้องอพยพมายังดินแดนที่อยู่ในทุกวันนี้  การที่ม้งได้ทุ่มเทสืบทอดเรื่องราวโดยผ่านเรื่องเล่า  ตำนาน  พิธีกรรมและบทเพลง กับรูปแบบใหม่ที่เป็นสิ่งพิมพ์  วีดิทัศน์ และลายผ้าปัก ก็เป็นเหมือนกลไกในการสืบทอดเรื่องราวในอดีตไปถึงคนรุ่นลูกหลานต่อไป  (หน้า 77)     

Folklore

ตำนานที่ม้งไม่มีตัวหนังสือ
          ตามตำนานของม้งระบุว่า ในอดีตม้งมีตัวอักษรใช้เขียนหนังสือ แต่ตัวอักษรได้หายไป โดยมีข้อสันนิษฐานต่างๆคือ อาจได้รับความเสียหายเพราะน้ำท่วม บางครั้งก็เล่าว่าอาจถูกม้ากิน  บางครั้งคนม้งก็เชื่อว่า เนื่องจากม้งไม่อยากให้คนจีนที่รบกับกลุ่มม้งบ่อยๆ ได้รับรู้ความเป็นมาของม้ง ดังนั้นม้งจึงกลืนตัวหนังสือลงไปในท้อง บางครั้งก็กล่าวว่า สาเหตุที่ม้งไม่มีตัวหนังสือเพราะผู้หญิงม้งได้เอามาปักเป็นลายผ้าต่างๆ  (เชิงอรรถหน้า 80)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ม้งกับจีนฮ่อและกลุ่มอื่นๆ
          การปฏิสัมพันธ์ระหว่างจีนฮ่อกับม้ง จากการศึกษาพบว่า จีนฮ่อมีความเหนือกว่ากลุ่มม้งตั้งแต่ประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน ส่วนในชุมชนที่ทำการศึกษา คือ บ้านแม่โถ กับบ้านม่อนยะ นั้นเป็นแบบพ่อค้ากับลูกค้า  ในช่วงที่ยังปลูกฝิ่นได้นั้น คนจีนฮ่อในหมู่บ้านจะเป็นผู้รับซื้อฝิ่นจากม้ง (หน้า 4) นอกจากนี้ยังมีคนพื้นราบขึ้นมาซื้อฝิ่นในบางโอกาส ชาวบ้านบางคนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมารับซื้อฝิ่น แต่โดยมากจะเป็นผู้ออกเงินและอยู่เบื้องหลังพ่อค้าที่มารับซื้อฝิ่นจากม้งในหมู่บ้านมากกว่าที่จะมาด้วยตนเอง การขึ้นมาซื้อฝิ่นบนดอยของพ่อค้าจากพื้นราบ จึงเป็นที่มาของคำกล่าวของม้งที่ว่า “ฝิ่นไม่ได้ลงไปหาเงิน แต่เงินนั่นแหละที่ขึ้นมาหาฝิ่นบนดอย”  (หน้า 4)
 
ม้งกับกะเหรี่ยงและลัวะ
          จากการศึกษาพบว่า ม้งมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เหนือกว่ากะเหรี่ยง เช่นการตั้งที่อยู่อาศัยแม้ว่ากะเหรี่ยงจะตั้งบ้านเรือนมาก่อน แต่เมื่อม้งเข้าไปจับจองที่ดินที่เคยเป็นที่ดินของกะเหรี่ยง สุดท้ายม้งก็จะซื้อที่ดินทำกินดังกล่าว หรือถ้าหากมีเรื่องกันหากให้ผู้นำชุมชนตัดสินกลุ่มม้งก็ยังเป็นฝ่ายมีชัยชนะได้เป็นเจ้าของที่ดิน (หน้า 4)
          ส่วนเรื่องการปลูกฝิ่นขายฝิ่นของม้ง พบว่า กะเหรี่ยงกับลัวะคือแรงงานที่ถางไร่กับขุดพลิกหน้าดิน  ส่วนค่าแรงมีทั้งจ้างด้วยเงิน ฝิ่นดิบ และสิ่งของ  ขณะเดียวกันก็ไม่เคยปรากฎว่าม้งทำงานรับจ้างให้กับกลุ่มกะเหรี่ยง (หน้า 5) ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้นก็ไม่เคยพบม้งแต่งงานกับกลุ่มกะเหรี่ยง นอกจากนี้ยังพบว่าครอบครัวม้งบางครอบครัวได้รับเด็กกะเหรี่ยงมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ส่วนการช่วยเหลือกันพบว่ามีครอบครัวกะเหรี่ยงที่ฐานะไม่ค่อยดี ได้ขออาศัยอยู่กับครอบครัวม้ง  เพื่อทำงานใช้แรงเพื่อแลกกับของกินของใช้ที่จำเป็น (หน้า 5)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลง
          การเปลี่ยนแปลงเรื่องการขายสินค้าของม้งดอยปุย สาเหตุหนึ่งมาจากชาวเนปาล ที่มาเช่าร้านค้าของม้งภายในหมู่บ้านเพื่อค้าขาย นอกจากนี้เส้นทางการขนส่งสินค้าทางบกขากประเทศเนปาล  ปากีสถาน  ธิเบต และอินเดีย ผ่านประเทศพม่า  เข้ามาทางด่านอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก  มีความสะดวกจึงทำให้พ่อค้าแม่ค้าม้งดอยปุย รับสินค้าจากประเทศเหล่านี้มาขายเป็นจำนวนมาก (หน้า 60) ส่วนรูปหล่อเรซิ่น เช่น รูปปั้นช้าง  พระพุทธรูปและอื่นๆ ที่หล่อจากเรซิ่น ในปัจจุบัน ม้งมีความสามารถในการทำรูปปั้นเรซิ่น ซึ่งต่างจากช่วงแรกๆ ที่ม้งรับมาจากพ่อค้าชาวจีนที่ส่งมาจากกรุงเทพฯ จุดพลิกผันมาจากที่หนุ่มม้งในหมู่บ้านไปทำงานเป็นลูกจ้างที่โรงงานหล่อเรซิ่นของเถ้าแก่ที่มาจากกรุงเทพฯ มาเปิดที่สันกำแพง  (หน้า 60)
          หลังจากที่รู้ขั้นตอนการผลิตจึงซื้อแท่นพิมพ์กับสารเรซิ่นมาหล่อเองที่บ้าน ในพ.ศ. 2547 มีครอบครัวม้งที่ผลิตงานเรซิ่น 6-7 เจ้า  การขายนอกจากจะขายส่งให้ผู้ขายรายย่อยในจังหวัดเชียงใหม่และต่างจังหวัด รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น พัทยา  ภูเก็ต และตลาดนัดสวนจตุจักรใน กทม. และอื่นๆ  (หน้า 61)
 
การเปลี่ยนแปลงเรื่องการตั้งถิ่นฐาน
          สาเหตุที่ม้งย้ายที่อยู่จากดอยลงไปอยู่ที่ราบสาเหตุมาจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้แทรกซึมเข้าไปยังหมู่บ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เช่น ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย น่าน  เพชรบูรณ์ และจังหวัดตาก  ดังนั้นกลุ่มม้งที่ได้รับความเดือดร้อนจึงย้ายที่อยู่มาสร้างบ้านเรือนอยู่พื้นที่ราบ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2511 และต่อมาก็มีนักเรียนนักศึกษาและคนม้งจากหมู่บ้านต่างๆ มาทำงานในเมืองมากขึ้นตามลำดับ นับจาก พ.ศ. 2520 เช่นในเมืองเชียงใหม่และอำเภออื่นๆ พบว่ามีม้งกว่า 1,400 คน   (หน้า 12)   

Other Issues

อัตลักษณ์ของม้งกับยาเสพติด
          อัตลักษณ์ของม้งกับยาเสพติดที่ดอยปุยและที่อื่นๆ ถูกสร้างจากบุคคลภายนอก และม้งในหมู่บ้านมีทั้งด้านลบและด้านบวก  (หน้า 30)
          อัตลักษณ์ทางด้านลบที่ถูกสร้างจากคนภายนอก ถูกทำผ่านในรูปแบบของโครงการพัฒนาส่งเสริมพืชทกแทนฝิ่น การที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตัดทำลายฝิ่นและจับกุม คนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและสื่อมวลชนที่เขียนข่าว (หน้า  30)
          อัตลักษณ์ทางด้านบวก เน้นการทำงานโดยในหลวงกับหน่วยงานวิชาการ และองค์กรระหว่างประเทศ โดยมุ่งให้เป็นชุมชนตัวอย่างในการแก้ปัญหายาเพติดในระยะยาว ในการทำงานของชาวบ้านและผู้นำที่ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ทางการจากภายนอก ก็พยายามลบอัตลักษณ์ของม้งกับยาเสพติด ได้แก่การทำลายฝิ่นและอุปกรณ์การสูบฝิ่น  (หน้า 30)

Map/Illustration

ตาราง
          ประชากรม้งในประเทศต่างๆ (หน้า 9) การกระจายตัวของชุมชน และประชากรม้งในประเทศไทย  พ.ศ. 2546 (หน้า 12)
 
ภาพ
          ป้ายเชิญชมดอกฝิ่นในสวน (หน้า 20) ดอกฝิ่นในสวนพิพิธภัณฑ์ดอยปุย (หน้า 23) ใบอนุญาตให้ทำการปลูกและเสพฝิ่นที่ทางการออกให้ชาวม้งในจังหวัดตาก (หน้า 26) พิธีบนบานและสาบานในการป้องกันไฟป่า (หน้า 43) ตัวแทนเครือข่ายสิ่งแวดล้อมม้งกับหัวหน้าส่วนราชการการที่เข้าพิธีเปิดการทำแนวกันไฟ (หน้า 44) หมู่บ้านและป่าที่ฟื้นฟูเองตามธรรมชาติรอบหมู่บ้าน  (หน้า 45) ป้ายเข้าหมู่บ้านที่ชาวบ้านเอารูปผลฝิ่นมาเป็นอัตลักษณ์ (หน้า 52) หุ่นแสดงอิริยาบถในแต่ละวันของม้ง ปั้นจากขี้เลื่อย (หน้า 54) การเขียนลายลงบนผืนผ้าใยกัญชงด้วยขี้ผึ้ง (หน้า 63) โปสเตอร์ และนิตยสารประชาสัมพันธ์การแข่งขันล้อเลื่อนไม้ และปีใหม่ม้ง (หน้า 63) กิจกรรมวันเปิดงานวัฒนธรรมของเครือข่ายฯ ในเทศกาลปีใหม่ม้ง ที่ตลาดบ้านดอยปุย (หน้า 64) ประวัติการสร้างตัวอักษรของม้งกับวารสารนกนางแอ่น กับเหยี่ยวส่งข่าว (หน้า 70) วีดีทัศน์สารคดีเกี่ยวกับนายพลวังเปา กับตามรอยเลือดในประเทศจีน (หน้า 72) เปรียบเทียบแผนที่การอพยพที่ทำโดยเทคโนโลยีกับที่ปักด้วยผ้า (หน้า 76)  

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 07 มิ.ย 2562
TAG เศรษฐกิจ, อัตลักษณ์, ฝิ่น, ม้ง, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง