|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้งน้ำเงิน,การปรับตัว,การเพาะปลูก,น่าน |
Author |
Chupinit Kesmanee |
Title |
Highlanders, Intervention and Adaptation: A Case Study of a Mong N'jua (Mong Ntsuab) Village of Pattana |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
311 |
Year |
2534 |
Source |
Victoria University of Wellington |
Abstract |
งานชิ้นนี้เป็นการศึกษาชุมชนม้งน้ำเงินหรือเขียว (Mong N'jua) ในภาคเหนือของไทย ภาพลักษณ์ของม้งในฐานะผู้ปลูกฝิ่นและเพาะปลูกแบบโค่นเผายังคงเป็นประเด็นคำถามอยู่ การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันอันประกอบด้วยการเจริญเติบโตของประชากร ปัญหาทรัพยากรที่ดิน และระบบการเพาะปลูกแบบดั้งเดิม ซึ่งถูกรวมเข้าไปไว้ในการพัฒนามีผลกระทบต่อชีวิตของม้ง มีนัยยะสำคัญยิ่ง เหตุที่เลือกศึกษาชุมชนบ้านพัฒนา ก็เนื่องจากตั้งอยู่ในระดับความสูงที่ต่ำในบริเวณภูเขาใกล้กับตัวเมืองจังหวัดน่าน บ้านพัฒนาถูกบูรณาการเข้าไปในโครงสร้างการบริหารพื้นราบ และได้ถูกรัฐบาลจัดตั้งถิ่นฐานใหม่เพื่อกำจัดฝิ่น บ้านพัฒนาอาจจะทำให้เห็นอนาคตของคนบนที่สูงในประเทศไทย ข้อค้นพบของการศึกษานี้เห็นว่า ม้งไม่ใช่พวกต่อต้านด้วยกำลัง และแสดงให้เห็นว่าม้งหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก ขบวนการผู้มีบุญไม่ใช่ลักษณะโครงสร้างของวัฒนธรรมม้งและเกิดขึ้นหลังจากได้มีการติดต่อกับคนภายนอกแล้ว การเผชิญหน้าที่นำไปสู่ความรุนแรงเป็นข้อยกเว้นมากกว่าเป็นกฎระเบียบของโครงสร้างสังคม เมื่อเผชิญกับการท้าทายที่ถูกแสดงโดยการติดต่ออย่างใกล้ชิดและยั่งยืนกับโลกของคนไทย ม้งบ้านพัฒนาก็ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาต้องบูชายันต์อัตลักษณ์ของตนเอง แต่พวกเขาได้สร้างความพยายามอย่างระมัดระวังในการปรับตัวเข้ากับการคาดหวังของไทย พวกเขามองตนเองว่าเป็นทั้งม้งและพลเมืองไทย การเกี่ยวพันในกิจกรรมการพัฒนาได้สร้างความแตกต่างทางชาติพันธุ์จำนวนมาก ความแตกต่างทางภาษาศาสตร์ชาติพันธุ์ (the ethno-linguistic differences) ของคนบนที่สูงอันต่างจากคนพื้นราบถูกอ้างถึงบ่อยในการอธิบายการไม่บรรลุความสำเร็จในการพัฒนา อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ข้ออ้างนั้นเป็นทัศนคติ การขาดความเข้าใจทางวัฒนธรรมและการจัดระเบียบการบริหารที่อ่อนแอ วิธีการทำงานของราชการที่ตอบสนองความต้องการต่างประเทศ (การกำจัดฝิ่น) ไม่ค่อยพิจารณาความแตกต่างของกลุ่มและภูมิภาค ความเข้าใจผิดเกิดขึ้นบ่อยและระบบการดำเนินโครงการก็ไม่ยืดหยุ่น การดำเนินงานของรัฐบาลในพื้นที่สูงซึ่งกำหนดปัญหาจากการทำไร่เลื่อนลอย การปลูกฝิ่นและความมั่นคงของชาติอันเนื่องมาจากชนกลุ่มน้อย เป็นการกำหนดทิศทางผิด ลักษณะการใช้อำนาจของระบบราชการและโครงสร้างทางการเมืองควรได้รับการทบทวน กลยุทธ์การพัฒนาชนบทไม่ควรถูกกำหนดในสูญญากาศหรือแยกจากส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง การดำเนินงานพัฒนาประเทศในลักษณะองค์รวมจำเป็นต้องกำหนดภายใต้การตรวจสอบที่จริงจัง (จาก abstract) |
|
Focus |
การปรับตัวของม้งน้ำเงิน (Mong N'jua หรือ Hmoob Ntsuab) ในสภาวะเงื่อนไขและข้อกำหนดทั้งจากภายในและภายนอกชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่สูงของรัฐและผลกระทบของโครงการต่อความสัมพันธ์ภายในชุมชน (น.11) |
|
Theoretical Issues |
ในการศึกษานี้ ผู้ศึกษาประเมินผลกระทบการเปลี่ยนแปลง/การปรับตัวของม้งน้ำเงิน โดยระบุการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโครงสร้างสังคมและความสัมพันธ์ แบบแผนการใช้ที่ดิน กิจกรรมการเพาะปลูกในแต่ละช่วงของประวัติหมู่บ้าน (น.11) งานพัฒนาบนพื้นที่สูง กลุ่มที่พอใจกับการวัดเชิงปริมาณมองว่าประสบความสำเร็จ แต่กลุ่มที่เน้นคุณภาพมองว่าล้มเหลวโดยพิจารณาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจทำกิจกรรมการพัฒนา การที่ชาวบ้านต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอกมากขึ้น รวมทั้งปัญหาทางสังคมในชุมชนเพิ่มขึ้น (น.297) ผู้ศึกษามองว่า การพัฒนาชาวเขาเกิดขึ้นเนื่องมาจากความคิดชาตินิยมที่จำแนกชาวเขาเป็นคนอื่นที่ต่างจากเรา ซึ่งความคิดนี้มาจากการแนะนำของคนนอกโดยเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อนักการเมืองไทยพยายามผูกมัดตนเองเข้ากับนโยบายของสหรัฐอเมริกาในการเผชิญกับการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนั่นทำให้ความแตกต่างทางชาติพันธุ์กลายมาเป็นประเด็นความมั่นคงปลอดภัยของชาติ อย่างไรก็ตาม ชาวเขาก็ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงรอบ ๆ ตัว พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงตามบริบททางสังคมวัฒนธรรมและตามบริบทสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอยู่อาศัย พวกเขาพยายามรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ ขณะเดียวกันก็ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมกระแสหลักที่มีอิทธิพล ดังนั้น ในการพัฒนาจะต้องระวังการจำแนกประเด็นชาติพันธุ์ว่าเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดความขัดแย้งเชิงโครงสร้างกับรัฐ การตีความเช่นนั้นเป็นอันตรายต่อชาวเขา เพราะในระดับนโยบาย ข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการเพาะปลูกแบบทำไร่เลื่อนลอย การปลูกฝิ่นและความมั่นคงปลอดภัยของชาติได้กำหนดการดำเนินงานบนพื้นที่สูงของรัฐบาล ขณะที่ในระดับการปฏิบัติงาน จิตวิญญานความคิดด้านการพัฒนาไม่ได้ให้ความสำคัญกับชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นคนพื้นราบหรือชาวเขา การพัฒนาชุมชนขาดความยืดหยุ่น ทำงานตามตารางที่กำหนด ชาวบ้านไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจทำกิจกรรมการพัฒนา ผู้ศึกษาเห็นว่า การปรับโครงสร้างการบริหารท้องถิ่นโดยการลดอำนาจจากระบบส่วนกลางจะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และควรให้ความสนใจกับการพัฒนาทางสังคมมากขึ้น ทั้งนี้เพราะผลของการพัฒนาที่มุ่งเน้นเศรษฐกิจได้ก่อให้เกิดปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมมากมาย (น.298-303) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งน้ำเงินหรือม้งเขียว (Mong N'jua หรือ Hmoob Ntsuab) ที่บ้านพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดน่าน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ผู้ศึกษากล่าวถึงประวัติคำว่า "Miao" ซึ่งใช้เรียกม้งในสมัยโบราณโดยยกข้อสรุปของ Ruey Yeh-Fu ว่า "Miao" เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มคนในเวลาต่างกัน สามารถแบ่งช่วงเวลาได้ระยะ คือ ช่วงระยะเวลาแรก ประมาณ 2000 B.C - 200 B.C คำนี้ใช้ในความหมายเผ่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์ใด ๆ ที่ทำสงครามกับชาวจีนฮั่น(the Han Chinese) ช่วงที่สอง ระหว่าง 200 B.C -1200 A.D ไม่มีการใช้คำ "Miao" ในบันทึกของจีน แต่มีการใช้คำ "Man" (ซึ่งหมายถึง the ignorant) และคำ "Nan-Man" (ซึ่งหมายถึง ignorant of the south) อันหมายถึงคนที่ไม่ใช่ชาวฮั่น (non-Han) และในตอนปลายช่วงระยะเวลานี้ก็ปรากฏการใช้คำ "Miao" อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็มีความหมายคลุมเครือ ยากต่อการระบุกลุ่มให้ชัดเจน และช่วงสุดท้าย ระหว่าง 1200 A.D ถึงปัจจุบัน คำว่า "Miao" ใช้เรียกเผ่าสมัยใหม่หรือกลุ่มชาติพันธุ์ (น. 33) Ruey Yeh-Fu ให้ความเห็นว่า ความหมายของ "Man" และ "Miao" เหมือนกัน มีทั้งความหมายกว้างและความหมายแคบ ความหมายโดยกว้าง เป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกเผ่าทุกเผ่าในจีนตอนใต้ ซึ่งมีลักษณะและวัฒนธรรมต่างจากชาวจีน ส่วนความหมายแคบหมายถึงเผ่าต่างๆที่มีอัตลักษณ์ (identities) ผสมปนเปกันจนยากที่จะแยกความแตกต่างระหว่างเผ่าได้ และ Ruey Yeh-Fu ยังสรุปว่า ในสมัยโบราณคำว่า "Miao" อาจจะใช้เรียกเผ่าหนึ่งโดยเฉพาะ เป็นเผ่าที่มีกลุ่มย่อย ๆ มาก ดังจะเห็นได้จากคำ "San-miao" ที่แนะให้เห็นความแตกต่าง (heterogeneity) ของกลุ่ม และจากสมัยราชวงศ์ถังเป็นต้นมา คำ "Miao" ก็มีความหมายใช้เรียกเผ่าต่าง ๆ กว้างกว่าเดิม แต่ในความหมายแคบแล้ว คำ "Miao" ยังคงหมายถึงเผ่าแม้วโดยเฉพาะ (น.33-34) ผู้ศึกษาเห็นว่า ปัจจุบันคำ "Miao" มีความหมายในเชิงดูถูก เนื่องจากคำว่า "Man" และ "Miao" ถูกใช้ปะปนกันในช่วงเวลาหนึ่ง และคำ "Miao" ก็หมายถึง คนป่า "the wild" หรือ "the ignorant" และก็ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานี้เท่านั้น ที่ความรู้สึกไม่ชอบใจคำเรียก "Miao" หรือ "Meo" ได้เกิดขึ้นและแพร่หลายในประเทศไทยซึ่งปรากฏการณ์นี้อาจจะได้รับอิทธิพลมาจากความรู้สึกชาตินิยมม้งที่เกิดขึ้นในประเทศลาวช่วงสงครามกลางเมือง โดยคำว่า "Miao" ถูกมองว่า เป็นการดูถูก เพราะการตีความที่หมายถึง "the ignorant" (น.35) |
|
Study Period (Data Collection) |
เดือนกันยายน ค.ศ.1989 - เดือนกรกฎาคม ค.ศ.1999 (น.25) |
|
History of the Group and Community |
บรรพบุรุษของม้งกลุ่มนี้อพยพมาจากประเทศจีนผ่านเวียดนามและลาวแล้วจึงเข้ามายังประเทศไทย โดย N'ya Tu Her (Nyaj Tub Hawj) ได้เล่าว่า ทวดของเขาเดินทางข้ามเทือกเขา Lao Sa Pheng (Lau Xam Pheej) ซึ่งกั้นพรมแดนระหว่างจีนกับเวียดนาม แล้วก็หยุดพักอยู่ที่นั่นหนึ่งเดือนเนื่องจากย่าทวดคลอดปู่ของเขา ซึ่งตามประเพณีม้งต้องให้แม่และเด็กที่เกิดใหม่พักฟื้นหนึ่งเดือน แต่เนื่องจากที่แห่งนั้นมีคนหนาแน่นมาก พวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางจาก Muang Wei เข้ามาลาว แม้ว่าที่ Muang Feng จะปลูกฝิ่นได้ดี แต่ก็ขาดแคลนน้ำใช้ในครัวเรือน พวกเขาจึงเดินทางต่อไปยัง Jong N'dao แล้วก็ต่อไปยัง Long Jaeng, Hang N'ya, Nam Sen, Nam Khong แล้วก็เข้ามายังประเทศไทยทางด่าน Piang Sor (น.43) ม้งที่บ้านพัฒนาส่วนใหญ่เป็นม้งน้ำเงิน (Mong N'jua) แต่เดิมม้งกลุ่มนี้อยู่ที่บ้านขุนอาว อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917 (พ.ศ. 2460) โดยอพยพมาจากลาว บ้านขุนอาวมี N'ya Tua (Nyaj Tuam) คนในตระกูล Thor เป็นผู้นำ แต่หัวหน้าหมู่บ้านที่ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่เป็นคนม้งขาวอยู่ที่บ้านขุนแล (Khun Lae) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 4 กิโลเมตร (น.41) หลังจากตั้งหมู่บ้านมาได้ประมาณ 40 ปี ชาวบ้านก็ประสบปัญหา 2 ประการ คือ มีหญ้าคา(Imperata cyrlindrica) แพร่กระจายไปทั่วเป็นอุปสรรคต่อการเพาะปลูก และการขยายอิทธิพลของกองกำลังคอมมิวนิสต์ที่มีฐานอยู่ในประเทศลาว (น.44) ต่อมาในปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506) ม้งบ้านขุนอาวก็เริ่มอพยพไปอยู่ที่บ้านผาชี (Pha Chee) ทั้งนี้ โดยการชักชวนของม้งขาวสามีภรรยาจากบ้านผาชีที่เดินทางมาขอความช่วยเหลือจาก Nu Tua Thor (Num Tuam Thoj) หมอยาสมุนไพร (a herbal medicine man) เมื่อสามีภรรยาคู่นี้เดินทางกลับผาชี N'ya Tu Her (Nyaj Tub Hawj) ซึ่งเป็นหมอผีบ้านพัฒนา ก็ได้ตามไปสำรวจพื้นที่ก่อน จากนั้นในปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็อพยพตามไปตั้งบ้านเรือนที่ผาชี (น.46) ต่อมาการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายคอมมิวนิสต์เพื่อแย่งชิงประชาชนได้เข้มข้น ผู้นำทั้งหมดของผาชี ขุนสมุน และโป่งอ่างได้ถูกผู้นำคอมมิวนิสต์กำหนดเส้นตายให้ตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรค ผู้นำม้งและชาวบ้านได้ประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อตัดสินใจโดยผลการตัดสินใจไม่เป็นเอกฉันท์ ม้งขาวที่บ้านผาชีภายใต้การนำของ N'yia N'kao Mua (Nyiaj Nkaub Muas) ม้งน้ำเงินบ้านขุนสมุนภายใต้การนำของ Wang Por Thor และม้งน้ำเงินบ้านโป่งอ่างภายใต้การนำของ T'xue Khai Her และ N'jua Teng Her (Ntsuab Teem Hawj) ได้พากันอพยพมาอยู่ที่บ้านพัฒนา ตั้งหมู่บ้านขึ้นใน ปี ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) และต่อมาก็มีม้งจากคั่งหอ (Khang Haw) ถ้ำเวียงแค (Tham Wiang Kae) น้ำสอด (Nam Sod) และบ้านเสี้ยว (Ban Siao) อพยพเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน นอกจากนั้นก็มีม้งจากพะเยาละทิ้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และม้งจากจังหวัดตากที่ไม่ต้องการย้ายถิ่นไปอยู่ที่กิ่งอำเภอพบพระ ซึ่งเป็นโครงการอพยพของรัฐบาลอพยพเข้ามาอยู่เพิ่มขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็มีการอพยพย้ายออกจากบ้านพัฒนาไปอยู่ที่อื่นด้วยเช่นกัน โดยในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) N'yia Kao Mua ได้นำคน 4 ครัวเรือนย้ายไปอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร และใน ปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) ม้งขาว 15 ครัวเรือนได้ตามผู้นำตระกูล Wang ไปอยู่ที่ปางเปย (Pang Poei) ซึ่งใช้เวลาเดินจากบ้านพัฒนา 2 ชั่วโมง (น.49) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการตั้งบ้านเรือน การตั้งบ้านเรือนมีลักษณะแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ตามตระกูล ดังนี้ บ้านขุนอาวมีลักษณะการตั้งบ้านเรือนกระจายเป็นกลุ่ม ๆ มิได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเดียว (a-one-group village) ได้แก่ กลุ่มที่มีตระกูล Thor เป็นผู้นำมีสมาชิกประมาณ 50 ครัวเรือน กลุ่มที่สองมีสมาชิกประมาณ 30 ครัวเรือน ตั้งบ้านห่างจากกลุ่มแรกขึ้นไปทางเหนือใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที มีคนในตระกูล Xiong เป็นผู้นำ กลุ่มที่สามอยู่ห่างจากกลุ่มที่สองใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาที มีสมาชิก 50 ครัวเรือน คนในตระกูล Her เป็นผู้นำ (น. 41) และเมื่อย้ายมาอยู่ที่บ้านผาชี การตั้งบ้านเรือนก็ยังกระจายเป็นกลุ่มตระกูล โดยกลุ่มแรกมี Wang Por Thor (Vaam Pov Thoj) เป็นผู้นำตั้งบ้านเรือนที่ขุนสมุนซึ่งใช้เวลาเดินจากบ้านผาชีของม้งขาว 20 นาที และกลุ่มที่สองมี T'xue Khai Her (Txwj Khais Hawj) ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำตั้งบ้านอยู่ที่โป่งอ่างซึ่งอยู่เหนือบ้านสมุนขึ้นไป 20 นาที อย่างไรก็ตาม ม้งบ้านขุนอาวจำนวนหนึ่งไม่ได้ย้ายมาบ้านผาชี แต่ได้ติดตาม N'ya Tua Thor ไปอยู่ที่เวียงแค (น.46) ลักษณะการอพยพ การย้ายบ้านเรือนจากบ้านขุนอาวมาบ้านผาชี และจากบ้านผาชีมาบ้านพัฒนาจะเริ่มจากผู้นำจะเดินทางไปดูสำรวจความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ก่อน จากนั้นจึงส่งข่าวให้คนอื่นค่อย ๆ อพยพตามไป ในการย้ายจากบ้านขุนอาวไปบ้านผาชี N'ya Tu Her(Nyaj Tub Hawj) หมอผีของหมู่บ้านได้ตามสามีภรรยาม้งขาวไปสำรวจพื้นที่ที่บ้านผาชีก่อน แล้วในปีต่อมา ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) หลังฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว คนอื่น ๆ จึงได้อพยพตามไป (น.46) สำหรับคนที่ย้ายเข้ามาอยู่หมู่บ้านในภายหลัง ความสัมพันธ์ทางเครือญาติในตระกูลเดียวกันได้แก่ "ku tee" (kwv tij) หรือสายสัมพันธ์ข้างภรรยา "neng jang" (neej tsaa) เป็นเงื่อนไขทำให้คนในชุมชนยอมรับการเข้ามาอยู่ (น.44) |
|
Demography |
การแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ประชากรม้งในไทย กลุ่มชาติพันธุ์ม้งมีกลุ่มย่อยจำนวนมาก แต่เฉพาะม้งที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีเพียง 2 กลุ่มเท่านั้น ได้แก่ 1. ม้งที่เรียกตนเองว่า ม้งน้ำเงินหรือม้งเขียว "Mong N'jua" หรือ "Hmoob Ntsuab" (Blue/Green Mong) คำว่า "N'jua" (ntsuab) เป็นคำที่ใช้เรียกสีตั้งแต่เฉดเขียวจนถึงน้ำเงิน ซึ่งชื่อ Mong N'jua นี้มาจากสีกระโปรงของผู้หญิงม้งที่ย้อมคราม(indigo) การย้อมต้องทำหลายครั้งจนกว่าจะได้สีน้ำเงินเข้ม (dark blue) ถ้าย้อมเพียงหนึ่งหรือสองครั้งผ้าที่ย้อมจะมีสีออกเขียว และม้งน้ำเงินในประเทศไทยยังแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้อีก 3 กลุ่ม ได้แก่ แม้วดำหรือ Maeo Dam (Black Maeo) แม้วดอกหรือ Maeo Dawk(Flowery Maeo) และแม้วลายหรือ Maeo Lai(Striped Maeo) (น.37) 2. ม้งที่เรียกตนเองว่า ม้งขาว "Hmong Der" หรือ "Hmoob dawb" (White Hmong) จำนวนประชากร ประชากรม้งในประเทศไทยเมื่อปี ค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) มีจำนวน 82,356 คน 10,432 ครัวเรือน ในหมู่บ้าน 232 แห่ง 14 จังหวัด (น.38) ส่วนประชากรม้งที่บ้านพัฒนา ซึ่งเป็นชุมชนม้งที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยมีจำนวนประชากร 162 ครัวเรือน จำนวนคน 1,521 คน (น.49) ประกอบด้วยตระกูลต่าง ๆ ดังนี้ ตระกูล Her 59 ครัวเรือน Xiong 38 ครัวเรือน Yang 21 ครัวเรือน Thor 19 ครัวเรือน Lee 13 ครัวเรือน Wang 9 ครัวเรือน Mua 1 ครัวเรือน Jang 1 ครัวเรือน และคนถิ่น (H'tin) 1 ครัวเรือน (น.51) ปัจจุบันภาวะการเจริญพันธุ์ของม้งบ้านพัฒนามีแนวโน้มลดลง แม้ว่าจะยังคงลักษณะครอบครัวขยาย แต่งงานในวัยอายุน้อย และนิยมบุตรชายมากกว่าบุตรสาว (น.170-171) |
|
Economy |
แบบแผนการเพาะปลูก บ้านพัฒนามีวิถีการผลิต 2 แบบที่ต่างกัน คือ การผลิตแบบครัวเรือน (domestic mode of production) และการผลิตแบบการค้า (commercial mode of production) การผลิตทั้งสองแบบนี้สามารถแยกออกจากกันได้โดยดูจากหน้าที่การใช้สอย การผลิตแบบครัวเรือนเป็นการผลิตเพื่อรักษาความปลอดภัยด้านความต้องการขั้นพื้นฐานในครอบครัว ส่วนการผลิตแบบการค้าเพื่อสร้างผลกำไรจำนวนมาก แต่วิถีการผลิตทั้งสองแบบไม้ได้แยกจากกัน (น.145) ในการผลิตแบบครัวเรือน ชาวบ้านยังคงปลูกพืชแบบผสม (mixed cropping system) ซึ่งเป็นลักษณะร่วมกันของชาวเขาในประเทศไทย (น.134) การปลูกพืชแบบผสม เมื่อครั้งยังอยู่ที่บ้านขุนอาวและผาชี ม้งปลูกข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปลูกฝิ่นเป็นพืชหลัก และปลูกพืชอื่น ๆ เป็นพืชรอง (secondary crops) โดยมีลักษณะการปลูกพืชผสมในนาข้าว ไร่ข้าวโพดและไร่ฝิ่น ดังนี้ - ในนาข้าว ช่วงก่อนฤดูทำนา พืชที่ปลูกในผืนนา ได้แก่ มันสำปะหลัง เผือก และมันหวาน (sweet potato) ช่วงฤดูทำนาจะปลูกน้ำเต้า แตงกวา แตงโม ลูกเดือยหรือข้าวฟ่าง อ้อย พริก มะเขือ ถั่วแดง ถั่วเขียว บวบผสมกันในนา และหลังฤดูเก็บเกี่ยวจะปลูก ขิง มันจีน (Chinese yam) ตะไคร้ ขณะที่ตามบริเวณริมแปลงนาจะปลูกพืชบางชนิด เช่น อ้อยชนิดต่าง ๆ กระเทียม เป็นต้น (น.66-67) - ในไร่ข้าวโพด จะปลูกพืชตระกูลถั่ว พืชตระกูลแตงหรือน้ำเต้า และผักใบเขียวพร้อม ๆ กับข้าวโพดให้โตไปด้วยกัน ขณะที่กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ผักใบเขียว หัวผักกาดและพริกจะปลูกใกล้ ๆ กับแปลงข้าวโพด (น.68) - ในไร่ฝิ่น ช่วงก่อนฤดูปลูกฝิ่นจะปลูกกะหล่ำปลี กระเทียม พริก อ้อย ตะไคร้ ถั่ว (sweet pea) และเมื่อหว่านเมล็ดฝิ่นแล้วก็จะปลูกผักใบเขียว ผักกาด น้ำเต้าไปพร้อม ๆ กันกับฝิ่น หลังการเก็บเกี่ยวฝิ่นจะปลูก ko n'blong (qom nplooj) ko la (qom lab) และ konn'jua(qom ntsuab) ขณะที่ปลูกถั่วลิสง กัญชง (Indian hemp) ฝ้าย ละหุ่งแยกแปลงต่างหาก ส่วนกล้วย มะละกอจะปลูกใกล้ ๆ กระท่อม (น.68) ม้งบ้านพัฒนานำเทคนิคการปลูกพืชผสมในนามาใช้ทั้งกับการปลูกพืชเศรษฐกิจและพืชอาหาร ในไร่ข้าวโพดและไร่ฝ้ายจะปลูกพืชรอง 7 ชนิด มีสวนผลไม้ 2-3 สวนที่เป็นพืชเชิงเดี่ยว ชาวบ้านจะปลูกข้าว ฝ้าย ถั่วชนิดต่าง ๆ และพืชรองอื่น ๆ ระหว่างต้นไม้ การปลูกพืชเชิงเดี่ยวในไร่ข้าวโพด ไร่ฝ้ายและสวนส้มจะทำในช่วง 2-3 ปีแรกของการตั้งถิ่นฐาน ปีต่อมาก็จะปลูกพืชรองเพิ่ม วิธีนี้ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินได้สูงสุด (น.152) การเปลี่ยนแปลงแบบแผนการเพาะปลูก เมื่อม้งย้ายมาอยู่ที่บ้านพัฒนา พวกเขาได้เลิกปลูกฝิ่น และหันมาปลูกข้าวโพดและฝ้ายเป็นพืชเศรษฐกิจ ขณะที่บางคนก็ทำสวนส้ม (น.69) การปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นทดแทนการปลูกฝิ่นทำให้ม้งบ้านพัฒนาค่อย ๆ เปลี่ยนวิถีการผลิตแบบครัวเรือนมาเป็นการผลิตเพื่อการค้า ซึ่งทำให้สินเชื่อ (credit) เข้ามามีบทบาทในการผลิต มีการซื้อยาฆ่าแมลงและปุ๋ยมาใช้ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังปลูกข้าวและข้าวโพดเพื่อบริโภคในครัวเรือนอยู่ (น.124) ข้าวที่ปลูกมี 3 ชนิด คือ ข้าวไร่ ข้าวเหนียว และข้าวนาดำ (wet rice) ส่วนข้าวโพดมีปลูก 2 แบบคือ เพื่อบริโภคและเพื่อขาย (น.133) โดยปลูกข้าวโพดพันธุ์ข้าวเหนียว (glutinous) และไม่ใช่พันธุ์ข้าวเหนียว (non-glutinous) สำหรับบริโภค และปลูกข้าวโพดเหลืองพันธุ์ผสม (a hybrid yellow corn) สำหรับขายเพราะให้ผลผลิตจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการเพาะปลูกเพื่อการค้า แต่ม้งก็ยังคงรักษาแบบแผนการปลูกพืชผสมในนาข้าวและไร่ข้าวโพด (น.135-136) ปัจจุบันนอกจากข้าวโพดและฝ้ายแล้ว ชาวบ้านได้ปลูกพืชชนิดอื่น ๆ เป็นพืชเศรษฐกิจด้วย เช่น พริก ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว มันฝรั่ง กะหล่ำปลี มะเขือ ขิง และกล้วย ส่วนไม้ผลก็เช่น ส้ม ลิ้นจี่ มะม่วง ลองกอง (longan) ส้มโอ ไผ่ยักษ์ (giant -bammboo) และมะขามหวาน (น.69) แรงงาน การจ้างแรงงานนอกครอบครัวที่บ้านพัฒนายังคงมีอยู่เช่นเดียวกับเมื่อครั้งยังอยู่ที่บ้านขุนอาวและบ้านผาชีซึ่งเป็นการเตรียมดินและถางวัชพืช แรงงานนอกครอบครัวที่บ้านขุนอาวส่วนใหญ่เป็น "ถิ่น" (H'tin) และเย้าจากบ้านปางแค(Pang Kae) ส่วนแรงงานนอกครอบครัวที่บ้านผาชีเป็น ถิ่น จากอำเภอทุ่งช้างและอำเภอปัว ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างม้งกับถิ่นที่เป็นแรงงานนี้ ปัจจุบัน ก็ยังคงมีอยู่ที่บ้านพัฒนา ชาวนาม้งที่ร่ำรวยในบ้านพัฒนายังคงจ้างแรงงานถิ่นให้ปลูกข้าวโพด โดยจ้างเพาะปลูกตลอดทุกขั้นตอน ตั้งแต่การถางดินเตรียมเพาะปลูก การปลูก กำจัดวัชพืช จนถึงการเก็บเกี่ยว ส่วนคนที่ไม่สามารถจ้างได้ตลอดทุกขั้นตอน ก็จะจ้างเฉพาะงานบางอย่าง เช่น เตรียมดิน กำจัดวัชพืช และฉีดยาฆ่าแมลง ซึ่งส่วนมากเป็นงานในไร่ฝ้ายและสวนผลไม้ (น.70) สัตว์เลี้ยง เลี้ยงหมูและไก่เพื่อใช้ในพิธีกรรมและเพื่อขาย เกือบ 90% ของครัวเรือนเกือบทั้งหมดเลี้ยงไก่ ประมาณ 70% เลี้ยงหมู มีการเลี้ยงเป็ด ห่านและไก่งวงบ้างโดยได้รับการส่งเสริมการพัฒนา มีเพียง 3 ครัวเรือนที่เลี้ยงควายโดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโคกระบือ ซึ่งตั้งโดยธนาคารโลกหรือโครงการพัฒนาที่ได้รับความช่วยเหลือจากออสเตรเลีย (Australian assited development project) (น.72) ลักษณะการใช้ที่ดิน หลังจากเพาะปลูกไประยะหนึ่ง ม้งจะปล่อยที่ดินไว้ช่วงเวลาหนึ่งเป็นการพักดินให้ดินฟื้นตัว(fallow) แต่ม้งไม่มีแบบแผนเฉพาะในการพักฟื้นดิน บางคนอาจจะใช้ที่ดินติดต่อกันนาน 5 ปีแล้วปล่อยให้ดินฟื้นตัว บางคนอาจจะใช้ที่ดินเพาะปลูกเพียงครั้งเดียวก็ปล่อยให้ดินพักฟื้น 2 ปีหรือมากกว่า 2 ปี การตัดสินใจพักฟื้นดินขึ้นอยู่กับสถานการณ์โอกาสมากกว่าจะเป็นระบบ (น.116) การครอบครองที่ดิน ตามประเพณีการใช้ที่ดินของม้งถือว่า ที่ดินเป็นทรัพย์สินของชุมชน สิทธิในที่ดินจะยังคงอยู่ตราบที่ยังมีการใช้ประโยชน์บนที่ดินแห่งนั้น เมื่อม้งย้ายมาอยู่ที่บ้านพัฒนาประเพณีนี้ก็ยังคงอยู่ แต่ก็มีบางอย่างเปลี่ยนไป นั่นคือ พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งบ้านพัฒนานี้ N'yia Kao Muo ได้จ่ายเงิน 6,000 บาท ให้แก่คนพื้นราบเป็นค่าที่ดินพร้อมทั้งได้รับหนังสือเอกสารสิทธิ (น.ส.3)แสดงกรรมสิทธิ์ (น.110) เมื่อม้งคนอื่นๆอพยพเข้ามาอยู่บ้านพัฒนาก็มิได้จ่ายเงินใด ๆ จนกระทั่ง N'yia Kao Muo ย้ายออกจากบ้านพัฒนาไปอยู่ที่อื่น ชาวบ้านทั้งหมดจึงได้รวมเงินกันครัวเรือนละ 42 บาทจ่ายเงินค่าที่ดินให้แก่ N'yia Kao Muo ดังนั้นในเชิงความคิด ทุกคนจึงมีสิทธิเท่าเทียมกันบนที่ดิน (น.112) แต่กระนั้น ความขัดแย้งในการอ้างกรรมสิทธิ์ก็ปรากฏขึ้น หนังสือ น.ส.3 ไม่ได้ช่วยแก้ความขัดแย้งเหล่านั้น เพราะไม่ได้ระบุขอบเขตที่ดินของครัวเรือนแต่ละครัวเรือน (น.113) นอกจากนั้น การกระจายการครอบครองที่ดินก็ไม่เท่ากัน บางครัวเรือนซึ่งเป็นคนที่เข้ามาอยู่ก่อนได้ครอบครองที่ดิน 100 ไร่หรือมากกว่านั้น บางครัวเรือนซึ่งเข้ามาอยู่หลัง ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ได้ครอบครองที่ดินน้อยกว่า 40 ไร่ ผู้ที่ครอบครองที่ดินขนาดใหญ่ส่วนมากเป็นคนในตระกูล Her และ Xiong (น.115) แหล่งรายได้อื่น ๆ นอกจากการเพาะปลูกแล้ว ที่บ้านพัฒนายังมีแหล่งรายได้อื่นอีก (น.156-158) ได้แก่ 1) การเก็บของป่า ซึ่งตอนอยู่ที่ขุนอาวกิจกรรมนี้ไม่ใช่แหล่งรายได้ ปัจจุบัน 51% ของครัวเรือนทั้งหมดเก็บของป่าขาย ของป่าที่เก็บก็ได้แก่ ลูกตาว หน่อไม้ ไม้ไผ่ ดอกหญ้าสำหรับทำไม้กวาด หวาย หนังสัตว์ เขาสัตว์ ซึ่งลูกตาวจัดเป็นของป่าที่ทำรายได้ดีที่สุด โดยในช่วงเดือนสิงหาคม-ธันวาคม ชาวบ้านจะรวมกลุ่มกันเข้าไปเก็บ (น.156-157) 2) การขายสินค้าหัตถกรรม มีครัวเรือน 32% หรือ 51 ครัวเรือนขายสินค้าหัตถกรรม เมื่อว่างจากงาน ผู้หญิงส่วนมากจะรวมกลุ่มกันทำเครื่องประดับตกแต่ง ส่วนมากจะนำไปขายให้ร้านค้าที่เชียงใหม่ 3) ร้านค้า มีร้านค้าในหมู่บ้าน 5 ร้าน ในจำนวนนี้มี 3 ร้านที่เจ้าของทำงานมีรายได้ประจำ ได้แก่ ครูหนึ่งคน และลูกจ้างโครงการพัฒนาของศูนย์พัฒนาชาวเขา 2 คน |
|
Social Organization |
ครอบครัว ลักษณะครอบครัวของม้งบ้านพัฒนายังเป็นครอบครัวขยาย สืบสายตระกูลข้างบิดา แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งถิ่นหลังการแต่งงานข้างฝ่ายบิดา ต้องการบุตรชายมากกว่าบุตรสาว (น.169-170) การรับเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตร (child adoption) ม้งบ้านพัฒนารับเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตร มีจำนวนทั้งหมด 34 คน เป็นชาย 27 คน หญิง 7 คน เด็กเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติและถือเป็นคนในตระกูลเช่นเดียวกับม้งคนอื่น ๆ (น.96-99,183) |
|
Political Organization |
การจัดระเบียบชุมชน หมู่บ้านพัฒนาเมื่อแรกตั้งอยู่ในเขตปกครองตำบลทุมตอง (Tambon Thum Tong) มีคนเมืองจากบ้านน้ำของ (Ban Nam Khong)เป็นกำนัน ความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านมีผู้นำม้งเป็นผู้ดูแล แต่ถ้าผู้นำในหมู่บ้านไม่สามารถจัดการได้ กำนันก็จะเข้ามาจัดการดูแล และหลังจากตั้งหมู่บ้าน 2-3 ปี เจ้าหน้าที่ตำบลก็ได้ตั้ง N'jua Teng Her ขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการ นับจากนั้นม้งบ้านพัฒนาก็มีผู้ใหญ่บ้านของตนเองเรื่อยมา ต่อมาในปี ค.ศ.1989 (พ.ศ.2532) บ้านพัฒนาก็ได้แยกออกจากเขตปกครองตำบลทุมตอง เนื่องจากตำบลทุมตองมีหมู่บ้านในความดูแลมากเกินไป จึงได้แยกหมู่บ้านออกมาจำนวนหนึ่งตั้งเป็นเขตตำบลใหม่ ชื่อ ตำบลสะเนียน (Tambon Sanian) มีคนเมืองซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านวังเตา (Ban Wang Tao) ได้รับเลือกเป็นกำนัน (น.63) นอกจากนั้น หมู่บ้านพัฒนายังมีชุมชนม้งขาว(Hmong Der) จากบ้านปางเปย (Pang Poei) เป็นหมู่บ้านบริวาร (satellite village) ด้วย (น.64) บ้านพัฒนามีการควบคุมสังคม 2 ระบบที่แตกต่างกัน ระบบแรกเป็นการควบคุมสังคมตามจารีตเดิม มีพื้นฐานอยู่ที่ความผูกพันกันทางเครือญาติ โดยมีคณะผู้อาวุโส(an informal council of elders)ซึ่งเป็นผู้นำของตระกูลแต่ละตระกูลในชุมชนร่วมกันปรึกษาตัดสินกรณีความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ระบบที่สองเป็นอำนาจที่ได้รับจากรัฐ โดยสมาชิกของคณะกรรมการหมู่บ้าน (the official village committee) ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ตามประเพณีเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจากตระกูลต่างกัน ผู้อาวุโสจากตระกูลต่าง ๆ ในหมู่บ้านจะได้รับเชิญมาร่วมกันปรึกษาตัดสินความขัดแย้ง และถ้ามีการจ่ายค่าปรับ คณะผู้อาวุโสก็จะได้รับส่วนแบ่งจากค่าปรับจำนวนหนึ่ง การจ่ายส่วนหนึ่งของค่าปรับให้แก่คณะผู้อาวุโสได้ถูกนำไปใช้ในระบบการควบคุมแบบทางการ ซึ่งหลายครั้งทำให้เกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งเพิ่มขึ้น (น.182) กรณีตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งกล่าวหาภรรยาว่าประพฤติผิดประเวณี และนำเรื่องไปขอให้คณะกรรมการหมู่บ้านตัดสิน หลังจากเขาชนะความและได้รับค่าปรับแล้ว เขาก็ได้รับคำร้องขอจากตัวแทนคณะกรรมการให้จ่ายส่วนหนึ่งของปรับแก่คณะกรรมการ มิฉะนั้นคณะกรรมการจะนำเรื่องของเขากลับไปพิจารณาใหม่ (น.182-183) ผู้ศึกษากล่าวถึงลักษณะอำนาจการปกครองชุมชนว่า มีพื้นฐานอยู่ที่ความสัมพันธ์ทางครอบครัว คือ ความเป็นผู้นำของผู้อาวุโสในตระกูลสำคัญที่ได้รับการยอมรับ ชุมชนม้งรักษาความเป็นกลุ่มโดยใช้โครงสร้างสายสัมพันธ์เครือญาติ ได้แก่ "kue tee neng jang" ในชุมชนม้งความขัดแย้งระหว่างตระกูลเกิดมากขึ้น เมื่อชุมชนเติบโตขยายตัว เพราะผู้อพยพมาจากพื้นที่ต่างกัน บรรพบุรุษของผู้นำสายตระกูลต่างกัน ซึ่งการอพยพย้ายถิ่นที่ดำเนินการโดยรัฐบาลจะอ่อนไหวต่อประเด็นนี้มาก (น.184-185) ความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ในดินแดนแถบนี้ก่อให้เกิดกองกำลังติดอาวุธม้งในประเทศไทย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มี Wang Por (Vaaj Por)เป็นผู้นำ กลุ่มที่มี Pang Kao (Paaj Kaub)เป็นผู้นำ และกลุ่มที่มี Li Lao (Lis Lauj)เป็นผู้นำ ทั้งสามกลุ่มนี้ต่างก็เป็นกองกำลังผิดกฎหมาย ผู้ศึกษาได้กล่าวถึงเฉพาะกลุ่ม Pang Kao เนื่องจากการปฏิบัติการส่วนใหญ่ของกลุ่มอยู่ในบริเวณจังหวัดน่านและมีผลกระทบต่อสถานการณ์ที่บ้านพัฒนา คาดกันว่าจำนวนกำลังทหารติดอาวุธกลุ่ม Pang Kao นี้มีประมาณ 1,000 คน ขณะที่บางคนก็เชื่อว่า มีจำนวนไม่เกิน 300 คน กองกำลังกลุ่มนี้ได้รับการฝึกจากฐานกำลังทหารไทยที่จังหวัดน่าน และก็ได้รับการสนับสนุนลับ ๆ จากสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน สมาชิกของกองกำลังกลุ่มนี้มีแต่ม้งเท่านั้น ทั้งม้งขาวและม้งน้ำเงิน โดยกระบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มจะเกี่ยวข้องกับม้งลาว (Laotian-Hmong) (น.87-88) |
|
Belief System |
กล่าวถึงความเชื่อเกี่ยวกับฮวงจุ้ย (geomancy) ว่า ตำแหน่งที่ตั้งบ้านเรือนมีผลต่อสุขภาพและโชคดีโชคร้าย แต่ไม่มีรายละเอียด (น.113) ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน (n'dong seng หรือ ntoo xeeb) บ้านพัฒนามีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน 2 ต้นซึ่งเชื่อว่าเป็นที่สถิตย์ของผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำท้องถิ่นคอยดูแลชุมชนให้อยู่ดี ลักษณะของต้นไม้ต้องแข็งแรง ไม่มียอดหรือกิ่งหัก ถ้ายอดไม้หักถือเป็นลางร้าย และถ้ากิ่งหักก็เป็นเครื่องหมายการไม่มีบุตรหรือเด็กเสียชีวิต การเลือกต้นไม้ครั้งแรกกระทำในปี ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) อยู่เหนือลำห้วยสะเนียน เมื่อกำหนดต้นไม้ได้แล้ว ก็ทำพิธีไหว้โดยสมาชิกแต่ละครัวเรือนนำธูปมา 3 ดอก เงินกระดาษ 2 มัดสำหรับเผาในพิธี และหมูสำหรับเซ่นไหว้ซึ่งทั้งหมู่บ้านรวมเงินกันซื้อ พร้อมกันนั้นก็สร้างศาลไหว้ที่โค่นไม้ ในปีต่อมา ค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) ทั้งหมู่บ้านเกิดเจ็บป่วย หมอผีอาวุโสจึงได้ตรวจดูภูมิทำเล(a geomancy test)ม้งเรียกว่า "sha yai" (saib yaig) เพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วย ซึ่งหมอผีสรุปว่าบ้านพัฒนามีลำห้วย 2 สายไหลผ่าน แต่หมู่บ้านมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เฉพาะที่ห้วยสะเนียนเท่านั้น ต้องตั้งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ห้วยไสลอีกแห่งหนึ่ง เพราะลำห้วยทั้งสองมีความสำคัญเท่ากัน ดังนั้นบ้านพัฒนาจึงมีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่บ้าน 2 ต้นโดยมีหมอผีอาวุโส 2 คนคอยดูแลรับผิดชอบคนละต้น ในช่วงงานฉลองปีใหม่ของแต่ละปีชาวบ้านทุกครัวเรือนจะร่วมกันทำพิธีเซ่นไหว้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ในปี 1989 (พ.ศ.2532) ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ห้วยสะเนียนหัก ซึ่งถือเป็นลางร้าย เพื่อแก้ลางร้ายนี้ จึงได้เลือกต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เดิม (น.195-198) |
|
Education and Socialization |
บ้านพัฒนามีโรงเรียนในหมู่บ้านตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ.2512)(น.75) ประชากรบ้านพัฒนาที่มีการศึกษาสูงมีจำนวนมากกว่าชุมชนอื่น ครัวเรือนที่ไม่มีคนไปโรงเรียนมีเพียง 19 ครัวเรือน ครัวเรือนที่มีเด็กเล็กไปเรียนมี 1 ครัวเรือน มี 81 ครัวเรือนที่จบหรือกำลังเรียนชั้นประถมศึกษา และที่เหลือ 55 ครัวเรือนเรียนจบหรือกำลังเรียนระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปจนถึงระดับอุดมศึกษา (น.172-173) |
|
Health and Medicine |
หมู่บ้านมีศูนย์สุขภาพชุมชนแห่งแรกในปี ค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) คณะพัฒนาเคลื่อนที่ของกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้ดูแลปฏิบัติงาน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ด้านสังคม เจ้าหน้าที่ด้านการเกษตรและเจ้าหน้าที่ด้านสุขอนามัย โดยเจ้าหน้าที่ด้านสุขอนามัยจะได้รับการอบรมในโรงพยาบาลก่อนเป็นเวลา 3 เดือน(น.75) ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่สุขภาพประจำให้บริการสุขภาพด้านต่าง ๆ ได้แก่ การดูแลสุขภาพและการให้ความปฐมพยาบาลเบื้องต้น การฉีดวัคซีน การเฝ้าติดตามการเจริญเติบโตของเด็ก การดูแลสุขภาพแม่และเด็ก การให้คำแนะนำด้านโภชนาการ การตรวจสอบไข้มาลาเลีย (น.77) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
กล่าวถึงความเป็นมาของม้งคร่าว ๆ ว่า ดินแดนดั้งเดิมของม้งอยู่เหนือดินแดนที่เป็นประเทศจีนในปัจจุบัน แต่เนื่องจากความยากลำบากในดินแดนแห่งหิมะและน้ำแข็ง บรรพบุรุษม้งจึงได้ตัดสินใจอพยพลงมายังดินแดนที่เป็นประเทศจีนในปัจจุบัน ต่อมาพวกม้งก็ถูกชาวจีนฮั่นรุกราน(น.32) อย่างไรก็ดี ยังมีเรื่องเล่าของม้งจำนวนหนึ่งได้บ่งชี้ถึงช่วงเวลาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างม้งกับชาวจีนฮั่น บางตำนานได้อ้างว่าชาวจีนฮั่นกับม้งเป็นพี่น้องกัน แต่ความสัมพันธ์อันดีได้เสื่อมสลายลงเมื่อม้งหลงเลห์กลของคนจีนฮั่น และนับตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ม้งก็ได้เริ่มอพยพลงมาทางใต้ เข้าสู่เวียดนาม ลาว พม่าและไทย (น.35-36) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ผู้ศึกษาได้เสนอข้อโต้แย้งกับ Nicolas Tapp ที่ใช้แนวคิดคู่ตรงข้าม (binary opposition) มาอธิบายอัตลักษณ์ของม้ง และเน้นผลกระทบของคริสตศาสนาที่มีต่อม้งอันเนื่องมาจากความเกี่ยวข้องของศาสนาคริสต์กับตัวหนังสือ (literacy) และกบฏผู้มีบุญ(messianic rebellion) ผู้ศึกษาเห็นว่า แม้ Tapp จะสามารถอธิบายวิธีที่ม้งใช้ตัดสินความแตกต่างของตนจากคนจีน (ซึ่งตรงกันข้ามกับม้ง) ได้ แต่เขาก็ล้มเหลวในการอธิบายประวัติศาสตร์ในรูปแบบของตำนานและเรื่องเล่าที่สมาชิกในชุมชนและคนนอกชุมชนนำมาใช้ให้เหมาะกับเจตนาของตน เพราะคำอธิบายของเขาไม่คงที่ (น.81-82) ผู้ศึกษาเห็นว่า ความเชื่อเรื่องผู้มีบุญ(messianism)ไม่ใช่ปรากฏการณ์เพียงอย่างเดียวในการนำมาใช้พิจารณาอัตลักษณ์ของม้ง แต่ยังมีปัจจัยด้านเวลา สถานที่และสถานการณ์หรือโอกาสที่จะต้องนำมาพิจารณา ทั้งนี้ มีเหตุการณ์ธรรมดาทั่วไปจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าขบวนการผู้มีบุญในประเทศไทยช่วงต้นทศวรรษ 1960 เกี่ยวข้องกับม้งที่อยู่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์ธรรมดาเหล่านี้สามารถมองได้เช่นเดียวกับที่ Tapp อธิบาย (น.86) เพราะขบวนการผู้มีบุญจะเกิดขึ้นในยามที่ประสบความยากแค้นลำเค็ญ อารมณ์บ้าคลั่ง (hysteria) สามารถเกิดขึ้นได้จากการกระทำทั้งภายในและภายนอก การแสดงอารมณ์ของสังคมที่เกิดจากความยากแค้นจึงสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสองฝ่าย ขึ้นอยู่กับว่าใครจะหยิบฉวยและมีจุดมุ่งหมายอะไร เหมือนกับที่ในช่วงเวลาหนึ่งขบวนการผู้มีบุญม้งอยู่ข้างคณะมิชชันนารี แต่อีกช่วงเวลาหนึ่งม้งกลับเผาบ้านคณะมิชชันนารี (น.87) ผู้ศึกษาได้ยกตัวอย่างกรณีการตัดสินใจของม้งที่อำเภออุ้มผาง จังหวัดตากในการเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของม้งกลุ่ม Pang Kao ว่า เหตุผลที่ม้งไทย(the Thai-Hmong) เข้าร่วมกระบวนการก็เนื่องจากโครงการของรัฐบาลที่พยายามผลักดันให้ม้งย้ายไปอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชรและตาก แต่ในพื้นที่แห่งใหม่ที่รัฐจัดให้นั้น ม้งมองไม่เห็นชีวิตที่ดี เนื่องจากดินไม่อุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าวไม่ได้ดี ม้งจำนวนหนึ่งจึงไปเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธ โดยได้รับคำมั่นว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีอาหารฟรี มีที่ดินเพาะปลูก แต่เมื่อไปถึงทุกอย่างกลับเลวร้ายกว่าเดิม ไม่มีข้าวฟรี ไม่มีที่เพาะปลูก เฉพาะครอบครัวที่มีลูกชายเข้าเป็นทหารเท่านั้นที่ได้รับแจกข้าวฟรี ต่อมามีข่าวลือว่ากองกำลังทหารลาวจะมากวาดล้างพื้นที่บริเวณนี้ ม้งที่มาจากตากจำนวนมากจึงพากันหลบหนีจาก Pang Kao มาอยู่ที่บ้านพัฒนาเพื่ออนาคตที่ดีกว่า (น.89,301) การตัดสินใจของม้งกลุ่มนี้เป็นวิธีง่ายๆเพื่อการมีชีวิตรอด แม้บางคนจะฝันถึงอาณาจักรม้งที่มีกษัตริย์ปกครอง แต่ส่วนมากแล้วต้องการเพียงแค่ครอบครัวมีความมั่นคงปลอดภัยขั้นพื้นฐานของชีวิต (น.91) ด้วยเหตุนี้ ผู้ศึกษาจึงไม่ด้วยกับ Tapp ในการนำเหตุการณ์ทางเมืองเข้าไปในกรอบความคิดเรื่องการขัดแย้งกับรัฐ (scheme of opposition to the state) เพียงเพื่อสร้างอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ม้งในระดับใหญ่ นอกจากนั้นความคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ที่เกี่ยวกับการไม่มีตัวหนังสือ ไม่มีกษัตริย์และไม่มีอาณาเขตดินแดนก็เป็นลักษณะที่ปรากฏร่วมกันในกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง (น.92) ในกรณีบ้านพัฒนา ผู้ศึกษาเห็นว่า ม้งบ้านพัฒนาแสดงให้เห็นการตระหนักของตนชัดเจนว่า จะต้องปรับตนเองให้เข้ากับสถานการณ์ในวัฒนธรรมที่มีอิทธิพล ขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังคงต้องการรักษาอัตลักษณ์ของตนไว้ ประวัติการอพยพย้ายถิ่นจากขุนอาว มาผาชีและบ้านพัฒนาแสดงให้เห็นถึงการเลือกอย่างอิสระ เป็นการเลือกความสงบสุข พวกเขาใช้กลยุทธ์ตามจารีตเดิม โดยส่งคนไปสำรวจพื้นที่แห่งใหม่ก่อน พวกเขาไม่ได้ย้ายจากขุนอาวจนกระทั่งมั่นใจในเศรษฐกิจที่ผาชี พวกเขาแสวงหาความปลอดภัยทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยจากความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น และเมื่อบ้านผาชีตกเป็นเป้าหมายของพรรคคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกับที่รัฐบาลก็พยายามใช้ปฏิบัติการทางจิตวิทยาเอาชนะใจประชาชน ม้งบ้านพัฒนาต้องเผชิญกับการตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง เกิดการแบ่งแยกกัน โดยคนส่วนใหญ่เลือกฝ่ายรัฐบาลและคนส่วนน้อยกว่าเลือกพรรคคอมมิวนิสต์ ด้วยเหตุนี้ ขบวนการผู้มีบุญที่ Tapp มองว่าเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างวัฒนธรรมม้ง จึงไม่ได้มีกำเนิดภายในวัฒนธรรมม้ง แต่ถูกกระทำจากคนภายนอก (น.300-301) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สถานภาพของผู้หญิง ผู้หญิงม้งบ้านพัฒนามีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมดีขึ้น เนื่องจากการขายสินค้าหัตถกรรมทำให้มีรายได้เป็นของตนเอง ซึ่งแต่ก่อนเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อค้าขาย ปัจจุบันผู้หญิงมีอิสระในการเดินทางและเจรจาต่อรองในการติดต่อซื้อขายงานหัตถกรรม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ทางสังคมและบทบาทในครอบครัว (น.161) การเปลี่ยนแปลงอำนาจในครัวเรือน ผู้ศึกษากล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัวว่า มีแรงกดดันในครอบครัวขยายต่อบุตรชายที่แต่งงานแล้วให้ออกจากเรือนและสร้างอิสระทางเศรษฐกิจของตนเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเสื่อมอำนาจของผู้อาวุโสเป็นเครื่องหมายของยุคสมัย (a sign of the times) ในครอบครัวขยายที่บุตรชายคนโตซึ่งแต่งงานแล้วยังอยู่ในครัวเรือน บุตรชายได้กลายเป็นผู้มีเสียงมีอำนาจในการตัดสินใจเศรษฐกิจของครัวเรือน แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอำนาจทางเศรษฐกิจในครัวเรือนจะไปอยู่ในมือบุตรชาย แต่ผู้อาวุโสก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรม (น.181) อาชีพใหม่ในชุมชน นอกจากแรงงานในไร่นา ผู้ทำพิธีกรรมและช่างเหล็กซึ่งงานดั้งเดิมแล้ว บ้านพัฒนาได้มีงานชนิดอื่นเกิดขึ้น ได้แก่ การเก็บของป่า การทำหัตถกรรม การเปิดร้านค้า และการทำงานรับเงินเดือน งานเหล่านี้เป็นกิจกรรมอาชีพแบบใหม่ ซี่งผู้ศึกษาเห็นว่างานบางอย่างก็มีผลกระทบต่อโครงสร้างสังคมของชุมชนและกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (น.159) |
|
Map/Illustration |
ภาพที่ 1 พื้นที่ศึกษา (น.20) ภาพที่ 2 ประชากรม้งในประเทศไทย (น.39) ภาพที่ 3 ประชากรบนที่สูงในจังหวัดน่าน (น.40) ภาพที่ 4 สถานที่ตั้งบ้านขุนอาว (น.42) ภาพที่ 5 สถานที่ตั้งบ้านผาชี (น.47) ภาพที่ 6 การอพยพที่บ้านพัฒนา (น.50) ภาพที่ 7 สัดส่วนตระกูลต่างๆ ในบ้านพัฒนา (น.51) |
|
|