|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,งานวรรณกรรม,ศาสนาอิสลาม,ความสัมพันธ์,รัฐไทย,จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
Author |
Chaiwat Satha-Anand |
Title |
Pattani in the 1980s : Academic Literature and Political Stories |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
หอสมุดปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Total Pages |
34 |
Year |
2537 |
Source |
Muslim Social Science in ASEAN by Omar Farouk Bajuind,ASEAN Forum for Muslim Social Scientists 1988: Bangkok,Kuala Lumpur: Yayasan Penataran Ilmu |
Abstract |
เป็นการนำเสนอประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้กับรัฐไทย และคนไทยพุทธซึ่งปรากฏอยู่ในงานวิชาการหลายประเภท เช่น วิทยานิพนธ์ รายงานวิจัย และบทความที่มีมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งตีพิมพ์หรือเผยแพร่ในทศวรรษ 1980 (ดูรายละเอียดที่ Ethnicity) |
|
Focus |
วิเคราะห์แนวการนำเสนองานที่เกี่ยวกับมุสลิมและศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเวทีวิชาการสากล |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ธรรมชาติทางชาติพันธุ์มาเลย์อย่างหนึ่งคือภาษา Seni Mudmarn ได้ทำการสำรวจความจงรักภักดีต่อภาษาของคนมาเลย์ทางภาคใต้ของไทย เขายืนยันว่าความภักดีต่อภาษาเป็นปรากฏการณ์ที่กลุ่มคนจะต้านการเปลี่ยนแปลงต่อภาษาทั้งในทางโครงสร้างและรูปแบบ ความจงรักภักดีจะถูกปลุกขึ้นเมื่อรู้สึกว่าถูกคุกคามจากภาษาอื่น "มุสลิมมาเลย์" มองว่าภาษามาเลย์เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์มาเลย์และศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้ง ภาษามาเลย์ทำให้อัตลักษณ์ความเป็นมาเลย์เข้มแข็งขึ้น (หน้า 49-50) |
|
Study Period (Data Collection) |
งานวิชาการที่ศึกษาผลิตในช่วงเวลา ค.ศ.1980-1989 |
|
History of the Group and Community |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
วิทยานิพนธ์: ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของสุรินทร์ พิศสุวรรณชื่อ Islam and Malay Nationalism: A Case Study of the Malay Muslims' ordeal in Southern Thailand ได้มีการเชื่อมโยงปัจจัยสองอย่างที่ช่วยสืบทอดความแตกต่างของกลุ่มไว้คือศาสนาและชาติพันธุ์ สุรินทร์อ้างว่าเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2445 - พ.ศ. 2525 ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยเปลี่ยนแปลงไป มาเลย์มุสลิมในภาคใต้ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างมากเพื่อรักษาความเป็นเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไว้ และสรุปว่าสิ่งที่ช่วยยึดโยงมาเลย์มุสลิมให้อยู่ร่วมกันอย่างแน่นแฟ้นก็คือศาสนาอิสลาม (หน้า 46-47) แต่ในงานวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ (1980) ได้แสดงหลักฐานว่าการดำรงรักษาชาติพันธุ์ของมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่อาจจะเป็นไปได้ด้วยเพียงประวัติศาสตร์และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังมีกลไกทางสังคมหลายประเภทที่ทำหน้าที่ธำรงชาติพันธุ์ เช่น ครอบครัว เครือญาติ ชุมชน เครือข่ายเพื่อนฝูง เป็นต้น และผู้หญิงมุสลิมมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะด้วยกระบวนการเลี้ยงดูทางสังคม ผู้หญิงก็จะมีบทบาทและอิทธิพลต่อเด็ก ๆ มากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ งานนี้ยังได้กล่าวถึงอคติและ "พรมแดนทางชาติพันธุ์" ระหว่างชาวพุทธและมุสลิมไว้ด้วย โดยได้ยกตัวอย่างอคติของไทยพุทธที่มีต่อ "แขก" ไว้โดยอ้างนิสัยบางอย่างของแขกที่ไม่น่าพอใจ และขณะเดียวกันมุสลิมเองก็ไม่ชอบคนไทยเช่นกัน โดยถูกปลูกฝังจากเหตุการณ์หลายๆ อย่าง เช่น การถูกบังคับให้เรียนตามหลักสูตรที่กำหนดโดยรัฐบาล หรือถูกบังคับให้แต่งกายตามรัฐนิยมในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นต้น และด้วยเหตุนี้เอง จึงมีความรู้สึกไม่ดีต่อกันระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิม และทำให้ทั้งสองกลุ่มต่างใช้วิธี "หลีกเลี่ยง" เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ฉวีวรรณก็เห็นด้วยว่าศาสนาอิสลามเป็นรากฐานสำคัญของอัตลักษณ์และพรมแดนชาติพันธุ์ ส่วนงานของเสนี หมุดหมานแสดงว่าภาษามลายูเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความเป็นชาติพันธุ์มลายูและศาสนาอิสลาม (หน้า 47-49) ในด้านนโยบายของรัฐที่มีต่อมุสลิม กรรณิการ์ สัจจกุล (Kanniga Sachakul) พบว่า "คนมาเลย์ พยายามรักษาศาสนา ภาษาและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่พยายามรวมคนมาเลย์เข้ากับสังคมไทยโดยรวมให้ได้ และสรุปว่านโยบายทางการศึกษาได้รับอิทธิพลมาจากการเมือง และแนะนำว่ารัฐบาลควรจัดให้ประชาชนทางภาคใต้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน (หน้า 50-51) พนมพร อนุรักษ์ (Panomporn Anuruga) ศึกษาเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลและผลกระทบที่มีต่อมาเลย์มุสลิม เธอชี้ให้เห็นนโยบายบูรณาการทางการเมืองของรัฐ คือกระบวนการที่จะสร้างให้ชนกลุ่มน้อยมีความภักดีต่อรัฐ อย่างในกรณีของมาเลย์-มุสลิมในภาคใต้ ความสำเร็จของการบูรณาการทางการเมืองคือการที่มาเลย์-มุสลิมยอมรับว่าตัวเองเป็นไทยมุสลิม ในความเห็นของเธอ นโยบายนี้เป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีน่าจะสร้างรัฐจากความหลากหลาย (หน้า 51-53) การศึกษาของอุทัย ดุลยเกษม เผยว่า ระดับความเป็นชาตินิยมในเชิงชาติพันธุ์นอกจากจะสัมพันธ์กับกระบวนการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยแล้ว ยังสัมพันธ์กับพัฒนาการของประวัติศาสตร์ในชุมชน และคำจำกัดความทางภาษาอีกด้วย ที่สำคัญเขาพบว่าความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ได้นำไปสู่การขยายตัวของการศึกษาสมัยใหม่ เพราะรัฐบาลเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยรวม "มาเลย์มุสลิม" เข้าสู่ "สยาม" ได้ แต่การขยายการศึกษาไปสู่พื้นที่ที่มาเลย์มุสลิมอยู่นั้น นอกจากจะไม่ประสบผลในการรวมชาติแล้ว ยังอาจจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งของกลุ่มชาติพันธุ์ระหว่างมาเลย์มุสลิมกับรัฐบาลกลางตึงเครียดมากขึ้นอีกด้วย (หน้า 53) วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของ Che Man เน้นที่รากฐานทางประวัติศาสตร์และการเมืองซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งในเรื่องการแบ่งแยกดินแดนทางภาคใต้มากขึ้น เขายืนยันว่าการเคลื่อนไหวของผู้แบ่งแยกดินแดนในปัตตานี "มีรากฐานมาจากการผนวกรัฐปะตานีเข้ารวมกับราชอาณาจักรไทย เขาคิดว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม The Bansan National Pembebasan Patani หรือ BNPP เป็นการเคลื่อนไหวที่มีอิทธิพลมากที่สุด เขาแย้งว่ารากฐานของการเคลื่อนไหว (ซึ่งในระยะแรกจำกัดอยู่ในเรื่องการปกครองแบบคณาธิปไตยของมาเลย์) ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและได้รับการสนับสนุนมากขึ้น ส่วนในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก เขาได้เปรียบเทียบความคล้ายคลึงระหว่างมุสลิมทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์กับมาเลย์มุสลิมทางภาคใต้ของไทย และชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้เป็นรูปแบบของชุมชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกผนวกโดยรัฐที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม สำหรับคนเหล่านี้ การแบ่งแยกดินแดนมีความเป็นไปได้ทางการเมือง เพราะแรงสนับสนุนจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และสังคม และความบังเอิญทางภูมิศาสตร์ กับความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจ รวมทั้งการสนับสนุนจากชุมชนภายนอก ด้วยหลักการดังกล่าว Che Man เห็นตรงกับอุทัยว่าการพัฒนาไปสู่ความทันสมัยเพิ่มความตึงเครียดในรูปของการเลื่อนชั้นทางสังคมและการแข่งขันทางชาติพันธุ์มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความคิดการแบ่งแยกดินแดนได้ (หน้า 54-55) เอกสารงานวิจัย: ในช่วงทศวรรษที่ 80 มีเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพียง 4 งานเท่านั้น งานชิ้นหนึ่งทำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์โดยมุ่งความสนใจไที่การผสมผสานระหว่างไทยพุทธกับ "ไทยมุสลิม" โดยนักวิจัยกลุ่มนี้พยายามจะหารูปแบบประเพณีที่จะสามารถสร้างกิจกรรมร่วมระหว่างพุทธกับมุสลิมเพื่อจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่สงบสุขระหว่างสองชาติพันธุ์ และเชื่อว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองกลุ่มได้ และผลการวิจัยพบว่ายิ่งมีกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น การรวมกันทางสังคมดังกล่าวก็จะเกิดได้ง่ายขึ้น (หน้า 56) งานวิจัยชื่อ Sejarah Kerajaan Melayu Patani หรือ History of the Malay Kingdom of Patani ของ Ibrahim ในหนังสือนี้กล่าวถึงจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด เขาเขียนว่าเจ้าหน้าที่ทางการของสยาม-ไทยไม่พยายามทำความเข้าใจคนมาเลย์และศาสนาอิสลาม เขาข้องใจว่าคนมาเลย์จะทนอยู่ในสภาพที่ถูกกดขี่ภายใต้ประชาธิปไตยแบบอนุรักษ์ของสยามไปได้ตลอดหรือไม่ (หน้า 57-58) Islam and Violence ของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ พยายามจะทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาอิสลามกับความรุนแรงโดยอาศัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2524 ในการวิเคราะห์ งานเขียนชิ้นนี้กล่าวถึงการที่มุสลิมมาเลย์ใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ดิ้นรน และใช้ศาสนาอิสลามมาอ้างความชอบธรรมต่อการกระทำของตน แต่ความเป็นไปได้ที่การเคลื่อนไหวแบบไม่ใช้ความรุนแรงก็มีอยู่ในประเพณีของอิสลาม ดังนั้นการตีความอิสลามในเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก (หน้า 58) Wayne Bougas เน้นความสนใจไปที่โครงสร้างและสิ่งของเฉพาะเจาะจง เช่น ปะรำหรือแผ่นหินจารึกหน้าหลุมศพ เขาพยายามจะอธิบายว่าสิ่งของดังกล่าวนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริเวณที่ฝังศพได้อย่างไร และพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่จังหวัดปัตตานีสามารถจะเชื่อมโยงไปสู่มโนทัศน์ทางศาสนาอิสลามได้ (หน้า 58-59) บทความในวารสาร: ผู้เขียนกล่าวถึงบทความในวารสารที่มีหัวข้อเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองและสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชีย และแปซิฟิกทั้งหมด 14 ชิ้น ซึ่งงาน 14 ชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการต่าง ๆ นี้มีเพียง 3 ชิ้นเท่านั้นที่กล่าวถึงประเด็นเรื่องมุสลิมมาเลย์ทางภาคใต้ของไทยโดยตรง ส่วนงานวิจารณ์บทความมีเพียง 9 ชิ้น และเป็นงานวิจารณ์ของงานเขียนเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น คือ Islam and Malay Nationalism ของสุรินทร์ได้รับการวิจารณ์ 4 ครั้ง History of the Malay Kingdom of Patani ได้รับการวิจารณ์ 3 ครั้ง และ Islam and Violence ได้รับการวิจารณ์ 2 ครั้ง - งานของสุรินทร์ได้รับการยกย่องโดยทั่วไป แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าขาด "การวิเคราะห์เชิงอิสลาม" และมีการตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะมีข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มากกว่านี้ - Andrew Connish วิจารณ์งานเขียนของสุรินทร์พร้อม ๆ กับงาน Islam and Violence ของชัยวัฒน์ และให้ความเห็นว่างานทั้งสองชิ้นไม่ได้ดึงความหลากหลายของสังคมไทยออกมา และทั้งสองงานก็ไม่ได้ใส่ใจกับ "ความแตกต่างทางวัฒนธรรมท้องถิ่น" (หน้า 60-61) - งานเขียนของ Ibrahim Syukri (The Sejarrah Kerajaan Melayu Patani) ได้รับคำยกย่องอย่างมากมาย และได้รับการพิจารณาว่าเป็นงานภาษามาเลย์ที่สำคัญที่สุดที่จะสอนเกี่ยวกับชุมขนมาเลย์ทางภาคใต้ของไทย และเป็นงานศึกษาที่สื่อถึงจิตสำนึกชาติพันธุ์ ส่วนบทความอื่น ๆ มีลักษณะที่เป็นงานเขียนเชิงวิชาการ ไม่ได้สะท้อนจิตสำนึกทางชาติพันธุ์ แต่ได้บ่งบอกเรื่องราวเกี่ยวกับปัตตานี ซึ่งมีหลายงานเช่นงานของ Ladd Thomas, Scupin และคนอื่น ๆ (หน้า 64-66) เรื่องเล่าเกี่ยวกับปัตตานีจากงานเขียนเชิงวิชาการ: ผู้ปริทัศน์งานเขียนทางวิชาการต่าง ๆ เกี่ยวกับปัตตานีในบทความนี้ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับงานที่ได้ปริทัศน์ว่าจะเข้าข่ายเป็น "เรื่องเล่า" ในแง่ที่มีคำศัพท์ที่มีความหมายถึงความรู้สึก ข้อมูลที่น่าสงสัย และลักษณะของการเป็นเรื่องเล่ามากน้อยเพียงใด อย่างเช่นเรื่องจำนวนมุสลิมในประเทศไทยก็ไม่แน่นอน แล้วแต่ว่าใครเป็นผู้เขียน แต่สะท้อนให้เห็นว่าการระบุจำนวนอาจมีความหมายในแง่ของความสำคัญของมุสลิมอยู่เบื้องหลัง ได้มีข้อเสนอแนะว่ามีเกณฑ์สองประการที่จะนำมาใช้พิจารณาว่างานใดเป็นเรื่องเล่าได้คือ (1) วิถีทางที่งานนั้นอภิปรายให้เห็นการเขียนที่แตกต่างของคำว่าปัตตานี (Pattani) และปะตานี (Patani) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกทางการเมืองและประวัติศาสตร์ของงานนั้น (2) วิถีทางที่กลุ่มเป้าหมายของการศึกษา "Malay-Muslims" ถูกเรียก ซึ่งสะท้อนจิตสำนึกทางชาติพันธุ์และศาสนาของงานนั้น จะเห็นว่าผู้เขียนงานต่าง ๆ เหล่านั้นมีความละเอียดอ่อนกับคำเหล่านี้แตกต่างกันไป อย่างเช่นคำว่า "ปัตตานี" และ "ปะตานี" โดยทั่วไปจะไม่แยกแยะอย่างเช่นในงานของชัยวัฒน์ สถาอานันท์ A. Forkes และ L. Thomas ในขณะที่ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะและ Che Man พยายามชี้ให้เห็นว่ามีความแตกต่างกันแต่ไม่บ่งชี้นัยยะความแตกต่างในทางการเมือง ยกเว้นงานของเสนี ที่พยายามชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างมีนัยยะทางการเมืองเป็นต้น ส่วนการใช้คำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ก็ใช้กันหลากหลาย ซึ่งสะท้อนความซับซ้อนทางความคิด หลาย ๆ คน เช่น L. Thomas และ ฉวีวรรณ มีความเข้าใจและอ่อนไหวต่อคำเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ก็ยังเรียก "ไทย-มุสลิม" ตามที่รัฐไทยใช้ หรือคนอื่น ๆ เรียก Muslim Malay บ้าง และ Malay Muslim บ้าง |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|