สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อีสาน ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ความเปลี่ยนแปลงในชนบท การเคลื่อนไหวทางการเมือง ขบวนการเสื้อแดง อัตลักษณ์อีสาน
Author Charles Keyes
Title Finding Their Voice: Northeastern Villagers and the Thai State
Document Type - Original Language of Text -
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร  Total Pages 262 Year 2557
Source Keyes, Charles. 2014. Finding their Voice: Northeastern Villagers and the Thai State. Chiang Mai: Silkworm Books.
Abstract

โครงการพัฒนาของรัฐที่อาศัยวาทกรรมของการพัฒนาและความช่วยเหลือทางการเงินและผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศตั้งแต่ทศวรรษ 1960 รวมทั้งความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าปกครองในท้องถิ่นที่สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน สำนึกความเป็นอีสานยังมาจากความสัมพันธ์กับโลกภายนอกผ่านการศึกษา การประกอบอาชีพ และการเดินทางไปและกลับระหว่างโลกภายนอกและบ้านเกิด ภาวะที่เรียกว่า “moral community” ที่มีต่อบ้านเกิดภายในคนอีสานขับเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมทางสังคมและการเมือง ความเป็น “ชาวบ้าน” “ชาวนา” เคลื่อนที่ออกจากภาวะของการทำกินแบบพอเพียง สู่การเป็นพลเมืองของประเทศและโลก และยังเป็นองค์ประกอบในการเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อความเท่าเทียมทางสังคม

Focus

          ความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างอีสานและรัฐไทยตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผลกระทบของประชาธิปไตย พัฒนาการทางการเมืองตั้งแต่ทศวรรษ 2510 และการพัฒนาภูมิภาคด้วยกรอบ “ปัญหาอีสาน” ส่งผลต่อการเกิดขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองและการเรียกร้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ผลพวงจากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของภูมิภาค คายส์แสดงให้เห็นพัฒนาการความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านอีสานกับราชการไทยที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการก่อตัวของขบวนการ “เสื้อแดง” ตั้งแต่ พ.ศ. 2553โดยพยายามชี้ให้เห็นบทบาททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงในหลายทศวรรษ นับตั้งแต่ 1960 โครงการการพัฒนาและความทันสมัยที่มาจากโครงการของรัฐมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และยังผลต่อบทบาททางสังคมที่คนอีสานเรียกร้องสิทธิ์เพื่อตนเอง

Theoretical Issues

          Ethnoregionalism  ภูมิภาคชาติพันธุ์นิยม เน้นการศึกษากระบวนการก่อตัวอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ที่อิงกับภูมิภาค การศึกษาแสดงให้เห็นอิทธิพลความมโนทัศน์สังคมที่กำกับสำนึกความเป็นอีสาน อัตลักษณ์อีสานเป็นสนามของการต่อรองระหว่างคนในภูมิภาคและรัฐสยาม/ไทย 

Ethnic Group in the Focus

อีสาน

Language and Linguistic Affiliations

          ภาษาอีสาน ตระกูลไท ซึ่งเป็นภาษาร่วมกับลาวลุ่มตั้งถิ่นฐานแม่น้ำโขงตอนกลาง แต่มีกลุ่มโคราชที่มีลักษณะภาษาใกล้เคียงกับภาษากลาง แต่คงลักษณะเฉพาะของอีสาน และยังมีภาษากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น ภูไท และเขมร แต่ในปัจจุบันได้รับอิทธิพลจากภาษาไทยมาตรฐาน ด้วยระบบการศึกษา(p.18)กลุ่มลูกจีนเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลทางการค้า  แต่คงได้รับอิทธิพลภาษาถิ่นไทย-ลาว ผสมกับอิทธิพลภาษาถิ่นจีน (p.19)

Study Period (Data Collection)

          ประสบการณ์วิจัยตั้งแต่ทศวรรษ 1960 การเก็บข้อมูลที่เข้มข้นในช่วงการเขียนวิทยานิพนธ์ และการกลับไปเก็บข้อมูลความเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆ รวมทั้งความพยายามในการอธิบายความเป็นอีสาน 

History of the Group and Community

          มีการกล่าวถึงประวัติศาสตร์ช่วงศตวรรษที่ 13 ที่ได้รับอิทธิพลเขมร และในระยะต่อมาศตวรรษที่ 14และ 15 อิทธิพลของสุโขทัย อยุธยา ล้านช้าง เช่น อิทธิพลของพระเจ้าฟ้างุ่มและการสนับสนุนของเขมรทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในศตวรรษที่ 17พระนารายณ์ กษัตริย์อยุธยาการตั้งเมืองในนครราชสีมา ทั้งล้านช้างและอยุธยาต่างได้รับผลประโยชน์บนที่ราบสูงโคราช มหาวีรวงศ์กล่าวถึงการอพยพเข้าสู่ที่ราบสูงโคราชตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และครั้งใหญ่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ซึ่งส่งอิทธิพลต่อระหว่างลาวและเขมรในทางภาษาและวัฒนธรรมโดยตลอด (p.20-22) ในระยะต่อมา อีสานกลายเป็นจุดสนใจทั้งอยุธยา เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ แต่ด้วยการศึกจากพม่าส่งผลต่อเวียงจันทน์กระด้างกระเดืองต่ออยุธยา แต่ด้วยการนำทัพของพระเจ้าตากสินส่งต่อการขยายอิทธิพลเหนือเวียงจันทน์และจำปาศักดิ์ กระทั่งเกิดการต่อสู้เจ้าอนุวงค์ในสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ถูกปราบปรามจนทำให้เวียงจันทน์และจำปาศักดิ์เสมอโคราช เมื่อตะวันตกขยายอิทธิพล สยามสูญเสียสิบสองจุไทและฝั่งขวาแม่น้ำโขง (p.23-27)

Settlement Pattern

          อีสานตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช เทือกเขาพนมดงรัก แม่น้ำสำคัญแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูน ครอบคลุมพื้นที่ 170,226 ตารางกิโลเมตร โดยตั้งอยู่ในพื้นที่เงาฝนเพราะเทือกเขาต่างๆ ทำให้อีสานอยู่ในพื้นที่ต่างออกจากพื้นที่ส่วนอื่น (p.18) 

Demography

          ข้อมูลทางประชากร คนอีสานราว 21.3 ล้านคน หรือราว 31%ของประชากร ตามข้อมูลเมื่อ ค.ศ.  2010 (p.18)จีน-อีสานราว 150,000 คน ลูกหลานเวียดนามราว 100,000 คน และยังผสมด้วยกลุ่มไทยกลางและข้าราชการจากส่วนกลางประปราย (p.19) 

Economy

          หมู่บ้านอีสานก่อนรัฐสมัยใหม่เคยเป็นสังคมปิดที่อิงกับพุทธศาสนาและฮีตคอง นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐไทยเริ่มกระบวนสร้างมาตรฐานการศึกษาผ่านระบบโรงเรียนและการถ่ายทอดภาษา ฉะนั้นเด็กๆ ผ่านกระบวนการศึกษาตามระบบอย่างน้อยสามถึงสี่ปี (p.9) ความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญเกิดในทศวรรษ 1970 การพัฒนาอุตสาหกรรมดึงแรงงานอีสานสู่เมืองใหญ่โดยอาศัยการทำงานตามฤดูกาลสลับกับการทำเกษตรกรรม ประกอบกับความสัมพันธ์กับรัฐไทยด้วยการปกครองของกองทัพและการฟื้นฟูสัญลักษณ์ราชวงศ์ เพื่อสร้างความชอบธรรมในอำนาจ (p.10) การพัฒนาชุมชนกลายเป็นโครงการสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนเศรษฐกิจเน้นตลาดและการดึงแรงงานเข้าสู่ระบบโรงงาน ในระยะเวลาที่มีกระบวนการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ (p.12) ไม่มีตัวเลขบันทึกการย้ายถิ่นชั่วคราวของชาวอีสานในช่วงหลังสงครามถึงทศวรรษ 1970 มีตัวเลขที่คายส์ศึกษาการอพยพทำงานในเมืองตามฤดูกาล ค.ศ. 1963 ชายวัย 20 ปี 49% และชายวัย 30 ปี 67%คายส์อธิบายถึงสำนึกชาติพันธุ์ภูมิภาคอีสานในมิติเชิงสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงานในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ ชนชั้นและการดูแคลนกลายเป็นความรู้สึกที่คนอีสานติดตัวกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเอง ก่อให้เกิดความรู้สึก “เรา-เขา” (หมู่เฮา) (p.77-78) สภาพทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงโดยคายส์แสดงให้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ที่เปรียบเทียบใน 3 ช่วงเวลาได้แก่ 1963 1980 และ 2004 รายได้มาจากเศรษฐกิจแรงงานทั้งจากการค้าแรงงานในเมืองใหญ่ กรุงเทพ เป็น อาทิ และในต่างประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลาง ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมในภาคอีสาน สัดส่วนของรายได้จากภาคการเกษตรลดลงเรื่อยมาจากทศวรรษ 1960 ในภาคการเกษตรเอง พืชเศรษฐกิจมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดการเพาะปลูกนอกเหนือจากข้าว ความคิดเกี่ยวกับความทันสมัยและการพัฒนาเป็นส่ิงที่กำหนดความมุ่งหมายในชีวิตมากกว่าเศรษฐกิจพอเพียง อีกส่วนหนึ่งยังอาศัยการออมเงินจากการทำงานภาคแรงงาน สำหรับการลงทุนในหมู่บ้าน เช่น การซื้อปัจจัยการผลิต รถไถ่เพื่อรับจ้าง หรือการเปิดร้านค้าขนาดเล็กในหมู่บ้าน อย่างไรก็ดี อัตลักษณ์ "ชาวบ้าน" อีสานคงชัดเจนจากการทำบุญและการระดมทุนเพื่อส่งเสริมพุทธศาสนาในการสร้างถาวรวัตถุในวัน โบสถ์ วิหาร กุฏิ ใหม่ สร้างขึ้นจากเงินบริจาคของชาวบ้านที่มีรายได้จากภาคแรงงาน (p.135-157)

Political Organization

          ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มมีตัวอย่างจริงจังจากการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน เน้นความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคอีสานและรัฐไทยตั้งแต่การรวมศูนย์เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยระบุถึงการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการแบ่งพื้นที่การปกครอง กรมพระยาดำรงราชานุภาพพยายามสร้างสำนึก “ความเป็นไทย” ผ่านระบบการปกครองมณฑลและจังหวัดตามลำดับ “อีสาน” กลายเป็นอาณาบริเวณที่มีนัยทางการเมืองตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ด้วยระบบการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลต่ออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ก่อตัวอย่างชัดเจนในหลายทศวรรษต่อมา (p. 1-3, p.29) การรวมศูนย์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเปลี่ยนสถานภาพจากไพร่สู่ชาวบ้านและการจัดเก็บรายได้ด้วยระบบภาษีแรงงาน (p.8-9) แตกต่างจากการปกครองก่อนหน้านั้นที่เป็นระบบหัวเมืองและเมืองชั้นใน อาศัยการส่งเครื่องราชบรรณาการ (p.29-31) อย่างไรก็ดี แม้การส่งอิทธิพลของสยามเหนือล้านนา กลุ่มใต้ที่มีประชากรมาเลย์ และอีสาน แต่ถูกท้าท้ายด้วยคนท้องถิ่น (p.32) การปกครองแบบรวมศูนย์อาศัยข้าหลวงทำหน้าที่แทนพระองค์ และเข้าไปปกปครองแทนที่เจ้าเมืองเดิม รวมถึงการลดความสำคัญของเมืองและอาณาบริเวณต่างๆ ให้กลายเป็นจังหวัด อำเภอ และตำบลตามลำดับ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 รูปแบบการปกครองที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลของการลุกฮือของคนท้องถิ่น ในบางแห่งเช่นกรณีอีสาน ยังสัมพันธ์กับรูปแบบความเชื่อเกี่ยวกับพระศรีอาริย์ (p.37-39) แม้กบฏพระศรีอาริย์ถูกปราบปรามลงเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 แต่ผลพวงอย่างสำคัญคือมุมมองเกี่ยวกับพื้นที่อีสาน “ความยากจน” ภาพลักษณ์ของชาวบ้านที่ไม่มีความรู้กลับถูกผลิตซ้ำในหมู่ของนักปกครองตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจวบจนในปัจจุบันที่แสดงให้เห็นในสื่อต่างๆ เช่น ตัวละครชาวอีสานในละครโทรทัศน์ นี่เองที่ยังผลให้ รูปแบบการปกครองและการพัฒนาจากสยามและรัฐไทยในเวลาต่อมา กำกับความเป็นพลเมืองไทยผ่านระบบการศึกษาและการปกครองสงฆ์ (p.48-49) การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1932 ยังผลให้ระบบผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนผู้รักษาผลประโยชน์ของคนอีสานและเป็นช่องทางสำคัญในการเรียกร้องต่างๆ ระบบการศึกษาเองนับเป็นช่องทางสำคัญในการส่งเสริมแนวคิดประชาธิปไตย แต่ในอีกทางหนึ่งการก่อตัวของสำนึกชาติพันธุ์ที่อิงกับความเป็นภูมิภาคอีสานเกิดขึ้นอย่างชัดเจน (p.64-65)สถานการณ์ทางการเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ส.ส.อีสาน คายส์กล่าวถึงกลุ่มฝักใฝ่ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ และอยู่ตรงข้ามกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้แก่ นายถวัลย์ อุดร (ร้อยเอ็ด) นายทองอิน ภูริภัทร (อุดร) นายเตียง สิริขันธ์ (สกลนคร) และนายจำลอง ดาวเรือง (มหาสารคาม)
          สถานการณ์ในช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลจอมพล ป. เข้าร่วมกันอักษะเพื่อการเรียกร้องดินแดนที่เคยเสียให้กับฝรั่งเศส (ไซยุบรี จำปาศักดิ์) คายส์วิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าว คนอีสานเล็งเห็นถึงอิทธิพลของรัฐบาลกลางเหนือดินแดนอีสานและลาว และความพยายามในการควบคุมพื้นที่ไม่ให้เกิดการแบ่งแยก (p.66-67) เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างฝ่านคัดค้านรัฐบาลทหาร และฝ่ายที่ไม่เห็นพ้องนายปรีดี อย่างนายควง อภัยวงศ์จัดตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในระยะก่อนและหลังสิ้นสุดสงคราม ได้ตั้งรัฐบาลเพราะจอมพล ป. ถูกสอบสวนเกี่ยวกับการย้ายเมืองหลวงไปยังเพชรบูรณ์ ในเวลาดังกล่าว ส.ส.อีสานดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลควง อภัยวงศ์ และบทบาทในเวทีนานาชาติ ในการดำเนินการของนายปรีดีเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในความสัมพันธ์กับเวียดมินห์และลาวในช่วงเวลาของการเรียกร้องเอกราชจากเจ้าอาณานิคม เหตุการณ์หลังการลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ส่งให้นายปรีดีต้องออกนอกประเทศ และรัฐบาลนายควงกลับมาดำรงตำแหน่ง กระทั่งมีการเลือกตั้งอีกครั้ง ค.ศ. 1948 ปรากฏมี ส.ส. อีสานทั้งสนับสนุนประชาธิปัตย์และนายปรีดี แต่ไม่ทันตั้งรัฐบาลเกิดการรัฐประหารโดยจอมพล ป. อีกครั้งหนึ่ง (p.69-72) ในระยะต่อมาความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับลดความน่าเชื่อถือทางการเมืองของนายปรีดีและฝ่านสนับสนุน รวมถึง ส.ส.อีสาน ด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการสนับสนุนการเคลื่อนไหวคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค สำทับกับเหตุการณ์การฆาตกรรมนักการเมืองสำคัญของอีสาน (เหตุการณ์ กม. 11) และที่ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ทั้งหมดนับเป็นชนวนสำคัญในการบ่มเพาะสำนึกชาติพันธุ์ภูมิภาคอีสานที่รู้สึกถึงการเลือกปฏิบัติของรัฐบาลกลางและความไม่เท่าเทียมต่างๆ ในระยะต่อมา (p.74-75) ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งและ ส.ส. อีสาน ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายซ้ายในช่วงทศวรรษ 1950 ปรากฏในหน้า 79-87 ประเด็นสำคัญที่เชื่อมโยงกับสำนึกอีสานได้แก่ ความเห็นพ้องระหว่าง ส.ส. ต่างสังกัดคือการดึงผลประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาอีสาน ทั้งโครงการระยะสั้น การสร้างเขื่อน การพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม และการขยายโอกาสทางการศึกษา การกังวลของรัฐบาลกลางต่อ ส.ส. อีสานเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านการเข้าร่วมกับสันนิบาตต่อต้านคอมมิวนิสต์ เพื่อการรับเงินสนับสนุนจากสหรัฐฯ เมื่อจอมพลสฤษดิ์เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยกำลังกองทัพ จากนั้นเป็นต้นมาอีสานกลายเป็นจุดสนใจของการวางนโยบายในการจัดการ “ปัญหาอีสาน” เป็นประเด็นยุทธศาสตร์ทางความมั่นคงที่รัฐบาลต่างๆ ให้ความสำคัญ (p.88-89) สถานการณ์ทางการเมืองในระหว่างค.ศ. 1973-1976 เป็นช่วงเวลาที่เกิดความเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในระดับรากหญ้าโดยเน้นถึงความฉ้อฉลของข้าราชการและความยากจนของประชากรในพื้นที่ แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวประสบความล้มเหลวเพราะผู้นำที่มาจากปัญญาชนชนชั้นกลางไม่เข้าใจสภาพของชาวบ้านในพื้นที่ที่มีเชื่อพุทธศาสนาแบบเถรวาทนั่นคืออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไม่สามารถแทนที่ความเชื่อเกี่ยวกับบุญบารมี เหตุปัจจัยอีกประการหนึ่งคือการต่อสู้ของกองทัพอย่างไรก็ดีทศวรรษ1980 รัฐบาลทหารเปลี่ยนท่าทีและการตรารัฐธรรมนูญใหม่ที่เปิดให้ระบบรัฐสภาได้ทำหน้าที่พลเอกเชาวลิตยงใจยุทธที่ส่งเสริมให้ผู้ที่เคยเป็นแนวร่วมคอมมิวนิสต์เข้าสู่โครงการพัฒนาร่วมหน่วยงานราชการและการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจในพื้นที่สู้รบนอกจากนี้การเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการพัฒนาโดยองค์กรเอกชนมูลนิธิเช่นมูลนิธิบูรณะชนบทองค์การวางแผนครอบครัวเป็นองค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ความต้องการของชาวบ้านปรากฏและได้รับการตอบสนองด้วยโครงการพัฒนาโดยกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆนับตั้งแต่นั้นชาวบ้านมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตนเองและ"เสียง" ที่มีความสำคัญในเวทีทางการเมืองและการเลือกตั้งในระยะต่อมา(p.115-134)

Belief System

          พุทธเถรวาทเป็นความเชื่อหลักที่ปรากฏในไทยและลาว โดยเฉพาะเรื่อง “กรรม” และ “บารมี” โดยเน้นแนวคิดเกี่ยวกับผู้มีบารมี แต่ไม่ปรากฏเฉพาะความเชื่อที่เกี่ยวโยงกับสถาบันกษัตริย์เท่านั้น หากแต่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่แสดงให้เห็นปาฏิหารย์ ที่ช่วยบัดเบาความทุกข์ให้กับชาวบ้านในท้องถิ่น (p.33-35) เช่น พระท้องถิ่นในภูเก็ตปลุกเสกผ้ายันต์และนำผู้คนต่อสู้กับการลุกฮือของแรงงานจีน (p.36)ความเชื่อเกี่ยวกับผู้มีบารมีสัมพันธ์กับผลพวงของการรวมศูนย์อำนาจการปกครองสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่งผลต่อความไม่พอใจของคนในท้องถิ่น เช่น การลุกฮือของชาวนาในภาคเหนือ และลัทธิพระศรีอาริย์ในอีสาน ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีบุญสำคัญ 3 คน นายมั่น จากลาวในบริเวณอุบลราชธานี ท้าวบัญชา ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลเมืองขุขันธ์ และนายเล็ก จากบ้านนาลาว เวลาภูมิ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการตั้งพื้นที่ปกครองที่ไม่ขึ้นกับสยามและลาวฝรั่งเศส ด้วยการใช้หมอลำและเอกสารต่างๆ ในการส่งสารไปยังชาวบ้าน (p.41-44) การปราบปรามเกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1902-1903 และมีการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการลุกฮือว่าเกี่ยวข้องกับความยากจน มุมมองของกลุ่มผู้ปกครองจากส่วนกลางต่อพื้นที่อีสานกลายเป็นข้ออ้างสำคัญในโครงการพัฒนาในระยะต่อมา (p.46-47) นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงผู้มีบุญอีกลักษณะที่ไม่ได้มาจากความศักดิ์สิทธิ์หรือการทำนายอนาคต หากแต่เป็นความศรัทธาต่อพระป่าในอีสานดังในกรณีของพระอาจารย์มั่น ปูริทัตโต การเกิดขึ้นของความเชื่อในผู้มีบุญคงปรากฏให้เห็นอยู่เนื่อง ค.ศ. 1933, 1959 และ 1975 ผู้เขียนชี้ให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่เป็นเสมือนการตรวจสอบหรือการวิพากษ์ต่อการใช้อำนาจของรัฐไทยต่อคนอีสาน (p.50-52)

Education and Socialization

          แม้จะมีความพยายามในการวางระบบการศึกษาจากส่วนกลาง แต่การดำเนินการในช่วงรัชกาลที่ 5 จำนวนหนึ่ง คงต้องอาศัยวัด และพระสงฆ์ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ด้วยขาดระบบในการพัฒนาผู้สอนและหลักสูตรจึงทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีการตราพระราชบัญญัติการศึกษา ค.ศ. 1921 ส่งผลให้มีการจัดตั้งโรงเรียนอย่างเป็นทางการและโรงเรียนฝึกหัดครูในหัวเมืองสำคัญ (p.53-56) พระราชบัญญัติดังกล่าวยังผลให้เด็กในพื้นที่ต่างๆ ได้รับการศึกษาบังคับเป็นเวลา 4 ปี นอกเหนือจากภาษาไทยกลางแล้ว ประวัติศาสตร์และอุดมการณ์จากส่วนกลางได้รับการถ่ายทอดสู่เยาวชน แม้ว่าบทเรียนต่างๆ เหล่านั้นไม่สัมพันธ์ความเป็นอยู่ในพื้นที่แต่อย่างใด (p.60-63)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          การกำหนดอัตลักษณ์ความเป็นอีสานเชื่อมโยงกับมิติความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ชาวบ้านที่ทำงานในเมืองใหญ่และในต่างประเทศ รวมทั้งคนประท้วงต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นการเรียนร้องความอยุติธรรมและความลำเอียงในการพัฒนา ต่างเรียนรู้กับการดำรงชีวิตในยุคเศรษฐกิจทุนิยมกับกลุ่มอำนาจกองทัพ พร้อมๆ กับยึดมั่นในความเป็นหมู่บ้านในฐานะของ moral community ชุมชนในสำนึกของความเป็นอีสาน (p.172-173) คายส์แสดงให้เห็นการก่อตัวของอัตลักษณ์อีสานอย่างชัดเจนจากมิติทางการเมือง การขึ้นสู่อำนาจของทักษิณ ชินวัตร จากโครงการต่างๆ ที่ตอบโจทย์กับชาวบ้านอีสานต้นศตวรรษที่ 21 ทำให้เห็นถึงพัฒนาทางการเมืองตั้งแต่ทศวรรษ 1960 โดยเน้นรัฐส่วนกลางและมุมมองของชนชั้นกลางในเมืองมิได้ตอบสนองความต้องหรือฟังเสียงของคนอีสาน อย่างไรก็ดีด้วยการคอรัปชั่นเชิงนโยบายและข้อกังขาเกี่ยวกับความท้าทายต่อสถาบันดั้งเดิม (กษัตริย์ในฐานะผู้มีบารมี) ของทักษิณ ชินวัตร นำมาสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่ ค.ศ. 2005 ของชนชั้นกลางในเมือง สถานการณ์ทางการเมืองต่างๆ กลับตึงเครียดตั้งแต่ ค.ศ. 2006 ด้วยการรัฐประหารของกองทัพ ฉากความขัดแย้งระหว่างคนชนชั้นกลางในเมืองและคนอีสาน (รวมทั้งคนเหนือ) กลายเป็นสนามสำคัญในการต่อรองกับอำนาจของนายทุนและกองทัพ คายส์พยายามตอกย้ำให้เห็นว่า ภาพลักษณ์ “ชาวบ้าน” ของคนชนชั้นกลางที่ไม่เห็นพลวัตของชาวบ้านที่กลายเป็นพลเมืองโลกนับเป็นปมปัญหาของความขัดแย้ง ปัจจัยอีกประการหนึ่งได้แก่ ความพยายามของชนชั้นกลางและสถาบันอำนาจเดิมคงอำนาจของกลุ่มตนเองและมองความเป็นประชาธิปไตยชี้แนะ (guided democracy)ส่วนกลางมิได้พยายามทำความเข้าใจกับความเป็น “ชาวบ้านในศตวรรษที่ 21” ของคนอีสานที่รักษาสิทธิ์และตั้งคำถามกับความลำเอียงและความอยุติธรรมของการพัฒนา (p.175-194)

Social Cultural and Identity Change

          ตั้งแต่การขึ้นสู่อำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ “ปัญหาอีสาน” กลายเป็นประเด็นสำคัญด้านความมั่นคง รัฐบาลเปิดประตูรับความช่วยเหลือทางการทหารจากต่างประเทศ เพื่อป้อมปรามการแทรกแซงของลัทธิคอมมิวนิสต์ ด้วยจุดยุทธศาสตร์ของอีสานที่ใกล้กับลาวและเวียดนาม โครงการการพัฒนาอีสานเริ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ค.ศ. 1962 (p.92-94) ตั้งแต่รัฐบาลสฤษดิ์เป็นต้นมา ความพยายามในการสร้างภาพลักษณ์ของผู้มีบารมีให้กับราชวงศ์เป็นไปอย่างชัดเจน โดยผู้เขียนกล่าวถึงข้อมูลงานวิทยานิพนธ์ที่แสดงให้เห็นความศรัทธาที่ก่อตัวขึ้นจากระบบการศึกษาและแบบแผนการปฏิบัติเพื่อแสดงความเคารพต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (ภาพถ่าย โต๊ะหมู่บูชา และธงชาติ) ความศรัทธาดังกล่าวอยู่เหนือตัวแทนของอำนาจรัฐ ตำรวจและข้าราชการในท้องถิ่น (p.97-99) กระบวนการสร้างบารมีเชื่อมโยงโดยตรงกับ “ปัญหาอีสาน” รัฐบาลโดยกองทัพเกิดการแย่งชิงอำนาจในช่วงทศวรรษ 1950 – 1960 แต่จุดร่วมของปฏิบัติคือความพยายามลดทอนบทบาทของนักการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่เอียงซ้าย และการเปิดรับความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ โดยอาศัยโครงการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงสู่ระบบตลาด และการเปิดทางให้กับปฏิบัติการทางทหารในประเทศในการต่อสู้กับประเทศเพื่อนบ้านค่ายสังคมนิยมในภูมิภาค (p.100-102) โครงการสร้างแรงกดดันระหว่างคนในพื้นที่และส่วนกลาง เช่น กรณีเขื่อนปากมูน ส่วนการพัฒนาที่อาศัยการทำงานระดับจุลภาค มีพัฒนากรระดับอำเภอและจังหวัดเป็นตัวแทนของส่วนกลาง แต่ในภาคการปฏิบัติรัฐบาลสฤษดิ์และถนอม เน้นการทำงานด้านกองทัพและอาศัยแนวทางการทำงานด้านความมั่นคงผนวกเข้ากับการพัฒนาการทำงานอาศัยการจัดตั้งหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ แต่ข้อปัญหาที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่กลายเป็นเหตุของความรู้สึกทางลบของชาวบ้านกับข้าราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อำนาจของตำรวจ ในการจับปัญหาเรื่องป่าไม้และการกลั่นเหล้าโรงที่ไม่เฉพาะแต่จะไม่ส่งเสริมการพัฒนา แต่กลายเป็นช่องทางผลประโยชน์ส่วนบุคคล และนำมาสู่การต่อต้านลึกๆ ของชาวบ้านอีสาน (p.102-113) โครงการพัฒนามีทั้งการพัฒนาขนาดใหญ่ได้แก่การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ถนน เขื่อน ซึ่งบาง ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงทศวรรษ1990 แสดงให้เห็นบทบาทของชาวบ้านมากยิ่งขึ้นในการเคลื่อนไหวและการเรียกร้องสิทธิต่างๆในฐานะพลเมืองไทย คายส์แสดงให้เห็นสถานการณ์ต่างๆที่ชี้ให้เห็นถึงพลังการเคลื่อนไหวมวลชนกรณีพื้นที่การทำกินสำหรับคนยากจนแม้โครงการดังกล่าวจะมาจากการวางแผนตามวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้คนจนมีที่ดินทำกิน แต่เบื้องหลังยังแฝงด้วยการฉวยประโยชน์โดยทหารที่อยู่ในอำนาจ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวและเรียกร้องเช่นการใช้ประโยชน์จากป่าของอดีตพระประจักษ์กรณีการสร้างเขื่อนปากมูนจังหวัดอุบลราขธานีซึ่งเป็นหนึ่งในเขื่อนที่สร้างขึ้นเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในอีสานอย่างต่อเนื่องนับจากเขื่อนนำ้พอง ตั้งแต่ทศวรรษ1960 และ1970ต่อมาปลายทศวรรษ1980 ชาวบ้านเริ่งเล็งเห็นปัญหาต่างๆที่เป็นผลพวงมาจากการสร้างเขื่อนและข้อมูลจากนักพัฒนาเอกชนนักวิชาการยังผลให้มีการประท้วงการสร้างเขื่อนปากมูนทั้งก่อนและตลอดระยะเวลาการก่อสร้างแม้จะมีการจ่ายค่าชดเชยรายได้และการเวนคืนที่ดินต่างๆแต่เขื่อนปากมูนนำความสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและการประมงของชาวบ้านที่สำคัญคือประโยชน์จากการก่อสร้างเขื่อนกลับตกอยู่กับผู้รับประโยชน์ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพและเขตอุตสาหกรรมต่างๆมากกว่าชาวบ้านในพื้นที่ตั้งของเขื่อนอย่างที่ได้วางเป้าหมายไว้ตลอดระยะทศวรรษแรกของ2000 แม้จะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งและการรัฐประหารแต่กระบวนการเรียกร้องจากการต่อต้านการสร้างเขื่อนสู่การขอให้กฟผ. เปิดเขื่อนปีละสี่เดือนเพื่อให้ชาวบ้านได้มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากฤดูกาลของการอพยพของปลากลับไม่ได้รับการตอบสนองอย่างยั่งยืนชาวบ้านที่ประท้วงเพื่อสิทธิการทำกินของตนเองกลับถูกมองเป็นผู้ขัดขวางการพัฒนา(p.158-165)ข้อมูลต่างๆล้วนแสดงให้เห็นการปรับตัวของชาวอีสานในการกำหนดชีวิตด้วยตนเองนั่นหมายถึงแม้การพัฒนาจะอยู่บนพื้นฐานวิธีคิดและมุมมองของผู้ที่อยู่ในอำนาจชนชั้นกลางในเมืองแต่ในระดับการปฏิบัติชาวบ้านต่อรองกับการจัดการตนเองนั่นคือเป็นชาวนาที่คงเรียกร้องการละเมิดสิทธิ์ดังในกรณีของการสร้างเขื่อนและการบังคับใช้กฎหมายการอนุรักษ์ป่าไม้และการเป็นชาวบ้านที่ค้าแรงงานในเมืองใหญ่และในต่างประเทศความหมายของชาวบ้านจึงมิได้อิงกับเศรษฐกิจเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพอีกต่อไปแต่เป็นชาวบ้านอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงต่างๆคายส์ยังได้กล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์ในการเคลื่อนไหวต่างๆซึ่งชายอีสานยังคงสืบทอดความเชื่อพุทธศาสนาเถรวาทในการมีส่วนร่วมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านดังที่พบในขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ(p.166-171)

Map/Illustration

ภาพ

  • โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง ลูกอีสาน (p.4)
  • ฉากจำลองในนิทรรศการหอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี (p.35)          
  • พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (p.51)
  • อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (p.58)
  • อนุสรณ์จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (p. 93)
  • ทุนในการผลิตข้าว (p.139)
  • ภาพเปรียบเทียบการเรียนการสอนในโรงเรียน (p. 147)
  • ภาพเปรียบเทียบการประกอบอาชีพของสตรีในหมู่บ้าน (p.151)
  • การประกอบอาชีพภาคบริการในเมือง (p. 153)
  • อนุสาวรีย์วีรชนคนจน การต่อสู้การสร้างเขื่อนและการเปิดประตูเขื่อนปากมูน (p.163)
  • การเลือกตั้งผู้แทนราษฎร (p. 178)
  • การ์ตูนล้อเลียนการเมือง การเคลื่อนไหวทางการเมือง (p.189)

ตาราง
  • สัดส่วน ส.ส. จากพรรคการเมืองต่าง ๆ ในการเลือกตั้ง ค.ศ.1952 (p.81)
  • ผลการเลือกตั้ง เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 (p.83)
  • ผลการเลือกตั้ง เดือนธันวาคม  ค.ศ. 1957 (p.84)ตารางการเปรียบเทียบรายได้ (p.142-143)
  • ตารางการเปรียบเทียบประชากรในหมู่บ้านในแต่ละช่วงวัยในระยะเวลาที่แตกต่างกัน (p.145-146)
  • ตารางแสดงสัดส่วนนักเรียน ค.ศ. 2005 (p.148)

แผนภูมิ
  • แผนภูมิผลการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ค.ศ. 2010

Text Analyst ชีวสิทธิ์ บุณยเกียรติ Date of Report 03 ต.ค. 2567
TAG อีสาน, ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์, การมีส่วนร่วมทางการเมือง, ความเปลี่ยนแปลงในชนบท, การเคลื่อนไหวทางการเมือง, ขบวนการเสื้อแดง, อัตลักษณ์อีสาน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง