สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลัวะ, โครงสร้างทางสังคม, การสืบสายตระกูลข้างมารดา ,บทบาทผู้หญิง, จังหวัดเชียงราย, จังหวัดน่าน, ภาคเหนือ, ประเทศไทย
Author Cholthira Satayawadhna
Title Appropriation of Women’s Indigenous Knowledge: The Case of the Matrilineal Lua in Northern Thailand
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity ลัวะ (ละเวือะ) ลเวือะ อเวือะ เลอเวือะ ลวะ ละว้า, ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, Language and Linguistic Affiliations -
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์ มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 20 Year 2544
Source Gender Technology and Development 5(1), 2001. Sage Publications, New Delhi/Thousand Oaks. London.
Abstract

บทความนี้มีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับความสำคัญผู้หญิงในสังคมลัวะ โดยผู้เขียนสดงให้เห็นว่าสังคมลัวะสืบสายตระกูลข้างมารดาและผู้หญิงเป็นใหญ่ ผู้หญิงมีบทบาทในการคิดค้น ผลิตและค้าเกลือ ลักษณะเช่นนี้มีร่องรอยปรากฎในการเซ่นไหว้ผีและการอยู่อาศัยในเรือนยาวของชุมชนลัวะแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตามผู้เขียนกล่าวว่าอำนาจความสำคัญของผู้หญิงลัวะได้เปลี่ยนไปสู่ผู้ชายไทยที่เป็นตัวแทนรัฐ สิ่งนี้ส่งผลให้ความรู้ของผู้หญิงถูกฉกฉวยไปพร้อมกับการเปลี่ยนไปของความสัมพันธ์หญิง-ชายในหมู่คนลัวะ

Focus

         บทความนี้ศึกษาลัวะที่สืบสายตระกูลข้างมารดาในภาคเหนือของไทย โดยเน้นประเด็นความรู้พื้นบ้าน/ท้องถิ่นของผู้หญิงซึ่งถูกคนนอกฉกฉวย และการเผชิญกับนโยบายอนุรักษ์ป่าไม้ของรัฐบาลในคริสตทศวรรษ 1990  (น.91)

Theoretical Issues

         ผู้เขียนสำรวจศึกษากลุ่มลัวะที่สืบสายตระกูลข้างแม่ทางภาคเหนือของไทย โดยมองการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการทางประวัติศาสตร์ เพื่อศึกษาตรวจสอบกำเนิดที่มาของลัวะและระบบการสืบตระกูลข้างแม่ ผู้เขียนเห็นว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเปิดเผยให้เห็นไม่เพียงเฉพาะตัวบทที่ถูกเขียนโดยอำนาจและสถาบันเท่านั้น แต่ยังเปิดเผยความรู้ที่แพร่หลายเกี่ยวกับการจัดการและการผลิตเกลือรวมถึงวัฒนธรรมการนับถือผีด้วย(น.103) ผู้เขียนได้ใช้ตำนานและเรื่องเล่า แสดงความสำคัญของวัฒนธรรมการนับถือผี การสืบสายตระกูลข้างมารดาและการคิดค้นการผลิตและการค้าเกลือของผู้หญิง (น.91) อีกทั้งผู้เขียนยังได้ใช้ข้อมูลภาคสนาม ในการอยู่อาศัยในเรือนยาวของชุมชนลัวะแห่งหนึ่ง และโครงสร้างสังคมลัวะ มาสนับสนุนว่าสังคมลัวะทางภาคเหนือสืบสายตระกูลข้างมารดา  

Ethnic Group in the Focus

          ลัวะทางภาคเหนือของไทย ได้แก่ ลัวะทุ่งช้าง-ปัว จังหวัดน่าน และลัวะดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกบังคับให้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่จังหวัดลำปาง(น.91) 

Study Period (Data Collection)

          ผู้เขียนใช้ข้อมูลจากการสำรวจลัวะทุ่งช้าง-ปัว จังหวัดน่าน ในช่วง ค.ศ.1978-1982 ค.ศ.1986 และ ค.ศ.1988 ส่วนลัวะดอยหลวง เก็บสำรวจข้อมูลในช่วง ค.ศ.1999-2000 (น.91)   

History of the Group and Community

          ผู้เขียนสันนิษฐานว่าลัวะเชียงรายตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ดอยหลวงมามากกว่า 500 ปีโดยพิจารณาจากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสลัวะดอยหลวงที่จังหวัดลำปาง พวกเขาทั้งหมดเกิดที่จังหวัดเชียงราย บางคนสืบย้อนบรรพบุรุษไปได้มากกว่า 10 รุ่น ปัจจุบันพื้นที่ดอยหลวง จังหวัดเชียงรายได้กลายเป็นอุทยานป่าไม้แห่งชาติไปแล้วตามมติของคณะรัฐมนตรี ค.ศ.1993  ในอดีตชุมชนลัวะดอยหลวงในเชียงรายดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาผลผลิตในป่า ทั้งอาหาร สมุนไพร และวัสดุสำหรับประกอบพิธีกรรม (น.108)

Settlement Pattern

          ผู้เขียนกล่าวว่าชุมชนห้วยโถน(Huay Thon community) ของลัวะในบริเวณทุ่งช้าง-ปัว จังหวัดน่านมีลักษณะเป็นเรือนยาว (longhouse) แต่ไม่มีรายละเอียดอื่น (น.96)

Demography

ในจังหวัดน่านมีชุมชนลัวะ 146 ชุมชน จำนวนประชากร 28,516 คน (น.92)

Economy

         การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลัวะดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับแหล่งน้ำ อาหารประจำวัน ได้แก่ ปลา กุ้ง ปู หอยและสัตว์น้ำอื่นๆ รวมทั้งพืชน้ำ  ในบริเวณทุ่งช้าง-ปัว ชุมชนลัวะบางแห่ง ตระกูลบางตระกูลมีสิทธิพิเศษในแหล่งน้ำและปลา สิทธิดังกล่าวนี้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและเป็นสิทธิของตระกูลหลัก(a major clan)ซึ่งสมาชิกอาวุโสของตระกูลมีตำแหน่งหรือมีอำนาจในชุมชนหรือในกลุ่มชุมชน  (น.95)  นอกจากทรัพยากรน้ำแล้ว การใช้ที่ดินก็เช่นเดียวกัน ลัวะในตระกูลใหญ่สุดของหมู่บ้านมีสิทธิในการเลือกที่ดินเพาะปลูกก่อน (น.95)   
         เกลือ ผู้เขียนกล่าวว่า ในแง่เศรษฐศาสตร์การเมืองทางภาคเหนือของไทย การผลิตและการค้าเกลือมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ และความรู้ในการผลิตเกลือก็เป็นของคนลัวะ ซึ่งหลักฐานคือ การที่ลัวะควบคุมการผลิตเกลือและตำนานเรื่องเล่ากำเนิดเกลือ (น.98) 
 

Social Organization

         ลักษณะสังคม ผู้เขียนเห็นว่า สังคมลัวะเป็นสังคมที่สืบสายตระกูลข้างแม่ และลัวะทุ่งช้าง-ปัวกับลัวะดอยหลวงมีลักษณะการสืบสายตระกูลข้างแม่ร่วมกัน ทั้งนี้ผู้เขียนพิจารณาจาก  
         หนึ่ง การพบชุมชนเรือนยาวสายตระกูลข้างแม่(matrilineal longhouse communities)ในชุมชนห้วยโถนที่บริเวณทุ่งช้าง-ปัว จังหวัดน่าน สมาชิกทุกคนในเรือนไหว้ผีเรือนซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษข้างแม่ (น.94,96) ชื่อของผีเรือนสายตระกูลผู้หญิงจะแสดงถึงชื่อตระกูลของสมาชิกทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเรือนนั้น การสืบทอดตระกูลจะนับตามสายผู้หญิง เด็กที่เกิดมาทั้งหญิงและชายจะเป็นสมาชิกในสายตระกูลข้างแม่ แต่เด็กผู้ชายเมื่อโตขึ้นและแต่งงาน จะออกจากสายตระกูลข้างแม่ไปเป็นสมาชิกของสายตระกูลข้างภรรยา(น.96)
         สอง สิทธิพิเศษของกลุ่มที่มีตำแหน่งพิเศษในลำดับตระกูลลัวะที่ยังปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ ผู้นำตระกูล “เจ้ากก(cao kok)” กับตระกูลหรือสายตระกูล “เตรา”หรือ”คลา กูล” (“traul or khra kul“) (น.94) ตระกูลที่มีสิทธิพิเศษมีลำดับและลักษณะของสิทธิ ดังนี้ 
          1) ตระกูลข้างแม่ที่เป็นตระกูลใหญ่(the big matrilineal clan) ซึ่งมักเป็นครอบครัวขยาย จะครอบครองที่นามากกว่าหนึ่งแห่งและมีลูกน้ำเต้ามากกว่าสิบลูก  ทั้งยังมีสิทธิพิเศษในการจับปลาและแหล่งน้ำ แต่พวกเขาต้องทำงานในที่นาของเจ้ากกภายใต้ระบบการเกณฑ์แรงงาน(น.95)
          2) ตระกูลข้างแม่ของผู้นำทางพิธีกรรม มีสิทธิพิเศษเหนือปลาและแหล่งน้ำ (น.96)
          3) ตระกูลข้างแม่ลำดับสูงสุด(the super-matrilineal clan) ปกติมักเป็นตระกูลของเจ้ากก มีสิทธิเศษมากที่สุดในการเลือกที่ดิน ปลาและแหล่งน้ำ และมีสิทธิในการเกณฑ์แรงงานจากตระกูลอื่นในชุมชน (น.96)
          สาม จากตำนานเรื่องกำเนิดเกลือ ผู้เขียนเห็นว่า ลักษณะเด่นในตำนานนี้ คือ ผู้หญิงและผีของเหมืองเกลือที่ไหว้กันจนถึงปัจจุบันล้วนเป็นผู้หญิงทั้งหมด ลักษณะเช่นนี้ของตำนานสนับสนุนความคิดเรื่องการสืบสายเลือดข้างแม่ของลัวะ (น.98)  
          ปัจจุบัน แม้ชุมชนลัวะบางแห่งจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะพวกที่เคลื่อนย้ายไปอยู่พื้นราบและอยู่ใกล้กับคนพื้นราบ ผู้เขียนก็เห็นว่าระบบตระกูลข้างแม่ยังคงอยู่ในระบบความเชื่อผีเรือนและผีบรรพบุรุษฝ่ายหญิง(น.98) โดยพิจารณาจากร่องรอยที่ปรากฏอยู่ในการเซ่นไหว้ในปัจจุบันว่า ลัวะยังคงใช้ผ้าโสร่ง/ผ้าซิ่นไหว้ผีและจะไม่นำผ้านั้นลงจากศาล/หิ้งผี นอกจากนั้นทรัพย์สิ่งของของเจ้าสมปากน้ำ(Cao Som Paak Nam)ผีตนสุดท้ายของบ่อเกลือ ได้แก่ ผ้าโสร่งสองผืน เสื้อ หมอน หอก ดาบ เชี่ยนหมากและขันโตก ก็ยังได้รับการดูแลโดยเข้าจ้ำ(khao cham)หรือผู้นำทางพิธีกรรม (น.101-102) นอกจากพิธีกรรมแล้ว ผู้เขียนยังอ้างถึงเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญด้วย นั่นคือ กรณีของแม่พง(Mae Phong)ภรรยาของปู่วงซึ่งเป็นผู้นำกระบวนการเคลื่อนไหวกบฏผู้มีบุญ โดยกล่าวว่าแม่พงเป็นผู้ตัดสินใจและลงนามยุติการต่อสู้กับกองทัพภาคที่ 3  (น.103) (ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ 21. Political Organization)
          บทบาทของผู้หญิง ผู้เขียนเห็นว่า ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในสังคมลัวะ ซึ่งไม่เพียงในฐานะผู้นำชุมชนดังกรณีของแม่พงเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการสะสมความรู้ด้วย  ดังในกรณีการพึ่งพาป่าของลัวะดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ผู้เขียนเห็นว่าชุมชนลัวะดอยหลวงมีความรู้ในการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์และพืช โดยผู้หญิงกับผู้ชายจะมีความรู้แตกต่างกันตามสถานภาพและบทบาททางสังคมและครอบครัว ความรู้หรือภูมิปัญญาลัวะนี้จะพบได้ในหมู่ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุมากกว่าพบในคนหนุ่มสาว  ทั้งนี้ในการสะสมความรู้ ผู้เขียนกล่าวว่าผู้หญิงจะสะสมความรู้พื้นบ้านต่างจากผู้ชาย เพราะผู้หญิงเป็นคนออกไปหาอาหารและไม้ฟืนตามลำห้วยและป่า  เด็กๆได้เรียนรู้วิถีชีวิตลัวะจากผู้หญิง ดังนั้นจึงอาจจะกล่าวได้ว่าผู้หญิงลัวะคือหุ้นส่วนหลักในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชนลัวะ (น.108)
 

Political Organization

          ความสัมพันธ์กับรัฐ ผู้เขียนกล่าวถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของลัวะในจังหวัดน่านที่มีปู่วง(Puu Wong)เป็นผู้นำ เรียกว่า กบฏผีบุญลัวะ เกิดขึ้นเมื่อปลายปี ค.ศ.1964 ถึง ค.ศ.1965 ว่าเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวโยงกับการเคลื่อนไหวในประเทศลาว กระบวนการการเคลื่อนไหวนี้เชื่อว่า จะมีผู้มีบุญหรือเจ้าผู้บุญ(Cao Phuu Bun)นำสหัสวรรษใหม่มาสู่คนลัวะ และสถาปนาชุมชนลัวะเป็นรัฐที่เจริญมีอารยะ  ต่อมาหลังจากการเคลื่อนไหวนี้ได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ ลัวะส่วนมากก็ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และพื้นที่ในบริเวณที่ลัวะอาศัยอยู่นั้นกลายเป็นพื้นที่สีแดง  ต่อมาเมื่อปู่วงเสียชีวิต แม่พง(Mae Phong) ภรรยาของปู่วงซึ่งได้ร่วมปฏิบัติการกับพรรคคอมมิวนิสต์ในบริเวณนั้น และได้รับการเคารพนับถือจากคนลัวะ ได้มีบทบาทสำคัญเมื่อเกิดวิกฤตทางอุดมการณ์ความคิดและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยประสบกับความยากลำบากในการควบคุมพื้นที่สีแดง แม่พงเป็นผู้ตัดสินใจและลงนามยุติการเคลื่อนไหวกับกองทัพภาคที่ 3 คนลัวะได้ทำตามคำแนะนำของแม่พง กองทัพได้เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่บริเวณนั้นโดยปราศจากการนองเลือด  (น.104-106)

Belief System

         ผีเรือน  ลัวะเรียกว่า prong/pyong tdjeng สมาชิกที่อยู่ในเรือนทุกคนต้องไหว้ผีเรือน ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นผีบรรพบุรุษข้างแม่ (น.96)  
         ผีย่าลัวะ ในอดีตที่บ่อหลวง ทุก 3 หรือ 4 ปีจะทำพิธีไหว้ย่าลัวะซึ่งเป็นผีของเหมืองเกลือโดยใช้เด็กแรกเกิดถึงอายุ 10 ปี ที่มุมบ่อเกลือทั้งสี่มุมจะวางกระทงไว้ ในกระทงมีกล้วย อ้อย ข้าวและเนื้อ ถ้าเป็นการเซ่นไหว้ด้วยคน ในกระทงจะมีเลือด หัวใจ ปอดและตับของคน ปัจจุบันการเซ่นไหว้ได้ใช้หมู ไก่และสุนัขแทน    (น.101)
นอกจากนั้น ผู้เขียนยังเห็นว่าการไหว้ผีที่เหมืองเกลือ บริเวณบ่อเกลือ จ.น่าน แสดงให้เห็นถึงอำนาจของลัวะในภูมิภาคนี้เมื่อครั้งอดีต ในการทำพิธีไหว้ผีเมืองในเดือน 5 ของทุกปี ซึ่งผู้ประกอบพิธีเป็นคนท้องถิ่นของจ.น่าน คนทรงจะเอ่ยถึงผีเมือง 36 ตน ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าบ่งบอกว่าอาจจะมีผู้ปกครองรัฐอย่างน้อย 36 คน ในความทรงจำท้องถิ่นที่ประวัติศาสตร์ได้รับการรักษาด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปการไหว้ผีนั้นแสดงว่าลัวะครอบครองภูมิภาคบริเวณบ่อเกลือหรือเมืองบ่อมาก่อน และรัฐลัวะเกิดขึ้นเพราะเกลือ(น.104)  
 

Folklore

          ย่าลัวะกับกำเนิดเกลือ  นานมาแล้วตั้งแต่คนยังอยู่ด้วยกัน มีชีวิตร่วมกันทั้งการผลิตและการบริโภค ลัวะยังไม่รู้จักเกลือ ต่อมามีย่าคนหนึ่งเรียกว่า ย่าลัวะ มีหน้าที่ทำอาหารให้ลัวะที่อยู่รวมกัน ย่าลัวะทำอาหารอร่อยมาก ทุกคนชื่นชมและอยากรู้ว่าผสมอะไรลงไปในอาหาร จากนั้นก็มีผู้ชายสองคนแอบดูย่าลัวะทำอาหาร พวกเขาจึงรู้ความจริง เห็นย่าลัวะใช้น้ำที่อาบมาทำอาหาร ความลับนี้แพร่กระจายไป แต่ไม่มีใครเชื่อ  จากนั้นย่าลัวะก็ถูกแอบมองบ่อย จนกระทั่งไม่มีความลับอีกต่อไป คนทั้งหลายมาประชุมกันโดยไม่มีย่าลัวะ เสียงส่วนใหญ่ตัดสินให้ฆ่าย่าลัวะ  พวกเขาใช้หอกแทง แต่ย่าลัวะก็หนีได้ ร่างกายบาดเจ็บมีเลือดเต็มตัว  ย่าลัวะหนีไปจนถึงบ่อน่าน(Boe Nan)และบ่อเวน(Boe Wen) เลือดได้ไหลลงไปในบ่อจนน้ำบ่อเป็นสีเลือด ต่อมาบ่อนี้ก็กลายเป็นบ่อเกลือของน่านเหนือ ย่าลัวะยังคงหนีต่อไปจนถึงบ่อหยวก(Boe Yuak) แล้วก็ได้ถ่มน้ำลายลงบ่อ ทำให้น้ำในบ่อหยวกเค็มจนถึงทุกวันนี้ ย่าลัวะยังเดินทางต่อไปทางใต้ แล้วตายที่บ่อหลวง ซึ่งทุกวันนี้เรียกว่า บ่อเกลือใต้(Boe Kluea Tay) (น.100-101)
          เจ้าหลวงภูคากับเจ้าหลวงปัวและการทำเกลือ  คนท้องถิ่นที่บ่อเกลือใต้เชื่อกันว่า เมื่อประมาณ 700 ปีมาแล้ว เจ้าหลวงภูคากับเจ้าหลวงปัวยังเป็นเพื่อนกัน พวกเขาได้ปล่อยให้ช้างของพวกเขาเดินท่องไปในพื้นที่แถวๆปัว หลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็พบว่าช้างกินดินโป่งเข้าไป เจ้าหลวงปัวจึงลองชิมน้ำที่ควาญช้างนำกลับมา ก็พบว่าน้ำนั้นเค็ม เจ้าหลวงจึงนำน้ำนั้นไปต้ม ได้เกลือคุณภาพดีออกมา จากนั้นเจ้าหลวงปัวจึงเชิญเจ้าหลวงภูคามาทำเกลือกับตน และประชาชนทั้งสองเมืองก็ใช้เหมืองเกลือนับแต่นั้นมา ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่าถ้าเรื่องเล่านี้เชื่อถือได้ ความรู้ในการผลิตเกลือก็เป็นความรู้พื้นเมือง ไม่ได้มาจากที่อื่น (น.99) 
 

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

         ผู้เขียนเห็นว่าอัตลักษณ์ร่วมของความเป็นลัวะถูกแสดงออกในรูปของธรรมเนียมประเพณีความเชื่อและการนับถือผี โดยปราศจากตราประทับทางชาติพันธุ์ การกลืนกลายไต-ลัวะ เป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์อันยาวนานทางการเมืองการปกครอง สังคมและเศรษฐกิจ ประเพณีล้านนาหลายอย่างกำเนิดในวัฒนธรรมลัวะ เช่นเสาหลักเมืองหรือเสาอินทขีล การไหว้ผีเจ้าที่ล้านนา ปู่แสะย่าแสะ และการไหว้ผีบรรพบุรษมารดาในหมู่คนภาคเหนือที่เรียกตนเองว่า คนเมือง (น.104)

Social Cultural and Identity Change

          การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ผู้เขียนกล่าวถึงผลกระทบจากนโยบายของรัฐต่อลัวะเชียงรายว่า การสร้างเขื่อนและอุทยานแห่งชาติทำให้ลัวะเชียงรายประสบกับปัญหาการขาดแคลนที่ดินเพิ่มขึ้น  รวมถึงการเพาะปลูกแบบถางเผาและการปลูกข้าวแบบหมุนเวียนที่ดินซึ่งเป็นความรู้ที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ในอดีตชุมชนลัวะดอยหลวงในเชียงรายดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาผลผลิตในป่า ทั้งอาหาร สมุนไพร และวัสดุสำหรับประกอบพิธีกรรม (น.107-108)

Other Issues

          ความรู้ของผู้หญิง  ผู้เขียนกล่าวว่า ในระบบสายตระกูลข้างแม่และในประวัติศาสตร์และตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับการผลิตเกลือ ผู้หญิงเป็นผู้สร้างความรู้และครอบครองตำแหน่งสำคัญที่เป็นศูนย์กลางในสังคมลัวะ  ขณะที่สังคมสืบสายตระกูลข้างแม่ไม่สามารถป้องกันความรู้ของผู้หญิงในการผลิตเกลือและการเซ่นไหว้ผีจากการถูกคนภายนอกฉกฉวยนำไปใช้ (น.102) 

Map/Illustration

ภาพ 1 ตระกูลข้างแม่ของลัวะ จังหวัดน่าน ค.ศ.1988 หน้า 97
(Figure 1 Lua Matrilineal Clans, Nan Province, 1988)
 

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 03 ต.ค. 2567
TAG ลัวะ, โครงสร้างทางสังคม, การสืบสายตระกูลข้างมารดา, บทบาทผู้หญิง, จังหวัดเชียงราย, จังหวัดน่าน, ภาคเหนือ, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง