สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,งานวรรณกรรม,ศาสนาอิสลาม,ความสัมพันธ์,รัฐไทย,จังหวัดชายแดนภาคใต้
Author Chaiwat Satha-Anand
Title Pattani in the 1980s : Academic Literature and Political Stories
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ Total Pages 34 Year 2537
Source Muslim Social Science in ASEAN by Omar Farouk Bajuind,ASEAN Forum for Muslim Social Scientists 1988: Bangkok,Kuala Lumpur: Yayasan Penataran Ilmu
Abstract

เป็นการนำเสนอประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐไทย และคนไทยพุทธซึ่งปรากฏอยู่ในงานวิชาการหลายประเภท เช่น วิทยานิพนธ์ รายงานวิจัย และบทความที่มีมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในทศวรรษ 1980 (ดูรายละเอียดที่ Ethnicity)

Focus

วิเคราะห์แนวการนำเสนองานที่เกี่ยวกับมุสลิมและศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเวทีวิชาการสากล

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย

Language and Linguistic Affiliations

ธรรมชาติทางชาติพันธุ์มาเลย์อย่างหนึ่งคือภาษา Seni Mudmarn ได้ทำการสำรวจความจงรักภักดีต่อภาษาของคนมาเลย์ทางภาคใต้ของไทย เขายืนยันว่าความภักดีต่อภาษาเป็นปรากฏการณ์ที่กลุ่มคนจะต้านการเปลี่ยนแปลงต่อภาษาทั้งในทางโครงสร้างและรูปแบบ ความจงรักภักดีจะถูกปลุกขึ้นเมื่อรู้สึกว่าถูกคุกคามจากภาษาอื่น "มุสลิมมาเลย์" มองว่าภาษามาเลย์เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์มาเลย์และศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้ง ภาษามาเลย์ทำให้อัตลักษณ์ความเป็นมาเลย์เข้มแข็งขึ้น (หน้า 49-50)

Study Period (Data Collection)

งานวิชาการที่ศึกษาผลิตในช่วงเวลา ค.ศ.1980-1989

History of the Group and Community

ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

วิทยานิพนธ์: ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของสุรินทร์ พิศสุวรรณชื่อ Islam and Malay Nationalism: A Case Study of the Malay Muslims' ordeal in Southern Thailand ได้มีการเชื่อมโยงปัจจัยสองอย่างที่ช่วยสืบทอดความแตกต่างของกลุ่มไว้คือศาสนาและชาติพันธุ์ สุรินทร์อ้างว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2445 - พ.ศ. 2525 ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยเปลี่ยนแปลงไป มาเลย์มุสลิมในภาคใต้ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างมากเพื่อรักษาความเป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไว้ และสรุปว่าสิ่งที่ช่วยยึดโยงมาเลย์มุสลิมให้อยู่ร่วมกันอย่างแน่นแฟ้นก็คือศาสนาอิสลาม (หน้า 46-47) แต่ในงานวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (1980) ได้แสดงหลักฐานว่าการดำรงรักษาชาติพันธุ์ของมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่อาจจะเป็นไปได้ด้วยเพียงประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังมีกลไกทางสังคมหลายประเภทที่ทำหน้าที่ธำรงชาติพันธุ์ เช่น ครอบครัว เครือญาติ ชุมชน เครือข่ายเพื่อนฝูง เป็นต้น และผู้หญิงมุสลิมมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะด้วยกระบวนการเลี้ยงดูทางสังคม ผู้หญิงก็จะมีบทบาทและอิทธิพลต่อเด็ก ๆ มากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ งานนี้ยังได้กล่าวถึงอคติและ "พรมแดนทางชาติพันธุ์" ระหว่างชาวพุทธและมุสลิมไว้ด้วย โดยได้ยกตัวอย่างอคติของไทยพุทธที่มีต่อ "แขก" ไว้โดยอ้างนิสัยบางอย่างของแขกที่ไม่น่าพอใจ และขณะเดียวกันมุสลิมเองก็ไม่ชอบคนไทยเช่นกัน โดยถูกปลูกฝังจากเหตุการณ์หลายๆ อย่าง เช่น การถูกบังคับให้เรียนตามหลักสูตรที่กำหนดโดยรัฐบาล หรือถูกบังคับให้แต่งกายตามรัฐนิยมในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นต้น และด้วยเหตุนี้เอง จึงมีความรู้สึกไม่ดีต่อกันระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิม และทำให้ทั้งสองกลุ่มต่างใช้วิธี "หลีกเลี่ยง" เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ฉวีวรรณก็เห็นด้วยว่าศาสนาอิสลามเป็นรากฐานสำคัญของอัตลักษณ์และพรมแดนชาติพันธุ์ ส่วนงานของเสนี หมุดหมานแสดงว่าภาษามลายูเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความเป็นชาติพันธุ์มลายูและศาสนาอิสลาม (หน้า 47-49) ในด้านนโยบายของรัฐที่มีต่อมุสลิม กรรณิการ์ สัจจกุล (Kanniga Sachakul) พบว่า "คนมาเลย์ พยายามรักษาศาสนา ภาษาและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่พยายามรวมคนมาเลย์เข้ากับสังคมไทยโดยรวมให้ได้ และสรุปว่านโยบายทางการศึกษาได้รับอิทธิพลมาจากการเมือง และแนะนำว่ารัฐบาลควรจัดให้ประชาชนทางภาคใต้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน (หน้า 50-51) พนมพร อนุรักษ์ (Panomporn Anuruga) ศึกษาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและผลกระทบที่มีต่อมาเลย์มุสลิม เธอชี้ให้เห็นนโยบายบูรณาการทางการเมืองของรัฐ คือกระบวนการที่จะสร้างให้ชนกลุ่มน้อยมีความภักดีต่อรัฐ อย่างในกรณีของมาเลย์-มุสลิมในภาคใต้ ความสำเร็จของการบูรณาการทางการเมืองคือการที่มาเลย์-มุสลิมยอมรับว่าตัวเองเป็นไทยมุสลิม ในความเห็นของเธอ นโยบายนี้เป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีน่าจะสร้างรัฐจากความหลากหลาย (หน้า 51-53) การศึกษาของอุทัย ดุลยเกษม เผยว่า ระดับความเป็นชาตินิยมในเชิงชาติพันธุ์นอกจากจะสัมพันธ์กับกระบวนการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยแล้ว ยังสัมพันธ์กับพัฒนาการของประวัติศาสตร์ในชุมชน และคำจำกัดความทางภาษาอีกด้วย ที่สำคัญเขาพบว่าความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ได้นำไปสู่การขยายตัวของการศึกษาสมัยใหม่ เพราะรัฐบาลเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยรวม "มาเลย์มุสลิม" เข้าสู่ "สยาม" ได้ แต่การขยายการศึกษาไปสู่พื้นที่ที่มาเลย์มุสลิมอยู่นั้น นอกจากจะไม่ประสบผลในการรวมชาติแล้ว ยังอาจจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งของกลุ่มชาติพันธุ์ระหว่างมาเลย์มุสลิมกับรัฐบาลกลางตึงเครียดมากขึ้นอีกด้วย (หน้า 53) วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของ Che Man เน้นที่รากฐานทางประวัติศาสตร์และการเมืองซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งในเรื่องการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้มากขึ้น เขายืนยันว่าการเคลื่อนไหวของผู้แบ่งแยกดินแดนในปัตตานี "มีรากฐานมาจากการผนวกรัฐปะตานีเข้ารวมกับราชอาณาจักรไทย เขาคิดว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม The Bansan National Pembebasan Patani หรือ BNPP เป็นการเคลื่อนไหวที่มีอิทธิพลมากที่สุด เขาแย้งว่ารากฐานของการเคลื่อนไหว (ซึ่งในระยะแรกจำกัดอยู่ในเรื่องการปกครองแบบคณาธิปไตยของมาเลย์) ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและได้รับการสนับสนุนมากขึ้น ส่วนในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก เขาได้เปรียบเทียบความคล้ายคลึงระหว่างมุสลิมทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์กับมาเลย์มุสลิมทางภาคใต้ของไทย และชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นรูปแบบของชุมชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกผนวกโดยรัฐที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม สำหรับคนเหล่านี้ การแบ่งแยกดินแดนมีความเป็นไปได้ทางการเมือง เพราะแรงสนับสนุนจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และสังคม และความบังเอิญทางภูมิศาสตร์ กับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจ รวมทั้งการสนับสนุนจากชุมชนภายนอก ด้วยหลักการดังกล่าว Che Man เห็นตรงกับอุทัยว่าการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยเพิ่มความตึงเครียดในรูปของการเลื่อนชั้นทางสังคมและการแข่งขันทางชาติพันธุ์มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความคิดการแบ่งแยกดินแดนได้ (หน้า 54-55) เอกสารงานวิจัย: ในช่วงทศวรรษที่ 80 มีเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพียง 4 งานเท่านั้น งานชิ้นหนึ่งทำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์โดยมุ่งความสนใจไที่การผสมผสานระหว่างไทยพุทธกับ "ไทยมุสลิม" โดยนักวิจัยกลุ่มนี้พยายามจะหารูปแบบประเพณีที่จะสามารถสร้างกิจกรรมร่วมระหว่างพุทธกับมุสลิมเพื่อจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่สงบสุขระหว่างสองชาติพันธุ์ และเชื่อว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองกลุ่มได้ และผลการวิจัยพบว่ายิ่งมีกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น การรวมกันทางสังคมดังกล่าวก็จะเกิดได้ง่ายขึ้น (หน้า 56) งานวิจัยชื่อ Sejarah Kerajaan Melayu Patani หรือ History of the Malay Kingdom of Patani ของ Ibrahim ในหนังสือนี้กล่าวถึงจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด เขาเขียนว่าเจ้าหน้าที่ทางการของสยาม-ไทยไม่พยายามทำความเข้าใจคนมาเลย์และศาสนาอิสลาม เขาข้องใจว่าคนมาเลย์จะทนอยู่ในสภาพที่ถูกกดขี่ภายใต้ประชาธิปไตยแบบอนุรักษ์ของสยามไปได้ตลอดหรือไม่ (หน้า 57-58) Islam and Violence ของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ พยายามจะทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาอิสลามกับความรุนแรงโดยอาศัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2524 ในการวิเคราะห์ งานเขียนชิ้นนี้กล่าวถึงการที่มุสลิมมาเลย์ใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ดิ้นรน และใช้ศาสนาอิสลามมาอ้างความชอบธรรมต่อการกระทำของตน แต่ความเป็นไปได้ที่การเคลื่อนไหวแบบไม่ใช้ความรุนแรงก็มีอยู่ในประเพณีของอิสลาม ดังนั้นการตีความอิสลามในเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก (หน้า 58) Wayne Bougas เน้นความสนใจไปที่โครงสร้างและสิ่งของเฉพาะเจาะจง เช่น ปะรำหรือแผ่นหินจารึกหน้าหลุมศพ เขาพยายามจะอธิบายว่าสิ่งของดังกล่าวนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณที่ฝังศพได้อย่างไร และพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่จังหวัดปัตตานีสามารถจะเชื่อมโยงไปสู่มโนทัศน์ทางศาสนาอิสลามได้ (หน้า 58-59) บทความในวารสาร: ผู้เขียนกล่าวถึงบทความในวารสารที่มีหัวข้อเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองและสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชีย และแปซิฟิกทั้งหมด 14 ชิ้น ซึ่งงาน 14 ชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการต่าง ๆ นี้มีเพียง 3 ชิ้นเท่านั้นที่กล่าวถึงประเด็นเรื่องมุสลิมมาเลย์ทางภาคใต้ของไทยโดยตรง ส่วนงานวิจารณ์บทความมีเพียง 9 ชิ้น และเป็นงานวิจารณ์ของงานเขียนเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น คือ Islam and Malay Nationalism ของสุรินทร์ได้รับการวิจารณ์ 4 ครั้ง History of the Malay Kingdom of Patani ได้รับการวิจารณ์ 3 ครั้ง และ Islam and Violence ได้รับการวิจารณ์ 2 ครั้ง - งานของสุรินทร์ได้รับการยกย่องโดยทั่วไป แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าขาด "การวิเคราะห์เชิงอิสลาม" และมีการตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะมีข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มากกว่านี้ - Andrew Connish วิจารณ์งานเขียนของสุรินทร์พร้อม ๆ กับงาน Islam and Violence ของชัยวัฒน์ และให้ความเห็นว่างานทั้งสองชิ้นไม่ได้ดึงความหลากหลายของสังคมไทยออกมา และทั้งสองงานก็ไม่ได้ใส่ใจกับ "ความแตกต่างทางวัฒนธรรมท้องถิ่น" (หน้า 60-61) - งานเขียนของ Ibrahim Syukri (The Sejarrah Kerajaan Melayu Patani) ได้รับคำยกย่องอย่างมากมาย และได้รับการพิจารณาว่าเป็นงานภาษามาเลย์ที่สำคัญที่สุดที่จะสอนเกี่ยวกับชุมขนมาเลย์ทางภาคใต้ของไทย และเป็นงานศึกษาที่สื่อถึงจิตสำนึกชาติพันธุ์ ส่วนบทความอื่น ๆ มีลักษณะที่เป็นงานเขียนเชิงวิชาการ ไม่ได้สะท้อนจิตสำนึกทางชาติพันธุ์ แต่ได้บ่งบอกเรื่องราวเกี่ยวกับปัตตานี ซึ่งมีหลายงานเช่นงานของ Ladd Thomas, Scupin และคนอื่น ๆ (หน้า 64-66) เรื่องเล่าเกี่ยวกับปัตตานีจากงานเขียนเชิงวิชาการ: ผู้ปริทัศน์งานเขียนทางวิชาการต่าง ๆ เกี่ยวกับปัตตานีในบทความนี้ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับงานที่ได้ปริทัศน์ว่าจะเข้าข่ายเป็น "เรื่องเล่า" ในแง่ที่มีคำศัพท์ที่มีความหมายถึงความรู้สึก ข้อมูลที่น่าสงสัย และลักษณะของการเป็นเรื่องเล่ามากน้อยเพียงใด อย่างเช่นเรื่องจำนวนมุสลิมในประเทศไทยก็ไม่แน่นอน แล้วแต่ว่าใครเป็นผู้เขียน แต่สะท้อนให้เห็นว่าการระบุจำนวนอาจมีความหมายในแง่ของความสำคัญของมุสลิมอยู่เบื้องหลัง ได้มีข้อเสนอแนะว่ามีเกณฑ์สองประการที่จะนำมาใช้พิจารณาว่างานใดเป็นเรื่องเล่าได้คือ (1) วิถีทางที่งานนั้นอภิปรายให้เห็นการเขียนที่แตกต่างของคำว่าปัตตานี (Pattani) และปะตานี (Patani) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกทางการเมืองและประวัติศาสตร์ของงานนั้น (2) วิถีทางที่กลุ่มเป้าหมายของการศึกษา "Malay-Muslims" ถูกเรียก ซึ่งสะท้อนจิตสำนึกทางชาติพันธุ์และศาสนาของงานนั้น จะเห็นว่าผู้เขียนงานต่าง ๆ เหล่านั้นมีความละเอียดอ่อนกับคำเหล่านี้แตกต่างกันไป อย่างเช่นคำว่า "ปัตตานี" และ "ปะตานี" โดยทั่วไปจะไม่แยกแยะอย่างเช่นในงานของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ A. Forkes และ L. Thomas ในขณะที่ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะและ Che Man พยายามชี้ให้เห็นว่ามีความแตกต่างกันแต่ไม่บ่งชี้นัยยะความแตกต่างในทางการเมือง ยกเว้นงานของเสนี ที่พยายามชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างมีนัยยะทางการเมืองเป็นต้น ส่วนการใช้คำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ก็ใช้กันหลากหลาย ซึ่งสะท้อนความซับซ้อนทางความคิด หลาย ๆ คน เช่น L. Thomas และ ฉวีวรรณ มีความเข้าใจและอ่อนไหวต่อคำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ก็ยังเรียก "ไทย-มุสลิม" ตามที่รัฐไทยใช้ หรือคนอื่น ๆ เรียก Muslim Malay บ้าง และ Malay Muslim บ้าง

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst ดวงรัตน์ เรืองพงษ์ดิษฐ์ Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มุสลิม, งานวรรณกรรม, ศาสนาอิสลาม, ความสัมพันธ์, รัฐไทย, จังหวัดชายแดนภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง