|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อัตลักษณ์ พหุวัฒนธรรม การเมือง ไทยเก่า ไทยใหม่ ชายแดนไทย พม่า กาญจนบุรี |
Author |
ภูมิชาย คชมิตร |
Title |
การธำรงชาติพันธุ์ของคนทวายในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
- |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
190 |
Year |
2558 |
Source |
มหาวิทยาลัยขอนแก่น |
Abstract |
เนื้อหางานเกี่ยวศึกษาถึงการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย อดีตคนงานเหมืองแร่ที่เข้ามาทำงานเหมืองแร่ที่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง เมื่อประมาณสี่สิบปีที่แล้ว กระทั่งเมื่อเหมืองแร่ปิดกิจการ อดีตคนงานเหมืองแร่ก็ยังคงสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณที่เป็นเหมืองแร่เก่าต่อไป นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 หลังจากที่กองกำลังทหารพม่าตีค่ายกะเหรี่ยงอิสระที่ตั้งอยู่ตามเส้นแนวชายแดนฝั่งประเทศพม่าแตก ดังนั้นทางการไทยจึงจัดสรรที่อยู่ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ทวาย และคนพม่า อยู่ในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า เมื่อ พ.ศ. 2538 และให้มีผู้ใหญ่บ้านดูแลกันเอง เมื่อพ.ศ. 2553 ทางการไทยในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายมอบสัญชาติไทยให้กับคนต่างด้าวจากประเทศพม่า หลังจากที่มีการโอนสัญชาติให้คนต่างด้าวเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงทำให้ลูกของคนต่างด้าวและคนที่เกิดในประเทศไทยได้รับสัญชาติไทย ฉะนั้นแล้วเมื่อคนในหมู่บ้านได้รับสัญชาติไทยจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ
แต่เดิมคนเหล่านี้จะถูกกีดกันทางวาทกรรมที่เรียกว่า “คนนอก” หลังจากที่พวกเขาได้รับสัญชาติไทย คนในพื้นที่ก็มีการแบ่งแยกกันเองสำหรับ คนไทย และคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่มีสัญชาติไทยแต่เดิมจะเรียกตัวเองว่า “ไทยเก่า” หรือ “ไทยเดิม”ส่วน คนพม่า คนมอญ คนมุสลิม และอื่นๆ ก็จะถูกเรียกว่า “ไทยใหม่” |
|
Focus |
เพื่อศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย ในบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง ตำบลบ้องตี้ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 5) |
|
Theoretical Issues |
ในการศึกษาผู้วิจัยมีคำถามการวิจัยคนทวายมีการธำรงชาติพันธุ์อย่างไร ทั้งก่อนมีสัญชาติไทย และหลังจากที่มีสัญชาติไทยแล้ว โดยได้นำแนวคิดการธำรงชาติพันธุ์แนวทางการศึกษาเชิงการสร้าง และแนวคิดชาตินิยมมาเป็นกรอบแนวคิดเพื่อใช้ในการศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย ในพื้นที่ศึกษาอยู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง ตำบลบ้องตี้บน อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งประกอบด้วยชาติพันธุ์ และศาสนาที่หลากหลาย ขอบเขตเรื่องเวลา ผู้วิจัยได้ศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย ที่มีการสร้างและต่อรอง อัตลักษณ์ความเป็นทวาย และความเป็นไทยในช่วงก่อนที่จะได้รับสัญชาติไทย คือตั้งแต่เข้ามาเป็นแรงงานเหมือง ประมาณ พ.ศ. 2517 ถึง พ.ศ. 2553 และหลังจากได้รับสัญชาติไทยแล้วคือ พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน (2557)
ขอบเขตด้านกลุ่มเป้าหมายของการวิจัยนั้น ผู้วิจัยเลือกศึกษาในกลุ่มคนทวายซึ่งเป็นกลุ่มที่อพยพมาเป็นคนงานเหมืองแร่ดีบุก ที่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว นอกจากนี้ก็ได้ศึกษาการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มคนทวายด้วยกันเองได้แก่ กลุ่มคนทวายพุทธ กลุ่มคนทวายมุสลิม กลุ่มคนทวายฮินดู และกลุ่มคนทวายกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่นได้แก่ คนไทย กะเหรี่ยง มอญ ซึ่งนับถือศาสนาต่างๆ เช่น พุทธ คริสต์ อิสลาม และอื่นๆ และการปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย (หน้า 5)
แนวการศึกษาการธำรงชาติพันธุ์เชิงการสร้าง (Constructivism)
ในการศึกษาเรื่องอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง นำไปสู่การเรียนรู้และเข้าใจการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวายและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในพื้นที่ศึกษา ประกอบกับผู้วิจัยก็มีสมมติฐานเบื้องต้นในการวิจัย คือ กลุ่มชาติพันธุ์ทวาย ที่อยู่ในบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง ว่ามีการธำรงชาติพันธุ์ และประกอบสร้างอัตลักษณ์ มีการต่อสู้ต่อรองทางวัฒนธรรม กลุ่มชาติพันธุ์มีความหลากหลายทางความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ ผ่านการปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มคนทวายด้วยกันเอง กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ดังนั้นการทำความเข้าใจในการศึกษาการธำรงชาติพันธุ์และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์นั้น ผู้วิจัยได้เลือกทบทวนแนวคิดชาตินิยม (Nationlism) เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจต่อเรื่องที่วิจัยในการศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย โดยได้นำมาพิจารณาร่วมกับแนวคิดการธำรงชาติพันธุ์เชิงการสร้าง (Constructivist) ซึ่งไม่เชื่อว่าชาติพันธุ์เป็นหน่วยทางสังคมที่มีอยู่แล้วแต่ดั้งเดิม แต่ชาติพันธุ์เป็นเพียงความสำนึกความเข้าใจและรูปแบบขององค์กรทางสังคมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อจำแนกผู้คนด้วยลักษณะทั่วไปที่แสดงถึงความมีตัวตน ที่กำหนดด้วยภูมิหลังบางอย่างตามบริบททางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเวลา ความเป็นชาติพันธุ์จึงเป็นกระบวนการสร้างความหมายซึ่งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนทั้งหลาย ผู้วิจัยได้นำการธำรงชาติพันธุ์เชิงการสร้างมาเป็นแนวทางในการศึกษาการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย ที่อยู่พื้นที่เขตชายแดนไทย-พม่า เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจความสัมพันธ์และความหลากหลายของชาติพันธุ์ (หน้า 18)
แนวคิดชาตินิยม (Nationalism)
ในการศึกษาเรื่องการธำรงชาติพันธุ์ของคนทวายในพื้นที่เขตชายแดนไทย-พม่า ศึกษากรณีบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองนั้น ในการศึกษาได้ใช้แนวคิดชาตินิยมในงานเขียนด้วย เพื่อใช้เป็นแนวคิดเพื่อให้เห็นปรากฏการณ์ในพื้นที่ในการดูถึงการแสดง อัตลักษณ์ของคนทวาย สำหรับแนวคิดชาตินิยมเป็นแนวคิดที่สืบทอดมาจากการกำเนิดของรัฐชาติสมัยใหม่ (Modern nation state) ที่มีอาณาเขตพรมแดนของอำนาจการบริหารปกครองกลุ่มชนทุกเผ่าที่มีทั้งวัฒนธรรมต่างกันและร่วมกัน โดยพลเมืองของรัฐอยู่ภายใต้รูปแบบการปกครองและระบบกฎหมายเดียวกัน แนวคิดการสถาปนารัฐชาติกำเนิดในภูมิภาคยุโรปในคริสตวรรษที่ 18 ผลของการเกิดรัฐชาติก็ปรากฎเป็นแผนที่ที่นำมาสู่การรับรู้เขตแดนของรัฐ(Craig Calhoun, 1997: 12 อ้างถึงใน กฤษณะ ทองแก้ว, 2550:30)(หน้า 20)“ลัทธิชาตินิยมเป็นการประดิษฐ์ (Invent)
อย่างไรก็ตามในงานเขียนของเบเนดิกท์ แอนเดอร์สันได้อธิบายว่า ชาติเป็นชุมชนจินตกรรม ความรู้สึกของความเป็นชาตินิยมเป็นเพียงการสร้างขึ้นเท่านั้น (หน้า 21) ซึ่งจากการที่ผู้วิจัยได้นำแนวคิดการธำรงชาติพันธุ์เชิงการสร้าง และแนวคิดชาตินิยมมาใช้เป็นกรอบแนวทางศึกษานั้นพบว่า ประเด็นการศึกษาเรื่องการธำรงชาติพันธุ์แนวการศึกษาเชิงการสร้าง ได้นำเอาสาระสำคัญของวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชน ได้แก่ ภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย อันเป็นการศึกษาในแนวสารัตถะนิยมมาใช้เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการประกอบสร้างอัตลักษณ์อันนำไปสู่การธำรงชาติพันธุ์ แนวการศึกษานี้ไม่เชื่อว่าชาติพันธุ์เป็นหน่วยทางสังคมที่มีอยู่แล้วแต่ดั้งเดิม แต่ชาติพันธุ์เป็นเพียงความสำนึกความเข้าใจและรูปแบบขององค์กรทางสังคมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อจำแนกผู้คนด้วยลักษณะทั่วไปที่แสดงถึงความมีตัวตน ที่กำหนดด้วยภูมิหลังบางอย่างตามบริบททางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกเวลา ความเป็นชาติพันธุ์จึงเป็นกระบวนการสร้างความหมายซึ่งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนทั้งหลาย การใช้แนวคิดทฤษฎีมาศึกษาการธำรงชาติพันธ์ของคนทวายและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในพื้นที่ศึกษานั้น ทำให้ผู้วิจัยได้เห็นความเป็นพลวัตในด้านต่างๆ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง การธำรงชาติพันธุ์ของคนทวาย ได้มีการเคลื่อนไหวต่อสู้ต่อรองผ่านการปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มคนทวายด้วยกันเอง การปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธ์ุอื่นๆ
การต่อสู้ต่อรองทางอัตลักษณ์ ที่มากับกระแสการพัฒนาของรัฐไทย การมอบสัญชาติก็เป็นอีกนโยบายหนึ่งที่ผูกโยงกับแนวทางการพัฒนาเพื่อให้เกิดความมั่นคงในชาติ ขณะที่รัฐได้พยายามปลุกจิตสำนึกให้คนในชาติเสียสละเพื่อส่วนรวมและทุ่มเทแรงงานเพื่อความมั่นคงของชาติ การทำให้คนในชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น ไม่อาจผูกติดกับแนวคิดทฤษฎีที่มีความตายตัว เพราะการแสดงอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์นั้นมีการเลื่อนไหลปรับเปลี่ยน ตามสถานการณ์ และสังคม เศรษฐกิจ การเมือง (หน้า 139) |
|
Ethnic Group in the Focus |
พื้นที่ศึกษาประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์และการนับถือศาสนาอันหลากหลาย “คนทวาย” หมายถึง กลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งแต่เดิมตั้งรกรากอยู่ที่เมืองทวาย ประเทศพม่า และได้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ที่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองเพื่อทำงาน หรือเนื่องจากปัญหาการเมืองในพม่า (หน้า 6)
คนทวายพุทธ กลุ่มนี้ส่วนใหญ่อยู่ในศูนย์ฯ บางส่วนถ้ามีฐานะก็จะออกไปสร้างบ้านอยู่ต่างหากก็มี คนทวายซึ่งในกลุ่มคนไทยและคนกะเหรี่ยงยังเรียกว่าคนพม่านั้นพวกเขามักจะกล่าวถึงคนทวายว่า เป็นคนขยันเก็บเงินเก็บทอง พอได้รับสัญชาติไทยก็สร้างบ้านไม้กระดานผิดกับแต่ก่อนที่จะได้รับสัญชาติไทยนั้นจะอยู่บ้านกระท่อมไม้ไผ่ (หน้า 85) คนทวายพุทธนั้นมีความศรัทธาในหลักคำสอนของศาสนาพุทธ แต่ก็อยู่ในศูนย์ร่วมกับคนทวายมุสลิมได้โดยไม่มีอุปสรรค กลุ่มคนทวายพุทธนั้นเข้ามาอยู่หมู่บ้านท้ายเหมืองและหมู่บ้านบ้องตี้บน ส่วนใหญ่แล้วที่เข้ามาก็เพื่อทำงานแล้วก็อยู่ที่เมืองไทยไม่กลับบ้านเดิมที่ประเทศพม่า กลุ่มทวายพุทธ ส่วนมากแล้วเป็นกลุ่มที่เข้ามาทำงาน กลุ่มคนทวายนั้นมีความแตกต่างจากลุ่มคนอื่นๆ ทั้งคนไทย คนกะเหรี่ยง มอญ โดยสังเกตจากภาษา (หน้า 86)
มุสลิม แบ่งเป็นสามกลุ่มย่อยดังนี้
คนทวายมุสลิมเชื้อสายพม่า คนกลุ่มนี้มาจากเมืองทวายและเป็นคนที่นับถือศาสนาอิสลาม บางส่วนเคยนับถือศาสนาพุทธมาก่อน เมื่อแต่งงานมีครอบครัวจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามคู่สมรส การสร้างบ้านเรือนจะอยู่ในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า คนทวายมุสลิมจะอยู่ในศูนย์โดยสร้างบ้านแบบคละเคล้ากันไปกับคนที่นับถือศาสนาพุทธ การเข้ามาหมู่บ้านท้ายเหมืองและหมู่บ้านบ้องตี้บนครั้งแรกนั้น คนทวายมุสลิมเข้ามาทำงานเหมืองแร่ เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว(หน้า 86)
คนมุสลิมเชื้อสายอินเดียจากเมืองทวาย กลุ่มนี้จะมีลักษณะแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ ที่มาจากเมืองทวาย และลักษณะผิวพรรณหน้าตาจะต่างจากชาวทวายพุทธ และทวายมุสลิม เนื่องจากกลุ่มนี้จะมีหน้าตาดูเหมือนคนอินเดียหรือปากีสถาน เมื่อครั้งที่ยังไม่มีนามสกุล พวกเขามักถูกถามว่านามสกุลอะไร พวกเขามักจะตอบว่านามสกุลปาทาน แต่ภายหลังเมื่อลูกหลานมีนามสกุลแล้ว นามสกุลใหม่ส่วนใหญ่จะเลือกนามสกุลที่ทางเจ้าหน้าที่อำเภอกำหนดไว้ให้แล้ว คนมุสลิมเชื้อสายอินเดียจากเมืองทวายนั้น ส่วนใหญ่แล้วเข้ามาอยู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองเนื่องจากมาทำงานเหมืองแร่ เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว คนมุสลิมเชื้อสายอินเดียนั้นมีการดำรงชีพเหมือนกับคนที่มาจากเมืองทวายโดยทั่วไป แต่จะมีเอกลักษณ์ที่หน้าตา แววตาคมเข้ม จมูกโด่ง
กลุ่มมุสลิมเชื้อสายอินเดียนี้ ประกอบอาชีพ เช่น เปิดร้านขายของชำ ขายโรตี ขายปาท่องโก๋ ทำงานรับจ้างรายวัน เป็นต้น มุสลิม มีบรรพบุรุษอพยพจากประเทศอื่น เช่น เนปาล ปากีสถาน อินเดีย แล้วมาอยู่ในพม่าก่อนที่จะเคลื่อนย้ายเข้ามายังชุมชนบ้องตี้ เนื่องจากการทำมาหากินฝืดเคืองและปัญหาการเมืองในพม่า (หน้า 88)
คนมุสลิมจากเมืองทวายที่แต่งงานกับคนไทย ในอดีตขณะที่คนมุสลิมยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน ผู้หญิงที่แต่งงานกับคนมุสลิมที่มาจากเมืองทวายและมุสลิมเชื้อสายอินเดียที่มาจากเมืองทวาย ในอดีตหากผู้หญิงไทยแต่งงานกับคนมุสลิมก็จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม และทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วยเนื่องจากสามีเป็นคนต่างด้าว ส่วนลูกที่เกิดมานั้นก็จะให้ใช้นามสกุลตามแม่ ในจำนวนนี้ก็มีคนมุสลิมเชื้อสายอินเดียที่มาจากเมืองทวายแต่งงานกับหญิงไทย คนมุสลิมที่แต่งงานกับคนไทยนั้นเมื่อมีลูกก็ให้ลูกใช้นามสกุลตามแม่ คนกลุ่มนี้ก็เหมือนกับคนไทยในพื้นที่แม้จะอยู่ร่วมกับคนทวายและคนรุ่นลูกที่มีนามสกุลไทยก็สามารถพูดภาษาทวายได้ (หน้า 88)
กะเหรี่ยง
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ตำแหน่งผู้นำชุมชนจะถูกนำโดยคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงเรื่อยมา บ้านบ้องตี้เป็นหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ.2483 การขยายตัวของหมู่บ้านทำให้มีการแบ่งเขตการปกครองใหม่ โดยแบ่งบ้องตี้ออกเป็น 2 หมู่บ้าน คือบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง ซึ่งเกิดพร้อมกับการแยกเป็นตำบลบ้องตี้ในปี พ.ศ.2519 (หน้า 92) ในชุมชน กลุ่มที่อยู่เป็นจำนวนมากอีกกลุ่มคือไทยใหม่เชื้อสายกะเหรี่ยง กลุ่มชาติพันธุ์นี้ในอดีตก่อนที่จะได้รับสัญชาติไทยมีบัตรประชาชน คนในชุมชนจะเรียกว่า “กะเหรี่ยงนอก” หรือกะเหรี่ยงที่มาจากเมืองนอก ซึ่งเมืองนอกในที่นี้หมายถึง ประเทศพม่า กลุ่มนี้บางคนเป็นญาติพี่น้องกับคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง กลุ่มกะเหรี่ยงนอก ส่วนมากจะตั้งบ้านเรือนอยู่กลุ่มบ้านห้วยน้ำขาวหรือหลังโรงเรียน กลุ่มบ้านวังคะโดะ กลุ่มบ้านต้นตาล และสร้างบ้านกะท่อมไม้ไผ่อยู่บริเวณใกล้กับอ่างเก็บน้ำของหมู่บ้านท้ายเหมือง กะเหรี่ยงยังไม่ได้รับสัญชาติทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีกะเหรี่ยงอีกส่วนหนึ่งที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติส ที่เข้ามาสร้างหอพักข้างอ่างเก็บน้ำบ้านท้ายเหมืองเมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา (หน้า 92)
มอญ
ในอดีตคนเชื้อสายมอญจะสร้างบ้านเรือนอยู่ในบริเวณไร่ของคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงที่เดินทางไปทางถนนสายหลังอนามัยทางทิศตะวันออกของบ้านบ้องตี้บน บริเวณนี้แต่เดิมเรียกว่า “พุสมี”ซึ่งแต่ก่อนมีคนมอญสร้างบ้านเรือนอยู่รวมกันประมาณ สิบหลังคาเรือน ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบ้านนี้ไม่มีแล้ว คงเหลือเพียงบ้านของคนทวายอยู่ในไร่เพียงหนึ่งหลังเท่านั้น เพราะภายหลังลูกหลานของคนไทยใหม่เชื้อสายมอญได้รับสัญชาติไทยมีบัตรประชาชน กลุ่มคนเชื้อสายมอญก็มาซื้อที่สร้างบ้านเรือนมาอยู่บริเวณถนนหลังอนามัยที่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดบ้องตี้ กลุ่มคนเชื้อสายมอญที่อยู่ในบ้องตี้อพยพมาจากอำเภอสังขละบุรี เริ่มแรกจะมาเยี่ยมญาติ และมาหางานทำ บางคนอยู่ตั้งแต่ลูกเป็นเด็กจนโตเป็นหนุ่มเป็นสาว กลุ่มคนเชื้อสายมอญจะเป็นกลุ่มที่อยู่อย่างเงียบๆ ไม่ค่อยมีบทบาทในสังคม มอญเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนน้อยที่สุดในชุมชนบ้องตี้ มีจำนวนประมาณ 30 คน แม้ว่าจะมีจำนวนที่น้อยแต่มีถิ่นฐานที่มาแตกต่างกัน ชาวมอญที่อยู่ในชุมชนบ้องตี้ส่วนใหญ่มาจากการถูกเจ้าหน้าที่รัฐไทยจับกุมจากการเป็นแรงงานเถื่อนและนำมาปล่อยในบริเวณชายแดนด่านห้วยโมง เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา เมื่อก่อนเขากระจายอยู่ทั่วไปตามพื้นที่เพาะปลูกในหมู่บ้านบ้องตี้บน ยึดอาชีพทำไร่เพาะปลูกพืช ปัจจุบันเหลือกลุ่มคนมอญอยู่ในชุมชนเพียงไม่กี่ครอบครัว พวกเขาพากันย้ายมาปลูกบ้าน อยู่บริเวณกลุ่มบ้านหลังอนามัย (หน้า 93)
ไทย
ในชุมชนบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง นั้นคนไทยจากหลายจังหวัด เข้ามาอยู่ในชุมชนเมื่อหลายสิบปีก่อน เช่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา และอื่นๆ กลุ่มที่มานั้นมาด้วยสาเหตุอันหลากหลาย เช่นมาจับจองที่ดินทำกินแห่งใหม่ บางส่วนก็เข้ามาเป็น ตชด.หรือรับราชการอื่นๆในพื้นที่ การติดต่อระหว่างคนทวายกับคนไทย มีทั้งรูปแบบเป็นทางการเช่น เวลาเข้าร่วมการประชุมประจำหมู่บ้านซึ่งจะมีขึ้นเป็นประจำทุกเดือน และแบบไม่เป็นทางการได้แก่การจ้างแรงงาน ในการทำงานในไร่ หรือรับจ้าง (หน้า 94)
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทวายกับคนไทยนั้นเป็นไปแบบเกื้อหนุนกันทั้งแบบทางการเช่นการติดต่อราชการ การร่วมกันทำงานพัฒนาชุมชน การเข้าร่วมประชุมของหมู่บ้าน การไปทำงานรับจ้าง เป็นต้น (หน้า 94) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษา
คนในพื้นที่ประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ หากพวกเขาพูดคุยกันถ้ามีคนไทยอยู่ด้วยก็จะพูดภาษาไทย ถ้าหากเป็นคนมอญพูดกันก็จะพูดภาษามอญ นอกจากนี้แล้วคนที่มาจากประเทศพม่า เช่น พม่า ทวาย มอญ กะเหรี่ยง ถ้าหากพบกันก็จะพูดภาษาพม่า ส่วนกะเหรี่ยงทั้งจากพม่าและในไทยถ้าพูดกันก็จะพูดภาษาไทย สำหรับกลุ่มคนที่ศึกษานั้น พูดภาษาทวายเป็นภาษาท้องถิ่นซึ่งมีความแตกต่างจากภาษาพม่าที่เป็นภาษาราชการของคนที่อยู่ในประเทศพม่า ดังเช่นคำกล่าวในงานเขียนของสุริยา รัตนกุล ที่ระบุถึงภาษาพม่าว่า “ภาษาพม่านับเป็นภาษาที่สำคัญที่สุดในบรรดาภาษาทั้งหกที่อยู่ในสาขาพม่า-โลโล (Burmese-Lolo) เพราะภาษาพม่าเป็นภาษาราชการของประเทศพม่า สาเหตุของความหลากหลายทางภาษาเนื่องมาจากภูมิศาสตร์ของประเทศพม่า ประกอบด้วยภูเขาและแม่น้ำที่แยกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ออกจากกัน (หน้า 60)
แม้ว่าคนทวาย คนพม่า และคนชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น มอญ กะเหรี่ยง จะเข้ามาอยู่ในพื้นที่ศึกษาเป็นเวลานานแต่พวกเขายังใช้ภาษาในกลุ่มชาติพันธุ์ของกลุ่มตน และใช้ภาษาพม่าเป็นสื่อกลางเมื่อพบกัน ดังเช่นในงานเขียนของ THUZA NWE ได้กล่าวว่า “ภาษาเมียนมาร์เป็นภาษาในตระกูลทิเบต-พม่า (Tibeto -Burman) เช่นเดียวกับภาษาสาขา ต่างๆ ในประเทศพม่า ภาษาเมียนมาร์เป็นภาษาราชการ การใช้อักษรเขียนภาษาเมียนมาร์เริ่มจากสมัยปะกัน (Pagan) ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 และ 12 ภาษาเมียนมาร์ ประกอบด้วยพยัญชนะ 33 ตัว สระ 12 เสียงการเขียนภาษาเมียนมาร์ คือนำเอาตัวอักษรมาประกอบกันเป็นพยางค์ คำในแต่ละพยางค์มีการเขียนสัญลักษณ์ของสระเสียงต่างๆ ไว้ด้านบน ด้านล่าง ด้านหน้า หรือด้านหลัง ตัวอักษรที่เป็นพยัญชนะต้น นอกจากนั้น ยังมีการเขียนสัญลักษณ์เพิ่มเติมที่แสดงถึงเสียงสูงต่ำ หรือเสียงวรรณยุกต์ ในตัวเขียนส่วนมากสามารถรู้ได้จากเครื่องหมายนั้นๆ เสียงวรรณยุกต์ 3 เสียง เน้นเสียงพยางค์ที่มีความเชื่อมต่อหรือสัมพันธ์กัน ภาษาเมียนมาร์คำแต่ละพยางค์ พยัญชนะต้นจะถูกล้อมรอบด้วยตัวสระที่เป็นส่วนประกอบการออกเสียงเป็นพยางค์ (หน้า 61) การพูดภาษาพม่านั้นถือว่าเป็นภาษากลางของคนต่างด้าวที่มาจากพม่า ส่วนภาษาเขียนนั้นจะเขียนได้เฉพาะในกลุ่มคนสูงอายุ หรือคนที่เคยเข้าโรงเรียนในประเทศพม่าก่อนที่จะมาอยู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง ทั้งนี้พวกเขาก็พูดคุยภาษาทวายในชีวิตประจำวัน การอยู่ในพื้นที่นั้นบางครั้ง พวกเขาเจอคนไทยถ้าพวกเขาจะพูดกันโดยไม่ต้องการให้คนไทยรู้เรื่องก็จะพูดภาษาพม่า สำหรับภาษาทวายนั้นเด็กๆ ก็จะพูดกับพ่อแม่ตามปกติ บางครั้งก็จะเพิ่มภาษาไทยเข้าไปด้วย ดังเช่นในงานเขียนของสุริยา รัตนกุล ได้กล่าวว่า ผู้คนในภูมิภาคตะนาวศรีเป็นคนหลายเผ่าหลายภาษา ภาษาทวายไม่ใช่ภาษาพม่า แต่เป็นภาษาท้องถิ่นหนึ่งของภาษาพม่า (หน้า 61)
การพูดคุยภาษาทวายในหมู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองนั้น กลุ่มคนทวายได้ใช้พูดคุยในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเด็กๆ ที่เกิดในบ้านบ้องตี้บนและบ้านท้ายเหมืองจึงสามารถพูดภาษาทวายได้ จากการพูดคุยเรื่องการใช้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในหมู่บ้าน ผู้วิจัยได้สอบถามชาวกะเหรี่ยงสัญชาติพม่าถึงการใช้ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มาจากประเทศพม่า เช่น พม่า ทวาย มุสลิม มอญ กะเหรี่ยง หากพบกันก็จะพูดภาษาพม่า ภาษาพม่าก็เหมือนกับภาษาไทยภาคกลาง คนที่มาจากเมืองอื่น เขาก็มีภาษาของเขาแต่ถ้ามาเจอกันก็พูดภาษาพม่าซึ่งถือว่าเป็นภาษาราชการของพม่า อยู่ที่พม่าก็สอนในโรงเรียน (หน้า 62)
ตัวอย่างภาษาของคนทวาย (หน้า 62)
ภาษาทวาย ภาษาพม่า ภาษาไทย
มาซา เทเมซา กินข้าว
เม็งกาลาบา เม็งกาลาบา สวัสดี
จิซุตัง เจ๊ซูติ่นเหน่ ขอบคุณ
อิแคแล ตั๊วเหล่เหม่ ไปเที่ยว (หน้า 62)
เต๊ะ ติ๊ หนึ่ง
เน๊ะ นิ สอง
ต๊ง โตง สาม
เล เล สี่
ง๊า งา ห้า
เฉาะ เช่า หก
คอเน๊ะ ข่น(คุนิ) เจ็ด
ชิ ชิ แปด (หน้า 62)
ปุ๊ โก เก้า
แตแซ ต้ะเส่ สิบ (หน้า 63) |
|
Study Period (Data Collection) |
ผู้วิจัย เก็บข้อมูลภาคสนาม 13 เดือน ในช่วงแรกลงพื้นที่ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน พ.ศ. 2554 และช่วงที่สอง เดือนกรกฏาคม-ธันวาคม พ.ศ. 2554 และมกราคม-พฤษภาคม 2555 และส่วนหนึ่งจะเป็นข้อมูลขณะที่ทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยในพื้นที่กรณีศึกษาตั้งแต่ พ.ศ. 2546-2547 (หน้า 35) |
|
History of the Group and Community |
พัฒนาการประวัติศาสตร์ของบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง
สำหรับความเป็นมาหรือพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองนั้น ได้ปรากฏตามคำบอกเล่าและบางส่วนที่ปรากฏในเอกสารทางวิชาการโดยได้กล่าวว่า แต่เดิมนั้นบ้องตี้เป็นด่านในช่วงสมัยสงครามเก้าทัพ “พ.ศ. 2328 พระเจ้าปดุงของพม่าจึงให้เตรียมกองทัพยกเข้ามาตีไทย เกณฑ์คนทั้งเมืองหลวง หัวเมืองขึ้น ตลอดจนประเทศราชรวมจำนวนพล 144,000 คน จัดเป็นกระบวนเก้าทัพ โดยมีกองทัพที่2 อยู่ที่เมืองทวาย มีกำลังพล 10,000 คน โดยให้แม่ทัพนำกำลังพลเคลื่อนกำลังเข้าไปทางด่านบ้องตี้ เพื่อตีทางตะวันตกของไทยตั้งแต่เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี และให้ไปบรรจบกองทัพที่ 1 ที่ชุมพร” (รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์, 2543 ดูที่หน้า39)
นอกจากนี้ยังมีตามเอกสารของผู้ที่เคยเข้ามาจัดกิจกรรมในพื้นที่ดังนี้ ชุมชนบ้องตี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2453 มีผู้ใหญ่ บ.(นามสมุติ) เป็นผู้นำชุมชนอย่างเป็นทางการคนแรก บ้องตี้มีฐานะทางราชการครั้งแรกเป็นหมู่ที่ 3 ตำบลสิงห์ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นหมู่ที่ 6 ตำบลลุ่มสุ่ม และได้ยกฐานะเป็นตำบลบ้องตี้ เมื่อ พ.ศ. 2519 อยู่ในเขตปกครองของอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 39)
พื้นที่บ้านท้ายเหมือง และบ้านบ้องตี้บน มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เช่น คนไทย คนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงซึ่งเป็นคนที่อยู่ดั้งเดิมในชุมชน คนไทยจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จากจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดนครราชสีมา และอื่นๆ ที่เดินทางมาบุกเบิกที่ดินทำกินแห่งใหม่ และรับราชการ นอกจากนี้ยังมีคนต่างด้าวที่เดินทางมาจากประเทศพม่า เช่น คนพม่า คนพม่าที่มาจากเมืองทวาย กะเหรี่ยง มอญ ซึ่งคนเหล่านี้อพยพเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านท้ายเหมือง และหมู่บ้านบ้องตี้บน เป็นจำนวนมากเมื่อประมาณ พ.ศ. 2538-2540 หลังจากที่กองกำลังทหารรัฐบาลพม่าตีค่ายกะเหรี่ยงอิสระที่เมืองห้วยโมงแตก ดังนั้นจึงทำให้มีคนต่างด้าวอพยพเข้ามาอยู่พื้นที่ศึกษาเป็นจำนวนมาก พื้นที่ศึกษาแต่เดิมนั้นคนในชุมชนหรือที่เรียกแต่เดิมว่ากะเหรี่ยงในนั้นมีญาติพี่น้องอยู่ฝั่งประเทศพม่า ดังนั้นจึงมีการเดินทางข้ามพรมแดนรัฐชาติเพื่อเยี่ยมเยือน และซื้อขายสินค้าตลอดจนก็มีคนไทยบางส่วนที่เดินทางไปทำงานกับบริษัทที่ทำไม้ในพม่า อีกด้วย (หน้า 49) คนต่างด้าวในอดีตนั้นแม้จะไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนแต่พวกเขา ก็จะใช้บัตรที่มีแบบต่างๆ เช่น บัตรสีฟ้า บัตรสีเขียวขอบแดง บัตรสีชมพู ซึ่งบัตรเหล่านี้จะใช้ในกลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่กรณีศึกษา โดยจะกำหนดให้อยู่ในพื้นที่อำเภอเท่านั้น กระทั่งกลางปี พ.ศ.2553 รัฐบาลในยุคนั้นได้ดำเนินการเพื่อมอบบัตรประจำตัวประชาชนให้กับบุตรหลานของคนต่างด้าวที่พ่อแม่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยและมีลูกเกิดในประเทศไทยก็จะมีสิทธิ์ให้มีนามสกุลไทย นอกจากนี้ยังมอบให้กับผู้ใหญ่ที่มีหลักฐานยืนยันว่าเกิดในประเทศไทยก็จะมีสิทธิ์ได้รับสัญชาติไทย (หน้า 50) |
|
Settlement Pattern |
กลุ่มที่อยู่ที่ศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า
ในการตั้งบ้านเรือนของคนทวาย นั้นตั้งเรียงรายสองฟากฝั่งถนนที่ยาวคดโค้งเข้าไปในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า ที่เป็นถนนดิน สำหรับกลุ่มที่อยู่ในศูนย์ฯ ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ และมีบ้านเรือนบางหลังที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่กลุ่มที่อยู่ทางเข้าศูนย์ฯ ที่อยู่ใกล้สุเหร่าส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม สำหรับคนทวาย หรือคนพม่า ที่อยู่ในศูนย์นี้แต่เดิมคนที่อยู่เคยเป็นอดีตคนงานเหมืองแร่ดีบุก กระทั่งเหมืองแร่ปิดกิจการอดีตคนงานเหมืองก็ยังสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณนี้ กระทั่งเมื่อถึงประมาณ พ.ศ. 2538 เมื่อค่ายของกองกำลังกะเหรี่ยงอิสระที่ตั้งอยู่ในฝั่งพม่าถูกกองกำลังทหารพม่าตีแตก จึงทำให้มีคนกะเหรี่ยงสัญชาติพม่าเข้ามาอยู่หมู่บ้านบ้องตี้บน และหมู่บ้านท้ายเหมืองเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นแล้วทางการไทยจึงมีนโยบายจัดเขตที่อยู่ให้กลุ่มคนทวาย หรือคนพม่า อยู่รวมกันอย่างเป็นสัดส่วนโดยได้จัดสรรที่ดินบริเวณ เหมืองแร่เก่าบ้านท้ายเหมืองให้อยู่ และให้แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านดูแลกันเองเมื่อ พ.ศ. 2538 โดยตั้งชื่อว่า “ศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า” เพื่อป้องกันไม่ใช่ทหารพม่าเข้ามาหาข่าว ภายในศูนย์ฯ สำหรับคนที่สามารถเข้ามาอยู่ภายในศูนย์จะมีเฉพาะกลุ่มคนที่มาจากเมืองทวายและเป็นคนพม่าเท่านั้น คนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ไม่สามารถเข้ามาอยู่ภายในศูนย์ฯได้ (หน้า 52)
สำหรับกลุ่มทวายพุทธ เมื่อก่อนพวกเขาส่วนใหญ่นิยมสร้างบ้านเป็นบ้านกระท่อมไม้ไผ่ เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะต้องย้ายบ่อยครั้ง และอีกอย่างคือสถานภาพทางสังคมในช่วงก่อนที่ยังไม่มีบัตรนั้นยังไม่มีความแน่นอน ดังนั้นจึงปลูกสร้างบ้านไม่มั่นคงเพื่อที่จะรื้อถอนได้ง่ายหากจำนวนต้องย้ายที่อยู่อาศัย แต่เมื่อลูกหลานมีบัตรประจำตัวประชาชน ดังนั้นจึงสร้างบ้านที่มีความมั่นคงสร้างด้วยปูนหรือไม้จริง ซึ่งการสร้างนั้นส่วนใหญ่นำมาจากรายได้ที่ลูกหลานไปทำงานในเมืองกาญจนบุรีและจังหวัดอื่น (หน้า 86)
ส่วนบ้านเรือนของคนทวายมุสลิม แรกเริ่ม ทำด้วยไม้ไผ่ เสาทำด้วยไม้จริง มุงด้วยสังกะสี บ้านลักษณะไม่ถาวร กระทั่งทุกวันนี้บ้านเรือนในศูนย์ส่วนใหญ่นั้นกั้นด้วยอิฐบล็อค มุงด้วยสังกะสี จะมีบ้านเรือนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สร้างด้วยไม้ไผ่เช่นในอดีต เพราะการสร้างบ้านแบบถาวรนั้นต้องซื้อวัสดุอุปกรณ์เป็นเงินจำนวนมาก (หน้า 86)
กลุ่มที่อยู่นอกศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า
คนทวายบางส่วนที่มีฐานะก็ขยับขยายออกมาซื้อที่ดินสร้างบ้านเรือนอยู่ภายนอกศูนย์ฯ สำหรับการสร้างบ้านอยู่ในศูนย์นั้นส่วนใหญ่คนที่นับถือศาสนาอิสลามจะสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณหน้าศูนย์ฯ ซึ่งอยู่ใกล้กับมัสยิด การสร้างบ้านเรือนในปัจจุบันนั้นจะมีความมั่นคงกว่าในอดีตซึ่งเมื่อก่อนจะสร้างบ้านแบบกะท่อมทำด้วยไม้ไผ่ มุงหญ้า หรือมุงสังกะสี แต่ในปัจจุบันเมื่อได้รับสัญชาติไทยมีบัตรประชาชนในชั้นลูกหลาน และในกลุ่มคนที่เกิดในประเทศไทย ภายหลังลักษณะการสร้างบ้านเรือนจึงเปลี่ยนไปโดยสร้างเป็นบ้านแบบถาวรคือทำด้วยอิฐบล็อกมุงสังกะสี บางหลังก็สร้างด้วยไม้จริงและมุงกระเบื้อง สำหรับบ้านแบบเดิมจะเหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ภายในศูนย์นั้นทั้งคนทวายที่นับถือศาสนาพุทธ และมุสลิมจะสร้างบ้านคละเคล้ากันไปไม่ได้แยกกลุ่มอย่างชัดเจน (หน้า 53) |
|
Demography |
ประชากร
กลุ่มชาติพันธุ์ อยู่ในแต่ละกลุ่มบ้านเช่นในบ้านบ้องตี้บน มี กลุ่มดงหมาก ประกอบด้วย คนไทย และกะเหรี่ยงใน หรือคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง และกะเหรี่ยงนอก (สัญชาติพม่า) บางส่วน กลุ่มห้วยน้ำขาวซึ่งตั้งอยู่หลังโรงเรียนบ้านบ้องตี้บน คนที่อยู่ส่วนใหญ่จะเป็นกะเหรี่ยงนอก กลุ่มหลังอนามัย ส่วนใหญ่คนที่อยู่จะเป็นคนไทยที่อพยพมาจากจังหวัดบุรีรัมย์ และกะเหรี่ยงใน กลุ่มต้นตาลส่วนใหญ่คนที่อยู่เป็นกะเหรี่ยงในและกะเหรี่ยงสัญชาติพม่า กลุ่มวังคะโดะกลุ่มนี้อยู่ห่างจากกลุ่มอื่นคนที่อยู่ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงนอก และกลุ่มพุสมี (ปัจจุบันมีบ้าน หนึ่งหลัง) แต่เดิมคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่เป็นคนมอญสัญชาติพม่า ปัจจุบันหลังจากได้รับสัญชาติไทยก็ย้ายมาอยู่บริเวณกลุ่มบ้านหลังอนามัย (หน้า 39)
ส่วนหมู่บ้านท้ายเหมืองนั้นแบ่งเป็นกลุ่มบ้านคือกลุ่มบ้านพุเตย กลุ่มบ้านเหนือเขื่อนอ่างเก็บน้ำ และศูนย์อพยพผู้พลัดถิ่นชาวพม่าในส่วนนี้คนที่อยู่ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยเชื้อสายพม่า ที่นับถือพุทธและอิสลาม นอกจากนี้ก็มีคนเชื้อสายอินเดียที่นับถืออิสลาม ส่วนใหญ่ตั้งบ้านเรือนอยู่หน้าศูนย์ฯ สำหรับมุสลิมในบ้องตี้นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนหนี่ 30 ครอบครัว จำนวน 200 คน ส่วนมากเป็นคนต่างด้าวซึ่งสร้างบ้านเรือนอยู่ใกล้มัสยิด “ อัล-มูฮายีริน”ซึ่งตั้งอยู่บ้านท้ายเหมือง (หน้า 39)
ประชากรชาย-หญิง ที่มีสัญชาติไทย ตำบลบ้องตี้ ในหมู่บ้านบ้องตี้บน มีผู้มีสัญชาติไทย 366 ครัวเรือน แบ่งเป็นชาย 299 คน และผู้หญิง 289 คน รวมทั้งสิ้น 588 คน ส่วนบ้าน ท้ายเหมืองมีครัวเรือนที่มีสัญชาติไทย 269 ครัวเรือน แบ่งเป็นชาย 215 คน ผู้หญิง 199 คน รวมทั้งหมด 414 คน ส่วนครัวเรือน ที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย ตำบลบ้องตี้ ประกอบด้วยบ้านบ้องตี้บน 80 ครัวเรือน และบ้านท้ายเหมือง 103 ครัวเรือน (หน้า 58)
กลุ่มคนไทยเชื้อสายพม่า และคนทวายที่ไม่มีบัตรส่วนใหญ่แล้วเป็นอดีตคนงานเหมืองที่เดินทางมาจากเมืองทวาย ประเทศพม่า เมื่อประมาณ 40 ปีก่อน หลังจากที่เหมืองแร่ได้ปิดกิจการไปแล้ว จากนั้นเป็นต้นมาคนงานเหมืองซึ่งส่วนใหญ่ เป็นมุสลิมชาวพม่าและเชื้อสายอินเดียก็ไม่ได้เดินทางกลับบ้านเดิมที่เมืองทวาย ประเทศพม่า อีกเลย สำหรับลักษณะการตั้งที่อยู่อาศัยนั้น บริเวณที่ตั้งของศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า ได้ตั้งบนเหมืองแร่เก่าซึ่งทางการได้จัดสรรให้เป็นที่อยู่ ซึ่งทุกวันนี้สภาพบ้านเรือนส่วนใหญ่ได้สร้างแบบถาวร หลังคามุงสังกะสี กั้นผนังด้วยอิฐบล๊อค ปูพื้นด้วยซีเมนต์ ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่มุงสังกะสี กั้นด้วยฟากไม้ไผ่ พื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่ ซึ่งในปัจจุบันนี้คำเรียกศูนย์ผู้พลัดถิ่นก็ยังเรียกกันอยู่ แต่หลังจากที่คนในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่าได้รับสัญชาติไทย ในภายหลังก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ของศูนย์ได้รวมเข้าเป็นหมู่บ้านท้ายเหมือง และมีบางครอบครัวได้ออกไปตั้งครอบครัวภายนอกศูนย์หรือซื้อที่ดินปลูกบ้านหลังใหม่ ในการตั้งบ้านเรือนของคนไทยเชื้อสายพม่าซึ่งเป็นกลุ่มที่มีบัตรประชาชนไทย และกลุ่มที่ยังไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนไทยนั้น การตั้งบ้านเรือนจะตั้งเรียงรายสองฟากฝั่งถนนที่ยาวคดโค้งเข้าไปในศูนย์ที่เป็นถนนดิน กลุ่มที่อยู่ในศูนย์ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธและมีบ้านเรือนบางหลังที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่กลุ่มที่อยู่ทางเข้าศูนย์ที่อยู่ใกล้สุเหร่าส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม (หน้า 59)
|
|
Economy |
อาหาร
กลุ่มชาติพันธุ์ที่มาจากประเทศพม่า เช่น กะเหรี่ยง พม่า ทวาย มอญ นั้นจะชอบดื่มกาแฟในตอนเช้า โดยเฉพาะกลุ่มมุสลิม (หน้า 76) มักจะชงกาแฟร้อนมาให้ดื่มและมีขนมขบเคี้ยว ขนมปัง สำหรับอาหารการกินแล้วส่วนใหญ่จะประกอบด้วยผัก ทั้งนึ่งต้ม จิ้มกินกับน้ำพริก ถ้าเป็นช่วงเทศกาลถึงจะมีอาหารที่ทำด้วยเนื้อสัตว์ ซึ่งจากที่ผู้ศึกษาเคยพูดคุยกับคนมอญเขาก็ได้พูดถึงอาหารว่า เวลาไปวัด วิธีสังเกตุว่าอันไหนอาหารพม่า มอญ กะเหรี่ยงหรือคนไทย ถ้าเป็นแกงอันไหนที่ทำเป็นก้อนใหญ่ๆ เป็นกับข้าวของมอญ พม่า กะเหรี่ยง แต่ถ้าเป็นกับข้าวของคนไทยไม่ว่าอะไรจะใส่ผักเยอะและเนื้อจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นอกจากนี้อาหารของคนพม่า ทวาย มอญ กะเหรี่ยงจากพม่า ส่วนใหญ่จะใส่มัสร่า ซึ่งแตกต่างจากอาหารของคนไทย เนื่องจากความเร่งรีบในการไปทำงาน หรือความเป็นอยู่ที่ประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ดังนั้นจึงทำให้อาหารการกินของคนในพื้นที่มีความใกล้เคียงกัน เช่นซื้ออาหารตามร้านขายของชำซึ่งจะมีอาหารสดเช่น ไก่ ปลา ปลาทู เนื้อ อัดใส่ถึงน้ำแข็งไว้ขาย นอกจากนี้ยังซื้อที่ตลาดนัดทุกวันพฤหัสบดีและซื้อจากรถเร่ ดังนั้นอาหารการกินของคนในพื้นที่ส่วนใหญ่ก็จะมาจากการซื้อหา การเก็บผักสวนครัวกินเอง หรือเก็บผักตามป่าก็พอมีให้เห็นบ้าง
ปัจจุบันอาหารของคนไทย คนไทยใหม่ และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่อยู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองแทบจะไม่แตกต่างกัน อาหารส่วนใหญ่จะเป็นผักกับน้ำพริก และอาหารที่ซื้อตามตลาดนัด ร้านขายของชำที่มีอยู่หลายแห่งในหมู่บ้าน อาหารของไทยใหม่ที่เป็นคนทวาย พม่า มอญ กะเหรี่ยง หากเป็นช่วงเทศกาลส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เนื้อสัตว์โดยใส่ผงมัสร่า ซึ่งเป็นการทำอาหารที่แตกต่างจากอาหารของคนไทย นอกจากนี้อาหารของไทยใหม่และคนต่างด้าวยังนิยมใส่น้ำมันพืช ดังนั้นรสชาติอาหารจึงค่อนข้างมัน และไม่ค่อยมีส่วนประกอบที่เป็นผัก ถ้าจะแกงก็จะสับเนื้อเป็นก้อนใหญ่ๆ แล้วใส่เครื่องเทศ ใส่ผงมัสร่า ต้มจนสุกก็จะได้แกงที่มีกลิ่นหอมรสชาติเอร็ดอร่อย แต่ไม่เหมือนอาหารไทยเพราะไม่มีผักเป็นส่วนผสมนอกจากเนื้อล้วนๆ ดังนั้นจึงทำให้รสชาติค่อนข้างมัน แต่อาหารแบบนี้จะมีเฉพาะช่วงเทศกาลหรือมีงานสำคัญ ส่วนใหญ่แล้วคนทวายและพม่าและคนต่างด้าวอื่นๆ ก็จะซื้ออาหารตามร้านค้า หรือรถเร่ที่มาขายในหมู่บ้าน (หน้า 77)
เศรษฐกิจ
คนที่นี่ได้ค่าแรงวันละ 200 บาท ซึ่งอัตราค่าแรงนั้นในช่วงที่ผู้ศึกษาทำงานในพื้นที่ช่วงปี พ.ศ.2546-2547 นั้น อัตราการจ้างแรงงานรายวัน เช่นเก็บข้าวโพด ทำงานดายหญ้า ถางป่า ค่าแรงจะคิดอยู่ที่วันละ 100 บาท กระทั่งในภายหลังได้ปรับเปลี่ยนเพิ่มเป็นวันละ 150 บาท ตามลำดับ ส่วนปัจจุบันการจ้างแรงงานจะอยู่ที่ 200 บาทต่อวัน ในบางครั้งเจ้าของไร่ก็เพิ่มค่าแรงให้เป็น 230 บาท-250 บาท (หน้า 78)
สภาพเศรษฐกิจในชุมชนนั้นมีความแตกต่างกัน สำหรับกลุ่มคนไทยบางส่วนจะทำงานเป็นครู อบต. ตชด. และอื่นๆ บางส่วนก็เป็นนายทุนในการทำไร่โดยจะมีลูกไร่ที่มารับปุ๋ย ยาฆ่าแมลง จ้างไถ จากนายทุนเมื่อได้ผลผลิตก็จะหักค่าใช้จ่ายในภายหลัง ซึ่งในช่วงที่ลงพื้นที่ในช่วงเดือนธันวาคม 2554 นั้น เป็นช่วงที่เก็บมันสำปะหลัง ซึ่งจากการสอบถามทำให้ผู้ศึกษาทราบว่า มันสำปะหลังเพิ่งเข้ามาในชุมชนประมาณ สามปีที่แล้ว สำหรับเศรษฐกิจของกลุ่มชาติพันธุ์ ทวาย พม่า มอญ คนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ส่วนใหญ่แล้วจะทำงานรับจ้างรายวัน ส่วนคนที่มีที่ดินเป็นของตัวเองก็จะทำไร่ บางรายก็เปิดร้ายขายของชำและของกินของใช้ในครัวเรือน (หน้า 79)
สำหรับปฏิทินการทำงานและประเพณีของคนไทยเชื้อสายพม่าและคนพม่า/ทวาย พบว่าคนในพื้นที่มีวิถีชีวิตการทำงานในแต่ละเดือนที่เกี่ยวพันกับฤดูกาลเพาะปลูกอันมีผลกับการจ้างงาน จากที่ผู้วิจัยได้สอบถามคนไทยเชื้อสายพม่าวัยกลางคนรายหนึ่ง ได้เล่าถึงปฏิทินการทำงานในหนึ่งปีว่า ในช่วงเดือนมกราคมจะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ช่วงนี้ยังเป็นเทศกาลเฉลิมฉลอง เมื่อเข้าสู่เดือนกุมภาพันธุ์เดือนนี้จะปลูกพริก ข้าวโพดและปลูกข้าว ในเดือนมีนาคมจะเป็นช่วงรับจ้างดายหญ้าในไร่ ในเดือนเมษายนเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ เดือนพฤษภาคมจะเป็นช่วงเก็บพริกและข้าวโพด
ช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมจะเป็นช่วงที่ปลูกพริก ส่วนเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนจะเป็นช่วงรับจ้างทั่วไปและย่างเข้าสู่เดือนธันวาคมก็จะเป็นช่วงที่ทำงานรับจ้างขุดมัน หักข้าวโพด ตัดอ้อยและเก็บฝ้าย ในการทำงานของคนในพื้นที่ยังขึ้นอยู่กับฤดูกาลและพืชที่ปลูกแต่ละช่วงฤดูว่าจะมีรายได้มาจากส่วนไหน เช่นหน้าขุดมันก็ไปขุดมัน หน้าข้าวโพดก็ไปเก็บข้าวโพด อย่างไรแล้วแม้ว่าการทำงานแต่ละอย่างจะสลับเปลี่ยนหมุนเวียนได้แต่อัตราค่าแรงของคนในพื้นที่ยังมีลักษณะตายตัว และนานๆ ถึงจะขึ้นค่าแรง ซึ่งอัตราการจ้างแรงงานนั้นก็แสดงให้เห็นถึงหลายวิ่งหลายอย่างที่ต้องพึ่งพาคนต่างด้าวจากพม่า (หน้า 79)
หมากพม่า
หมากพม่าเป็นที่นิยมของชาวบ้าน ราคาหมากพลูจะขายคำละ สองบาท ถ้า สามคำก็ห้า บาท หมากที่ขายจะมีหลายรส แตกต่างจากหมากพลูของคนไทย ที่มีเพียงหมาก พลู ปูน และไม้คูณเป็นชิ้นเล็กๆ เท่านั้น แต่หมากของพม่ามีทั้งรสหวานที่มีส่วนผสมของขนมหวาน เช่น สลิ่ม ผงช็อกโกแล็ต และส่วนผสมอื่นๆที่ได้รับความนิยมจากลุ่มชาติพันธุ์ที่เดินทางมาจากประเทศพม่า (หน้า 71) |
|
Social Organization |
กลุ่มกิจกรรมในชุมชน
ในหมู่บ้านบ้องตี้บนและหมู่บ้านท้ายเหมืองมีการจัดองค์กรทางสังคม ต่างๆ ดังนี้
กลุ่มกองทุนเงินล้าน การเป็นสมาชิกนั้น คนไทยใหม่สามารถเป็นสมาชิก โดยมีข้อแม้ว่าต้องเป็นสมาชิกครบ หกเดือนจึงจะสามารถกู้ยืมเงินได้ ซึ่งจากที่ผู้วิจัยเคยเข้าร่วมฟังการประชุมนั้นจากที่ได้รับฟังคณะกรรมการที่ดำเนินการประชุมรู้สึกว่าสาเหตุที่คนไทยใหม่ ต้องเป็นสมาชิกครบ หกเดือนก่อน ก็เพื่อเป็นการรับรองว่าอยู่ในพื้นที่จริง มีการตั้งหลักปักฐานอยู่ที่แน่นอนไม่มีการเคลื่อนย้ายไปไหนซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะไม่อยู่ในพื้นที่อย่างถาวร และจะเคลื่อนย้ายที่อยู่ไม่แน่นอนเหมือนเช่นก่อนที่จะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย ซึ่งถ้าทำเช่นนั้นก็ถือว่ามีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมในการเป็นสมาชิกเงินกองทุนหมู่บ้านนอกจากนี้แล้วคนไทยใหม่ยังมีสิทธิ์เหมือนกับคนไทยเก่าที่อยู่ในพื้นที่มาแต่ปู่ย่า ตา ยาย เช่น มีสิทธิ์ สำหรับการจัดกลุ่มองค์กรต่างๆ นั้นมีมากมาย
ในการเป็นสมาชิกของแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์นั้น จะให้กรรมการที่เป็นชาติพันธุ์นั้นๆ ดูแลสมาชิก การที่ให้กลุ่มสมาชิกดูแลคนในกลุ่มของตัวเองอาจเป็นเพราะความสนิทสนมส่วนตัวและอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องภาษา เช่นกลุ่มไทยใหม่เชื้อพม่าก็จะดูและคนไทยใหม่ในกลุ่มชาติพันธุ์ของตน และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน (หน้า 57)
กลุ่มอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพ (อสม.) กลุ่มนี้จะมีหน้าที่ช่วยงานของโรงพยาบาลประจำตำบลบ้องตี้ เช่นให้ความรู้เรื่องสุขภาพอนามัย และการรักษาพยาบาลกับคนในชุมชน และช่วยเหลือเจ้าหน้าที่พยาบาลและแพทย์ ที่เข้ามาให้การรักษาและให้ความรู้กับคนในชุมชน เช่น เมื่อครั้งที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งจากกรุงเทพฯ เดินทางมาตรวจสุขภาพกับคนในหมู่บ้านบ้องตี้บน และหมู่บ้านท้ายเหมือง ผู้วิจัยได้ทำงานสำรวจข้อมูลพื้นฐานเรื่องสุขภาพอนามัย รายได้ รายจ่ายของแต่ละครอบครัว ในตำบลบ้องตี้ หลังจากทำการสำรวจข้อมูลขั้นพื้นฐาน โดยในวันที่เจ้าหน้าที่แพทย์ และพยาบาลจากโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนมานั้น เจ้าหน้าที่ อสม. ก็ไปรับตลับตรวจพยาธิไปแจกในกลุ่มบ้านต่างๆ และนำกลับมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจหาพยาธิ
การทำงานของ อสม.นั้นเป็นผลดีกับการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพราะในพื้นที่บ้านบ้องตี้บนและบ้านท้ายเหมืองนั้น ค่อนข้างเป็นเทือกเขาและป่าไม้สลับซับซ้อน การทำงานของ อสม.ก็จะช่วยเหลือในการติดต่อประสานกับกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะในเรื่องภาษา (หน้า 57)
กลุ่มทอผ้า กลุ่มนี้ทำงานอยู่ที่ศูนย์วัฒนธรรมกะเหรี่ยง โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ที่ศูนย์ สามคน ในสมัยช่วงที่อดีตกำนันเป็นผู้นำ ในเวลานั้น กลุ่มทอผ้าได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากในเวลานั้นกลุ่มผู้นำหมู่บ้านให้การสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว และในแต่ละวันจะมีกรุ๊ปทัวร์จากภายนอกนั่งรถมาเยี่ยมชมศูนย์วัฒนธรรมกะเหรี่ยงที่กลุ่มบ้านดงหมาก บ้านบ้องตี้บน ชมบ้านกะเหรี่ยง และการแสดงของกลุ่มเยาวชน ในทุกวันนี้เมื่อนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเข้ามาแล้ว ศูนย์จัดการแสดงก็ผุพังไปตามกาลเวลา สำหรับการทอผ้านั้น ผ้าที่ทอจะมีหลายแบบเช่นเสื้อกะเหรี่ยง โดยแยกเป็นแบบต่างๆ เช่น เสื้อของเด็กและเสื้อเสื้อผ้าผู้ใหญ่ชายและหญิง
นอกจากนี้ยังประกอบด้วยกลุ่มกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ เช่น กลุ่มเยาวชน, กลุ่มแม่บ้าน, กลุ่มหมอดินอาสา และอื่นๆ การเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมทางสังคมก็เป็นเหมือนการแสดงซึ่งสิทธิต่างๆ ของกลุ่มคนไทยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นชาติพันธุ์ใด การแสดงออกดังกล่าวนั้นมีความหมายในการอยู่ร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในชุมชน (หน้า 58) |
|
Political Organization |
การเมืองการปกครอง
หมู่บ้านบ้องตี้บน และหมู่บ้านท้ายเหมือง มีการจัดระเบียบการปกครองโดยทั่วไป เหมือนเช่นที่เคยเป็นมาในอดีตตั้งแต่ การทำหน้าที่เป็นผู้นำชุมชนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของกะเหรี่ยงใน (กะเหรี่ยงสัญชาติไทย) แต่เดิมตกอยู่ในกลุ่มอำนาจของอดีตกำนันตระกูลหนึ่งที่ทำหน้าที่ผู้นำชุมชนเป็นเวลานาน กระทั่งเปลี่ยนมาเป็นผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบัน นอกจากกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว ในหมู่บ้านยังมีคนไทยอีกส่วนที่เข้ามารับราชการในพื้นที่ อาทิ อาชีพครู สาธารณสุข ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และอื่นๆ ส่วนชนกลุ่มน้อยก็จะมีบทบาทหน้าที่ซึ่งแตกต่างกันออกไปส่วนใหญ่แล้วคนต่างด้าวจะทำงานในไร่ของคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง และนายทุนที่เป็นคนไทย
ตำบลบ้องตี้มีระบบการปกครองแบบองค์การบริหารส่วนตำบล โดยมีนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และมีประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบ้องตี้ ผู้นำอย่างเป็นทางการของหมู่ 1 คือผู้ใหญ่บ้านบ้องตี้บน และผู้นำหมู่ 3 คือผู้ใหญ่บ้านบ้านท้ายเหมืองสำหรับชาวทวาย หรือ พม่า ที่อยู่ในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่านั้น ทางการได้แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ ปัจจุบันตำแหน่งนี้ได้ว่างเว้นลงเนื่องจากผู้ใหญ่บ้านศูนย์ป่วย และยังไม่มีการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ขึ้นมาแทน สำหรับการตั้งผู้ใหญ่บ้านของศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่านั้นก็เพื่อให้คนทวาย คนพม่า ที่อยู่ในศูนย์ปกครองดูแลกันเอง หากเรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ ก็จะไม่ไปให้ผู้ใหญ่บ้านบ้านท้ายเหมือง ไกล่เกลี่ย ปัจจุบันหมู่บ้านท้ายเหมือง มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 3 คน (หน้า 54)
ผู้นำอย่างไม่เป็นทางการนั้นส่วนใหญ่ข้องเกี่ยวกับพิธีทางศาสนาโดยจะเป็นผู้นำเมื่อมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในหมู่บ้านประกอบอาจารย์สอนศาสนาคริสต์ โดยจะนำผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ ประกอบพิธีที่โบสถ์ห้วยน้ำขาว (หลังโรงเรียน) และโบสถ์ต้นตาล ใน วันอาทิตย์ กลุ่มผู้นำศาสนาคริสต์จะสอนภาษากะเหรี่ยงให้กับเด็กๆ ก่อนทำพิธีนมัสการพระเจ้า กลุ่มผู้นำศาสนาคริสต์นอกจากจะเป็นผู้นำการประกอบพิธีในโบสถ์แล้วยังเป็นผู้นำสวดในการประกอบพิธีอื่นๆ เช่นสวดขอบคุณพระเจ้า
กลุ่มผู้นำศาสนาคริสต์วันอาทิตย์ จะมีบทบาทในการดูแลด้านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ของไทยใหม่เชื้อสายกะเหรี่ยง และคนต่างด้าวเชื้อสายกะเหรี่ยงที่เดินทางมาจากประเทศพม่า และคนที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ภายหลังที่แต่งงานกับคู่สมรส ผู้นำศาสนาคริสต์นิกายเซเว่นเดย์แอดเวนติส (คริสต์วันเสาร์) กลุ่มนี้จะมีอาจารย์สอนศาสนาคริสต์อยู่ที่หมู่บ้านบ้องตี้ล่าง และจะมีหอพักสำหรับนักเรียนหญิงตั้งอยู่ที่อ่างเก็บน้ำบ้านท้ายเหมือง ที่หอพักจะมีนักเรียนหญิงอยู่ เก้าคน และครูพี่เลี้ยงต่างชาติ สองคน ที่อยู่ช่วยเหลือในการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาในกลุ่มนิกายเซเวนเดย์แอดเวนติส ในกลุ่มนี้จะประกอบพิธีที่โบสต์บ้องตี้ล่างในวันเสาร์และส่วนหนึ่งจะมาทำพิธีที่หอพักอ่างเก็บน้ำบ้านท้ายเหมือง ผู้นำกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์วันเสาร์ จะมีส่วนช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยไม่สบาย โดยทางโบสถ์จะมีรถกะบะวิ่งรับส่งคนเจ็บป่วยไปส่งโรงพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เจ้าอาวาสวัดบ้องตี้ เป็นผู้นำของกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยคึกคักด้านการทำพิธีเหมือนกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาอื่น กลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาพุทธ ประกอบด้วย คนไทย คนไทยใหม่เชื้อชาติพม่า มอญ คนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง และ คนไทยจากภาคอีสาน (หน้า 55) สำหรับบทบาทของเจ้าอาวาสจะเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมแต่ในการทำพิธีบางครั้งคนไปน้อยจนต้องยกเลิกการประกอบพิธีกรรมก็มี
โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดอัล-มูฮายีริน ผู้นำของกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามจะมีบทบาทในการประกอบพิธีทางศาสนาในแต่ละวันเช่น การละหมาดวันละ ห้าเวลา เนื่องจากในอำเภอไทรโยคมีมัสยิดอยู่หนึ่งที่คือมัสยิดอัล-มูฮายีริน ที่หมู่บ้านท้ายเหมือง ดังนั้นคนมุสลิมถ้ามีโอกาสก็จะมาร่วมทำพิธีทางศาสนาอิสลิมที่มัสยิดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก นอกจากเป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โต๊ะอีหม่าม ยังสอนภาษาอาหรับให้กับเด็กนักเรียน โดยจะเปิดสอนหลังจากโรงเรียนบ้องตี้เลิกแล้ว โต๊ะอิหม่ามก็จะสอนภาษาอาหรับให้กับเด็กๆ เป็นเวลา 30 นาที จึงจะให้เด็กกลับบ้านที่อยู่ในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่าและที่อยู่บริเวณหน้าศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า
การเมืองการปกครองของหมู่บ้านบ้องตี้บนและหมู่บ้านท้ายเหมืองนั้นมีส่วนเกี่ยวโยงกับผู้นำอย่างเป็นทางการและผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ เนื่องจากคนในหมู่บ้านประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์และนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน ดังนั้นในการดำเนินกิจกรรมด้านการเมืองการปกครองจึงต้องได้รับความร่วมมือกันจากผู้นำอย่างเป็นทางการ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ของรัฐเช่น ครู เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อบต. ตชด. และผู้นำอย่างไม่เป็นทางการเช่น กลุ่มผู้นำของศาสนาต่างๆในชุมชน (หน้า 56)
การปกครองในศูนย์ผู้พลัดถิ่น
การอยู่ร่วมกันในชุมชนในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า หมู่บ้านท้ายเหมือง แต่เดิมทางการไทยได้แต่งตั้งให้มีผู้นำคอยดูแลผู้คนที่อยู่ในศูนย์ฯ แต่ปัจจุบันผู้ใหญ่ศูนย์ฯ ป่วยไม่สามารถทำหน้าที่ได้ และยังไม่มีการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่มาดูแลศูนย์ ผู้ใหญ่บ้านของศูนย์ฯ เป็นมุสลิมแต่ก็ปกครองทั้งคนที่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม ส่วนผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านท้ายเหมือง (ไทยเก่าเชื้อสายกะเหรี่ยง) นับถือศาสนาพุทธ และปัจจุบันหมู่ 3 มี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นมุสลิม ซึ่งมีแม่เป็นคนไทยมุสลิมและพ่อเป็นมุสลิมเชื้อสายอินเดียจากเมืองทวาย (หน้า 52) |
|
Belief System |
ความเชื่อ และศาสนา
กลุ่มคนทวายและคนไทยเชื้อสายพม่า ส่วนใหญ่อยู่ในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า บ้านท้ายเหมือง บริเวณนี้เป็นเหมืองแร่เก่า ต่อมาจึงมีชื่อว่าบ้านท้ายเหมืองหลังจากแยกออกจากบ้านบ้องตี้บน เป็นบ้านท้ายเหมือง เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2519 สำหรับบริเวณที่เรียกว่า ศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่านั้น คนที่อยู่ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยเชื้อสายพม่า ซึ่งแต่เดิมพวกเขาจะเรียกตัวเองว่า คนทวาย เนื่องจากเดินทางมาจากเมืองทวายประเทศพม่า คนในศูนย์จะมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลาม กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่จะอยู่ด้านในสุดของศูนย์ ส่วนคนที่รับถือศาสนาอิสลามส่วนมากจะอยู่ทางเข้าศูนย์ซึ่งอยู่ใกล้กับสุเหร่า
กลุ่มคนไทยเชื้อสายพม่าที่เป็นกลุ่มกรณีศึกษานั้นมีทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ และผู้นับถือศาสนาอิสลาม ถึงแม้จะมีความแตกต่างกันแต่กลุ่มที่อยู่ในศูนย์ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขโดยไม่นำเรื่องศาสนามาแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย นอกจากนี้ยังมีการแต่งงานข้ามกลุ่มคือคนพม่าที่นับถือศาสนาพุทธถ้าแต่งงานกับคนพม่าที่นับถือศาสนาอิสลาม เมื่อแต่งงานแล้วคนที่นับถือศาสนาพุทธก็จะเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม
นอกจากนี้ ทวายพม่านั้นยังมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างอื่นด้วย เช่นตรงที่เหนือศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่าจะมีศาลเจ้าที่พวกเขาเรียกว่า ปูชิดิอี (ศาลเจ้า) อยู่ด้านเหนือหมู่บ้านท้ายเหมือง ศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า ดังเช่นหญิงทวายรายหนึ่งกล่าวว่า ไหว้ช่วงออกพรรษา เข้าพรรษาของที่นำมาไหว้ประกอบด้วย กล้วย น้ำส้ม ขนม มะพร้าว ลูกอม บุหรี่ ช่วงทำพิธีจะมีคนนำการทำพิธีไหว้เพื่อความเป็นศิริมงคล (หน้า 64)
ประเพณี
การจัดพิธีกรรมทางความเชื่อและศาสนานั้นไม่เพียงแต่จะเป็นการจัดพิธีกรรมเท่านั้นแต่ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงการช่วยเหลือพึ่งพากันของคนในชุมชนเดียวกัน ดังตัวอย่างเช่น งานศพ เมื่อมีคนในหมู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองเสียชีวิต คนที่เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงก็จะไปช่วยกันจัดเตรียมงานและไปร่วมแสดงความเสียใจกับเจ้าภาพญาติของผู้ตายอย่างพร้อมเพรียงกัน เช่นกรณีที่บ้านหลังนั้นมีคนที่นับถือศาสนาพุทธและนับถือศาสนาคริสต์ ที่เป็นเช่นนี้อาจมาจากที่แต่เดิมผู้ตายเคยนับถือศาสนาพุทธต่อมาเมื่อแต่งงานก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ตามคู่สมรส แต่บางรายที่นับถือศาสนาพุทธแต่เมื่อมาแต่งงานกับคนที่นับถือศาสนาคริสต์แล้วแต่ไม่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาตามคู่สมรสก็มี กรณีนี้จะจัดพิธีกรรมทางศาสนาทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ คนในหมู่บ้านส่วนในกลุ่มที่นับถือศาสนาเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเช่นในกลุ่มคนกะเหรี่ยงสัญชาติพม่าส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนาคริสต์ เมื่อมีคนเสียชีวิตก็จะจัดพิธีกรรมตามความเชื่อในแบบของชาวคริสต์ โดยจะเชิญบาทหลวงที่อยู่โบสถ์ห้วยน้ำขาวหรือโบสถ์ต้นตาลมาเป็น ผู้ประกอบพิธี ส่วนกลุ่มมุสลิมก็จะจัดพิธีในบริเวณสุเหร่าโดยมีโต๊ะอิหม่ามเป็นผู้นำในการประกอบพิธี แต่ในกลุ่มมุสลิมจะมีความแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่นคือจะทำพิธีศพโดยการฝังและจะทำให้แล้วเสร็จภายในวันนั้นเลย
กรณีการจัดงานศพของคนที่นับถือศาสนาพุทธนั้นคนที่นับถือศาสนาอื่นถ้าไปร่วมพิธีก็จะไปช่วยงานเฉยๆ แต่จะไม่ไหว้พระแต่ก็จะช่วยเหลืองานทุกอย่างเช่น กางเต็นท์ ทำกับข้าว จัดเตรียมสถานที่ ไปขนน้ำมาเพื่อใช้ล้างถ้วยชาม หรือต้อนรับแขกเหรื่อที่ไปร่วมงาน ดังเช่นพิธีงานศพของผู้ที่เสียชีวิตในหมู่บ้านรายหนึ่ง มีผู้ที่ไปร่วมงานมีทั้งคนไทย คนไทยใหม่เชื้อสายพม่า กะเหรี่ยงสัญชาติไทย มอญ ข้าราชการในพื้นที่และญาติๆ ของผู้เสียชีวิตที่อยู่ในพื้นที่และอยู่นอกพื้นที่ การจัดงานจะทำพิธีทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ โดยจะแบ่งช่วงการประกอบพิธีทางศาสนาถ้าเป็นพิธีของศาสนาคริสต์ คนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ สำหรับช่วงพิธีทางศาสนาพุทธนั้น คนที่เข้าร่วมทำพิธีก็จะเข้าเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ (หน้า 65)
ส่วนในกลุ่มคนไทยใหม่เชื้อสายพม่า ก็จะใช้ช่วงจังหวะนี้เพื่อแสดงความมีส่วนร่วมโดยเดินทางมาร่วมงาน สำหรับการจัดงานศพนั้นจะมีลักษณะพิเศษกว่าพิธีกรรมอื่นๆคือคือคนที่มาร่วมงานจะได้รับเชิญหรือไม่ได้รับเชิญก็ได้เพื่อเป็นการแสดงความมีน้ำใจหรือความกตัญญูต่อผู้ที่ล่วงลับ กรณีที่งานศพของใครที่มีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมากย่อมเป็นตัวชี้วัดว่าผู้ที่เสียชีวิตรายนั้นเป็นคนกว้างขวางช่วยเหลือคนอื่นไว้มากดังนั้นเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว จึงมีคนร่วมมาแสดงความไว้อาลัยอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
ครั้งหนึ่งซึ่งมีคนทวายในศูนย์ผู้อพยพพลัดถิ่นชาวพม่าจัดงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อฉลองที่ตามลูกสาวกลับบ้านได้ หลังจากที่ถูกหลอกไปทำงานต่างถิ่นโดยไม่ส่งข่าวคราวเป็นเวลากว่าหนึ่งปี วันหนึ่งเมื่อลูกสาวกลับมาถึงบ้าน ชายชาวทวายที่นับถือศาสนาพุทธจึงจัดงานเลี้ยงน้ำชา โดยเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมงาน และผู้วิจัยก็ได้ไปร่วมงานด้วย คนที่มาร่วมงานประกอบด้วยทั้งคนที่นับถือศาสนาพุทธและคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ในช่วงกลางวันเพื่อนบ้านจะมาช่วยทำขนมที่ทำด้วยข้าวเหนียวโดยนำมาตำจนเป็นก้อนโรยด้วยงาตัดเป็นก้อน ใส่จานมาเสิร์ฟ พร้อมด้วยน้ำชาและกาแฟ ส่วนคนที่มาร่วมงานก็จะเอาเงินใส่ซองเพื่อแสดงน้ำใจแก่เจ้าภาพ ซึ่งส่วนใหญ่จะใส่คนละเล็กละน้อยเพื่อแสดงน้ำใจ ผู้ที่มาร่วมงานจะมาด้วยน้ำใจเพราะถือว่าอยู่ในชุมชนเดียวกัน ฉะนั้นแล้วการนับถือศาสนาจึงไม่มีผลต่อการมาร่วมงาน อย่างไรก็ดีพิธีเลี้ยงน้ำชาทุกวันนี้ไม่ค่อยมีให้เห็น อาจเป็นเพราะว่าสภาพสังคมเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป และการไปทำงานต่างถิ่นจึงเป็นไปด้วยความสะดวกไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตรวจบัตรถูกจับปรับเงินเหมือนเช่นในอดีต ฉะนั้นการจัดพิธีเลี้ยงน้ำชาจึงหายไปและส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งถ้ามีการจัดงานแต่ละครั้งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากเพราะเพื่อนบ้านมาร่วมงานหลายคน ซึ่งตามประเพณีของชาวทวายแล้ว ถ้าจัดงานหากใครมาร่วมงานก็ต้องเลี้ยงอาหารหมดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใดและการทำบุญก็แล้วแต่ศรัทธา ไม่มีการบังคับจะให้มากให้น้อยก็ไม่เป็นไร (หน้า 66)
ส่วนประเพณีของมุสลิม เช่นงานเลี้ยงแสดงความยินดีตอนที่หลานผู้ใหญ่ของศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า เกิด ผู้ใหญ่จะเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมงานมากมายมาร่วมงาน ในช่วงเช้าจะให้โต๊ะอิหม่ามมาทำพิธีทางศาสนาโดยอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน หลังจากเสร็จพิธีแล้วก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งคนที่มาร่วมพิธีจะมีทั้งคนที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม สำหรับอาหารจะประกอบด้วยแกงแพะ น้ำชา และกาแฟ ส่วนคนที่มางานก็จะอวยพรให้เด็กที่เกิดมามีความสุขและมอบเงินเป็นสินน้ำใจ (หน้า 66)
ประเพณีของคนที่นับถือศาสนาพุทธ
ประเพณีของคนในชุมชนนั้นจะแยกตามการนับถือศาสนา เช่นคนที่นับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่ประกอบด้วยคนไทย คนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง มอญ คนทวายและคนพม่า ถ้าถึงวันสำคัญทางศาสนาก็จะนำข่าวปลาอาหารไปทำบุญที่วัด ในช่วงเข้าพรรษาก็จะไปฟังเทศน์ เวียนเทียนที่วัด สำหรับการทำพิธีทางศาสนาพุทธนั้นคนจะเข้าร่วมพิธีน้อย ในบางปีมีผู้เข้าร่วมทำพิธีเวียนเทียนไม่ถึงสิบคนจำนวนต้องยกเลิกการประกอบพิธี สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากว่าเจ้าอาวาสวัดคนเดิมเป็นคนมีอัธยาศัยไม่ค่อยนุ่มนวล ส่วนเจ้าอาวาสรุ่นต่อๆ มานั้นก็ทำหน้าที่ตามปกติแต่ก็ไม่ค่อยมีคนไปทำบุญที่วัดมากเท่าที่ควร สำหรับผู้สูงอายุก็จะตักบาตรที่หน้าบ้านในช่วงเช้า
ประเพณีลอยกระทง บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองมีแหล่งน้ำที่สำคัญคือห้วยบ้องตี้ ที่มีต้นน้ำอยู่ในป่าฝั่งประเทศพม่า ในอดีตคนในหมู่บ้านจะใช้น้ำในห้วยซักผ้า และใช้ในบ้านเรือน ประเพณีการลอยกระทง ในเดือนพฤศจิกายน ตรงกับคืนวันเพ็ญเดือน 12 ในหมู่บ้านบ้องตี้บนจะจัดงานอยู่ที่ห้วยเก็บน้ำหน้าโรงเรียนบ้องตี้ ทุกวันนี้สภาพห้วยบ้องตี้มีสภาพตื้นเขินสำหรับสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะบ้านเรือนแต่ละหลังมีน้ำประปาใช้ นอกจากนี้จากการถมที่จึงทำให้น้ำในห้วยไม่ค่อยมากเหมือนเช่นในอดีต
ประเพณีการลอยกระทง เป็นของคนที่นับถือศาสนาพุทธ แต่คนในชุมชนทั้งที่นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามก็มาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ตอนกลางคืนเด็กนักเรียนตั้งร้านขายกระทงที่ทำจากหยวกกล้วย ใบกล้วย และดอกไม้ที่หาได้ในท้องถิ่น ในบางปีจะมีการตั้งโต๊ะจีน มีการแสดงดนตรี เพื่อหารายได้เป็นค่าอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน สำหรับจุดมุ่งหมายของการจัดงานวันลอยกระทงก็เพื่อเป็นการขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาแหล่งน้ำให้คนในชุมชนมีอยู่มีกินน้ำได้ตลอดปี ถึงแม้ทุกวันนี้ชุมชนจะพัฒนามีน้ำประปาใช้ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมาซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ในชุมชนยังต้องไปอาบน้ำซักผ้าที่ห้วยบ้องตี้ (หน้า 68)
วันสงกรานต์ เป็นเทศกาลรดน้ำดำหัวและมีคนเข้ามาร่วมงานทุกเชื้อชาติศาสนา ในวันสงกรานต์ 13 เมษายน ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ดังที่เห็นในภูมิภาคอื่นๆ ของไทย แต่ที่หมู่บ้านบ้องตี้บน และหมู่บ้านท้ายเหมืองงานวันสงกรานต์เพิ่งจะได้รับการรื้อฟื้นเมื่อประมาณ สิบกว่าปีที่ผ่านมาโดยครู กศน.ท่านหนึ่ง ในวันงานได้เชิญผู้สูงอายุ โดยเฉพาะคนไทย และคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ต่อมาเมื่อจำนวนผู้สูงอายุมาร่วมงานน้อยจึงเชิญทั้งคนกะเหรี่ยงจากประเทศพม่า คนพม่า คนทวาย มาร่วมงานด้วย สำหรับงานพิธีจะเป็นของคนที่นับถือศาสนาพุทธ หลังจากทำบุญที่วัด ฟังเทศน์แล้ว ก็สงฆ์น้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ สำหรับคนที่นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลามจะมาร่วมงานเฉยๆ แต่จะไม่ไหว้พระ เมื่อจบพิธีทางศาสนา คนที่มาร่วมงานก็จะเล่นน้ำวันสงกรานต์อย่างสนุกสนาน ประเพณีวันสงกรานต์ เป็นประเพณีที่ได้รับความนิยมจากคนที่นับถือศาสนาพุทธและชาติพันธุ์อื่นๆ ที่นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม เพราะเป็นงานที่ไม่แบ่งแยกว่าใครจะนับถือศาสนาอะไรก็มาร่วมงานได้ นอกจากนี้ในวันสงกรานต์จะมีประเพณีอื่น เช่น กลุ่มด้ายขาว ด้ายเหลือง และการนับถือผี ในหมู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง มีประเพณีของการนับถือผี โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยแบ่งเป็นกลุ่มด้ายขาว และด้ายเหลือง ดังในงานของเรวดี อุลิต ได้กล่าวถึงกลุ่มด้ายขาว ด้ายเหลือง ว่า (หน้า 68) ความเชื่อของกลุ่มด้ายขาว และด้ายเหลือง จะอยู่ในกลุ่มคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ความเชื่อของกลุ่มด้ายขาว เชื่อว่ามีผีอยู่ตามป่าเขาและเป็นผีของบรรพบุรุษที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สืบตระกูลให้อยู่เย็นเป็นสุขมีความก้าวหน้าทางฐานะและการงาน การทำพิธีไหว้ผีจะทำปีละหนึ่งครั้ง ในเดือน 4 หรือเดือน 5 โดยลูกหลานจะมารวมกันที่บ้านของพ่อแม่เพื่อทำพิธีขอพรให้ผีคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข และพืชผลในไร่นามีความอุดมสมบูรณ์ สำหรับคนที่ไม่เข้าร่วมพิธีจะถูกตัดออกจากกลุ่ม
ส่วนกลุ่มที่นับถือด้ายเหลือง นั้นเป็นกลุ่มที่นับถือผีบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยหัวหน้าครอบครัวจะพาสมาชิกในครัวเรือนไหว้ผีบรรพบุรุษเมื่อถึงวันพระเพื่อขอพรผีบรรพบุรุษ คุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย แล้วผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านก็จะผูกข้อไม้ข้อมือให้ลูกหลานถ้าไม่สบายก็ให้หายไวๆ อย่างไรก็ดีการนับถือด้ายเหลืองมีเพียงครอบครัวเดียว และกลุ่มที่นับถือด้ายขาวมีเพียงตระกูลเดียวเช่นกัน การนับถือด้ายทั้งสองนั้นทุกวันนี้ลดจำนวนลงเพราะคนในชุมชนเปลี่ยนศาสนาตามคู่สมรส สมาชิกในครอบครัวบางคนก็ไปทำงานที่อื่นไม่มาทำพิธีไหว้ผีจึงทำให้ถูกตัดรายชื่อของผู้เข้าร่วมพิธี
สาเหตุของการถือกลุ่มด้ายขาวและด้ายเหลืองได้ลดจำนวนลง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนศาสนาตามคู่สมรส ดังนั้นประเพณีของคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงจึงเหลือผู้สืบทอดเป็นจำนวนน้อย และบางประเพณีคนในท้องถิ่นอาจจะลืมเลือน บางประเพณีก็มีผู้มารื้อฟื้นในภายหลังจากเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยที่ทำงานในพื้นที่ การทอดสะพาน ค้ำต้นโพธิ์ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีประเพณีหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง หลังจากเสร็จพิธีที่วัดแล้ว คนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงซึ่งเป็นคนไทยในพื้นที่ดั้งเดิมจะไปรวมตัวที่สะพานไม้ของชายสูงอายุรายหนึ่งในกลุ่มบ้านดงหมาก เพื่อร่วมกันทำพิธีทอดสะพานหรือเปลี่ยนไม้ข้ามสะพานใหม่ ซึ่งจากที่ผู้วิจัยเคยเข้าร่วมพิธีในช่วงทำงานในพื้นที่พบว่า สะพานเป็นเพียงท่อนไม้ขนาดใหญ่พาดข้ามลำห้วยบ้องตี้ไปอีกฟากบ้านของคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงรายหนึ่ง สำหรับที่มาของประเพณีมีดังนี้
พิธีนี้สูญหายเมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมาและมีผู้สืบทอดใหม่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยชาวกะเหรี่ยงในจะไปรวมตัวกันที่บ้านของผู้อาวุโสชาวกะเหรี่ยง ที่กลุ่มบ้านดงหมาก ในวันสงกรานต์ ซึ่งแต่ก่อนจะทำพิธีเปลี่ยนไม้ที่นำมาพาดเป็นสะพานข้ามห้วยที่กลุ่มบ้านดงหมาก และขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้คนในชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีเจริญในหน้าที่การงาน แต่ทุกวันนี้ไม้หายาก และการตัดไม้นั้นผิดกฎหมาย จึงทำพิธีเพียงทำความสะอาดสะพานและปะพรมน้ำมนต์ การทำพิธีทุกวันนี้เปิดกว้างมากขึ้น โดยมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเข้าร่วมพิธีด้วย เช่น คนไทย คนต่างด้าวจากพม่า
งานประเพณีสงกรานต์นั้นแม้ว่าจะเป็นประเพณีของชาวพุทธแต่ก็มีคนชาติพันธุ์ต่างๆ ที่นับถือศาสนาคริสต์ และอิสลามเข้าร่วม เนื่องจากเป็นประเพณีที่ส่งเสริมความสมัครสมานสามัคคีของคนในหมู่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง (หน้า 67)
ประเพณีของคนที่นับถือศาสนาคริสต์
ในกลุ่มคนที่นับถือศาสนาคริสต์ก็จะไปเข้าโบสถ์ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่โบสถ์หลังโรงเรียน(ห้วยน้ำขาว) และโบสถ์ต้นตาลในวันอาทิตย์และกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสก็จะเข้าโบสถ์ในวันเสาร์ นอกจากนี้ก็จะประกอบพิธีในวันสำคัญเช่นวันคริสต์มาส 25 ธันวาคม ในปี พ.ศ.2554 นั้นก็ได้จัดพิธีในตอนกลางคืนที่โบสถ์ต้นตาล โดยมีผู้เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก การประกอบพิธีจะใช้ภาษากะเหรี่ยงตลอดงาน ทั้งประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัล ร้องเพลง การประกาศในการทำพิธี (หน้า 70) รวมทั้งการแสดงละคร มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นเดินทางมาร่วมงานด้วยแต่จะเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น เช่นกะเหรี่ยงใน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ เมื่อมางานก็จะนั่งปะปนอยู่ในงานหรือยืนอยู่นอกอาคารจัดงาน เมื่องานจบก็เดินทางกลับแต่จะไม่ขึ้นไปร่วมจับฉลากแลกของรางวัล ส่วนมุสลิมบางส่วนก็จะมาขายของ เช่นขายโรตี ขนมจีนพม่า ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นสีเหลืองคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง เช่น น้ำตาล พริก น้ำปลา
วันคริสต์มาส การเตรียมงานวันคริสต์มาสจะเตรียมตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน โดยวันจริงจะจัดในวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี การเตรียมงานกลุ่มเยาวชนจะไปร้องเพลงตามบ้านโดยจะเดินเรื่อยๆ ไม่ว่าบ้านหลังนั้นจะนับถือศาสนาอะไร การร้องเพลงบางครั้งจะมาดึกๆ ดื่นๆ บางครั้งก็เป็นกลุ่มเยาวชนจากหมู่บ้านอื่นเดินทางมาทีละหลายๆ คนทั้งชายและหญิง และคนเล่นกีต้าร์ เดินทางมาร้องเพลงที่หน้าบ้านประมาณ 2-3 เพลง จนกว่าเจ้าของบ้านจะตื่นมาเปิดประตูหน้าบ้านให้เงินบริจาคแล้วแต่ศรัทธา บางครั้งเจ้าของบ้านก็อาจเตรียมน้ำมาให้กลุ่มเยาวชนที่มาร้องเพลงรับเงินบริจาคดื่มเพื่อดับกระหายเนื่องจากแต่ละคืนต้องเดินไปร้องเพลงหลายบ้าน สำหรับการเดินร้องเพลงนี่ชาวคริสต์ถือว่าเป็นการอวยพรขอให้มีความสุขเนื่องในวันคริสต์มาส การไปร้องเพลงตามบ้านก็เพื่อรับการบริจาคเพื่อนำเงินมาใช้ในการจัดงานวันคริสต์มาส
ในวันคริสต์มาสจะจัดงานในตอนกลางคืน เช่นการจัดงานเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2554 ในคืนนั้นอากาศค่อนข้างหนาว ในช่วงหัวค่ำจะเป็นการจับรางวัลสำหรับคนที่มาร่วมงาน การประกาศทั้งหมดจะเป็นภาษากะเหรี่ยง โดยมีอดีตกำนันตำบลบ้องตี้เป็นประธานและเป็นโฆษกในงาน คนที่มาร่วมงานมีทั้งกะเหรี่ยงในบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง นอกจากนี้ก็มีกะเหรี่ยงจากห้วยโมง ฝั่งประเทศพม่า ที่เดินทางมาร่วมงาน บางคนก็ถือโอกาสมาเยี่ยมญาติที่อยู่หมู่บ้านบ้องตี้บน
การแสดงเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซู ทั้งหมดจัดโดยกะเหรี่ยงซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ กลุ่มคนไทยใหม่เชื้อสายกะเหรี่ยง และคนไทยเก่าเชื้อสายกะเหรี่ยง ซึ่งเปลี่ยนศาสนาไปนับถือศาสนาคริสต์ตามคู่สมรสซึ่งส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงที่เดินทางมาจากประเทศพม่า (หน้า 71)
ประเพณีของคนที่นับถือศาสนาอิสลาม
ส่วนผู้นับถือศาสนาอิสลามในวันศุกร์ก็จะไปมัสยิด ร่วมกันประกอบพิธีทางศาสนา จะเห็นได้ว่าประเพณีของคนในชุมชนนั้นจะยึดถือตามศาสนาเป็นหลักแต่ก็มีประเพณีที่คนส่วนใหญ่เข้าร่วมพิธีนั่นคือประเพณีสงกรานต์ไม่ว่าจะเป็นคนไทย พม่า มอญ กะเหรี่ยง สำหรับประเพณีของแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะเฉพาะและแตกต่างกันแต่ถ้าพวกเขาเป็นเพื่อนบ้านหรืออยู่ใกล้กันก็จะช่วยเหลือกันโดยไม่มีการแบ่งแยกเรื่องการนับถือศาสนา สำหรับกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามนั้นนอกจากจะทำพิธีละหมาดวันละห้าครั้ง สำหรับคนที่มีเวลาแล้วก็จะไปจนครบแต่ถ้าหากไปละหมาดไม่ครบวันละ ห้าเวลา ก็จะไปในวันศุกร์วันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษสำหรับคนมุสลิม เพราะจะไปรวมกันที่มัสยิดประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและรับประทานอาหารร่วมกัน
สำหรับประเพณีของมุสลิม เช่น งานทำบุญต้อนรับการเกิดของหลาน โดยอดีตผู้ใหญ่บ้านศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า จัดทำบุญซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับโกนจุกของคนไทย คือหลังจากที่หลานได้คลอดออกมาแล้วในช่วงอยู่ไฟนั้น อดีตผู้นำศูนย์ฯ ก็ไปเชิญเพื่อนบ้านทั้งที่นับถือศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธมาร่วมงาน ในช่วงเช้าโต๊ะอิหม่ามก็จะอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน และทำพิธีตั้งชื่อมุสลิมให้กับเด็กที่เกิดใหม่ ซึ่งแต่เดิมนั้นคนในศูนย์ผู้พลัดถิ่น ชาวพม่า ถ้ามีชื่อไทยก็จะมีชื่ออิสลามด้วยโดยจะตั้งให้ใกล้เคียงกับชื่อภาษาไทย เช่นชื่อไทยว่า อิสราพร ชื่อ ภาษาอาหรับก็จะตั้งว่า อิสมาอิล เป็นต้น หลังจากทำพิธีเพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้เด็กที่เกิดมามีความสุขความเจริญในชีวิตแล้ว หลังจากเสร็จพิธีแขกเหรื่อที่มาร่วมงานก็จะรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งอาหารส่วนใหญ่จะเป็นแกงแพะ แกงมัสร่า เป็นต้น จากนั้นคนที่มาร่วมงานก็จะมอบซองเป็นเงินที่แสดงน้ำใจเพื่อแสดงให้เห็นถึงความยินดีที่มีหลานคนใหม่ งานพิธีจะเสร็จในช่วงสายแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน สำหรับการการตั้งชื่อไทยกับชื่อมุสลิมนั้นเป็นสิ่งที่มุสลิมกระทำกันอยู่แล้ว ส่วนในกลุ่มไทยใหม่ที่เป็นมุสลิม เมื่อได้รับสัญชาติไทยก็นิยมตั้งชื่อไทยในบัตรประชาชนที่ใกล้เคียงกับชื่อมุสลิมเช่นกัน เช่นเชื่อเดิมว่า อับดุล ก็จะ ตั้งชื่อไทยว่า อดุล ชื่อมีนะ ก็จะตั้งว่า มานี เป็นต้น แต่จะยึดถือชื่อที่เป็นศิริมงคล ส่วนนามสกุลไทยนั้นไทยใหม่จะไปเลือกชื่อที่ทางการจัดสรรไว้ให้ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนในครอบครัวจะลงมติกันว่าชอบนามสกุลใด ก็จะเลือกนามสกุลนามนั้น (หน้า 73) |
|
Education and Socialization |
การศึกษา
ในพื้นที่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง ได้จัดการเรียนการสอนตามแบบของรัฐไทย ในการเล่าเรียนนั้น แต่เดิมมีเพียงโรงเรียนบ้านบ้องตี้ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ที่เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล ถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระบบการเรียนการสอนนั้นจะสอนโดยครูที่ทางการไทยส่งมาทำงาน การเรียนจะมีส่วนบ่มเพาะให้เด็กนักเรียนมีสำนึกในความเป็นไทย เด็กนักเรียนไม่ว่ากลุ่มชาติพันธุ์ใด ศาสนาใด ถ้าอยู่ในบริเวณโรงเรียนจะถูกกำหนดให้พูดภาษาไทย และเรียนรู้ระบบการศึกษาของประเทศไทย การเรียนการสอนในทุกวันนี้ถือว่าเปิดกว้างมากสำหรับคนในพื้นที่ เพราะหลังจากที่มีการมอบสัญชาติไทยให้คนต่างด้าวแล้ว คนที่เป็นลูกหลานของคนต่างด้าวก็ได้เรียนในระดับสูงๆ บางครอบครัวส่งลูกหลานจนเรียนในระดับชั้นอุดมศึกษา เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในตัวจังหวัดกาญจนบุรี ในจังหวัดอื่นๆ หรือในกรุงเทพฯ เนื่องจากคนต่างด้าวที่มาอยู่ในบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองเป็นคนขยันจึงมีฐานะดี (หน้า 80)
ส่วนลูกหลานของคนกะเหรี่ยงสัญชาติพม่านั้นก็มีความสามารถเรื่องอ่านเขียนภาษาอังกฤษดังนั้นแล้วจึงได้รับทุนจากหน่วยงานของศาสนาคริสต์ให้ได้รับทุนในการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยนานาชาติของศาสนาคริสต์ บางส่วนที่ได้กรีนการ์ดก็ได้ไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงต่างด้าวสัญชาติพม่า เพราะมีความเชี่ยวชาญเรื่องการอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษเนื่องจากใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันเพราะต้องอ่านคำภีร์ใบเบิ้ลและสนทนากับชาวต่างชาติที่มาเผยแพร่ศาสนาในหมู่บ้าน
นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนการศึกษานอกโรงเรียนตั้งอยู่บ้านท้ายเหมือง หนึ่งแห่งศูนย์เด็กเล็กวัดบ้องตี้ หนึ่งแห่งอยู่บ้านบ้องตี้บน และศูนย์เด็กเล็กบ้านท้ายเหมือง อีกหนึ่งแห่ง นอกจากนี้ยังมีหอพักของนักเรียนหญิงของโรงเรียนไม้ไผ่ซึ่งเป็นโรงเรียนศาสนาคริสต์ นิกายเซเว่นเดย์แอดเวนติส (คริสต์วันเสาร์) ซึ่งมีโบสถ์และโรงเรียนตั้งอยู่บ้านบ้องตี้ล่าง ปัจจุบันโรงเรียนแห่งนี้ได้มาตั้งสาขาอยู่ที่บ้านท้ายเหมืองโดยซื้อที่ดินจากคนในพื้นที่ ในศูนย์มีที่พักสำหรับครูต่างชาติ ในวันเสาร์เมื่อทำพิธีนมัสการพระเจ้าก็จะมีชาวคริสต์ และนักเรียนจากบ้องตี้ล่างมาเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก สำหรับกลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์วันอาทิตย์ก็จะมีครูสอนภาษากะเหรี่ยงสำหรับเด็กที่โบสถ์คริสต์ ห้วยน้ำขาว (คริสตจักรตะนาวศรี) และโบสถ์ต้นตาล (คริสต์จักรแบ๊พติสบ้องตี้) โดยสอนในช่วงเช้าก่อนทำพิธีนมัสการพระเจ้า ส่วนผู้นับถือศาสนาอิสลาม ที่มัสยิดจะเปิดสอนภาษาอาหรับในช่วงเย็นโดยเด็กๆ ชายหญิงจะมาเรียนหลังจากเลิกเรียนที่โรงเรียนบ้องตี้ การเรียนแต่ละวันใช้เวลาประมาณ 30 นาที (หน้า 81)
นอกจากนี้ในกลุ่มที่เรียนมัธยมปลายนักเรียนบางส่วนจะไปเรียนที่ตัวอำเภอไทรโยค ส่วนระดับชั้นอุดมศึกษาจะมีทั้งที่เดินทางไปเรียนในตัวเมืองกาญจนบุรี บางคนที่มีฐานะก็จะส่งลูกไปเรียนที่ต่างจังหวัด สำหรับกลุ่มกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์บางคนก็จะได้นับทุนให้เรียนในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ให้การสนับสนุนสำหรับผู้นับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 81) |
|
Health and Medicine |
สาธารณสุข
เนื่องจากสภาพหมู่บ้านประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน จึงมีโรคมาลาเรียชุกชุม ประกอบกับโรคร้ายอื่นๆ ที่มากับคนต่างด้าว ซึ่งยังมีบางส่วนที่ยังหลบซ่อนอยู่ในป่า เช่นผู้ป่วยที่เป็นโรคเท้าช้าง และโรคในอดีตที่หมดไปแล้วในประเทศไทยแต่ก็ยังมีอยู่ดังนั้นแล้วเมื่อมีคนต่างด้าวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านและในป่าเขาที่อยู่รายรอบหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก จึงยากแก่การหลีกเลี่ยงเรื่องความเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลของคนในพื้นที่ส่วนใหญ่จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำตำบลบ้องตี้
การเข้ารับการรักษาในปัจจุบันนั้นค่อนข้างสะดวกสบายกว่าในอดีตเนื่องจากคนไทยใหม่นั้นมีบัตรประจำตัวประชาชนจึงสามารถเข้าถึงสิทธิ์ในการรับการรักษาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่โรงพยาบาลประจำตำบล บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง นั้น มีระบบการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยโดยรักษาแบบสมัยใหม่จากเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย โดยมี โรงพยาบาลประจำตำบลบ้องตี้ หนึ่งแห่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะรักษาและให้ความรู้กับคนที่อยู่ในพื้นที่ในการดูแลสุขภาพ และอบรม อสม.เพื่อให้ความช่วยเหลือคนในชุมชน นอกจากนี้โรงพยาบาลประจำตำบลยังได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสุขภาพและตรวจหาพยาธิเป็นประจำ สำหรับการรักษาพยาบาลนั้น ในช่วงที่ผู้วิจัยทำงานอยู่ในพื้นที่ สังเกตว่าถ้ามีเจ้าหน้าที่จากภายนอกมาทำการตรวจรักษา คนต่างด้าวเป็นจำนวนมากไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ในการมารับการรักษาหรือตรวจสุขภาพ เพราะกลัวการตรวจบัตร บางคนที่ไม่มีบัตรก็จะไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า เมื่อเลยเวลาปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จากภายนอกจึงจะแอบกลับบ้าน แต่เมื่อคนต่างด้าวได้รับสัญชาติไทยแล้วก็มีสิทธิ์ในการเข้ารับการรักษาเหมือนกับคนไทยที่อยู่ในพื้นที่ (หน้า 82)
ในหมู่บ้าน ยังมีคลินิคมาลาเรียบ้องตี้อีกหนึ่งแห่ง สำหรับการเจ็บป่วยที่พบมากในพื้นที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นมาลาเรีย เนื่องจากบางคนเดินทางไปทำไร่ เฝ้าไร่ บางครั้งก็นอนโดยไม่กางมุ้ง ชาวบ้านที่นี่จะคุ้นเคยกับการเป็นมาลาเรียเป็นอย่างดีและเป็นกันบ่อย คนที่นี่เป็นมาลาเรียบ่อยเพราะไม่ค่อยกางมุ้ง นอกจากนี้แล้วชาวบ้านจะเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลไทรโยค บางครั้งก็ไปรักษาที่โรงพยาบาลในตัวเมืองกาญจนบุรี หากป่วย เป็นไข้เล็กๆ น้อยๆ ก็จะไปขอยาที่โรงพยาบาลประจำตำบลบ้องตี้ หรือซื้อยาที่ร้านขายของชำในหมู่บ้านมากินเอง เช่นยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาธาตุน้ำขาว แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง เป็นต้น (หน้า 83) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย
การแต่งกายในวิถีชีวิตของคนทวาย และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่อยู่ในบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง มีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์หลังจากได้รับสัญชาติไทย แต่บางส่วนการแต่งกายก็ยังคงแบบเดิมเอาไว้ การแต่งกายตามกลุ่มชาติพันธุ์นั้น จะแต่งเมื่อมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และความเชื่อในกลุ่มชาติพันธุ์ของตน แต่มีการปรับเปลี่ยนแต่งกายตามสมัยนิยมเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมกับกลุ่มคนไทย หรือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย ตัวอย่างเช่น ในกลุ่มเด็กๆ ที่ไปโรงเรียน ก็จะแต่งกายด้วยชุดนักเรียนเด็กนักเรียนชายสวมเสื้อเชิ๊ตสีขาว สวมกางเกงขาสั้นสีกากี ส่วนเด็กนักเรียนหญิงสวมเสื้อคอซองสีขาว นุ่งกระโปรงสีกรมท่า หรือ คนหนุ่มสาวที่แต่งกายตามสมัยนิยมที่เดินทางไปทำงานนอกพื้นที่ หรือในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีการปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมเช่น เมื่อมาเป็นกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ กรรมการการเลือกตั้ง และกลุ่มอื่นๆ ก็จะสวมชุดสุภาพเช่นผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตคอปก นุ่งกางเกงขายาว ส่วนผู้หญิงสวมกระโปรงและเสื้อทรงสุภาพ การแต่งกายเช่นนี้มีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และมาจากการปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐไทย (หน้า 74)
การแต่งกายของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆในบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองในปัจจุบันนั้นจะคล้ายคลึงกัน หากเป็นหญิงสูงอายุส่วนใหญ่อยู่บ้านจะสวมใส่ผ้าถุง เสื้อคอกระบอก ที่เห็นอย่างชัดเจน เช่น ในกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงถ้าหากถึงวันอาทิตย์ คนกะเหรี่ยงที่นับถือศาสนาคริสต์ พวกเขาจะแต่งตัวด้วยชุดกะเหรี่ยงไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่โบสถ์ห้วยน้ำขาว หรือคริสตจักรตะนาวศรี (อยู่หลังโรงเรียน) และโบสถ์คริสต์กลุ่มบ้านต้นตาล การ แต่งกายของกะเหรี่ยงได้แบ่งลักษณะต่างๆดังนี้
เด็กหญิงกะเหรี่ยงสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวคอวี ยาวถึงข้อเท้า บริเวณคอเสื้อที่เจาะทั้งหน้าหลังเหมือนกันนั้นประดับด้วยเส้นด้ายหลากสีสัน เช่นด้ายสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน ชุดของเด็กหญิงจะยาวคลุมถึงข้อเท้าเป็นเหมือนเสื้อคลุมไม่แยกส่วนเหมือนเสื้อผ้าของผู้ใหญ่การแต่งกายด้วยชุดสีขาวเป็นเครื่องแสดงถึงการยังไม่มีคู่ครอง เสื้อแบบนี้นิยมสวมใส่ในกลุ่มเด็ก วัยรุ่นและหญิงสาว ส่วน เสื้อของเด็กและวัยรุ่นหญิงที่ยังไม่แต่งงาน ลักษณะเป็นเสื้อทรงกระสอบสีขาวยาวคลุมตาตุ่ม คอวี เจาะเป็นช่องสำหรับสวมเป็นแขนเสื้อ ประดับริ้วผ้าหลากสี เช่นสีเขียว สีแดง สีเหลือง
กลุ่มผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้ว สวมเสื้อหลากสีสัน คอวี ยาวถึงเอว แล้วนุ่งผ้าถุง สวมเสื้อสีอื่นเช่นสีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง สีม่วง ลักษณะเสื้อเป็นทรงกระบอกยาวเลยคลุมเอว ที่บริเวณคอเสื้อเขนเสื้อ และตรงกลางหน้าท้องทางด้านหน้าและด้านหลังประดับริ้วผ้า สวมผ้าถุงผ้าฝ้าย
ผู้ชายกะเหรี่ยง สวมเสื้อสีแดง เขียว น้ำเงิน หรืออื่นๆ คอวี ยาวถุงเอว ตรงชายเสื้อประดับด้วยริ้วผ้าหลากสีสัน ผ้าแบบนี้ทุกวันนี้ยังมีให้เห็นที่ศูนย์ทอผ้ากะเหรี่ยงที่อยู่กลุ่มบ้านดงหมาก ผู้ชายแต่งกายด้วยเสื้อสีต่างๆ เช่นสีแดง สีม่วง สีน้ำเงินเข้ม ยาวคลุมเอว ลักษณะคอวี ประดับคอเสื้อและแขนเสื้อด้วยริ้วผ้าหลากสี เช่นสีชมพู สีแดง สีเหลือง สีขาว ตรงกลางเสื้อตั้งแต่บริเวณหน้าท้องลงถึงชายเสื้อประดับริ้วผ้า เสื้อสวมได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพราะเสื้อทั้งของด้านมีลักษณะเหมือนกัน ส่วนกางเกงที่สวมจะเป็นแบบใดก็ได้
ในกลุ่มผู้สูงอายุ นิยมสวมกางเกง ขายาวสีน้ำตาล สีดำ สีกรมท่าและอื่นๆ ส่วนวัยรุ่นชายจะสวมกางเกงขายาว การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ากะเหรี่ยงจะนิยมแต่งเมื่อไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาคริสต์ที่โบสถ์ทั้งในกลุ่มคริสต์วันอาทิตย์ที่ไปทำพิธีที่โบสถ์ห้วยน้ำขาวและโบสถ์ต้นตาล และในกลุ่มคริสต์วันเสาร์ที่ทำพิธีที่โบสถ์ บ้องตี้ล่าง และหอพักริมอ่างเก็บน้ำบ้านท้ายเหมือง ในเวลาปกตินั้นกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงนิยมสวมเสื้อผ้าตามสมัยนิยมและชุดทำงานในไร่ ส่วนเสื้อกะเหรี่ยงจะสวมเฉพาะวันที่ไปนมัสการที่โบสถ์ หรือในช่วงที่มีเทศกาลสำคัญ เช่นวันคริสต์มาส เป็นต้น
ส่วนคนหนุ่มสาวในช่วงเวลาปกติก็จะแต่งกายตามสมัยนิยมทั่วไป เสื้อผ้าที่นำมาขายในหมู่บ้าน จะขายที่ตลาดนัดที่จะขายทุกวันพฤหัสบดี และตลาดนัดใหญ่ (ชาวบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง เรียกนัดใหญ่) (หน้า 75) เปิดขายที่วัดบ้องตี้ทุกวันขึ้น 12 ค่ำ แต่ละเดือนจะมี สองครั้ง สนับกับตลาดนัดเล็ก (หรือชาวบ้านเรียกนัดเล็ก)จะเปิดขายทุกวันพฤหัส บริเวณใกล้ที่ทำการป้อม ตชด.กลุ่มบ้านดงหมาก
กลุ่มทวายพม่า นั้นจะมีความแตกต่างจากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆในหมู่บ้านท้ายเหมืองและหมู่บ้านบ้องตี้บน แต่เฉพาะในกลุ่มคนทวายด้วยกันแล้วนอกจากจะแบ่งตามการนับถือศาสนาพุทธและอิสลาม ซึ่งจะสังเกตจากการแต่งกายคือ คนทวายพม่าที่นับถือศาสนาพุทธถ้าเป็นหนุ่มสาวจะแต่งกายด้วยชุดสมัยนิยมทั่วไป เช่น เสื้อยืดกางเกงยีน ในกลุ่มผู้หญิงถ้าอยู่บ้านก็จะนุ่งผ้าถุง ถ้าเป็นผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุจะสวมโสร่ง นุ่งเสื้อเชิ้ตแขนสั้น หรือแขนยาว สีต่างๆ หรือเสื้อคอกลมธรรมดา ชอบทาใบหน้าด้วยทานาคา
คนมุสลิมในกลุ่มคนหนุ่มสาวจะแต่งกายด้วยชุดสมัยนิยมทั่วไปเช่นเสื้อยืด กางเกงยีน แต่เมื่อไปสุเหร่าถ้าเป็นผู้ชายก็จะสวมโสร่งสีสันต่างๆ สวมเสื้อเชิ๊ตหรือเสื้อคอกลมก็ได้แต่จะสวมหมวกสีขาว ส่วนผู้หญิงก็จะโพกหัวด้วยผ้าสีต่างๆ นุ่งผ้าถุง เด็กหญิงเมื่อไปโรงเรียนก็จะคลุมศีรษะเหมือนเดิมแต่จะแต่งกายด้วยชุดนักเรียน ส่วนเด็กผู้ชายก็จะสวมชุดนักเรียน เสื้อเชิ๊ตสีขาว กางเกงขาสั้นสีกากีตามระเบียบของทางโรงเรียน
กลุ่มคนไทยจะแต่งกายด้วยชุดสมัยนิยม ผู้ชายสวมกางเกงขายาวหรือขาสั้น สวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวหรือแขนสั้นบางครั้งก็สวมเสื้อคอกลมสีต่างๆ ส่วนผู้หญิงจะนุ่งกางเกงหรือผ้าถุง ถ้าเป็นวัยรุ่นหญิงก็จะสวมเสื้อยืดกางเกงยีน
กลุ่มมอญจะแต่งกายไม่แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ ถ้าเป็นคนหนุ่มสาวก็จะแต่งกายตามสมัยนิยม เสื้อยืด กางเกงยีน ผู้หญิงถ้าอยู่บ้านจะสวมผ้าถุง ส่วนผู้หญิงสูงอายุจะสวมผ้าถุง สวมเสื้อคอกลมหรือคอปก ทาหน้าด้วยทานาคา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มาจากพม่าซึ่งแตกต่างจากคนไทย หากมีงานบุญก็จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส สวมเครื่องประดับเช่นสร้อย แหวน กำไลข้อมือ เป็นต้น (หน้า 76) |
|
Folklore |
นิทาน
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า การเดินทางข้ามเขาจากฝั่งประเทศพม่ามาได้หลายวิธี คนที่ชำนาญทางก็จะเดินข้ามเขาตะนาวศรี หรือที่ชาวบ้านในแถบนี้เรียกว่า “เขาแดน”บนภูเขานั้นมีอยู่จุด จุดหนึ่ง ที่คนที่เดินทางมาจากประเทศพม่า เข้ามาทำงานในประเทศไทยนั้นตอนที่เข้ามาจะนำก้อนหินมากองไว้ คนละก้อนเพื่อเป็นเครื่องหมาย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า กองที่เข้ามาประเทศไทยจะมีจำนวนก้อนหินมากกว่า กองที่เป็นเครื่องหมายเวลาออกจากประเทศไทย ผู้วิจัยได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก เนื้อเรื่องออกจะผสมนิทานจากลุงท่านหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ลุงเป็นไทยใหม่ และผู้วิจัยก็เคยฟังจากมุสลิมเชื้อสายอินเดียที่อยู่ในศูนย์ฯ เหมือนกัน เรื่องราวที่เกี่ยวกับการเดินทางมาขายแรงงานตากเหงื่อต่างน้ำในประเทศไทยในอดีต ที่เกี่ยวกับเดินทางข้ามแดนจากประเทศพม่าเพื่อมาหางานทำในประเทศไทย มีดังต่อไปนี้ (หน้า 104)
พระจันทร์กับปริมาณก้อนหินบนภูเขา
สมัยก่อนการเดินทางข้ามไปมาระหว่างประเทศพม่ากับประเทศไทยมีความสะดวกสบายไม่ต้องยุ่งยากตรวจบัตรวุ่นวายเหมือนทุกวันนี้ แต่ก่อนคนจะเข้ามาทำงานในเมืองไทยก็เดินลัดมาตามภูเขา มีบริเวณหนึ่งเป็นทางเดินอยู่บนภูเขาที่คนพม่าเข้ามาแล้วเขาจะเก็บก้อนหินมาหนึ่งก้อนวางไว้ตรงนั้น ใครเข้ามาอยู่เมืองไทยเขาก็ทำอย่างนั้น พอเวลาผ่านไปนานๆ ปริมาณก้อนหินก็มากขึ้นเรื่อยๆ
สมัยก่อนมีเรื่องเล่าอยู่ว่า มีชายพม่า 2 คน เดินทางมาจากบ้านเมืองของพวกเขา เพื่อเข้ามาหางานทำในเมืองไทย เมื่อมาถึงทั้งสองคนก็หางานทำ คนหนึ่งทำงานขยันเก็บเงินเก็บทองมุ่งหวังแต่จะเก็บเงินเพื่อไปสร้างเนื้อสร้างตัวที่บ้านเกิด ส่วนอีกคนกลับทำคนละอย่างทำงานพอได้เงินมาก็กินแต่เหล้า เล่นการพนัน เที่ยวอะไรต่อมิอะไรสารพัดแล้วแต่จะทำ ไม่เก็บเงินเก็บทอง พอผ่านไปประมาณ 2 ปี เพื่อนที่มาด้วยกันก็เลยพูดว่า
“เพื่อนเอ๋ยเราคิดถึงบ้านเหลือเกินกลับบ้านเราเถอะ”เพื่อนคนที่ขยันพูด ส่วนเพื่อนคนที่เกเรก็เลยบ่ายเบี่ยงบอกว่าตัวเองยังเก็บเงินไม่ได้ขอเวลาสักหน่อยก่อนได้ไหม พอให้มีเงินติดตัวตอนกลับบ้านสักหน่อย ผ่านพ้นไปประมาณสองเดือนทั้งสองจึงลาเจ้านายคนไทยเดินทางกลับบ้านเกิดในประเทศพม่า
พวกเขารอนแรมในป่าเขาผ่านไปหลายคืน ขณะที่เพื่อนคนที่ขยันหลับอยู่นั้น เพื่อนคนที่เกเรก็เลยคิดไม่ซื่อ เพื่อนคนนี้ก็เลยฆ่าเพื่อนเพื่อชิงเงินที่เพื่อนทำงานเก็บไว้ตั้งแต่เข้ามาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ ค่ำคืนแห่งความตายนั้นพระจันทร์สว่างมาก ขณะเพื่อนคนที่ขยันกำลังจะขาดใจนั้น เพื่อนคนนี้ก็เลยพูดว่า “เพื่อนเอ๋ยเราเดินทางมาทำงานด้วยกันทำไมถึงมาฆ่ากันได้ลงคอ ถ้าคืนไหนพระจันทร์เต็มดวง ขอให้เอ็งมีแต่ความเปลี่ยวเหงา และ (หน้า 104) ให้เห็นใบหน้าของข้าอยู่บนพระจันทร์ทุกครั้งไป” เพื่อนคนที่เกเรเมื่อฆ่าเพื่อนเรียบร้อยแล้วจึงซ่อนศพเอาไว้ในป่าแล้วเดินทางกลับบ้านเกิด
เมื่อไปถึงบ้านพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านก็ถามถึงเพื่อนอีกคนว่าหายไปไหน ทำไมไปด้วยกันถึงไม่กลับมาด้วยกัน เพื่อนคนที่เกเรก็โกหกไปต่างๆ นานา ว่าเพื่อนคนนั้นยังอยู่เมืองไทยไม่กลับมาด้วยเพราะเก็บเงินยังไม่ได้ เหตุการณ์ผ่านไปหลายวันกระทั่งถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง เพื่อนคนที่เกเรเมื่อเห็นพระจันทร์ก็ร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง เพราะใบหน้าเพื่อนที่เขาทรยศปรากฏบนพระจันทร์ พอมองเห็นเพื่อนคนที่เกเรก็เกิดอาการเช่นนั้นอยู่ร่ำไปเมื่อเขามองพระจันทร์ ยิ่งพระจันทร์กลมโตเท่าไหร่ ความเปลี่ยวเหงามันยิ่งทำงานได้มากมายยิ่งขึ้นเท่านั้น
สมัยก่อนการเดินทางเข้าประเทศไทย คนที่เข้ามาเขาจะรู้ทางของเขา แต่มีบริเวณหนึ่งเป็นทางเดินอยู่บนภูเขาที่คนพม่าเข้ามาแล้วเขาจะเก็บก้อนหินมาหนึ่งก้อนวางไว้ตรงนั้น ใครเข้ามาอยู่เมืองไทยเขาก็ทำอย่างนั้น พอเวลาผ่านไปนานๆ ปริมาณก้อนหินก็มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตอนกลับประเทศพม่าเขาก็ทำเช่นเดิม แต่จำนวนก้อนหินจะน้อยกว่ากองที่คนเดินทางเข้ามาในประเทศไทย (ภูมิชาย คชมิตร, 2554: 19-20) (หน้า105) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ในบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองแม้ว่าจะประกอบด้วยคนที่นับถือศาสนาต่างๆ แต่ก็ได้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่ารวมทั้งกลุ่มที่อยู่นอกศูนย์ฯ ดังต่อไปนี้
คนทวายพุทธกับมุสลิม
ลักษณะภายนอกของทวายพม่า นั้นจะมีความแตกต่างจากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆสังเกตจากการแต่งกายคือ คนทวายพม่าที่นับถือศาสนาพุทธถ้าเป็นหนุ่มสาวจะแต่งกายด้วยชุดสมัยนิยม ถ้าเป็นผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุจะสวมโสร่ง นุ่งเสื้อเชิ๊ตหรือเสื้อคอกลมธรรมดา ชอบทาทานาคาที่หน้า ส่วนคนมุสลิมในกลุ่มคนหนุ่มสาวจะแต่งกายด้วยชุดสมัยนิยม แต่เมื่อไปสุเหร่าถ้าเป็นผู้ชายก็จะสวมโสร่งสีสันต่างๆ สวมเสื้อเชิ้ต หรือเสื้อคอกลมก็ได้แต่จะสวมหมวกสีขาว ส่วนผู้หญิงก็จะโพกหัวด้วยผ้าสีต่างๆ นุ่งผ้าถุง
คนทวายพุทธและมุสลิมนั้นก่อนที่จะได้รับสัญชาติและระหว่างมีสัญชาตินั้นทั้งสองกลุ่มเป็นอดีตคนงานเหมือง ที่พูดคุยกันด้วยภาษาทวายเวลาพูดคุยกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่มาจากประเทศพม่าก็จะพูดภาษาพม่าซึ่งถือว่าเป็นภาษากลาง ในการติดต่อ แต่ถ้ามีคนไทยอยู่ด้วยก็จะพูดภาษาไทย ในกลุ่มคนทวายถือว่ามีโอกาสที่จะได้รับสัญชาติไทยค่อนข้างน้อย (หน้า 89)
คนทวาย ที่นับถือศาสนาพุทธและคนทวาย มุสลิมจะมีการติดต่อกันตามปกติ เวลามีงานก็จะช่วยเหลือกันเช่น คนที่นับถือศาสนาพุทธจัดงานที่บ้าน คนทวายมุสลิมก็จะมาช่วยงานด้วยน้ำใจ เตรียมข้าวของต่างๆ เพียงแต่ถ้ามีการประกอบพิธีทางศาสนาพุทธคนมุสลิมก็จะไม่ไหว้ แต่จะช่วยงานโดยไปทำส่วนอื่นแทน ส่วนคนมุสลิมก็จะไปละหมาดที่มัสยิดอัล-มูยาฮีริน ที่ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านท้ายเหมือง วันละ 5 เวลา ส่วนในกลุ่มเด็กนักเรียน หลังจากที่เรียนที่โรงเรียนบ้านบ้องตี้ ก็จะมาเรียนภาษาอาหรับ ที่โรงเรียนอัล-มูยาฮีริน สำหรับรูปแบบการปกครองภายในศูนย์ฯแต่เดิมหลังจากที่ทางการไทยได้มีการจัดพื้นที่ให้คนทวาย หรือ พม่า อยู่ในบริเวณเหมืองเก่า
การอยู่ร่วมกันในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า แต่เดิมทางการไทยได้แต่งตั้งให้มีผู้นำคอยดูแลผู้คนที่อยู่ในศูนย์ฯ ในอดีตผู้ที่ทำหน้าที่นี้คือผู้ใหญ่สุไลมาน(นามสมมุติ) แต่ปัจจุบันผู้ใหญ่ป่วยและยังไม่มีการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่มาดูแลศูนย์ การเป็นผู้นำศูนย์นั้นผู้ใหญ่สุไลมานเป็นมุสลิมแต่ก็ปกครองทั้งคนที่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม
จากการทำงานสนาม ครั้งหนึ่งซึ่งมีคนทวายในศูนย์ผู้อพยพพลัดถิ่นชาวพม่าจัดงานเลี้ยงน้ำชาเพื่อฉลองที่ตามลูกสาวกลับบ้านได้หลังจากที่ถูกหลอกไปทำงานต่างถิ่นโดยไม่ส่งข่าวคราว วันหนึ่งเมื่อลูกสาวกลับมาถึงบ้าน ชายชาวทวาย ที่นับถือศาสนาพุทธจึงจัดงานเลี้ยงน้ำชา โดยเชิญเพื่อนบ้านมาร่วมงาน และผู้วิจัยก็ได้ไปร่วมงานด้วย คนที่มาร่วมงานประกอบด้วยทั้งคนที่นับถือศาสนาพุทธและคนที่นับถือศาสนาอิสลาม ผู้ที่มาร่วมงานจะมาด้วยน้ำใจเพราะถือว่าอยู่ในชุมชนเดียวกัน ฉะนั้นแล้วการนับถือศาสนาจึงไม่มีผลต่อการมาร่วมงาน ส่วนการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างคนทวายพุทธและมุสลิม เช่น งานเลี้ยงแสดงความยินดีตอนที่หลานผู้ใหญ่ศูนย์ฯ เกิด ในงานครั้งนั้นผู้ใหญ่ได้เชิญเพื่อนบ้านมาร่วมงานมากมายมาร่วมงาน คนที่มาร่วมพิธีจะมีทั้งคนที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม (หน้า 90)
คนทวายที่นับถือศาสนาพุทธกับคนที่นับถือศาสนาฮินดู
คนทวายที่นับถือศาสนาฮินดูมีจำนวนน้อยมาก ชาวทวายที่นับถือศาสนาฮินดู สร้างบ้านเรือนอยู่ในซอยที่อยู่บริเวณทางเข้าศูนย์ ลูกสาวของเจ้าของร้านค้าชาวฮินดูเล่าว่า พ่อกับแม่นับถือศาสนาฮินดู อยู่ที่บ้องตี้พ่อกับแม่ก็เหมือนคนอื่นทั่วๆไป แต่จะไม่กินเนื้อวัว เมื่อก่อนหนูก็นับถือเหมือนพ่อแม่ แต่พอมาแต่งงานกับคนไทยหนูก็ไหว้พระ แต่ก็ไม่กินเนื้อวัว (หน้า 91) ร้านแห่งนี้ตัวร้านสร้างด้วยไม้ไผ่ มุงสังกะสี ด้านหน้าร้านจะเป็นชั้นวางสินค้า เช่นขนมขบเคี้ยว ปลากระป๋อง สบู่ ยาสีฟัน และอื่นๆ ส่วนผนังของตัวร้านจะติดภาพเทพพระเจ้าฮินดูไว้หลายรูป
สำหรับการติดต่อระหว่างชาวฮินดูกับกลุ่มคนทวายอื่นๆนั้น เป็นในรูปของการค้าขายสินค้า เนื่องจากบริเวณที่อยู่ใกล้ร้านค้ามีทั้งบ้านเรือนของชาวทวาย คนไทย บ้านเรือนของชาวมุสลิม ส่วนวัฒนธรรมประเพณีของชาวฮินดู ไม่ค่อยมีความโดดเด่น เนื่องจากชาวฮินดูที่อยู่ในชุมชนมีจำนวนน้อย (หน้า 91)
คนทวายกับกะเหรี่ยง
คนทวายส่วนใหญ่ที่อยู่ในศูนย์ฯนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนงานเหมือนแร่เก่าที่เคยเดินทางเข้ามาทำงานเมื่อ 40 ปี ที่แล้ว ต่อมาได้แต่งงานมีครอบครัว สำหรับการติดต่อกับคนในพื้นที่ เช่นกลุ่มคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงนั้น ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องการเมืองการปกครอง เนื่องจากคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ส่วนใหญ่จะเป็นผู้นำท้องถิ่น เป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นกำนัน การติดต่อกับคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงนั้น บางครั้งก็เกี่ยวกับการประชุมหมู่บ้าน นอกจากนี้แล้ว คนทวายก็จะไปทำงานรับจ้างกับกลุ่มคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง การทำงานในไร่เช่น เก็บมันสำปะหลัง เก็บข้าวโพด เป็นต้น (หน้า 95)
คนทวายกับมอญ
ส่วนการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนมอญนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นการพบปะกันเมื่อมีการประชุมประจำเดือน เนื่องจากกลุ่มคนมอญ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีน้อยที่สุดในชุมชน ดังนั้นจึงไม่มีความโดดเด่นในการจัดกิจกรรมชุมชน ประกอบกับกลุ่มคนมอญชอบทำงานหากินจะเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนเมื่อมีการประชุมประจำเดือนเท่านั้น สำหรับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนมอญและ คนทวายนั้น ส่วนใหญ่แล้วถ้าเจอกันก็จะพูดคุยภาษาพม่า เพราะภาษาพม่าเป็นภาษากลางในประเทศพม่า และคนทวายและคนมอญโดยเฉพาะคนสูงอายุที่เคยอยู่ประเทศพม่าก็เคยเรียน ภาษาพม่าจึงสามารถอ่านออกเขียนได้ แต่ในกลุ่มลูกหลาน ทุกวันนี้ถ้าเกิดในหมู่บ้านบ้องตี้บนและหมู่บ้านท้ายเหมือง ที่เกิดและเติบโตที่นี่ ทุกวันนี้ไม่สามารถเขียนภาษาพม่าได้แล้ว และปัจจุบันจึงเหลือคนที่สามารถเขียนภาษาพม่าได้น้อย (หน้า 95)
ในการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ เช่นเดียวกับกลุ่ม คนทวายและคนมอญนั้น ก็ได้มีการปฏิสัมพันธ์กันเนื่องจากเป็นคนที่เดินทางมาจากประเทศพม่าเหมือนกัน บางครั้งก็แสดงอัตลักษณ์ความเป็นพม่าอันเป็นอัตลักษณ์ร่วมของคนทวาย และมอญ สำหรับในกลุ่มคนทวายนั้นมีการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนมอญ เนื่องมาจากกิจกรรมในชุมชน และต่างก็มีความรู้สึกว่าเป็นคนที่มาจากประเทศพม่าเหมือนกัน แม้ว่าจะมีภาษาของกลุ่มอย่างชัดเจน แต่ทั้งสองก็มีภาษาร่วมกันโดยสื่อผ่านทางภาษาพม่า (หน้า 96)
คนทวาย กับคนไทย
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทวายกับคนไทย มีดังนี้คนไทยที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ทั้งที่เป็น ตชด. ครู เป็นเจ้าหน้าที่อบต. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข การติดต่อจะเป็นแบบทางการ เช่นคนทวายก็จะส่งลูกหลานไปเรียน หรือไปรับการรักษาที่สถานีอนามัยเวลาเจ็บไข้ ส่วนการติดต่อแบบไม่เป็นทางการ คนทวายบางส่วนได้แต่งงานกับคนไทย ดังนั้นลูกหลานของคนกลุ่มนี้ ในอดีตจึงมีสิทธิ์ในด้านต่างๆ ทางสังคมมากกว่าคนทวายที่ไม่มีสัญชาติไทย สำหรับลูกหลานของคนทวายที่แต่งงานกับคนไทยภาคกลางจึงมีนามสกุลไทย ซึ่งรุ่นลูกจะใช้ตามคู่สมรส (หน้า 96)
นอกจากนี้ คนไทยภาคกลางที่เข้ามาทำมาหากินในชุมชนเช่น มาตั้งร้านขายของ การติดต่อระหว่างคนทวายกับคนไทยยังเป็นในรูปแบบการว่าจ้างแรงงาน ดังเช่นหากมีการทำงานในไร่ คนไทยภาคกลางก็จะไปจ้างคนทวายไปทำงานในไร่ ซึ่งจะมีค่าจ้างเป็นรายวันที่ค่อนข้างจะตายตัว สำหรับค่าจ้างทำงานรายวันปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 250 บาทต่อวัน ส่วนการติดต่ออื่นๆ จะเป็นในส่วนของการอยู่ร่วมกันในชุมชนหรือ“การพัฒนา” เช่น ทำความสะอาดถนน ดายหญ้า ถางหญ้า (หน้า 97) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์
การติดต่อระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นคนทวาย ทั้งที่นับถือศาสนาพุทธ มุสลิมเชื้อสายอินเดีย และมุสลิมจากเมืองทวายและมุสลิมที่เป็นคนไทยที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามคู่สมรส เมื่ออยู่รวมกันหากเป็นคนที่นับถือศาสนาอิสลาม พวกเขาก็จะแทนชื่อเรียกตัวเองว่าเป็น “มุสลิม” กรณีที่มีทั้งชาวพุทธและมุสลิมก็จะแทนตัวเองว่า “คนทวาย”บางครั้งคนที่อยู่ในหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านท้ายเหมืองและหมู่บ้านบ้องตี้บนก็จะเรียกคนที่อยู่ในศูนย์ฯ และที่สร้างบ้านอยู่หน้าศูนย์ฯว่า “คนพม่า” การอยู่รวมกลุ่มของคนทวายที่อยู่ในศูนย์ที่เป็นชาวพุทธและมุสลิมนั้น มีเหตุปัจจัยมาจากการเมือง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องการให้พวกเขาอยู่เป็นกลุ่มเพื่อง่ายในการดูแล และในเริ่มแรกก็มีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านของศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่าดูแลกันเอง และจะมีผู้ใหญ่บ้านบ้านท้ายเหมืองดูแลลูกบ้านที่อยู่ในส่วนต่างๆ ของหมู่บ้าน จะเห็นได้ว่าการตั้งบ้านเรือนในศูนย์ฯ ตั้งแต่อดีตนั้นจะเน้นให้คนทวายอยู่ในศูนย์ฯ โดยไม่ให้คนชาติพันธุ์อื่นเข้ามาอยู่ด้วย ดังนั้นคนทวายที่อยู่ในศูนย์ฯ จึงยังคงอัตลักษณ์ของตนไว้ได้เช่นภาษาพูด ที่ยังมีการสื่อสารในชีวิตประจำวัน (หน้า 97) |
|
Other Issues |
การเดินทางเข้าหมู่บ้าน
การเดินทางไปบ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมืองมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนรถบัสโดยสารเข้า ออกหมู่บ้าน ที่มีเพียงสามคันต่อวัน รถที่วิ่งเข้าหมู่บ้าน จะออกจาก สถานีขนส่งกาญจนบุรี ในเวลา 11.00 นาฬิกา 12.00 นาฬิกา และ 12.30 นาฬิกา (หน้า 43)
ถ้ามาไม่ทันเวลาออกรถ หากเลยเวลาไปแล้วการเดินทางเข้าหมู่บ้านต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ส่วนมากจะราคาประมาณห้าร้อยบาท หรือไม่ก็ต้องนั่งรถเมล์ไปอำเภอทองผาภูมิ แล้วลงรถที่บริเวณทางแยกเข้าตัวอำเภอไทรโยค ที่เรียกว่าเขาหลัก จุดนี้จะมีวินมอเตอร์ไซค์โดยคิดค่าโดยสารเข้าหมู่บ้านในราคา 250 บาท (หน้า 44) การนั่งรถโดยสารเข้าหมู่บ้านจากตัวเมืองกาญจนบุรีถึงหมู่บ้านบ้องตี้บนใช้เวลาสองชั่วโมงเศษ อัตราค่าโดยสารจากตัวเมืองถึงหมู่บ้านคิดราคา 100 บาท แต่ถ้าลงที่ตัวอำเภอ ไทรโยค เสียค่าโดยสาร 50 บาท (หน้า 44) |
|
Map/Illustration |
ภาพ
-
กรอบแนวคิดในการวิจัย (หน้า 33)
-
การตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่วิจัย (หน้า 42)
-
กลุ่มดงหมาก (หน้า 43)
-
แผนที่บ้านบ้องตี้บน และบ้านท้ายเหมือง (หน้า 45)
-
กลุ่มวังคะโดะ (หน้า 47)
-
บ้านบริเวณข้างมัสยิด (หน้า 48)
-
ภายในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า (หน้า 59)
-
วัดบ้องตี้ล้วนพูลผลาราม (หน้า 67)
-
โบสถ์คริสต์ห้วยน้ำขาว (หน้า 72)
-
คริสตจักรแบ๊พติสบ้องตี้ (โบสถ์ต้นตาล) (หน้า 72)
-
มัสยิดอัล-มูฮายีริน (หน้า 74)
-
อาหารในพิธีขอบคุณพระเจ้า แกงไก่กับข้าวหุงด้วยน้ำมะพร้าว (หน้า 78)
-
คนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงกำลังเตรียมพันธุ์มันสำปะหลังไปปลูก (หน้า 79)
-
โรงเรียนบ้านบ้องตี้ (หน้า 81)
-
อาคารเรียนของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนในศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า (หน้า 82)
-
ศูนย์ผู้พลัดถิ่นชาวพม่า บ้านท้ายเหมือง (หน้า 127)
-
คนไทยใหม่เชื้อสายกะเหรี่ยง กำลังเล่าถึงชีวิตให้กลุ่มที่มานมัสการพระเจ้า ที่ศาลาโรงเรียนไม้ไผ่ เหนืออ่างเก็บน้ำบ้านท้ายเหมือง (หน้า 167)
-
ศาลาริมน้ำภายในหอพักของโรงเรียนไม้ไผ่ ของกลุ่มคริสต์วันเสาร์ใกล้อ่างเก็บน้ำบ้านท้ายเหมือง (หน้า 167)
-
หอพักนักเรียน โรงเรียนไม้ไผ่ใกล้อ่างเก็บน้ำบ้านท้ายเหมือง (หน้า 168)
-
กลุ่มชาติพันธุ์ชกมวยไทยในงานฤดูหนาว บ้านบ้องตี้บน (หน้า 168)
-
เด็กนักเรียนกะเหรี่ยงร่ายรำในวันคริสต์มาสที่โบสถ์ต้นตาล (หน้า 169)
ตาราง
-
ตัวอย่างภาษาของคนทวาย (หน้า 62)
|
|
|