|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ไทยใหญ่,การสื่อสาร,ภาษา,แม่ฮ่องสอน |
Author |
ศุภลักษณ์ วิริยะสุมน |
Title |
การศึกษาแบบแผนในการสื่อสารของชาวไทยใหญ่ในหมู่บ้านแม่ลาน้อย ต.แม่ลาน้อย อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทใหญ่ ไต คนไต,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
100 |
Year |
2528 |
Source |
หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร |
Abstract |
งานชิ้นนี้มีสาระสำคัญ คือ การศึกษาแบบแผนในการสื่อสาร (patterns of Communication) และองค์ประกอบในการสื่อสารของไทยใหญ่ ทำให้เห็นแบบแผนในการสื่อสารในสถานการณ์แต่ละประเภทแตกต่างกันทั้งกฎเกณฑ์และรูปแบบ รวมทั้งลักษณะองค์ประกอบในการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ภายในชุมชนภาษา (Speech Community) และการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม (Cross - cultural Communication) ของไทยใหญ่ |
|
Focus |
แบบแผนในการสื่อสาร (patterns of Communication) และวิเคราะห์ลักษณะองค์ประกอบในการสื่อสารภาษาไทยใหญ่ของไทยใหญ่ (หน้า 10) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยใหญ่ เป็นชนชาติไทยสาขาหนึ่ง ปัจจุบันอาศัยอยู่ในรัฐฉาน มีเชียงตุงเป็นเมืองหลวง ประเทศพม่า นิยมเรียกตนเองว่า "ไต" (Tai) ส่วนคำว่า "ชาน "หรือ "ฉาน" เป็นภาษาพม่า หมายถึง "ไทย" ใช้เรียกคนไต (ไทย) ที่อยู่ในพม่า ภายหลังฝรั่งเรียกตามเป็น "shan" แต่หมายรวมถึงคนไตในมณฑลอัสสัม ประเทศอินเดีย มณฑลยูนาน กวางสี ประเทศจีนและพม่าด้วย (หน้า 1)
คนไทยหรือชนพวกอื่นที่อยู่นอกเขตพม่าเรียกคนไตว่า "เงี้ยว" (Ngio) คนไทยใหญ่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับคนไทยในภาคเหนือ ผิวค่อนข้างขาว ล่ำสันและผึ่งผาย ว่องไว เดิมไว้ผมยาวเกล้ามวยอย่างผู้หญิง ใช้ผ้าโพกศีรษะ และนิยมสักตามร่างกาย ส่วนผู้หญิงไตมีรูปร่างสวยงาม ผิวขาวเนื้อละเอียด ไว้ผมมวยเกล้าโพกศีรษะด้วยผ้ายาว ไตเป็นคนรักสงบ ซื่อสัตย์ จริงใจ เรียบร้อย สงบเสงี่ยมมีกิริยาท่าทางที่งดงาม รักความสะอาด โอบอ้อมอารี ต้อนรับขับสู้แขกที่ไปถึงบ้านด้วยความจริงใจ
ในอดีตไทยใหญ่ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตประเทศไทยทางภาคเหนือในแถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ตาก พิษณุโลก พิจิตร เป็นเวลาร่วมหลายร้อยปี เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในพม่า (หน้า 1-2) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาไทยใหญ่ มีเสียงพยัญชนะ 18 เสียง เสียงสระ 21 เสียง และเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง มีลักษณะคล้ายภาษาไทยทั้งเสียงสระ พยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์
การศึกษาภาษาไทยใหญ่ในพม่า ปัจจุบันพบว่ามีคำภาษาพม่าเข้าไปปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ภาษาสุภาพหรือราชาศัพท์ ภาษาศาสนาหรือภาษาวรรณคดี นอกจากนั้น จากการสำรวจพบว่าภาษาไทยใหญ่มีส่วนสัมพันธ์กับไทยใหญ่ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดียอยู่หลายพวก เช่น ไทยอาหม ไทยคำตี่ ไทยลุง ไทยคำยัง ไทยนอรา ไทยพ่าเก ไทยรงและไทยอ่ายตน (หน้า 18) |
|
Study Period (Data Collection) |
ไม่ได้ระบุรายละเอียด แต่ระบุไว้ว่า การสังเกตโดยเข้าไปมีส่วนร่วม (Participant observation) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามเป็นระยะเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน - ธันวาคม พ.ศ.2527 |
|
History of the Group and Community |
ชนชาติไทยในถิ่นเดิมมีภูมิลำเนาตามภูมิศาสตร์ที่เรียกว่า มณฑลที่ต่อพรมแดนฝ่ายเหนือของประเทศไทยขึ้นไป คือมณฑลเสฉวนตอนใต้ มณฑลไกวเจาตอนตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศจีน โดยมีการเรียกชื่อที่แตกต่างกันออกไปตามถิ่นที่อยู่และภูมิลำเนา แต่มีภาษาและวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน ไทยใหญ่ เป็นชนชาติไทยสาขาหนึ่ง ปัจจุบันอาศัยอยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า มณฑลอัสสัม ประเทศอินเดีย มณฑลยูนาน กวางสี ประเทศจีน (หน้า 1)
ในอดีต ไทยใหญ่ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตประเทศไทยทางภาคเหนือ แถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ตาก พิษณุโลก พิจิตร เป็นเวลาร่วมหลายร้อยปี เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง
ที่ตั้งของอำเภอแม่ลาน้อยในปัจจุบัน แต่เดิมเป็นของชนเผ่า ลัวะ หรือ ละว้า อาศัยตั้งถิ่นฐานตามสองฝังแม่น้ำสองสาย สายหนึ่งไหลผ่านตำบลแม่ลาหลวงเป็นลำน้ำสายใหญ่ เรียกว่า "แม่ลัวะหลวง" และลำน้ำสายเล็กไหลผ่านตำบลแม่ลาน้อย เรียกว่า "แม่ลัวะน้อย" ต่อมาได้อพยพไปทำมาหากินในที่อื่น ไทยใหญ่ซึ่งอพยพมาจากถิ่นเดิมก็ได้เข้ามาทำกินแทนลัวะ และเปลี่ยนชื่อแม่น้ำเป็น แม่ลาหลวง และ แม่ลาน้อย ตามสำเนียงไทยใหญ่ที่เรียก คำว่า "ลัวะ" เป็น "ลา" (หน้า 7)
สำหรับไทยใหญ่ในหมู่บ้านแม่ลาน้อย ต.แม่ลาน้อย อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ไทยใหญ่ได้อพยพจากถิ่นฐานเดิม มาตั้งรกรากแทนชาวเขาเผ่าลัวะ ประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว โดยมาบุกเบิกทำไร่ ทำนาและทำสวน สร้างบ้านเรือน ตั้งชื่อหมู่บ้านเป็น "บ้านแม่ลัวะอ่อน" ต่อมาได้ออกเสียงเพี้ยนเป็น บ้านแม่ลาอ่อน และเมื่อประมาณ 60 ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้านแม่ลาน้อยในปัจจุบัน (หน้า 1-4) |
|
Demography |
ข้อมูลจากการศึกษา หมู่บ้านแม่ลาน้อย มีจำนวน 348 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 1,681 คน เป็นชาย 870 คนเป็นหญิง 817 คน มีสถานีอนามัย 1 แห่ง โรงเรียนประชาบาล 1 โรงเรียน วัดพุทธศาสนา 2 วัดและสำนักสงฆ์ 3 แห่ง (พ.ศ.2528) (หน้า 8) |
|
Economy |
อาชีพ ไทยใหญ่ในหมู่บ้านแม่ลาน้อยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ทำนา ทำไร่ ทำสวนและรับจ้าง (หน้า 8) |
|
Political Organization |
ความสัมพันธ์กับรัฐ ภายหลังจากการถือกำเนิดของเมืองแม่ฮ่องสอนในปี พ.ศ. 2374 ในปี พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดฯ ให้รวมเมืองแม่ฮ่องสอน เมืองปาย เมืองขุนยวมและเมืองยวม (แม่สะเรียง) ขึ้นเป็นบริเวณเชียงใหม่ตะวันตก ก่อนจะย้ายที่ว่าการจากขุนยวม และเมืองยวมตามลำดับมาอยู่ที่แม่ฮ่องสอนในปี พ.ศ. 2453 (หน้า 6) ในปี พ.ศ. 2510 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศตั้งกิ่งอำเภอแม่ลาน้อย โดยมีตำบลแม่ลาหลวงและตำบลแม่ลาน้อย เป็นกิ่งอำเภอ พ.ศ. 2515 แยกตำบลแม่ลาหลวงออกเป็นตำบลแม่โถ และแยกตำบลแม่ลาน้อยออกเป็นตำบลท่าผาปุ้ม เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2518 กระทรวงมหาดไทยได้ตราพระราชกฤษฎีกา ยกฐานะเป็นอำเภอแม่ลาน้อย และใน พ.ศ. 2526 ได้ประกาศจัดตั้งตำบลห้วยห้อมและตำบลแม่นาจาง รวมเป็น 6 ตำบลที่อยู่ในความปกครองของอำเภอแม่ลาน้อย
โครงสร้างอำนาจภายในครอบครัว ไม่ระบุไว้ชัดเจน แต่ในส่วนครอบครัวมีหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้นำ สมาชิกในครอบครัวต้องให้เกียรติ เช่น ในกรณีที่หัวหน้าครอบครัวกำลังทำงานหรือทำธุระติดพันในขณะที่ได้เวลารับประทานอาหาร และต้องการจะทำงานหรือทำธุระให้เสร็จก่อน สมาชิกคนอื่นๆ สามาถลงมือรับประทานอาหารไปพลางๆ ก่อนได้แต่ต้องตักกับข้าวแต่ละอย่างใส่ไว้ในจานข้าวของหัวหน้าครอบครัวก่อน ถ้าหัวหน้าครอบครัวไปทำธุระนอกบ้าน แม่บ้านจะแบ่งกับข้าวแต่ละอย่างใส่จานไว้ต่างหากแล้วจึงลงมือรับประทาน (หน้า 37-38) |
|
Belief System |
รอยสักและความเชื่อ ผู้ชายไทยใหญ่นิยมการสักหมึกตามร่างกาย ต้นคอหรือข้อมือ โดยมีความเชื่อว่าจะทำให้ผู้สักมีความคงกระพันชาตรี (หน้า 2) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เสื้อผ้าและการแต่งกาย ผู้ชายไทยใหญ่จะสวมเสื้อแขนสั้นไว้รองเหงื่อข้างใน สวนเสื้อชั้นนอกเป็นแขนยาว นิยมใช้ผ้าฝ้ายสีน้ำตาลออก ผ่าอก ติดกระดุม กางเกงหลวม ๆ ก้นหย่อน มีผ้าโพกศีรษะ ใช้เข็มขัดผ้าหน้ากว้างและหนามีพู่หย่อนลงมา สะพายถุงย่าม พกมีดสั้นที่เอว และสะพายดาบที่บ่า ส่วนผู้หญิงชอบสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินจวนดำ สีดำและสีขาว แขนกระบอกจดข้อมือ เสื้อรัดตัว นิยมใช้หมวกใบใหญ่ ส่วนทรงผม แต่เดิมผู้ชายจะไว้ผมยาวเกล้าเป็นมวย ส่วนผู้หญิงไว้ผมมวยเกล้า (หน้า 2)
ศิลปะการละเล่น ไทยใหญ่มีเพลงพื้นเมือง ภาษาไทยใหญ่เรียกว่า "เฮ็ดกวาม" มีเครื่องดนตรี 2 ชุด ชุดที่ 1 ประกอบด้วยกลองยาวประมาณ 1 วา มีฆ้องเล็กฆ้องใหญ่อย่างละ 1 ชุด ชุดที่ 2 มีฆ้องเล็กใหญ่ประมาณ 6-7 ลูก และฉาบ 1 คู่ การเล่นเฮ็ดกวาม คือตีกลองร้องเพลงสลับกันไป เนื้อร้องเป็นการบรรยายเกี่ยวกับงานที่จัดขึ้น เช่น บวชนาค เป็นการหยอกล้อเพื่อความครื้นเครง โดยผู้ขับร้องเป็นชาย นอกจากนี้ ยังมีการละเล่นในงานวัด งานประจำปี งานวันออกพรรษา งานแห่เทียนพันเห็ง (พันเล่ม) เช่น เต้นสิงโต รำนางนก ผีเสื้อแดง ฟ้อนดาบ มีเครื่องดนตรีวงเล็กประกอบ คือ กลอง ฆ้อง ฉาบ (หน้า 8-9) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไทยใหญ่มีภาษาพูดและภาษาเขียน ตัวหนังสือเป็นของตนเอง (หน้า 18) มีวัฒนธรรมและศิลปการละเล่น เช่น เฮ็ดกวาม เต้นสิงโต รำนางนก ผีเสื้อแดง ฟ้อนดาบ (หน้า 8-9) ลักษณะการแต่งกายและลักษณะทางกายภาพ รูปร่าง นิสัย (หน้า 1-2) อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มและชนชาติ
ในด้านความสัมพันธ์ของไทยใหญ่กับกลุ่มชาติพันธ์อื่น งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนหรือตั้งเป็นหัวข้อเฉพาะ แต่ระบุไว้ในหัวข้อการสื่อสารของสมาชิกในชุมชนที่ตลาดสดตอนเช้า โดยผู้ศึกษาได้แยกสถานการณ์ออกเป็นการร้องขายสินค้าและการทักทาย พบว่าไทยใหญ่จะใช้ภาษาไทยใหญ่ทักทายระหว่างไทยใหญ่ด้วยกัน แต่ถ้าเป็นการทักทายระหว่างไทยใหญ่กับไทยพื้นเมืองภาคเหนือ จะใช้ภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ (หน้า 42-43) และไทยใหญ่ในหมู่บ้านแม่ลาน้อยส่วนใหญ่จะพูดภาษาคำเมืองได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้บางคนยังสามารถพูดภาษากะเหรี่ยงได้อีกด้วย (หน้า 8) แสดงให้เห็นถึงการปฏิสัมพันธ์ภายในชุมชนภาษา (Speech Community - หน้า 13) และการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม (Cross - cultural Communication - หน้า 10 ) ของไทยใหญ่ที่มีกับชาวพื้นเมืองภาคเหนือและกะเหรี่ยง |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ผลการศึกษาแบบแผนในการสื่อสารของไทยใหญ่ 5 ประเภท แบบแผนของการสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ ก็มีกฎเกณท์ในการใช้ภาษาในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์ประกอบในการสื่อสารดังราละเอียดในบทที่ 4 ว่าด้วยผลการศึกษาค้นคว้า ประกอบด้วยผลการศึกษาดังนี้
1.ผลการศึกษาเกี่ยวกับลักษณะองค์ประกอบในการสื่อสารของแต่ละสถานการณ์ แบ่งเป็นการสื่อสารในบ้าน ได้แก่ การสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัวขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็นและการสื่อสารในชุมชน ได้แก่ การสื่อสารของสมาชิกในชุมชนที่ตลาดสดตอนเช้าและที่วัดขณะไปร่วมทำบุญ โดยมีลักษณะองค์ประกอบในการสื่อสาร 10 ลักษณะ ดังนี้ 1.ประเภทสถานการณ์ 2.หัวข้อ 3.จุดประสงค์ 4.สภาพการณ์ 5.ผู้มีส่วนร่วม 6.รูปแบบของข่าวสาร 7.เนื้อหาของข่าวสาร 8.ลำดับของกิจกรรม 9.กฎของการปฏิสัมพันธ์ 10.แบบฉบับแห่งการตีความ
2. ผลการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ของแต่ละสถานการณ์
การสนทนาระหว่างสมาชิกในครอบครัวขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็น
3. ผลการศึกษาในเรื่องแบบแผนในการสื่อสารของแต่ละสถานการณ์
4. ผลการศึกษาเปรียบเทียบแบบแผนในการสื่อสารของแต่ละสถานการณ์กับรูปแบบทางทฤษฎีของความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบในการสื่อสาร และผลการเปรีบเทียบระหว่างแบบแผนทั้ง 5 แบบ ผลการเปรียบเทียบพบว่า
1.แบบแผนในการสนทนาระหว่างรับประทานอาหาร มีลักษณะความสัมพันธ์เป็นไปตามรูปแบบทางทฤษฎีทุกประการ ยกเว้นลำดับกิจกรรมที่ไม่ปรากฎในแบบแผนการสนทนา
2.แบบแผนในการทักทายมีลักษณะความสัมพันธ์สอดคล้องกับรูปแบบทางทฤษฎีทุกประการ ยกเว้นหัวข้อที่ไม่มีปรากฎในแบบแผนการทักทาย
3.แบบแผนในการร้องขายสินค้า มีลักษณะความสัมพันธ์สอดคล้องกับรูปแบบทางทฤษฎีทุกประการ ยกเว้นหัวข้อที่ไม่มีปรากฎ
4.แบบแผนในการไปร่วมทำบุญ มีลักษณะที่สอดคล้องและเป็นไปตามรูปแบบทางทฤษีทุกประการยกเว้นหัวข้อและเนื้อหาของข่าวสาร ซึ่งไม่มีปรากฎในแบบแผนของการไปร่วมทำบุญ
5.แบบแผนในการสนทนาระหว่าที่ไปร่วมทำบุญมีลักษณะความสัมพันธ์สอดคล้องตามรูปแบบทางทฤษฎีของความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทุกประการ (หน้า 83-96) |
|
Map/Illustration |
ภาพประกอบ รูปแบบทางทฤษฎีของความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบในการสื่อสาร (หน้า 24) แบบแผนในการสื่อสารระหว่างสมาชิกในครอบครัวขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็น (หน้า 71) แบบแผนในการทักทายกันระหว่างสมาชิกในชุมชนที่ตลาดสด (หน้า 73) แบบแผนในการร้องขายสินค้าที่ตลาดสด (หน้า 75)แบบแผนในการไปร่วมทำบุญที่วัดของสมาชิกในชุมชน (77) แบบแผนในการสนทนาระหว่างสมาชิกในชุมชนขณะที่ไปร่วมทำบุญ (หน้า 79) หลักการทฤษฎีของวิชามานุษยคดีด้านการสื่อสาร (หน้า 97) |
|
|